กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
มีนาคม 2567
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
space
space
3 มีนาคม 2567
space
space
space

สำรวจตัวก่อนปฏิบัติธรรม ๓

- ๓ -


     พระอริยะกับผู้วิเศษต่างกันอย่างไร ?

     ถ้าเราเข้าใจข้อนี้แล้ว เราก็จะอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้น เพราะประชาชนในปัจจุบันนี่สับสนมาก มักเอาความเป็นผู้วิเศษกับความเป็นพระอริยะเป็นอันเดียวกันเสีย ถ้าอย่างนี้แล้วหลักพระศาสนาก็จะสับสนแล้วก็เสื่อมด้วย

     ผู้วิเศษ คืออะไร เรามักจะเรียกคนที่มีฤทธิ์นั่นเองว่าเป็นผู้วิเศษ เช่น โยคี ฤาษี ดาบส ก่อนพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นก็มีโยคี ฤาษี ดาบส เยอะ อยู่ในป่า ได้ฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เราเรียกได้ว่าเป็นผู้วิเศษ คือผู้มีฤทธิ์นั่นเอง

     ลองมาดูความหมายของ พระอริยะ ว่าคืออะไร?

     พระอริยะ คือท่านผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ประเสริฐเพราะไกลจากกิเลส ไกลจากกิเลสก็คือ หมดจากโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่ากำจัดความโลภ โกรธ หลง ให้ลดน้อยเบาบางลง กิเลสน้อยลงไป ๆ จนกระทั่งว่าเป็นอริยะ อย่างสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์ ซึ่งหมดกิเลสทั้ง ๓ อย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นผู้บริสุทธิ์ประเสริฐสูงสุด

     อย่างนี้แยกได้หรือยัง?

     ผู้วิเศษไม่จำเป็นต้องเป็นอริยะ

     ผู้วิเศษอาจจะมีฤทธิ์มีความสามารถ เช่นอย่างโยคีก่อนพุทธกาล ก็ไม่ได้เป็นอริยะกันเลย พระพุทธเจ้าทรงเข้าไปเรียนไปศึกษาในสำนักของพวกโยคี ไปสำนักของอาฬารดาบสได้ฌานสมาบัติ ถึงขั้นอรูปฌาน ชั้นอากิญจัญญายตนสมาบัติ เห็นว่าน้อยไป ไม่จบ ก็เข้าสำนักของอุททกดาบสรามบุตร ได้สมาบัติขั้นสูงสุดเป็นอรูปฌาน ชั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จบความรู้ที่มีของพวกนักพรตนักบวชสมัยนั้นพระองค์ก็เห็นว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง จึงได้ละออกไปแล้วก็ไปแสวงหาทางของพระองค์เอง ได้บำเพ็ญตามมัชฌิมาปฏิปทา จนกระทั่งได้ตรัสรู้ แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่าทางที่นำมาสู่ความเป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือมันไม่ช่วยให้หมดกิเลส

     สิ่งที่สำคัญก็คือการมีปัญญารู้แจ้งสัจธรรม รู้สภาวะ รู้เท่าทันความจริงของสังขารคือโลกและชีวิต ทำจิตใจให้เป็นอิสระได้ หมดทุกข์ได้ หมดกิเลสได้ อันนี้จึงจะเป็นวิถีทางของพระอริยะ

     แต่ก็มีพระอริยะหลายองค์ พระอรหันต์หลายองค์ที่ท่านได้ฤทธิ์ ได้ฌานได้สมาบัติ

     ถ้าท่านได้ฤทธิ์ได้ฌานได้สมาบัติได้อภิญญาจำพวกโลกีย์ เช่นหูทิพย์ตาทิพย์ด้วย ก็เป็นความรู้พิเศษหรือคุณสมบัติพิเศษของท่าน เป็นความสามารถพิเศษที่เอามาใช้ประโยชน์ในการประกาศพระศาสนาได้

     พวกฤทธิ์ทั้งหลายนั้นเทียบว่าเหมือนเทคโนโลยี เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ถ้าใช้เป็น

     เทคโนโลยีถ้าอยู่กับคนชั่วใช้ไม่ดีก็มีโทษ เอาไปฆ่าไปฟันคนหรือเอาไปทำร้ายก่อเหตุที่ทำให้เกิดความพินาศแก่สังคมมนุษย์ได้ เช่นอาจจะทำลูกระเบิดก็ได้ เทคโนโลยีนั้นถ้าคนชั่วใช้ก็เป็นโทษ ถ้าคนดีใช้ก็กลายเป็นประโยชน์ เช่น คอมพิวเตอร์ ถ้าใช้ในทางสร้างสรรค์ก็เป็นประโยชน์ได้เยอะ จึงเป็นความสามารถพิเศษ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าจะใช้อย่างไร ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว

     พวกฤทธิ์หรือความวิเศษนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไปอยู่กับคนชั่วก็ใช้ในทางร้าย เอาไปหาลาภสักการะเพื่อตนเอง เอาไปทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เอาไปหลอกลวงประชาชน

     ถ้าเป็นคนดี ท่านก็เอามาใช้ในการทำงานพระศาสนา เรื่องนี้จะดีหรือชั่วจึงอยู่ที่ผู้ใช้และเจตนาที่ใช้

     เรื่องความวิเศษหรือผู้วิเศษก็อย่างโยคี ฤาษี ดาบส ตลอดจนพระเทวทัต โยมคงรู้จักพระเทวทัต ชาวพุทธไม่มีใครไม่รู้จักพระเทวทัต พระเทวทัตก็เป็นผู้วิเศษเพราะท่านได้ฤทธิ์ ได้อภิญญา เก่งมาก มาแสดงฤทธิ์จนกระทั่งพระเจ้าอชาตศัตรูตอนเป็นพระราชกุมารเชื่อ หลงใหลในพระเทวทัตมากและเป็นลูกศิษย์ จนกระทั่งมาคบคิดกันในการจะชิงราชสมบัติแล้วก็จะครอบครองคณะสงฆ์

     ในประวัติทางโลกก็อย่างรัสปูติน ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียล่มไปเลย รัสปูตินก็เป็นผู้วิเศษมีพลังจิตสูง คือถ้าคนชั่วได้ฤทธิ์แล้ว นำไปใช้ในทางชั่ว อย่างน้อยก็หาลาภสักการะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ถ้าเป็นพระอริยะแล้วถ้าเกิดมีความวิเศษด้วยอย่างพระโมคคัลลานะ ท่านก็เอามาใช้ในทางที่ดีเพื่อการพระศาสนา แต่ท่านที่ใช้ในทางที่ถูกต้องท่านจะไม่ล่อให้ประชาชนหลงใหล เพราะอะไร? เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าพระองค์สรรเสริญแต่อนุศาสนีปาฏิหาริย์

     คนดีและพระอริยะทั้งหลายท่านจะใช้อนุศาสนีปาฏิหาริย์คือสอนให้รู้จริง เพราะเป็นทางที่จะให้ญาติโยมเกิดปัญญา ได้ปัญญาที่เป็นของตัว ไม่ต้องมาพึ่งท่านผู้วิเศษต่อไป โยมจึงต้องแยกให้ถูกระหว่างผู้วิเศษกับพระอริยะ

     ความวิเศษเช่นมีฤทธิ์เป็นต้น ไม่ใช่เครื่องตัดสินความเป็นพระอรหันต์หรือความเป็นอริยะ อย่างที่บอกแล้วผู้มีฤทธิ์มากมายก็เป็นมนุษย์ปุถุชน อย่างพระเทวทัตซึ่งมีกิเลสมากมาย

     นอกจากนั้น ถ้าหากหลงใหลในความวิเศษหรือในฤทธิ์เหล่านี้ ต่อไปก็จะเสื่อมจากฤทธิ์นั้นด้วย เพราะกิเลสนั้นจะเป็นเครื่องบังปัญญา ทำให้เกิดความหลงมัวเมา ในทางตรงกันข้าม พระอริยะก็อาจจะไม่มีฤทธิ์อะไรเลย อยู่ที่การมีกิเลสน้อยเบาบาง มีโลภะ โมหะ โทสะน้อย มีความบริสุทธิ์มีคุณธรรม

     เพราะฉะนั้น พระอริยะ หรือพระอรหันต์ บางท่าน หลายท่าน ท่านไม่มีหรอกเรื่องความวิเศษที่จะให้โยมได้เห็นฤทธิ์อะไร เวลาท่านไปไหนท่านก็ไปธรรมดา ๆ โยมก็ไม่ตื่นเต้น อาจจะเห็นพระอริยะ แม้กระทั่งพระอรหันต์ แล้วไม่ตื่นเต้นอะไรเลย ตรงกันข้ามกับเห็นผู้วิเศษ ดังนั้นจึงต้องแยกกันให้ถูกว่าใครคือผู้วิเศษ ใครคือพระอริยะ ถ้ารู้หลักพระศาสนาแล้วก็แยกได้ ก็จะหมดปัญหา

     ทีนี้ก็ตอบคำถามที่เนื่องกันไปนิดหน่อยว่า ก็แล้วจะรู้ว่าใครเป็นพระอริยะ หรือใครเป็นพระอรหันต์ ใครเป็นผู้ตัดสิน

     ผู้ที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นพระอริยะ ก็ต้องเป็นอริยะเองก่อน พระอรหันต์จึงจะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์คือต้องเป็นคนระดับเดียวกันหรือสูงกว่า อันนี้เป็นหลักทั่วไป เอาแค่หลักทั่วไปก่อน

     อันนี้ต้องระวัง ประชาชนปัจจุบันมีความโน้มเอียงในการที่จะไปเที่ยวตั้งพระองค์โน้นเป็นพระอรหันต์ ตั้งพระองค์นี้เป็นพระอริยะ ระวังเถอะ มันเป็นเรื่องที่จะทำให้เสียหลักพระศาสนา

     แต่เรามีสิทธ์ที่จะพิจารณาด้วยปัญญา เรามีหลักเราก็ดูและตรวจสอบได้ว่า พระองค์นี้มีความประพฤติดีงาม ตั้งอยู่ในหลักพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า น่าเลื่อมใสหรือไม่ เราอาจจะสันนิษฐานอะไรก็อยู่ในใจของเรา แต่อย่าเพิ่งไปวินิจฉัยตัดสิน

 


Create Date : 03 มีนาคม 2567
Last Update : 3 มีนาคม 2567 8:49:16 น. 0 comments
Counter : 24 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space