กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
บุญ
ข้อธัมม์ที่ถาม-เถียงกันบ่อย
หลักปฏิบัติ
สภาวธรรม
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลา ใ ห้ สั ง ค ม ส ม ดุ ล
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
รู้เขา รู้เรา
ปัจฉิมวาจา
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
พลังดันคน
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
สวดมนต์
ความจน เ ป็ น ทุ ก ข์ ใ น โ ล ก
เรียนบาลีเพื่อรักษาพุทธพจน์
ศีล-ธรรมไม่มาโลกาจะพินาศ
หลักธรรมสำหรับผู้ยังไม่นับถือศาสนาใดๆ
ก่อนศึกษาพุทธธรรม
ภาค ๑. มัชเฌนธรรมเทศนา
ภาค ๒. มัชฌิมาปฏิปทา
ภาค ๓. อารยธรรมวิถี
วัฒนธรรมประเพณี
จารึกธรรม
พฤศจิกายน 2564
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
8 พฤศจิกายน 2564
สอบอารมณ์ตัวเอง
ปัจจัยตัวเอกของการศึกษา
อย่าทิ้งหลัก
ทำไมความลังเลสงสัย ถึงถือเป็นกิเลสที่ไม่ดี
ญาณ ๑๖
วิสุทธิ ๗ วิปัสสนาญาณ ๙
สำรวจตัวก่อนปฏิบัติธรรม ๔
สำรวจตัวก่อนปฏิบัติธรรม ๓
สำรวจตัวก่อนปฏิบัติธรรม ๒
สำรวจตัวก่อนปฏิบัติธรรม ๑
???
หลักพุทธธรรมเพื่อการปฏิบัติธรรม
หลักการ/ผลสำเร็จการปฏิบัติธรรมขั้นภาวนา
หลักการทั่วไปของการปฏิบัติธรรม
สอบอารมณ์ตัวเอง
ปัจจัยตัวเอกของการศึกษา
ตัวช่วยในการปฏิบัติ
แรงขับเคลื่อนที่จะเริ่มปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติสำเร็จ วัดด้วยอะไร
เฉยไม่เอาเรื่อง หรือ คือปฏิบัติธรรม
วิธีปฏิบัติต่อความอยาก
จริงหรือที่ว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยาก
ปริยัติจะเอาแค่ไหน อย่างไร
ปฏิบัติโดยไม่มีปริยัติ จริงไหม
ตัวแท้ของปฏิบัติอยู่ที่ไหน
การศึกษา กับ การปฏิบัติ อย่างเดียวกัน
ปฏิบัติธรรม คืออย่าง่ไร
ความเข้าใจพื้นฐาน
สอบอารมณ์ตัวเอง
ปฏิบัติธรรม วัดผลอย่างไร
เมื่อเราได้ทุน และเครื่องประกอบในการเดินทางแล้ว ต่อไปนี้ ก็จะเข้าสู่การ
เดินตามมรรค
ได้บอกแล้วว่า ตัวทางที่เดินก็คือ มรรค มรรคมีองค์ ๘ ประการ อันนี้ทราบกันแล้ว ไม่ต้องบรรยายในรายละเอียด และก็ได้บอกแล้วด้วยว่า การฝึกชีวิตให้ดำเนินตามมรรค หรือการทำตัวให้เดินไปตามมรรคนั้นคือสิกขา หรือการศึกษา ดังได้อธิบายแล้วว่า การศึกษา กับ มรรค สัมพันธ์กันอย่างไร
ทีนี้ต่อไป ก็จะพูดถึงการ
ตรวจสอบ
หรือวัดผล เมื่อกี้นี้
ได้บอกให้ตรวจสอบด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง
โดยดูว่าโลภ โกรธ หลง มีน้อยหรือมาก ได้ลดละให้เบาบางหรือหมดไปหรือยัง แต่นั้นเป็นการตรวจสอบ โดย
พูดเชิงลบ
อย่างรวบรัด
ก
)
ดูกุศลธรรมที่เพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปมีการวัดด้วยคุณธรรมต่างๆ ที่งอกงามขึ้นมาแทนอกุศลธรรม คือจะต้องดูว่า กุศลธรรมเจริญขึ้นมาแทนที่อกุศลแค่ไหน หลักการวัดความเจริญในการเดินตามมรรค หมวดหนึ่งมี ๕ อย่าง
ประการที่ ๑
ดูว่ามีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่เป็นความดีงามมากขึ้นหรือไม่ มีความมั่นใจแม้แต่ใน โพธิสัทธา เชื่อในศักยภาพของตนเองที่จะพัฒนาขึ้นไปหรือไม่ เมื่อมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ก็เรียกว่า มีศรัทธามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เป็นกุศลธรรมที่เจริญเพิ่มขึ้น โดยสรุป คือดูว่ามี
ศรัทธา
มีความเชื่อ
มีความมั่นใจในกุศลธรรมในความดีงามต่างๆ มากขึ้นหรือไม่
ประการที่ ๒
เมื่อปฏิบัติเดินตามมรรคไป มีระเบียบในการดำเนินชีวิตดีขึ้นไหม มีการประพฤติตนอยู่ในสุจริตดีขึ้นไหม อันนี้เป็นส่วนที่แสดงออกภายนอกในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น ต้องเอามาวัดดูด้วยว่า เราดำเนินชีวิตดีขึ้นไหม มั่นคงในสุจริตมากขึ้นไหม มีระเบียบวินัยราบรื่นดีไหม มีความสัมพันธ์กับ
โลก
กับ
มนุษย์
กับ
สังคม
ดีขึ้นไหม เรียกสั้นๆว่า มี
ศีล
ดีขึ้นไหม
ประการที่ ๓
ดูว่าเรามีความรู้จากการที่ได้สดับได้ค้นคว้าอะไรต่างๆ มากขึ้นไหม ได้เรียนรู้มากขึ้น และกว้างขวางเพียงพอไหม ในธรรมที่จะปฏิบัติต่อๆไป หรือในสิ่งที่จะนำมาใช้แก้ปัญหา หรือในการพัฒนาตน ได้ประสบการณ์ต่างๆ มาเป็นข้อมูลของความรู้มากขึ้นหรือไม่ เรียกสั้นๆว่า มี
สุตะ
มากขึ้นไหม
ประการที่ ๔
มีความลดละกิเลสได้มากขึ้นไหม กิเลสต่างๆ โดยเฉพาะความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัวนี่ละได้ มีความเห็นแก่ตัวน้อยลงบ้างไหม มีความเสียสละมากขึ้นไหม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ เห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้นไหม มีจิตใจกว้างขวางโปร่งเบามากขึ้นไหม เรียกสั้นๆว่า มี
จาคะ
มากขึ้นไหม
ประการสุดท้าย
คือ
ปัญญา
ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจในความเจริญของสิ่งทั้งหลาย ตรวจสอบว่า เรามีความเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไหม เรารู้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงมากเพียงใด เรามองเห็นเหตุปัจจัย และความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายชัดเจนดี สามารถนำความรู้มาเชื่อมโยงใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์พัฒนาให้เป็นผลดีหรือไม่ อันนี้ เป็นตัวแกนแท้ที่ต้องการ เป็นตัวคุมทั้งหมด
ตกลงว่า หัวข้อนี้ก็เป็นหลักหนึ่งในการตรวจสอบความเจริญ คือดูว่ามี
ศรัทธา
มากขึ้นไหม มี
ศีล
มากขึ้นไหม มี
สุตะ
มากขึ้นไหม มี
จาคะ
มากขึ้นไหม และ มี
ปัญญา
มากขึ้นหรือไม่
หลักนี้เรียกว่า "
อริยวัฒิ
" แปลว่า ความเจริญของอริยชน ความเจริญแบบอารยะ ได้แก่ หลักวัดความเจริญหรือพัฒนาการของอารยชน
ถ้ามีความเจริญเพียงว่ามีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นอย่างเดียว แต่มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น อย่างนั้นไม่ถือว่ามีความเจริญในการศึกษา หรือในการพัฒนาชีวิตที่แท้จริง หรือมีโทสะมีความเกลียดชังมีกิเลสต่างๆมากขึ้น ก็เช่นเดียวกัน
ข
)
ดูการทำหน้าที่ต่อธรรมต่างๆ
ที่จริงหลักตรวจสอบมีหลายอย่าง หลักอย่างหนึ่งเป็นการดำเนินตามอริยสัจ ๔ กล่าวคือ การปฏิบัติธรรมนั้น ได้แก่ การดำเนินตามหลักการแก้ปัญหาด้วยวิธีการของอริยสัจ ๔ ในการปฏิบัติจึงต้องดูว่า
เราปฏิบัติหน้าที่ต่ออริยสัจ ๔
ถูกต้องหรือไม
อริยสัจ ๔ มีหน้าที่ประจำแต่ละข้อ ถ้าปฏิบัติต่ออริยสัจ ๔ แต่ละข้อผิด ก็ถือว่าเราได้เดินทางผิดแล้ว
อริยสัจข้อที่หนึ่ง
ทุกข์
คือตัวปัญหา เรามีหน้าที่ต่อมันอย่างไร หน้าที่ต่อปัญหา หรือความทุกข์ ก็คือหน้าที่ ที่เรียกว่า
ทำความรู้จัก
ท่านเรียกว่า
กำหนดรู้
รู้จักว่ามันคืออะไร อยู่ตรงไหน มีขอบเขตเพียงใด เราจะแก้ปัญหา เราจะแก้ความทุกข์ เราต้องรู้ว่าทุกข์คืออะไร ปัญหาของเราคืออะไร ขอบเขตของมันอยู่ที่ไหน อะไรเป็นที่ตั้งของปัญหา ถ้าจับไม่ถูกแล้วก็เดินหน้าไปไม่ได้ จับตัวปัญหาให้ได้เสียก่อน แล้วก็เรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับ ปัญหานั้นทั้งหมด
เราไม่มีหน้าที่ที่จะไปสร้างปัญหา เราไม่มีหน้าที่ไปเอาปัญหามาวุ่นวายใจ มาเก็บมากังวลใจมาทำให้เกิดความทุกข์ ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่มีหน้าที่ทุกข์
แต่เรามีหน้าที่รู้จักทุกข์
นี้เป็นประการที่หนึ่ง คือ
รู้จักตัวปัญหา ตามที่เป็นจริง
อริยสัจข้อที่สอง
สมุทัย
คือเหตุของทุกข์ เรามีหน้าที่อย่างไร หน้าที่ที่จะต้องทำต่อสมุทัย ก็คือสืบสาวค้นหามันให้พบ ให้รู้ว่า กระบวนการที่มันเกิดขึ้นเป็นอย่างไร แล้วละมันให้ได้ แก้ไขกระบวนการให้สำเร็จ คือกำจัดสาเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของความทุกข์ ไม่ใช่กำจัดปัญหา ปัญหานั้นเรากำจัดไม่ได้ เราแก้ปัญหาด้วยกำจัดเหตุของมัน
อริยสัจข้อที่สาม
นิโรธ
คือความดับทุกข์ การแก้ปัญหาสำเร็จหรือภาวะปราศจากปัญหาเป็นความมุ่งหมายการแก้ปัญหาสำเร็จคืออะไร จุดหมาย ที่ต้องต้องการคืออะไร เป็นสิ่งที่เป็นไปได้หรือไม่ กระบวนการแก้เป็นอย่างไร เมื่อรู้ว่ามันคืออะไรและเป็นไปได้แล้ว เราก็มีหน้าที่ต่อมัน คือ บรรลุถึง หรือ เข้าถึง แต่การที่จะเข้าถึงมัน คือจะเข้าถึงจุดหมายก็ดี จะกำจัดสาเหตุของปัญหาก็ดี แก้ปัญหาได้ก็ดี จะ
ต้องไปสู่ข้อสุดท้าย คือ มรรค
อริยสัจข้อที่สี่
มรรค
มรรคเป็นทางเดินก็คือ
ข้อปฏิบัติ
ซึ่งเรามีหน้าที่คือ
ลงมือทำ
เป็นข้อสุดท้าย ต้องลงมือทำตั้งแต่บุพนิมิตของมรรค เป็นต้น ไปทีเดียว
ธรรมทั้งหมด จัดเข้าในอริยสัจ ๔ ได้ทั้งสิ้น
- สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ตาม
ที่สัมพันธ์กับมนุษย์
หรือที่มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องประเภทหนึ่งนั้น จัดเข้าในจำพวกที่เรียกว่า
ทุกข์
ซึ่งเป็นปัญหา และ
สิ่งที่ต้องเผชิญ
- สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ประเภทที่สอง จัดเข้าในจำพวกสิ่งที่เป็นโทษ ก่อทุกข์ภัย หรือ
เป็นสาเหตุของปัญหา
- สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ประเภทที่สาม จัดเข้าในจำพวกที่พึงประสงค์ หรือ
เป็นจุดหมาย
และ
- สิ่งทั้งหลายประเภทที่สี่ จัดเข้าในจำพวกสิ่งที่
จะต้องทำ
หรือ
เป็นวิธีปฏิบัติ
และ
เราก็มีหน้าที่ปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง
อย่างที่หนึ่ง
ทำความรู้จัก กำหนดให้ถูก
อย่างที่สอง
กำจัดสาเหตุ
อย่างที่สาม
คือเข้าถึงจุดหมาย และ
อย่างที่สี่
คือลงมือทำ หรือลงมือเดินทาง
หลักการนี้ ก็
ใช้ในการปฏิบัติธรรม
เหมือนกัน คือ ใน
เวลาที่ไปเกี่ยวข้องกับธรรม
ก็ควรจะจัดให้ถูกด้วยว่า ธรรมนั้นอยู่ในประเภทไหนใน ๔ ข้อนี้ เมื่อจัดเข้าถูกต้องแล้ว เราก็จะปฏิบัติถูกหน้าที่
ว่าหน้าที่ต่อข้อนั้น
คือ เราจะต้องทำอะไรอย่างไร
ธรรม ๔ ประเภท
นั้น หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น
มีชื่อเรียกเฉพาะหน้าที่
ที่เราพึงปฏิบัติต่อมัน คือ
๑. สิ่งทั้งหลายที่เป็นทุกข์ เป็นปัญหา เป็นที่ตั้งของปัญหา หรือเป็นจุดเกิดปัญหา เมื่อมนุษย์ปฏิบัติต่อมันไม่ถูกต้อง เรียกว่า
ปริญไญยธรรม
คือ สิ่งที่จะต้องกำหนดรู้ หรือ
ทำความรู้จัก
ตัวอย่าง เช่น
ร่างกาย จิตใจ ชีวิต
โลก ความผันผวน ปรวนแปร วิปโยค โศกเศร้า ผิดหวัง ความรู้สึกสุขหรือทุกข์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด ความจำ ความเปลี่ยนแปลง ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯลฯ (ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ไตรลักษณ์ และธรรมอื่นทำนองนี้)
๒. สิ่งทั้งหลายที่เป็นจำพวกเหตุก่อทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา เรียกว่า
ปหาตัพพธรรม
คือ สิ่งที่จะต้องละเลิก แก้ไข กำจัด
ตัวอย่าง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัว ความถือตัว ความเย่อหยิ่ง ความเกียจคร้าน ความเกลียดชัง ความริษยา ความเบื่อหน่าย ความท้อแท้ ความเฉื่อยชา ความฟุ้งซ่าน ความระแวง ความประมาท ความโง่เขลา ฯลฯ (อกุศลมูล กิเลส ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อวิชชา อุปาทาน สังโยชน์ นิวรณ์ และธรรมอื่นทำนองนี้)
๓. สิ่งทั้งหลายที่พึงประสงค์ เป็นจุดหมายที่ควรทำให้สำเร็จ หรือควรได้ควรถึง เรียกว่า
สัจฉิกาตัพพธรรม
คือ สิ่งที่จะต้องเข้าถึง หรือประจักษ์แจ้ง
ตัวอย่าง เช่น ความสงบ ความร่มเย็น ความบริสุทธิ์ ความปลอดโปร่งโล่งเบา ความผ่องใส ความเบิกบาน ความไร้ทุกข์ ความสุขที่แท้ สุขภาพ ภาวะปลอดพ้นปัญหา ความเป็นอิสระ หรืออิสรภาพ ฯลฯ (วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน และธรรมอื่นทำนองนี้)
๔. สิ่งทั้งหลายที่เป็น
ข้อปฏิบัติ เป็นวิธีกา
ร เป็นสิ่งที่ต้องทำต้องบำเพ็ญเพื่อก้าวไปให้ถึงจุดหมาย เรียกว่า
ภาเวตัพพธรรม
คือ สิ่งที่จะต้องทำให้มีให้เป็นขึ้น ให้เจริญงอกงามเพิ่มพูนขึ้น หรือ
ต้องลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ
ตัวอย่าง เช่น เมตตา ไมตรี หรือมิตรภาพ กรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร ความมีกำลังใจ ฉันทะ ศรัทธา สติ สมาธิ ปัญญา สัมปชัญญะ ฯลฯ (มรรค ไตรสิกขา สมถะ วิปัสสนา และธรรมอื่นทำนองนี้)
รายละเอียดของธรรม ๔ ประเภท หรือการจัดประเภทสิ่งทั้งหลายในโลกมีอย่างไร จะไม่กล่าวในที่นี้ แต่พูดง่ายๆว่า หลักนี้ ท่านให้ใช้ในการตรวจสอบวัดผลสำเร็จในการศึกษาหรือการปฏิบัติธรรมว่า
- สิ่งที่ควรกำหนดรู้ เราได้กำหนดรู้ หรือรู้จักแล้วหรือไม่
- สิ่งที่ควรแก้ไขกำจัด เราได้แก้ไขกำจัดแล้วหรือยัง
- สิ่งที่ควรประจักษ์แจ้ง เราได้ประจักษ์แจ้งแล้วแค่ไหน และ
- สิ่งที่ควรปฏิบัติจัดทำให้เกิดให้มีขึ้นจนบริบูรณ์ เราได้ปฏิบัติจัดทำแล้วเพียงใด
ค
)
ดูสภาพจิตที่เดินถูกระหว่างทาง
ในการปฏิบัติธรรม คือ ดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง หรือฝึกฝนพัฒนาตนไปนั้น ระหว่างการปฏิบัติ พัฒนา หรือศึกษาก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ควรจะ
สังเกตดูสภาพจิตใจของตนไปด้วยว่าเป็นอย่างไร
ในกรณีทั่วไป ถ้าไม่มีเหตุพิเศษ เมื่อปฏิบัติถูกต้องจิตเดินถูกทางก้าวหน้าดี ก็จะเกิดมีสภาพจิตที่ดีงามสอดคล้องกัน ซึ่งเป็นทั้งคุณสมบัติของจิตนั้น และเป็นลักษณะของการปฏิบัติที่ได้ผล
ลักษณะของจิตที่เดินถูกทางนั้น ที่ควรสังเกตมี ๕ อย่าง ซึ่งเป็นปัจจัยส่งทอดต่อกันตามลำดับ คือ
๑. ปราโมทย์
ได้แก่ ความแช่มชื่น ร่าเริง เบิกบานใจ
๒. ปีติ
ได้แก่ ความอิ่มใจ ความปลาบปลื้มใจ ใจฟูขึ้น
๓. ปัสสัทธิ
ได้แก่ ความรู้สึกผ่อนคลายกายใจ ใจเรียบรื่น ระงับลง เย็นสบาย
๔. สุข
ได้แก่ ความสุข ความคล่องใจ โปร่งใจ ไม่มีความติดขัด บีบคั้น
๕. สมาธิ
ได้แก่ ความมีใจตั้งมั่น สงบ อยู่ตัว
อยู่กับงานที่ทำ
หรือ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน
พอสมาธิเกิดขึ้น จิตใจก็มีสภาพเหมาะแก่งาน ที่ท่านเรียกว่า เป็น
กัมมนีย์
พร้อมที่จะเอาไปใช้สร้างสรรค์พัฒนา คิดการ และเป็นที่ทำงานของปัญญาอย่างได้ผลดี และสมาธิก็อาศัยองค์ธรรม ๔ อย่างแรกนั่นแหละช่วยเกื้อหนุนและทำให้เกิดขึ้น
สภาพจิต ๕ อย่างนี้ เป็นทั้งคุณสมบัติที่ดีงามโดยตัวของมันเอง และเป็นเครื่องหมายของความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมจึงควรพยายามทำให้เกิดขึ้น และการทำสภาพจิตเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว
เพียงข้อที่ ๑ มีปราโมทย์ ทำใจให้แช่มชื่นเบิกบานไว้มากๆ เมื่อปราโมทย์นั้นเกิดจากการปฏิบัติที่ถูกต้อง จิตเดินดีแล้ว ท่านให้ความมั่นใจว่าจะลุถึงสันติบรมธรรมที่เป็นจุดหมาย ดังคาถาธรรมบทว่า
ตโต ปาโมชฺชพหุโล ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ
... ลำดับนั้น เธอผู้มากด้วยปราโมทย์ จักทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป
ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ ปสนฺโน พุทฺธสาสเน
อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ สงฺขารูปสมํ สุขํ
ภิกษุผู้เลื่อมใส ในคำสอนของพระพุทธเจ้า มากด้วยปราโมทย์ จะพึงบรรลุสันติบท ที่สงบระงับสังขาร เป็นสุข.
ตัวอย่างสอบอารมณ์ตนเอง
จากการปฏิบัติธรรม
> แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน
ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์
แฟนก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆ
เมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ
เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึง
ลมหายใจที่ชัด
เห็นเค้ารู้สึกว่า
ส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก
เวลาเดิน
จงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน
เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ
กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติเค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน
เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ
กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า
สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้
เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี
ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนาน ก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!
มองแง่หนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ เป็นกัลยาณมิตร มองอีกแง่หนึ่ง การปฏิบัติผลจากการปฏิบัติ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ตัวใครตัวมัน เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว บอกให้ใครเขาก็ฟังไม่เข้าใจ พอประสบเองร้อง อ๋อ เข้าใจล่ะ มันเป็นยังงี้นี่เอง
Create Date : 08 พฤศจิกายน 2564
Last Update : 2 มีนาคม 2567 19:55:04 น.
0 comments
Counter : 287 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com