==>>มนุษย์ถูกสร้างให้มีหูและตาอย่างละสอง แต่มีปากเพียงหนึ่ง เพื่อให้เรา 'มอง' และ 'ฟัง' มากกว่า 'พูด'<<==
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
10 พฤศจิกายน 2559
 
All Blogs
 

[ ทริปสััน ๆ ที่คันไซ ] วันที่ 5 : โอคายาม่า & ฮิเมจิ





วันที่ 13 ตุลาคม 2559



วันนี้เราตื่นตั้งแต่ 8 โมงกว่า ทำอะไรต่าง ๆ นานาแบบไม่รีบเพราะจะไปแค่ 2 ที่คือเช้า>>โอคายาม่า และบ่าย>>ฮิเมจิ เย็น ๆ ไปกินซูชิที่อูเมดะและช้อปอีกนิดหน่อย

นั่งรถไปลงที่เทนโนจิเหมือนเดิม แล้วนั่งอีกขบวนต่อไปยังชิน-โอซาก้า เราจำไม่ได้ว่านั่งฮารุกะหรือเปล่า 5555 นานแล้วอ่ะ แต่จำได้ว่านั่งยาวไปถึงชินโอซาก้าเลย ซึ่งจะมี 2 ขบวนคือฮารุกะกับอีกขบวนที่มาจากวากายาม่า

ถึงชินโอซาก้าอันคุ้นเคย (เพราะเมื่อต้นปีมาพักแถวนี้) คนยังเยอะเหมือนเดิม แม้จะ 10 โมงแล้วก็ตาม 

เราแวะซื้อมื้อเช้าที่ 7/11 กันก่อน เอาไปกินบนรถไฟ


 

 ทั้งหมดนี้สำหรับ 2 คนราคา 758Y ประมาณ 258 บาท


เช้ามาก็มีเรื่องให้เดินเหนื่อยเลย เพราะเราไปยืนรอขึ้นตู้ผิดคือดันไปยืนตรงตู้จอง (ตู้ไม่จองจะอยู่ขบวนต้น) ตอนนั้นก็งง ๆ ว่าตู้ 1 อยู่ตรงไหน ตอนแรกไปถูกแล้ว แต่จู่ ๆ ก็เกิดลังเลและคิดว่าคงไม่ใช่ เลยเดินไปอีกทาง สรุปเดินบนรถไฟตั้งแต่ตู้ที่ 16 มาที่ตู้ 1 เลยจ้าาา 555 เอาน่า ๆ ถือว่าเดินสำรวจขบวนแล้วกัน ผ่านตู้นึง เป็นเก้าอี้แบบ 2 2 กว้างมาก น่าจะนั่งสบายและตู้ก็โล่งมากด้วย เดินไปถึงตู้ไม่จองที่นั่งใกล้เต็มละ ต้องกระจาย ๆ กันนั่ง แต่โชคดีที่มีตัวว่างแบบคู่ เรากับน้องเลยได้นั่งด้วยกัน ส่วนเพื่อนนั่งตรงข้าม คราวนี้ได้นั่งโนโซมิด้วย มี JR Pass ใบใหญ่นั่งไม่ได้นะ อิอิ 


กินไป นั่งเล่นเนตไป แปบเดียวถึงที่หมายละ น้องบอกอะไรถึงเร็วจัง ยังไม่ทันนอนเลย 555 ระยะทาง 180 กม. กับเวลาแค่ 44 นาที เริศมากกก


ออกจากสถานี เราก็ข้ามไปขึ้นรถรางที่เกาะกลาง ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานี ราคา 100Y จริง ๆ จะเดินก็ได้ แต่เราขี้เกียจ และค่ารถก็ไม่ได้แพงมาก นั่งไปแล้วกัน


 

รถรางที่เห็น รู้สึกจะมี 2 แบบคือสีขาวกับอีกแบบเป็นสีดำ หน้าตาเหมือนรถโบราณ ๆ หน่อย อยากขึ้นไปนั่งเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าไปไหน ส่วนคันที่จะไปปราสาทโอคายาม่านั่งไป 3 ป้าย ลงก่อนที่รถรางจะเลี้ยวขวา

จากนั้นเราก็เดินลอดทางแยกเพื่อไปโผล่อีกฝั่ง


 

ถ่ายกับฝาท่อซะหน่อย


 




จากจุดลงรถรางก็เดินตรงมาเรื่อย ๆ จะเจอสวนสาธารณะและแม่น้ำ เดินเลียบแม่น้ำไปทางขวามือ ก็จะเจอปราสาท (ภาพแม่น้ำอันนี้อยู่ทางซ้ายมือ)



 


ระหว่างทางแวะซื้อไอติมหน่อย ราคา 220Y

 


เป็นครัวซองค์ใส่ไอศกรีม มี 2 รส ช็อกโกแลตกับวานิลา


 


เดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ก็ถึงปราสาท

 





 




 




 




 


คนน้อยมาก ไม่รู้เป็นเพราะวันธรรมดาหรือปกติไม่มีคนก็ไม่รู้ แต่ที่นี่มีนักท่องเที่ยวน้อยนะเท่าที่เห็น

เราไม่ได้เข้าไปข้างใน เพราะถามสมาชิกแล้ว เขาว่าเฉย ๆ โอเค งั้นก็เก็บบรรยากาศข้างนอกแล้วกัน 

กว่าจะออกจากปราสาทก็บ่ายละ อยากแวะไปชมสวนเหมือนกันแต่ดูเหมือนเวลาจะไม่ได้แล้ว ก็เลยกลับ



 

ร้านหนังสือในห้างตรงสถานีรถไฟ


 




 




ขึ้นชินกันเซ็นไปฮิเมจิ  


ตอนที่ออกจากชินกันเซ็น บัตร kansai wide ที่ถือจะสอดเข้าเครื่องไม่ได้ (เครื่องบอก Sorry ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่แล้วคืนบัตรมา บานประตูไม่เปิด) ให้โชว์พาสกับเจ้าหน้าที่ดู แต่ถ้าเป็นรถ JR สอดบัตรได้ตามปกติ





นั่งไปอีกแปบก็ถึงฮิเมจิแล้ว เห็นปราสาทสีขาวเด่นมาแต่ไกลเลย (ภาพนี้ถ่ายบนสถานี) 




 เหมือนเกี่้ยวสำหรับพิธีอะไรสักอย่าง




 ผังปราสาทจำลอง ใหญ่มาก นี่จำลองแล้วนะ




 

 

ถ่ายกับฝาท่ออีกแล้ว สวยดีนะ


 

เดินตรงไป ยาวไป จากสถานี ใช้เวลาพอสมควรก็ถึงปราสาท 4 โมงพอดี



 




 

ปราสาทสวยมาก ใหญ่มาก พื้นที่กว้างมาก


 




 


อากาศที่ฮิเมจิค่อนข้างขมุกขมัวและเย็นพอสมควร พอสัก 5 โมง ๆ เราก็ออกจากปราสาท เริ่มมืดแล้วล่ะ อากาศก็เย็นและหนาวด้วย ลมพัดมาทีมีสะท้าน ตอนนั้นก็หิวแล้ว เพิ่งมานึกออกว่ายังไม่ได้กินข้าว 5555 แต่โชคดีที่มีแซนวิชอยู่ในกระเป๋า ส่วนเพื่อนมีขนมแป้งที่ซื้อจากเกียวโต เราเลยนั่งกินกันก่อน ถือเป็นการรองท้อง เพราะเดี๋ยวเราจะแวะไปกินซูชิหน้าล้นกัน  นั่งกินไปก็สั่นไป เพราะอากาศเย็น

กินเรียบร้อยก็เดินกลับไปที่สถานี ร้านค้าเริ่มปิดกันละ เพิ่งจะ 5 โมงกว่า ๆ เอง รู้สึกว่าร้านค้า ร้านข้าวแถว ๆ สถานที่ท่องเที่ยว จะปิดตามเวลาของสถานที่นั้น ๆ คือเปิดมาเพื่อขายนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเลย


คราวนี้เราไม่ได้นั่งชินกันเซ็นกลับ เพราะต้องต่อรถจากชินโอซาก้าไปโอซาก้าอีก เลยนั่ง JR ไปลงที่โอซาก้าทีเดียว เวลาช้ากว่ากันนิดหน่อย ประมาณ 10 นาที ไม่เป็นไร ดีกว่าไปเดินเปลี่ยนขบวน

ประมาณ 6 โมงครึ่ง เราก็มาถึงโอซาก้า โอ้โห สถานีใหญ่มาก เป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี คนมหาศาลล้านแปด และสิ่งที่เรากลัวก็เกิด ... หลง ไปไม่ถูกจ้าาาาา 5555 นี่ขนาดว่าไปเดินในกูเกิ้ลมาแล้วนะ ปริ้นตำแหน่ง ปริ้มภาพมาแล้วด้วย แต่ก็หาไม่เจอ สุดท้ายเลยต้องถามประชาสัมพันธ์ เอาภาพที่ปริ้นมาให้เขาดูแล้วบอกว่าเราจะไปตรงนี้ เขาเลยบอกทางมา พอออกจากตัวตึกและเดินไปสักพัก (ใช้กูเกิ้ลแมพนำทางด้วย) ก็ถึงจุดที่เราเคยเจอในกูเกิ้ล โอเค คราวนี้เดินสะดวกละ ใช้เวลาพอสมควรก็ถือร้านซูชิหน้าล้น Uoshin Sushi



 

 


 




 

 




 




 




สั่งมา 6 จาน ทั้งหมด 4,320Y หารแล้วตกคนละ 1,440Y


กินเรียบร้อย จริง ๆ ก็ไม่ค่อยอิ่มหรอก แต่รู้สึกกินไม่ลงแล้ว คือตอนนั้นที่ญีปุ่นเวลา 1 ทุ่มกว่าเกือบ 2 ทุ่ม ที่เมืองไทยก็เกือบ 6 โมง เริ่มมีข่าวลือไม่ดีออกมาเป็นระยะ เพื่อนก็คอยเช็กข่าวตลอด ทำให้มีความรู้สึกไม่อยากกิน อยากกินให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้ไปซื้อของต่อ และกลับที่พัก


ก่อนที่จะออกจากร้าน จำได้ว่าเพื่อนเอาข่าวจากเว็บต่างประเทศให้ดู ลงข่าวของในหลวง ร.9 ตอนนั้นคือเขาให้รอประกาศจากสำนักพระราชวังใช่ป่าว แล้วอีสำนักข่าวต่างประเทศนี่ก็ลงพาดหัวตัวใหญ่เลย ตอนนั้นแบบโมโหมาก เชรี่ยมาก แต่อีกใจก็กลัวละ ทำไมมันหนาหูจัง เชือว่าคนที่อยู่เมืองไทยคงรู้แต่ไม่อยากรับยอม เราเองก็เป็น 


วันนั้นเราแวะไปช้อปของเพิ่มที่ดองกิสาขาโอซาก้า ห่างจากร้านซูชิไม่เท่าไหร่ คือเดินย้อนกลับไปทางที่มา แต่ของที่สาขานี้แพงมาก ได้มานิดหน่อยเอง (เกือบ ๆ หมื่นเยน) ระหว่างที่เลือก ก็คอยเช็กข่าวเป็นระยะ จนถึง 3 ทุ่มกว่า ข่าวร้ายก็เกิดจนได้ เห็นจากสเตตัสจากเพื่อนก่อนพร้อมโปรไฟล์ที่เปลี่ยนเป็นสีดำ Smiley  ตอนนั้นแบบ ค่อนข้างช็อกนะ จริงเหรอ ใช่เหรอ เป็นไปได้เหรอ เร็วไปไหม เพิ่งมีข่าวเมื่อวันอังคาร นี่วันพฤหัสเองนะ มันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมล่ะ งง ๆ ไปหมด รู้สึกตื้อ ๆ อธิบายไม่ถูก เพื่อนไปยืนร้องไห้อยู่หน้าร้านดองกิแล้ว เรากับน้องก็เลือกของอยู่ด้านใน พอเห็นข่าวก็ ไม่เลือกละ กลับดีกว่า แพง ๆ ไม่ซื้อ ๆ กลับ ๆ หมดอารมณ์ 

ระหว่างที่รอน้องสาวต่อแถวจ่ายเงิน ก็หายใจแรงเป็นพัก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ไว้ ก็ถามน้องว่า พรุ่งนี้จะเอาไง น้องบอกไม่รู้เหมือนกัน เลยถามไปว่า อยากจะเที่ยวอีกเหรอ น้องก็ถอนใจแล้วบอกต้องถามพี่อีกคนก่อน เราก็หัวเราะเก้อ ๆ แล้วบอกว่า ไปร้องไห้อยู่หน้าร้านแล้ว....แล้วทุกอย่างก็นิ่ง ... นิ่ง...นิ่ง เรามองหน้าน้องสาวแล้วก็หันไปทางอื่น น้องก็หันไปอีกทาง น้ำตาค่อย ๆ ไหล แต่ก็พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้ ไม่มีใครพูดอะไรกัน จนจ่ายเงินเสร็จ ออกมาเจอเพื่อนที่หน้าร้าน ยิ้มให้กันแล้วก็เดินกลับ


แต่ก่อนกลับ เรายังมีภารกิจอีกอย่าง คือการตามหากาชาปองที่มีแหล่งใหญ่อยู่ในห้างแถวอูเมดะ แต่กว่าจะหาเจอก็ 4 ทุ่ม ห้างปิดพอดี โอยยย ไม่มีอะไรได้อย่างใจสักอย่าง กลับกันดีกว่า 


ตอนนั่งรถ เราถามเพื่อนว่า พรุ่งนี้จะเอาไง จะไปดูแมวอีกไหม เพื่อนบอกก็ไปตามแผนนั่นแหละ แต่ก็ไม่ต้องลงรูป หรืออะไรที่มันรื่นเริง โอเค ๆ ทุกอย่างเหมือนเดิม ตอนคุยกัน ไม่มีใครร้องไห้ แต่ถ้าหยุดคุยเมื่อไหร่ ต่างคนต่างเงียบ เมื่อนั้น เสียงสะอื้นและน้ำตาจะมาทันที เพราะเรารู้ว่าถ้าใครคนหนึ่งร้อง อีกคนก็ต้องร้องตาม เราเลยต้องเก็บอารมณ์ไว้ 


ก่อนกลับเข้าห้อง เราซื้อนมกับขนมไปกินสำหรับพรุ่งนี้ด้วย และซื้อไอติมแท่งมากินแก้เซ็ง ไม่ได้ถ่ายยรูป ไม่มีอารมณ์ใด ๆ เลย หมดไป 1,402Y สำหรับ 2 คน


คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราพักที่นี่ เลยต้องเก็บของเก็บห้องให้เรียบร้อย ของเยอะมาก โชดคีที่ตอนมา มาแบบหลวม ๆ แต่ตอนกลับนี่ แน่นมาก เอากระเป๋าเปล่ามาเพิ่มอีกใบก็ยังไม่พอ

พอเสร็จภารกิก็ถึงเวลาปิดไฟ แต่ไม่มีใครนอนหรอก ห้องมืดแล้วแต่ยังมีแสงไฟจากจอมือถืออยู่และเสียงสะอื้นที่ดังมาเป็นพัก ๆ ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเหมือนเคย ฟีดข่าวเต็มหน้าเฟส น้ำตากลบตาไปหมด พร้อมคำถามซ้ำ ๆ ว่า จริงเหรอ มันเกิดขึ้นจริง ๆ เหรอ แล้วเราจะยังไงต่อ จะเอายังไงต่อ จะเป็นยังไงต่อ จนถึงตี 5 โน่นแหละ กว่าจะได้นอนก่อน 


เป็นวันที่เศร้าและเงียบมาก Smiley Smiley




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2559
0 comments
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2559 10:51:43 น.
Counter : 1403 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


latics1
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]











ผลงานเป็นรูปเล่ม


บ้านของหัวใจ
(โพรเจกต์หอมลมหวน)
ปาลินี พิมพ์คำสำนักพิมพ์
v
v



คือแสงแห่งใจ
ปาลินี สนพ.อรุณ
v
v



กลลวงบ่วงหัวใจ
รีชณัีฐ สนพ.ธราธร
v
v



แทนใจด้วยรัก
ปาลินี สนพ.อรุณ
v
v



จัดหัวใจให้ลงรัก
ปาลินี สนพ. อรุณ
v
v



ในดวงตามีความรัก
รีชณัฐ สนพ. กรีนมายด์
v
v



เมื่อหัวใจได้เจอรัก
รีชณัฐ สนพ. กรีนมายด์
v
v



ซ่อนรักลวงใจ
รีชณัฐ สนพ.โซฟา
v
v



สองหัวใจแห่งรัก
รีชณัฐ สนพ.ชูการ์เรน
v
v


Friends' blogs
[Add latics1's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.