[ญี่ปุ่น 11 วัน หิมะ&ซากุระ] วันที่ 6 เที่ยววัดอาซะกุสะ&ไปนอนทากายาม่า
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2559
เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่ 6 โมงกว่าค่ะ เพื่อนที่ตามมาที่หลัง 3 คนตื่นกันก่อน เพราะเขาต้องไปแลก JR Pass ก็ให้เขาไปกันก่อน ส่วนเรากับเพื่อนอีกคนก็ล้างหน้าแปรงฟัน ก็ทิ้งช่วงประมาณ 15 นาทีค่ะ นัดแนะกันแถวๆ ทางเข้าสถานีรถไฟ เช็กรอบมาแล้วเรียบร้อย ระหว่างนั้นโฮสก็ยังไม่ตอบมา คิดว่าคงเร็วเกินไป ก็ไม่เป็นไร เรามีเวลาถึง 9 โมง
เมื่อครบทีมเรียบร้อย ก็เดินไปรอ JR เพื่อออกจากสนามบิน ตอนนั้นก็ประมาณ 7 โมงกว่า รอบรถไฟเข้าโตเกียวคือ 7.25 นั่งยาว 80 นาที
ระหว่างนั้นโฮสก็ติดต่อกลับมา บอกรหัสเข้าห้องและบอกให้แอดไลน์ไว้ เราก็ให้เพื่อนแอดไปเพราะเขาเก่งภาษาที่สุดในกลุ่มแล้ว พอถึงโตเกียว เราก็ไปจองชินกันเซ็นเพื่อเดินทางไปทากายาม่าก่อน ก็วุ่นวายอยู่ที่สถานีโตเกียวอยู่นานเลยค่ะ จากนั้นก็เดินทางไปที่บ้านพัก ลงสถานี Oku แล้วเดินไปอีกนิดหน่อยก็ถึง
อ่านรีวิวที่พักโตเกียวได้ที่ [CR] รีวิวที่พัก Airbnb โตเกียว ใกล้สถานีรถไฟ (JR) ราคาไม่ถึงพันต่อคืน เหมาะสำหรับ 5-8 คน
แต่ตอนที่ถึงสถานี Oku ก็มีเรื่องระทึกเล็กๆ เมื่อจู่ๆ โฮสส่งข้อความมาบอกว่า คุณจะเข้าพักคืนวันเสาร์ไม่ใช่หรือ เฮ้ย! ไม่นะ เมื่อคืนเราบอกว่า วันนี้เวลา 9 am. นะ เอ๊ะ หรือว่าจะเข้าใจผิด พิมพ์เป็น 9 pm. หรือเปล่า นั่งไถข้อความและแคปหน้าส่งให้เพื่อน คุยไปคุยมา เขาบอกว่าเข้าใจผิด โอยยย โล่งใจ แล้วเขาก็ถามว่าเราไปถูกเหรอ เขาไม่ว่างนะ ทำงานอยู่ เพื่อนเลยบอก ไม่ต้องห่วง ไปได้ กูเกิ้ลรู้ทุกอย่าง 5555 ตอนนั้นก็ถ่ายรูปพาสปอร์ท และสมาชิกผู้ร่วมเดินทางให้เขาเห็น และส่งภาพกระเป๋าให้เขาดูด้วยว่า มีแต่ใบใหญ่ๆ ทั้งนั้น เราแบกไปทากายาม่าไม่ไหว 5555
พอเดินไปถึงชั้น 3 เรียบร้อยแล้ว เพื่อนก็ส่งข้อความไปบอกว่าถึงที่พักเรียบร้อยแล้วนะ เขาก็หัวเราะ 5555 มาเลย (สงสัยคนไทยไปพักบ่อย) แล้วบอกว่าขอโทษที่ไม่มีลิฟต์ เรากับเพื่อนเลยทำมือแบบสตรอง แล้วให้เพื่อนบอกเขาไปว่า พวกเราสตรองงงงงง พอเปิดประตูก็เอากระเป๋ายัดๆ เข้าไป เพราะตอนนั้น 10 โมงกว่าแล้ว เดี๋ยวจะเที่ยวได้ไม่เยอะ ระหว่างทางก็แวะมินิมาร์ทซื้อของกินกันก่อน
หน้ามาร์ทแถวที่พัก 10.30 แล้ว อากาศเย็นๆ ฟ้ามัวๆ
ได้ของกินเรียบร้อย เราก็เดินทางไปยังสถานี Ueno ค่ะ ห่างจากที่นี่ไป 1 สถานี
พอถึง Ueno แล้วก็ต้องเดินออกจาก JR เพื่อไปต่อสายเมโทร ตอนนั้นฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เราก็มองๆ ไปรอบๆ สถานีเพราะเห็นว่าใหญ่ดี พอดีกับที่คนญุี่ปุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าเราจะไปไหน คงเห็นเราเดินๆ มองๆ เอ๋อๆ มั้ง เราก็บอกว่า เราจะไปอาซากุสะ เขาก็แนะนำเลย เป็นภาษาอังกฤษนะคะ คนมีอายุแล้ว น่าจะ 50-60 ปี เขาก็บอกว่าตรงนี้เรียกว่า JR ถ้าจะไปอาซากุสะต้องไปใต้ดิน ต้องนั่งสายกินซ่า แล้วชี้ไปทางลง เราก็พยักหน้า ขอบคุณๆ ตอนแรกคิดว่าเขาแค่บอกทาง ไปๆ มาๆ เขาก็โบกมือประมาณว่า ตามมาๆ แล้วเดินนำพวกเราไป คุณลุงเดินเร็วมาก เรากับเพื่อนเดินตามแทบไม่ทันเลย ระหว่างที่เดินเขาก็แนะนำเกี่ยวกับรถไฟใต้ดินด้วย ทางนั้น ทางนี้อะไรนี่แหละ เราก็ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง แล้วก็รีบเดินตามเขาไป พอถึงรถไฟใต้ดินแล้ว ก็เหมือนเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งเลย ใหญ่มาก นี่อยู่ใต้ดินจริงเหรอ มีห้างด้วย มีการจัดงานด้วย นี่ถ้าเดินหาเอง คงต้องแวะดูรายทางอีกอ่ะ 5555
พอถึงใต้ดินแล้ว คุณลุงก็พาไปที่ตู้ขายตั๋ว บอกวิธีการดูเส้นทางรถไฟใต้ดิน ดูราคาอะไรด้วย แต่เราไม่เข้าใจอ่ะ คุณลุงช่วยซื้อตั๋วให้เรา เรื่องเหรียญต่างๆ เราก็ยังงงๆ อยู่ เลยยื่นกระเป๋าใส่เหรียญให้ลุง เขาก็เทๆ แล้วก็หยอดใส่ตู้ ขั้นแรกก็กดจำนวนเงินที่เราต้องจ่าย คือ 170Y จากนั้นก็เลือกจำนวนคน มีแบบ 1 , 2 , 3 และมี ผู้ใหญ่ 1 เด็ก 1 ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 1 อะไรพวกนั้นด้วย กลุ่มเรากด 2 ครั้ง คือ 3 คน กับ 2 คน พอกดแล้ว ระบบก็จะบอกยอดเงินมา เราก็ใส่เงินลงไป รอประมาณ 3-5 วิ ตั๋วและเงินทอนก็จะออกมา
พอได้ตั๋วแล้ว ลุงก็เอามาแจกพวกเรา แล้วก็บอกวิธีการใส่ตั๋วเข้าเครื่องด้วย พอผ่านไปได้คนหนึ่งแล้ว เราก็คิดว่าลุงจะไป แต่ไม่ค่ะ ลุงรอให้พวกเราทั้ง 5 เข้าไปด้านในก่อน ถึงจะเดินจากไป นี่ถ้าเข้าไปส่งด้านในได้ ลุงคงทำแล้ว พวกเราซึ้งใจลุงมาก ขอบคุณคุณลุงมากนะคะ ระหว่างที่เดินไป เรากับเพื่อนก็เดาๆ กันว่า ลุงต้องเคยทำงานเกี่ยวกับรถไฟแน่ๆ ถึงได้แนะนำดีขนาดนี้ และคงต้องเก่งภาษาด้วย ตำแหน่งหน้าที่คงใหญ่น่าดู อย่างที่รู้ คนญี่ปุ่น เขาพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ลุงพูดเก่งอ่ะ และถ้าไม่ได้ลุง ป่านนี้เราคงเดินหลงอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินแน่ๆ เลย
เมื่อถีงสถานีอาซากุสะแล้ว เราก็เดินไปตามป้ายที่บอกว่าไปวัด พร้อมกันนั้นก็เปิดกูเกิ้ลแมพไปด้วย มีเนตแล้วต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็เดินไปเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของ มีฝนโปรยลงมาเรื่อยๆ เดี๋ยวเบา เดี๋ยวหนักสลับกันไป กว่าจะถึงวัดก็เกือบเที่ยงแล้ว
เราใช้เวลาอยู่ที่วัดราวๆ 1 ชั่วโมงก็เดินทางกลับ เพราะสมาชิกเริ่มหิวแล้ว แต่เพื่อนก็ซื้อของกินเล่นรองท้องไปก่อน (ร้านแถวๆ หน้าวัด) ระหว่างที่เดินกลับทางเดิม เราก็เห็นร้านขายข้าวเยอะแยะ กะว่าจะแวะสักร้าน แต่...เขาไม่ให้เข้า เรากับเพื่อนก็งง ทำไมล่ะ เต็มเหรอ มีคนจองโต๊ะไว้แล้วเหรอ ถ้าเต็มแล้วมายืนเรียกคนทำไม คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง พนักงานเขาก็ยิ้มๆ เก้อๆ แล้วก็พูดว่า เบียร์ๆๆ อะไรสักอย่าง เรากับเพื่อนเลยร้อง อ๋อ เป็นร้านให้นั่งดื่มนี่เอง และแถวนั้นก็เป็นร้านนั่งดื่มหมดเลย อดกิน
เรากับเพื่อนเลยตกลงกันว่าจะไปกินแถวๆ สถานี JR Okachimachi ไปทำอะไรที่นั่น เพื่อนจะไปซื้อรองเท้า Outlet เคยอ่านรีวิว เขาแนะนำที่นี่ เห็นว่าอยู่ใกล้ JR ก็เลยไปกัน
ก่อนจะไปก็แวะสถานี Ueno กันก่อน เพราะเล็งสตรอเบอร์รี่ไว้แล้ว จริงๆ ต้องไปต่อสายที่นั่นด้วย
จากนั้นก็เดินทางไปที่ สถานี JR Okachimachi
พิกัดร้าน ร้านรองเท้าธรรมดา ที่ราคาถูกเหมือน Outlet ที่ Tokyo Kutsu Ryutsu Center
และเราก็ได้กินข้าวที่นี่ ร้านอยู่ตรงข้ามทางออกฝั่งใต้ของสถานี
ราคาถูกนะ 600 กว่าเยนมั้งชุดนี้ อร่อยด้วย
กินเสร็จก็ได้เวลาเดินต่อ และเหมือนเดิม เอาพิกัดร้านใส่ลงในกูเกิ้ลแมพ แต่หาไม่เจอนะคะ 555555 เดินตามไปแล้ว ไม่เจอร้าน ก็เลยเดินหาเอง สรุปแล้วมันบอกทางเป็นคนละฝั่งกัน
ตอนนั้นฝนก็เริ่มตกหนักละ โชคดีเรามีร่ม เพราะซื้อตอนที่อยู่ในอาซากุสะ เป็นร่มใสๆ ที่คนญี่ปุ่นชอบใช้ ราคาแพงนะเกือบ 200 บาทเลย
ถ่ายจากหน้าร้านรองเท้า อากาศเย็นมาก
เราเดินเที่ยวที่นั่นถึง 4 โมงกว่าก็กลับ เพราะไม่อยากถึงสถานีโตเกียวแบบเร่งรีบเกิน พอถึงโตเกียวก็แวะซื้อข้าวเย็นไปกินบนรถไฟด้วยเลยเพราะต้องนั่งชินกันเซ็นยาวกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นก็ต้องไปต่อ JR อีก 2 ต่ออีก ตรงสถานี Inotani มีเวลาต่อรถแค่ 2 นาที ใครจะไปรอบนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะตกรถไฟนะคะ เพราะสถานีนี้เป็นทั้งสุดสายและต้นสาย คือลงจากขบวนนี้แล้วเดินไปขึ้นอีกขบวนเลย ระยะห่างประมาณ 50 ม. ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอ เพราะมีอยู่ขบวนเดียวที่จอดรออยู่
ระหว่างที่นั่งชินกันเซ็นก็เอาเบนโตะขึ้นมากิน ชอบเต้าหู้ห่อข้าว อร่อยดี กล่องนี้กินคนเดียวไม่แบ่งใคร
จากนั้นก็กินผลไม้ตามเข้าไป อร่อยมาก หอม หวาน เปรี้ยวนิดๆ ละลายในปากแต่ไม่เละนะ หลังจากอิ่มแล้วก็ได้เวลา...
นอน...
ลากกระเป๋า ต่อขบวนโน่นนี่ จนที่สุด เราก็มาถึงสถานีทากายาม่าค่ะ เราพักที่ Country Hotel Takayama หาง่ายมาก อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ มองหาร้านแฟมิลี่มาร์ทไว้ ถ้าเจอร้านนี้ก็เจอโรงแรมค่ะ เพราะโรงแรมอยู่ชั้น 2 ของร้าน ด้านข้างของร้านจะมีบันไดขึ้นนะคะ แต่ถ้าใครมีกระเป๋าหนักก็ขึ้นลิฟต์ก็ได้ เดินเข้าซอยตรงนั้นแหละค่ะ จะเห็นด้านหน้าของโรงแรม แต่เราเลือกเดินขึ้นไป เพราะมีกระเป๋าใบเล็กๆ คนละใบเอง
พอไปถึงก็ยื่นเลข PIN การจองให้เขา แล้วเขาก็จะเอาเอกสารที่พริ้นออกมาให้เราดูว่าใช่หรือเปล่า ก็โอเค เขียนชื่อ เลือกห้องว่าใครจะพักห้องไหน เราจองไป 3 ห้อง นอนคู่ 2 ห้อง นอนเดี่ยว 1 ห้อง แต่ค่าห้องหารกันนะคะ เพราะคนนอนเดี่ยวต้องจ่ายแพงกว่า เลยหยวนๆ ไปว่าหารเท่ากันให้หมด ตกคนละ 4,040Y (ประมาณ 1,292 บาท ใช้เรท 32 บาท เพราะเพื่อนรูดบัตรเครดิต)
เรานอนคนเดียว เพราะเพื่อนแต่ละคนไม่มีใครยอมนอน 55555 แต่เรานอนได้ ไม่เป็นไร ชอบนอนคนเดียว ห้องเดี่ยวเตียงกว้างเลยค่ะ ถ้าแบบผู้ใหญ่นอนกับเด็กสัก 3-4 ขวบก็โอเคเลย แต่ห้องน้ำเล็กมาก เราสระผมไป แขนก็กระแทกผนังไป ไม่รู้ข้างห้องจะตกใจป่าาว 5555 เสียงดังโป้งป้างๆ ตอนเที่ยงคืนกว่า
ส่วนห้องคู่ เป็นเตียงแฝด ก็นอนได้ค่ะ ไม่อึดอัดแต่ห้องค่อนข้างเล็ก คือถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่เนี่ย กางออกไม่ได้นะคะ เต็มพื้นที่แน่นอน
พอได้ห้องแล้ว ก่อนนอนก็ต้องมีการสังสรรกันหน่อย
ในห้องพักมีครบค่ะ ทีวี ตู้เย็น เครื่องต้มน้ำ ในห้องน้ำก็มีอุปกรณ์ครบ แปรงสีฟัน ยาสีฟันยังมีให้เลย เทียบกับราคาพันต้นๆ ถือว่าโอเคมาก
มาม่าถ้วยนี้ราคา 60 กว่าบาทเลยนะคะ
กุ้งตัวโตมาก เหมือนในรูปเลย
อากาศหนาวก็ต้องกินไอติม
ลองของใหม่ เขาว่ามีเฉพาะที่ญี่ปุ่น อร่อยดีค่ะ
จำหนุ่มสาเกที่มาช่วยเราซื้อบัตรโดเรมอนได้มั้ยคะ เพื่อนซื้ออันนี้มากินแล้วกรี๊ดใหญ่ บอกว่ากลิ่นเหมือนหนุ่มคนนั้นเลย แอร๊กกกก เพื่อนเพ้อมาก 555555 กินแล้ว หอมๆ หวานๆ ดีค่ะ เหมือนหมากฝรั่งตรานกแก้วที่เคยกินตอนเด็กๆ
อิ่มแล้วก็ได้เวลากลับห้อง อาบน้ำ สระผม (นี่หมกตั้งแต่วันไปนะ ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว ยังไม่ได้สระผมเลย) กว่าจะเป่าผมให้แห้ง ก็ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ไม่ได้เปิดแอร์ เปิดฮีทเตอร์ด้วย ฮีทเตอร์เปิดตรงไหน หาไม่เจอ ไม่เปิดแล้วกัน แต่ถ้าไม่เปิดอะไรเลย ห้องไม่มีอากาศถ่ายเทแน่ เลยเปิดหน้าต่างแบบแง้มๆ พอให้ลมเข้าแล้วรีบมุดเข้าผ้าห่ม หลับสบายเลยทีเดียว
พรุ่งนี้ลุยกันต่อ จะได้สัมผัสหิมะแล้ววววว
Create Date : 11 มีนาคม 2559 |
Last Update : 29 มิถุนายน 2559 15:05:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 887 Pageviews. |
|
|