ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-เปี๋ยกคนขับรถยนต์
วงจรชีวิตมนุษย์เงินเดือนมักจะซ้ำ ๆ ซาก ๆ ถ้าทำเป็นประจำก็จะเกิดอาการเบื่อหน่าย หรือกลายเป็นมนุษย์เครื่องจักรกล ดังนั้น หน่วยงานต่าง ๆ จึงต้องหาเครื่องมือมากระตุ้น เช่น เป้าเงินฝาก เป้าสินเชื่อ เป้าประกันภัย เป็นต้น แต่ยากระตุ้นประเภทนี้มักจะเป็นยาฉีดใส่เฉพาะคน ไม่ค่อยมีผลต่อการทำงานเป็นทีมงานมากนัก
ดังนั้น จะเห็นว่าทั้งเมืองนอกหรือเมืองไทย แต่ละปีมักจะพยายามจะหายากระตุ้น เพื่อทำให้องค์การมีการตื่นตัวหรือเรียกว่าเขย่ากัน ปลุกเร้าให้คนงานในองค์การมีการตื่นตัวมีความคึกคักมากขึ้น เช่น กิจกรรมคุณภาพงาน QC Reengineering KPi BSC Lean เป็นต้น หน่วยราชการไทย/รัฐวิสาหกิจบางแห่งก็เลียนแบบมาใช้บ้าง จะได้รับเงิน/รับงบประมาณหมวดพัฒนาบุคลากร ตามที่เสนอของบประมาณหรือโครงการ เรียกว่า ใช้ไปหมดไป งุบงิบไป พัฒนาจริงหรือไม่ ตรวจสอบกันยาก เพราะการจัดโครงการอบรมสัมนาจะจ่ายวันเท่าไรก็ได้ อยู่ที่การตั้งงบค่าใช้จ่ายต่อหัว ค่าวิทยากร ค่าเดินทาง ฯลฯ เป็นประเภทใช้ไปหมดไป ตรวจสอบยากว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล เคยเจอประเภทเซ็นชื่อเช้าบ่ายแล้วขอรับเอกสารงานสัมนา เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่ามาเข้ารับการอบรม พอช่วงเบรคก็หายหัวไปแล้ว หรือกินอาหารกลางวันเสร็จก็หายหัวไปเช่นกัน กลับหน่วยงานแล้วมักจะยกเมฆเขียนรายงานส่ง ๆ ไป หรือหน้าด้านขอเบิกเงินว่ามาร่วมโครงการแล้ว
ส่วนที่ธนาคารไทยแห่งแรกในสมัยนั้น มีกิจกรรมคุณภาพงาน QC ที่นำเข้ามา เพื่อใช้กระตุ้นมนุษย์เงินเดือน หนังสือบอกว่าเชิญชวนให้ช่วยกันทำ แต่เอาเข้าจริงเหมือนมวยไฟล์บังคับ ที่ทุกสาขาต้องทำอย่างน้อย 1 กลุ่ม สาขาขนาดใหญ่ต้องมี 2-3 กลุ่ม ทำเสร็จแล้วต้องส่งเรื่องที่ทำเข้าเพื่อประกวดแข่งขันกัน เรียกว่าเกณฑ์กันทำกับสั่งให้ทำทั้งสาขาทีเดียว งานนี้เปี๊ยกไม่มีบทบาทหน้าที่อย่างใด
ส่วนของสาขาจำไม่ได้แล้วว่าทำเรื่องอะไร จำได้กิจกรรม QC มีความคึกคักอยู่ประมาณ 4-5 ปี แล้วก็เฉาตายไปในที่สุดเหมือนกับที่ชอบแซวกันว่า เกิดในญี่ปุ่น โตในสหรัฐ มาตายที่เมืองไทย สหรัฐมีการพัฒนา QC จนเป็น TQM เป็นงานใหญ่มีการแจกรางวัลระดับชาติกันทุกปี
การประกวดแข่งขันให้คะแนนตามโพยที่กำหนดไว้ ไม่มีการคิดวิเคราะห์หรือไม่มองถึงประโยชน์สุดท้ายว่า ธนาคารได้ประโยชน์/เสียประโยชน์แต่อย่างใด เช่น ทำให้พนักงานลดเวลาทำงาน บริการลูกค้าได้ดีขึ้น ทำให้งานบริการรวดเร็วมีคุณภาพมากขึ้น หรือเรียกว่าจบงานประกวด QC ทุกอย่างที่ทำมาก็จบลงด้วย ไม่มีการนำผลงานไปขยายผลหรือใช้ต่อเนื่องอย่างจริงจัง ไม่มีการติดตามประเมินผลหรือชี้วัดผลตามหลังแต่อย่างใด จบกันที่วาทกรรมและพิธีกรรมประกวดกิจกรรมคุณภาพงาน แต่ที่ธนาคารได้คือ การกระตุ้นเขย่ามนุษย์เงินเดือน ให้ตื่นตัวตื่นใจไม่มีอาการเฉื่อยชาไปช่วงหนึ่งแล้ว
มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งของสาขาแห่งหนึ่ง คือทำ QC เรื่องลดจำนวนบัญชีเงินฝากทอดทิ้งของลูกค้า ด้วยการติดตามไปที่บ้านลูกค้าหรือส่งจดหมายหาลูกค้า ทำให้ลดบัญชีเงินฝากทอดทิ้งได้ 2 ล้านกว่าบาท พอส่งเข้าประกวดกิจกรรม QC ขั้นตอนกระบวนการทำกิจกรรม ตามใบคะแนนการให้รางวัลกิจกรรมถูกต้องเลยได้รางวัลไป แต่เพราะสุดท้ายธนาคารเสียประโยชน์ คือขาดรายได้จากเงินฝากก้อนนี้ที่ควรจะได้ในที่สุด จึงไม่มีการเผยแพร่หรือสรุปกิจกรรมดังกล่าว ในหนังสือวารสารประจำเดือนของธนาคารแต่อย่างใด กลัวการเลียนแบบหรือทำให้ธนาคารขาดทุนกำไร
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีระบบ Computer ใช้งานกันอย่างแพร่หลายเหมือนทุกวันนี้ บัญชีทอดทิ้งคือ บัญชีเงินฝากลูกค้า ที่มียอดเงินจำนวนหลักร้อยถึงหลักแสนบาท ไม่มีการติดต่อกับธนาคารมากกว่า 2 ปีแล้ว คือไม่มียอดเคลื่อนไหว ฝาก ถอน ปรับยอดสมุดบัญชีเงินฝาก เงินฝากประเภทนี้ คือ รายได้หลักของสาขา/ธนาคาร เพราะเงินจำนวนดังกล่าวยิ่งไม่มีการเบิกถอน การสำรองสภาพคล่องของธนาคารก็ยิ่งง่ายขึ้น
ปกติการประมาณการสภาพคล่องของธนาคารสมัยก่อน สมมุติสิ้นวันนี้มีเงินฝากทุกบัญชียอดรวม 100 ล้านบาท สภาพคล่องวันรุ่งขึ้นจะประมาณ 20% หรือ 20 ล้านบาท กล่าวคือ พรุ่งนี้จะมีคนมาถอนเงินฝากไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยจะถอนเป็นเงินสดหรือเช็คหักบัญชีหรือรายการบัญชีระหว่างกัน แต่ในสภาพความจริงแล้วเงินสดจะมีการถอนไม่มากนัก แต่สาขาจะสำรองเงินสดไว้ไม่เกิน 2-5 ล้านบาท เพราะคนส่วนมากจะมาถอนเงินสดไม่มากนัก ยกเว้นแต่ช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาว จึงจะต้องมีสำรองเงินสดกับสภาพคล่องมากกว่าปกติ
เงินส่วนที่เกินจากสภาพคล่องที่ตัวเลข 80 ล้านบาท สาขาจะแจ้งยอดเงินฝากไปที่สำนักงานใหญ่ เพื่อปล่อยกู้รายวันประเภท Call Loan/Inter Bank อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำถ้ามีสภาพคล่องในตลาดเงินมาก หรือเรียกกันว่ามีเงินฝากล้นตลาดจนต้องให้ดอกเบี้ยต่ำ ๆ เป็นการผลักไสไล่ส่งทางอ้อมอย่าให้คนมาฝากเงินมาก หรือแนะใหไปซื้อกองทุน ประกันชีวิตแทนเป็นต้น
ถ้าเงินฝากขาดตลาดหรือสภาพคล่องในตลาดลดลง ธนาคารต้องรีบให้ดอกเบี้ยสูง ๆ จูงใจคนมาฝาก ปกติธนาคารปล่อยกู้กันประมาณ 1.50% ต่อปี ดูตัวเลขค่อนข้างน้อย แต่ต้องไม่ลืมยอดเงินกู้กัน สถาบันการเงินกู้ยืมกันครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ระยะเวลา 1-7 วัน 1 เดือนหรือ 3 เดือนเป็นต้น รายได้แบบนี้จะมหาศาล/มีหนี้เสียหนี้สูญค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว อัตราดอกเบี้ยแบบนี้บริษัทขนาดใหญ่ในเมืองไทยก็ได้เช่นกัน
ดังนั้นธนาคารที่มีเงินฝากทอดทิ้งมาก ยิ่งรวบรวมยอดไว้ได้มากยิ่งมีโอกาสหากำไรจากเงินส่วนนี้มาก เพราะพอครบ 10 ปีก็โอนเป็นรายรับของธนาคาร แต่ในปัจจุบันถ้ายอดเงินฝากต่ำกว่าที่กำหนด จะทะยอยตัดบัญชีอัตโนมัติจนเงินฝากในบัญชีหมด แล้วธนาคารจะปิดบัญชีไปโดยอัตโนมัติ บางธนาคารกำหนดยอดเงินฝากต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ถ้าเป็นเงินฝากประจำจะตัดแบบนี้ไม่ได้ ต้องคงต้างยอดไว้อีกนานแสนนานเช่นกัน
เงินฝากทอดทิ้งจะมีมากในบางสาขา โดยเฉพาะสาขาที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จากจำนวนนักศึกษาที่เปิดบัญชีไว้หักค่าเล่าเรียน หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในเวลาเรียน แม้จะมียอดเงินฝากจะไม่มากนักแต่มีจำนวนคนมาก ยิ่งนักศึกษาเรียนจบแล้วถ้ายอดเงินฝากน้อย ๆ มักจะลืมหรือไม่มาถอนเพราะไม่สะดวกในการเดินทางแล้ว หรืออายที่จะมาถอนปิดบัญชี สมุดหายต้องแจ้งความ ยุ่งยากมากความเลยไม่ไปถอนเงินปิดบัญชี สะสมไว้หลาย ๆ ปี หลาย ๆ คน จะมียอดเงินฝากสะสมจำนวนหลักแสนขึ้นไป ยิ่งช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบเงินฝากที่ใช้เครื่องจักรกล Nec,Adler, Kiienzle มาเป็นระบบ Computer ATM ฝากถอนเงิน ยังไม่มีการหักบัญชีเงินฝากยอดต่ำกว่า 2,000 บาท มีสาขาแห่งหนึ่งมียอดเงินฝากบัญชีทอดทิ้งมากกว่า 4 แสนบาท
สาขาแห่งนั้นเจอพนักงานบัญชีหรือเงินฝาก ทำรายการถอนเงินฝากจากบัญชีทอดทิ้งเข้ากระเป๋าตนเอง โดยทะยอยแอบถอนเงินฝากดังกล่าวทีละเล็กทีละน้อย โดยการทำใบรายการ Slip ขึ้นมาถอนเงินฝากดังกล่าว บางครั้งลงทุนถ่ายสำเนาบัตรประชาชน/นักศึกษา ที่เปิดบัญชีไว้นานแล้วทำการปิดบัญชีเงินฝาก แล้วถอนเงินสดเข้ากระเป๋าตนเอง
แต่คราวหลังโลภมากขึ้นจนมีรายการสะสมผิดสังเกต ธนาคารจึงส่งคนเข้าไปตรวจสอบหาสาเหตุว่า ทำไม่จู่ ๆ รายการบัญชีทอดทิ้งมีการถอนเงินมากผิดปกติ เพราะปัจจุบันมีการสุ่มตรวจจากรายงาน Computer ด้วยการตั้งเงื่อนไข querry ต่าง ๆ เช่น รายการใดที่ diff จากปกติหรือผิดปกติ จากฐานข้อมูลเดิมหรือข้อมูลเฉลี่ย
เช่น มีช่วงหนึ่งมีพนักงานเล่นพนันบอลล์กันมาก บางคนทำหน้าที่เป็นปั้วบอลล์หรือรับฝากแทงบอลล์ให้คนอื่น ธนาคารจะใส่ message พนักงานไว้ในบัญชีเงินฝากในระบบ Computer แล้วให้พิมพ์รายงานเฉพาะพนักงานที่มีเงินฝากเกินกว่าหลักแสน มียอดเงินฝากเคลื่อนไหวสูงผิดปกติ ต่างกับเงินฝากพนักงานในสาขาหรือเฉลี่ยของธนาคาร นำมาเรียงลำดับรายการแล้วสอบถามไปที่สาขา หรือดูรายการ Transaction ย้อนหลังจากระบบ ถ้ามียอดเงินฝากเข้าออกจำนวนมากผิดปกติ สันนิษฐานได้เลยว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว จะต้องรีบดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ย้ายหน้าที่ทำงาน หรือ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน เป็นต้น เพราะโอกาสทุจริตมีมากจากการเสียการพนัน นี่คือสมมุติฐานและข้อสันนิษฐานหลักของธนาคาร
เลยมีคำถามที่คาใจพนักงานกันเองว่า แล้วสมัยก่อนที่ยังไม่มีรายงาน Computer มีการฉ้อโกงเงินจากบัญชีเงินฝากทอดทิ้งหรือไม่ มีหลักฐานว่าเคยมีแต่จับได้ในที่สุด แต่ที่จับไม่ได้น่าจะมีเช่นกันในบางสาขาบางธนาคาร
บัญชีทอดทิ้งคือ รายได้เสริมของธนาคาร กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ตลาดย่านยาว พังงา มีการเงินคึกคักเดินสะพัดมากมายยิ่งนัก ธนาคารต่าง ๆ ต่างแห่กันไปเปิดสาขาที่นั่น เพราะมีการขุดแร่ดีบุกจากใต้ท้องทะเลขึ้นมาขาย มีรายได้และเงินหมุนเวียนมากมายมหาศาลในแต่ละวัน ในยุคนั้นที่แร่ดีบุกราคาดีมาก
การขุดแร่ดีบุกจากทรายใต้ท้องทะเล จะใช้วิธีการดำน้ำลงไปขุด ไม่มีชุดประดาน้ำแบบปัจจุบัน แต่มีการขายหมวกเหล็กกลมมีหน้าต่างกระจก ปิดกันไม่ให้น้ำเข้าไปในหน้าของคนดำน้ำ แล้วต่อท่อสายอากาศติดกับหมวกดำน้ำ ให้คนงานหรือเพื่อนร่วมงานลงไปในน้ำหาแร่ดีบุก โดยการให้ลมด้วยการใช้ปั้มลมแบบที่ใช้ในร้านซ่อมจักรยานยนต์ ฉุดเครื่องยนต์ด้วยเครื่องเรือยนต์หรือเครื่องปั่นไฟฟ้า อัดอากาศลงไปตามท่ออากาศในหมวกดังกล่าว เรียกว่าทำกันแบบไทย ๆ ไม่ต้องมีงานวิจัย
เกิดปั้มเสียหรือปั้มชำรุดคนอยู่ใต้น้ำไม่ตายก็พิการ บางรายตาถลนเลือดออกตามหูตามตา เจอลูกค้าปาดังเบซาร์รายหนึ่งเคยไปทำงานแบบนี้ ปรากฎว่าหูตึงกว่าปกติเพราะแกเคยดำน้ำขุดแร่ ในบริเวณตลาดย่านยาวเขตนี้มาก่อน แกเล่าว่าเพื่อนแกตายไปหลายคนเหมือนกัน เพราะปั้มอากาศไม่ทำงานกับเพราะความดันในน้ำ จากการต้องรีบดำน้ำขึ้นบนเรืออย่างรวดเร็ว เวลาขุดได้แร่ดีบุกหรือหลบหนีพายุ/คนมารีดไถ หรือเวลาไม่มีอากาศอัดลงในหน้ากากดำน้ำ เพราะบางครั้งเครื่องยนต์ดับหรือวาว์ลเสีย เรียกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์หรือเรียนรู้ แบบนักประดาน้ำที่ต้องเรียนต้องฝึกฝนกันนาน ไม่ตายก็พิการมามากมายหลายคนแล้ว
การที่มีคนตายจำนวนมากในตลาดย่านยาว เพราะยุคนั้นมีคนแห่มาจากหลายภาคหลายแห่ง ต่างแห่แหนกันมาหากินจากการดำน้ำขุดแร่ดีบุก หรือค้าขายบนบกให้คนที่ทำมาหากินในท้องทะเล มีการยิงกันฆ่ากันแย่งชิงกันเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน เพราะเงินสดสะพัดกันมากในช่วงนั้น
ทำให้มีตำนานเล่าขานกันมานานแล้วว่า มีเงินฝากทอดทิ้งในธนาคารที่ตลาดย่านยาว รวมทุกธนาคารหลังจากที่ตลาดย่านยาววายไปแล้ว มียอดเงินฝากทอดทิ้งไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ในสมัยเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน พอพูดไปพูดมาบางคนว่า 100 กว่าล้านบาท เพราะคนที่มาฝากเงินธนาคารไม่ตายในท้องทะเลก็บนบก
ส่วนมากมาจากต่างจังหวัด หรือดินแดนที่ห่างไกลในประเทศไทย โดยบรรดาญาติพี่น้องครอบครัวไม่รู้ว่าฝากเงินไว้ หรือถ้ารู้ก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อถอนเงินอย่างไร ไปถามธนาคารก็ไม่บอกอ้างว่าความลับลูกค้า รวมทั้งไม่ใช่หน้าที่ธนาคารที่จะแจ้งเรื่อง การมีบัญชีเงินฝากไปยังบ้านลูกค้า ถ้ายังมีหลักฐานเช่น สมุดเงินฝากหลงเหลือไว้ ธนาคารมักจะบอกให้ไปแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ยุ่งยากมาก ๆ เงินฝากไม่มากก็เลยปล่อยเลยตามเลย แบบชาวบ้านบางคนก็ไม่กล้าติดต่อธนาคาร หลาย ๆ คนหลาย ๆ บัญชีนาน ๆ เข้า ธนาคารก็งาบเป็นรายได้ธนาคารไปในที่สุด
ในยุคนั้นแม้ว่าจะมีคำสั่งศาลหรือหนังสือจากทายาท ขอให้ธนาคารตรวจสอบเงินฝากผู้ตาย แต่ระบบการเก็บข้อมูลยังเป็นสมุดเล่มใหญ่ ๆ เขียนด้วยปากกา ถ้าพนักงานจำชื่อลูกค้าได้ก็แล้วไป เกิดจำไม่ได้ขี้เกียจไปค้นหารายชื่อ มักจะบอกปัดไปว่าไม่มี หมดเรื่องไป ไม่ต้องทำงาน หรือเรียก/ด่ากันภายในว่า โง่แล้วสบาย ฉลาดแสนวุ่นวาย
แม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นระบบ Computer แต่ในยุคแรก ๆ ยังเป็นภาษาอังกฤษ ค้นหาก็ยาก บรรทัดก็ไม่ครบ ขาด ๆ แหว่ง ๆ สะกดเป็นไทยก็ตลกชะมัดบางรายชื่อ กว่าจะเป็นระบบภาษาไทยเหมือนทุกวันนี้ ต้องใช้เวลานานมากเพราะยุคนั้น การประมวลผลคอมพิวเตอร์ช้าส่วนหนึ่ง ระบบเครือข่ายสื่อสารยังติด ๆ ดับ ๆ รวมทั้งภาษาไทยมี 4 บรรทัด สระล่าง(อุ อู) พยัญชนะ สระด้านบน วรรณยุกต์ ประมวลผลยาก/ช้ากว่าภาษาอังกฤษบรรทัดเดียว
เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดที่เขาศูนย์ (ทานพอ) จังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่แตกต่างกัน แต่ยอดเงินฝากไม่ชัดเจนมากนัก จำคร่าว ๆ ว่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เพราะในช่วงมีการขุดแร่กันในใต้ดิน มีการยิงกันทิ้งในหลุมขุดแร่ที่นั่น เผลอ ๆ หลุมไหนดีมีแร่มากกว่าหลุมอื่น มักจะมีการเรียกค่าคุ้มครองหรือขอหุ้นลม ถ้าไม่ยอมหรือต่อต้านอาจจะมีการยิงทิ้งแย่งหลุม หรือเผลอ ๆ มีการโยนระเบิดลงไป ให้ตายในหลุมนั้นก่อนแล้วค่อยเข้าไปขุดวันหลัง
เรียกกันว่าพอ ๆ กับสมัยคาวบอยอเมริกันบุกเบิกฝั่งตะวันตก ใครดีใครได้ ใครมีเพื่อนพ้องน้องพี่พรรคพวกมาก มีหูมีตามีเยอะ มีคนคอยกระซิบบอก มีคนคุ้มกันก็อยู่รอดได้ ใครตัวเปล่าเล่าเปลือยหรือพรรคพวกน้อย มีสิทธิ์ที่จะตายหรือถูกปล้นกลางทางมากเข่นกัน
เหมือนหนังสือกำลังภายในสมัยก่อนที่มักเขียนว่า ผิดของเจ้าไม่มีหรอก แต่ผิดที่ครอบครองของดีของหายาก ที่ทุกคนทั้งแผ่นดินแสวงหาและอยากเป็นเจ้าของสิ่งนั้น ข้าเลยต้องแย่งชิงจากเจ้า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็อุบาย ไม่ได้ด้วยอุบายก็ด้วยความตายของเจ้า
เรื่องคาวบอยในเขาศูนย์รับรู้จากหนังสือยุคหนึ่ง จากเพื่อนที่เคยไปทำงานที่นั่นสักพัก ไม่ถึงอาทิตย์ต้องรีบกลับมาแบบกลัวตายเหมือนกัน ส่วนญาติฝ่ายภริยามีศักดิ์เป็นตาคนหนึ่งที่เคยไปขุดแร่ที่นั่น แต่แกไม่ยอมบอกเล่าเรื่องราวบนเขาศูนย์แต่อย่างใด
ญาติคนนั้นเป็นฝ่ายตาอยู่ที่บางแก้ว จังหวัดพัทลุง เป็นเรื่องแปลกที่คนเราบางคนไม่รู้จักกัน แต่ไปพบกันเจอกันกับสนิทสนมรักใคร่กัน คู่นี้เจอกันที่เขาศูนย์กลายหุ้นส่วนกัน แล้วผูกพันสนิทสนมกันยิ่งกว่าญาติพี่น้อง
ลูกหลานแกเล่าให้ฟังว่า ตอนแกไปขุดแร่ใหม่ ๆ ที่นั่นไปรู้จักวัยรุ่นคนหนึ่ง รุ่นน้องแกร่วมสิบปีขึ้นไปทีเดียว ไม่รู้ถูกชะตากันอย่างไรเลยคบหากัน แล้วร่วมกันลงทุนขุดแร่ที่เขาศูนย์ พอมีรายได้ที่คิดว่าเพียงพอหรือรวยแล้ว ก็แยกย้ายกันไปทำมาหากินที่ถนัด
ฝ่ายตาก็ซื้อที่ดินปลูกสวนยางพารา แล้วส่งลูกเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย ไปทำงานราชการ/รัฐวิสาหกิจมีรายได้เลี้ยงชีพได้ทุกคน ส่วนวัยรุ่นหุ้นส่วนกับแกคนนั้น ก็ไปซื้อสวนยางพาราแล้วทำมาหากินตามเรื่องตามราว ทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันมาก มักไปมาหาสู่และพบปะพูดคุยกันสม่ำเสมอ ผมเคยเจอแกครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แกผ่านมาทางสทิงพระรู้ว่าตาอยู่ที่นั่น เลยแวะเยี่ยมตาที่มาเยี่ยมญาติที่นั่น เห็นนั่งคุยกันอย่างสนิทสนมมาก สุดท้ายแกมาบอกลาตาที่งานศพตาที่พัทลุง ด้วยวัยที่น้อยกว่ากันมากแต่นับถือกันว่าเป็นยิ่งกว่าเกลอ ลูกหลานของตาเลยให้ความเคารพเหมือนญาติคนหนึ่ง เพราะกิจการฐานะของตามาจากการหุ้นส่วนกับวัยรุ่นคนนี้ในอดีต
ส่วนเงินฝากอีกประเภทหนึ่งที่ธนาคารชอบๆๆๆ มาก ๆๆๆๆ คือเงินฝากที่ทางการสั่งอายัดธุรกรรมทางการเงิน เพราะเหตุผลต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งศาลหรือคำสั่งทางการ ให้โอนเงินเข้าเป็นเงินกองกลางของหลวง ยอดเงินฝากดังกล่าวธนาคารเอาไปปล่อยกู้รายวัน ได้อย่างสะดวกสะบายกว่าเดิม เหมือนอย่างเงินฝากของอดีตนายกรัฐมนตรีรายหนึ่ง ที่มียอดเงินฝากหลักสามหมื่นกว่าล้านบาท ถูกอายัดไว้หลายปีก่อนยึดเป็นของหลวง ธนาคารปล่อยกู้รายวันได้อย่างสบาย ๆ เหมือนเพลงของ Bird เลย
มีเรื่องหนึ่งคือ เงินฝากจำนวนมาก ๆ ธนาคารมักจะต่อรองไม่ให้ดอกเบี้ยเงินฝาก หรือให้ดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำมาก ๆ เคยมีสมัยหนึ่งที่ ทุกธนาคารต้องมีการปล่อยสินเชื่อเกษตร ตามข้อบังคับของธนาคารแห่งประเทศไทยตังแต่ปี 2518 ถ้าจำไม่ผิดขั้นต่ำ 15% ของยอดเงินฝากเฉลี่ยของสาขา ถ้าปล่อยไม่ได้ต้องนำเงินก้อนที่ปล่อยสินเชื่อไม่ได้ ไปฝากที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส)
มีช่วงหนึ่งยุคก่อนปี 2530 มีเรื่องเล่าขานแต่จริงว่า มีผู้จัดการ ธกส. แถวสามจังหวัดชายแดน ได้มีการเจรจากับหลายธนาคาร ขอฝากเงินจำนวน 2 พันกว่าล้านบาท เพราะปล่อยสินเชื่อไม่ได้เลย หรือถ้าปล่อยสินเชื่อได้ก็มีความเสี่ยงหนี้สูญสูง หลายธนาคารบอกฝากได้แต่ไม่ให้ดอกเบี้ย
เพราะเปรียบเสมือนไถเบี้ยแป๊ะ แล้วมาฝากกินดอกเบี้ยกับแป๊ะ รวมทั้งเงินฝากก้อนใหญ่ ๆ ถ้ามีการถอนเงินฝากออกไปทั้งหมด จะมีปัญหากระทบกับสภาพคล่องของธนาคารอย่างรุนแรง ต้องสำรองสภาพคล่องกันอย่างหนัก หรือระดมเงินฝากกันครั้งใหญ่ เพื่อชดเชยเงินฝากก้อนใหญ่ที่ขาดหายไป
ส่วนเรื่องที่ว่า ทำไมธนาคารชอบปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ แม้ว่าจะได้ดอกเบี้ยต่ำติดดินหรือน้อยมาก เมื่อเทียบกับการปล่อยสินเชื่อรายย่อยหรือลูกค้ารายเล็ก ๆ ที่เก็บกันแพง ๆ หรือเต็มแม็ก Maximum
มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ๆ ว่า ร้านค้าขายก้วยเตี๋ยวต้องขายวันเป็นร้อยชามขึ้นไป จึงจะได้กำไรวันอย่างต่ำสองพันบาทขึ้นไป แต่ถ้าขายรถยนต์หนึ่งคันในแต่ละเดือน จะมีรายได้มากกว่าขายก้วยเตี๋ยวทั้งเดือน การบริหารจัดการก็ยุ่งยากน้อยกว่า การเก็บเงินเก็บทองก็ง่ายกว่า แม้ว่าจะมียอดขายน้อยกว่า
หรือเรียกว่า กำไรน้อย กำไรมาก ขายก้วยเตี๋ยวกำไรน้อย แต่หลาย ๆ รายก็ได้กำไรมาก
กำไรมาก กำไรน้อย ขายรถยนต์หนึ่งคันได้เงินได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ไม่ใช่ขายรถยนต์ได้ทุกวัน เป็นต้น
เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนธนบัตรรุ่นเก่า ๆ
Create Date : 15 ธันวาคม 2557 |
|
2 comments |
Last Update : 24 มกราคม 2558 22:51:04 น. |
Counter : 3379 Pageviews. |
|
|
|
คำพูดเลือนไป ตัวหนังสือคงอยู่ (จำเขามา)