The Counselor's Story ตอนที่ 3 การต่อสู้ของ counselor ตัวเล็ก ๆ กับคุณผู้ปกครองตัวเบ้อเริ่ม
ตอนที่ผมเริ่มเขียนตอนนี้ผมชักรู้สึกอยากจะเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นประมาณว่า ซุบซิบนินทานักเรียนและผู้ปกครองมากกว่า เพราะว่าเขียนออกมาแนวตามใจฉัน ออกไปทางแนวบ่น ๆ มากกว่า รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แต่ก็เอาเถอะครับ เปลี่ยนตอนนี้เสียฟอร์มแย่จริงมะ คิคิ

ในตอนนี้ผมมีสถานการณ์ตัวอย่าง (ที่เกิดขึ้นจริง) ของนักเรียนสองเคส เคสนึงเป็นเด็กของผมเอง ส่วนอีกเคสนึงจะเป็นของพี่ counselor อีกคนที่ดูแลทั้งออสเตรเลียและอังกฤษครับ วุ่นวายไม่แพ้กัน เพราะอะไร เพราะว่ามีเรื่องของผู้ปกครองหรือคุณพ่อคุณแม่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ใช่ครับ น้องสองเคสนี้จบม.หก และต้องการจะไปเรียนป.ตรีที่ออสเตรเลียทั้งคู่ อายุก็ยังไม่เท่าไหร่ และเป็นผู้หญิงด้วย ถึงผมจะยังไม่ได้แต่งงานมีลูก แต่ผมก็เข้าใจนะครับว่าความรักและความเป็นห่วงของคุณพ่อคุณแม่เวลาที่ลูกสาวต้องไปอยู่ที่ไกลหูไกลตา ก็ต้องการที่จะเลือกสถานที่ที่ดีที่สุด ตั้งแต่เมืองดี มหาวิทยาลัยดี ผู้คนเป็นมิตร อย่างน้อยที่สุดก็คือต้องการให้เมืองที่ไปอยู่เป็นเมืองที่ปลอดภัย

ตามแบบฉบับพฤติกรรมผู้บริโภคของคนไทย ไม่สิ ของชาวเอเชียต่างหาก (เท่าที่ผมสังเกตุ) การไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่ว่าจะไปในฐานะนักท่องเที่ยว นักเรียน นักธุรกิจ หรืออะไรก็ตาม ชาวเอเชียจะไปด้วยความหวัง ไม่ใช่ความหวังต่ำ ๆ ซะด้วย หวังสูงทีเดียว หวังว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหา ทุกอย่างต้องดีน่ะแหละพูดง่าย ๆ ถ้ามีอะไรที่มันกวนใจอย่างนึงปุ๊บ เมืองนั้นจะห่วยแตกไปในพริบตา ต่อให้เมืองนั้นจะได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในระบบสุริยจักรวาลนี้ก็เหอะ อย่าได้หวังว่าชั้นจะกลับไปเหยียบอีกเป็นครั้งที่สอง ผมมีเพื่อนคนเกาหลีคนนึง เค้าเคยโดนคนออสเตรเลียเปิดกระจกรถด่ากลางถนนมาแล้ว ประมาณว่าไล่กลับเกาหลีทำนองนั้น ก็แหงอยู่แล้วล่ะครับ ไปข้ามถนนในที่ที่ไม่มีไฟสำหรับคนข้าม แล้วก็เดินคุยโทรศัพท์ไม่มองถนนอีกต่างหาก ตอนเรียนในห้องก็มีพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรกับเพื่อนร่วมชั้นแถมยังชอบดูถูกชาวบ้านด้วย ก็สมควรแล้วที่จะโดน

วกกลับมาที่เรื่องของเด็กนักเรียนตัวอย่างสองเคสในตอนนี้ครับผมขอเริ่มที่น้องโซเนีย (นามสมมติ) ก่อนก็แล้วกันนะครับ น้องโซเนียคนนี้เคยเป็นเด็กในความรับผิดชอบของผม แต่ว่าต่อมาผมโอนให้พี่ counselor อีกท่านนึงเป็นคนดูแลเคสต่อ เพราะว่าน้องเค้าสะดวกที่จะติดต่ออีกสาขานึงมากกว่าสาขาที่ผมประจำอยู่ น้องเค้าจบจากโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง (จำไม่ได้ว่าโรงเรียนอะไร เพราะว่าชื่อไม่คุ้นด้วย) ตอนที่ผมได้คุยกะน้องเค้าครั้งแรกเค้าไม่ได้มาคนเดียว มากับเพื่อน เวลาเค้าคุยกะเพื่อนจะคุยเป็นภาษาอังกฤษ แต่เวลาคุยกะผมก็จะพูดภาษาไทย ทั้ง ๆ ที่เพื่อนเค้าที่มาด้วยก็คนไทยนะ แต่คุณน้องโซเนียเป็นลูกครึ่ง คุณแม่เป็นคนไทย คุณพ่อเป็นชาวตะวันออกกลางชาติหนึ่ง เป็นมุสลิมที่ค่อนข้างเคร่ง เดี๋ยวผมจะบอกว่าทำไมผมถึงรู้ว่าเคร่ง

วันแรกที่น้องเค้ามาติดต่อ ก็เข้ามาเลย เดินแบบสาวมั่น อยากไปเรียน Fashion Design ผมก็สอบถามไปตามสคริปต์ในหัว ประมาณว่าตอนนี้เรียนอะไรอยู่ จบรึยัง เกรดเป็นยังไง ทุกอย่างโอเคหมด ภาษาก็เพอร์เฟ็กอยู่แล้วเพราะว่าเรียนนานาชาติ ผมก็เลยแนะนำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมือง Melbourne เพราะที่นี่ค่อนข้างเด่นเรื่องการออกแบบอยู่แล้ว มาถึงขั้นตอนสำคัญ ผมถามเธอว่า น้องมี portfolio รึยังครับ น้องเค้าถามกลับมาว่าต้องมีด้วยเหรอคะ ใช่ครับ การเรียนออกแบบต้องมี portfolio ด้วย อย่างน้อย 10 ชิ้นงานเป็นต้นไป ไม่จำเป็นต้องเป็นชิ้นงานที่สำเร็จออกมาแล้ว ขอแค่เป็นรูปที่วาดด้วยมือเท่านั้นแหละ ซัก 10-12 รูป เพราะว่าเค้าต้องดูแววของเราว่าการวาดลายเส้นเป็นยังไง ดูความคิดสร้างสรรค์ด้วยว่าไปได้หรือไม่ น้องโซเนียตอบกลับมาว่าไม่มีค่ะ ไม่เคยวาดรูปทำนองนี้เลย แต่ชอบ fashion ก็เลยอยากไปเรียนด้านนี้ และที่ Melbourne ก็เป็นสถานที่จัดงาน Melbourne Fashion Week ด้วย ผมก็เลยบอกว่างั้นลองกลับไปคิด ๆ ดูอีกรอบดีมั๊ยว่าเราอยากเรียนอะไรกันแน่ โดยส่วนตัวผมมองว่าถ้าลองพูดมาว่าไม่เคยวาดรูปทำนองนี้เลยล่ะก็ มันแน่นอนอยู่แล้วที่เค้าจะไม่รับ น้องเค้าเป็นคนพูดเก่ง ดูท่าทางมั่นใจ น่าจะไปเรียนทาง PR หรืออะไรที่มันเกี่ยวข้องมากกว่า แต่ว่าผมยังไม่ได้พูดแนะนำเรื่องนี้ เพราะว่าตอนนั้นก็ยังกลัว ๆ กล้า ๆ ว่าจะบอกสิ่งที่ผมคิดอยู่ให้น้องเค้ารู้ดีรึเปล่า แล้วน้องเค้าก็เลยกลับบ้านไปก่อน

2 อาทิตย์ต่อมา กลับมาใหม่ เหมือนว่าน้องเค้าจะค้นพบตัวเองเหมือนกัน มาถามหาคอร์สพวก communication (เหมือนอ่านใจเราออกแฮะ) ก็เลยโอเคครับ แนะนำไป 2-3 ที่ คุยไปคุยมา น้องเค้าก็ถามว่า บริษัทพี่มีออฟฟิสที่ลาดพร้าวด้วยเหรอคะ ผมก็เลยบอกไปว่าใช่ ถ้าน้องสะดวกมากกว่าที่จะไปติดต่อที่นู่นก็ไม่มีปัญหา พี่จะโอนเคสไปให้พี่ ....... ให้เค้าดูแลต่อให้ โอเคมั๊ยครับ คุณน้องก็ตกลงแบบไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ผมก็จัดการโอนเคสไปให้พี่ที่สาขาลาดพร้าว เรียบร้อย จบส่วนของผมแล้ว

กาลเวลาผ่านไป หลายเดือนเหมือนกัน นานพอให้ผมลืมน้องโซเนียคนนี้ไปจากหัวใจ เอ๊ยไม่ใช่ จากสารระบบของนักเรียนในความดูแลต่างหาก หุหุ พี่ counselor ที่สาขาลาดพร้าวที่ผมโอนเคสน้องโซเนียไปให้ก็มาคุยกะผมว่าวันนี้น้องโซเนียจะเข้ามาที่นี่ เพื่อคุยกะเจ้าหน้าที่สถาบันที่จะมาจาก Canberra ผมก็งงว่า อะไรกัน ยังไม่ได้บินไปอีกเหรอ พี่ท่านก็เริ่มระบายความทุกข์ออกมาทันที "ตั้งแต่วันนั้นนะ พี่ก็ได้คุยกะพ่อแม่น้องเค้าล่ะ คุณแม่น่ะไม่มีปัญหา น่ารักมาก แต่คุณพ่อนี่สิ ตินู่นตินี่ ว่า Melbourne มันวุ่นวายอย่างนู้นอย่างนี้ สับสนวุ่นวาย มีแต่ที่เที่ยวกลางคืน ถ้าไปแล้วลูกสาวเค้าเสียคนจะทำยังไง แล้วมหาวิทยาลัยที่แนะนำก็สู้ที่นั่นก็ไม่ได้ สู้ที่นี่ก็ไม่ได้ เทียบกะอีกที่นึงแล้วยิ่งแล้วใหญ่ ฯลฯ พี่ก็เลยแนะนำให้ไปที่ Canberra เลย รับรองว่าที่นั่นอันดับ 1 ชัวร์" ผมนั่งฟังด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ เล็กน้อย พาลไมเกรนจะแด๊กกระทันหัน มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึงด้วยครับ โรงเรียนนานาชาติที่น้องโซเนียเรียนจบมานั้น ไม่ได้รับการรับรองจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ใน Canberra ด้วย ดังนั้นแล้ว น้องโซเนียต้องสอบ IELTS ด้วย เลี่ยงไม่ได้ หึหึ "เนี่ยนะ พี่บอกน้องเค้าไปแล้วนะว่าต้องสอบ IELTS แต่ก็ยังอิดออดไม่ไปสอบซะทีอยู่นั่นแหละ"

คงจะนึกภาพออกนะครับ เรียนอยู่โรงเรียนนานาชาติมาตลอดตั้งแต่อนุบาลจนจบม.6 พูดภาษาอังกฤษมาตลอด อยู่บ้านก็พูดภาษาอังกฤษกับพ่อ แล้วดันต้องมาสอบ IELTS ด้วยนี่สิ มันคงจะเป็นอารมณ์เซ็งแบบเดียวกับที่คนออสเตรเลียที่จะไปเรียนที่ประเทศอังกฤษก็ต้องสอบ IELTS เหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า ออสเตรเลียไม่ได้อยู่ในทวีปยุโรป ขออนุญาตด่าหน่อย เหตุผลงี่เง่าโคด

แล้ววันนั้น ผมก็ได้เจอกะคุณพ่อ เป็นอย่างที่พี่เค้าเล่าจริง ๆ ไม่ได้จะล้อเลียนชาวมุสลิมนะครับ แต่ว่าทุกอย่างที่คุณพ่อต้องการ คุณพ่อจะอ้างเหตุผลต่อท้ายเสมอว่า "เพราะว่าเป็นมุสลิม" ซึ่งผมก็เคารพในจุดนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าความต้องการของคุณพ่อมันเป็นไปไม่ค่อยจะได้อ่ะครับ หอพักของมหาวิทยาลัยจะต้องอยู่ห่างจากสถานที่เที่ยวกลางคืนอย่างนู้นอย่างนี้ ในหอพักจะต้องไม่มีคนมากินเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอลให้เห็น ต้องไม่มีผู้ชายอยู่รวมในตึก ประมาณว่าทุกคนในตึกต้องเป็นผู้หญิงให้หมด โอ้โห คุณพ่อ ยังไงซะยามหน้าตึกก็ต้องเป็นผู้ชายล่ะครับ แล้วมันจะหาสถานที่แบบนั้นได้ยังไงล่ะเนี่ย จริง ๆ เมืองลับแลล่ะมั้ง ยังมีอีกหลายอย่างนะครับ แต่ผมนั่งแอบฟังมาได้ประมาณนี้ แล้วเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยเค้ายืนยันด้วยว่าน้องโซเนียต้องสอบ IELTS เลี่ยงไม่ได้ คุณน้องก็บอกเจ้าหน้าที่ไปว่า "ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าต้องสอบ IELTS" แล้วกัน พี่ที่ดูแลเคสให้เค้าก็บอกว่าต้องสอบ ๆ แล้วตอนนี้มาบอกว่าไม่มีใครบอก เล่นเอาวัยรุ่น (ตอนปลาย) เซ็ง

ลงท้ายคุณพ่อบอกว่าจะไม่ให้ไปออสเตรเลียแล้ว จะให้ไปอังกฤษแทน หุหุ ท่านผู้อ่านที่เคยไปลอนดอนคงจะรู้นะครับว่าผับในลอนดอนมันมีกี่ร้อยกี่พันแห่ง ก็คิดเอาแล้วกันครับว่าจะเป็นยังไง ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า ทุกวันนี้น้องโซเนียก็ยังไม่ได้บินครับ จบเคส

เคสต่อมาครับ เป็นเด็กในความดูแลของผมเอง น้องคนนี้ชื่อเจนี่ (นามสมมติ) น้องคนนี้พิเศษหน่อยตรงที่ว่าจบปีหนึ่งจากจุฬาแล้ว ก็จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องไปเรียน Foundation Year ที่ออสเตรเลียครับ เดินเข้ามาพร้อมคุณแม่เลย ประมาณว่าต้องการรู้เรื่องทุกอย่าง เพราะว่าถามทุกอย่าง เรื่องเล็กเรื่องน้อยอะไรก็ถาม ผมก็ยินดีอธิบายให้ฟังอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ความต้องการของคุณแม่น้องเจนี่ก็คล้าย ๆ คุณแม่ที่ห่วงลูกสาวทั่วไปครับ ผมก็ดูจากภูมิหลังและอะไรอื่น ๆ ก็มาลงตัวที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมือง Brisbane (ที่เก่าที่ผมจบมาด้วยแหละ อิอิ) น้องเจนี่อยากไปเรียน Business หรือไม่ก็ Marketing ทำนองนี้ เนื่องจากที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัวก็เลยไม่ซีเรียสมากทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเงิน แต่ติดปัญหาเรื่องของภาษาครับ และทรานสคริปต์ของที่จบปี 1 จุฬาก็ยังไม่ออก ปัญหาเริ่มตรงนี้แหละครับ น้องเจนี่ไม่ได้บอกความจริงที่ว่า ทรานสคริปต์จริง ๆ แล้วจะออกปลายเดือนพฤษภา ไม่ใช่ปลายเดือนเมษาอย่างที่คุยกันตอนแรก เนื่องจากว่าน้องเจนี่ไม่อยากสอบ IELTS ผมก็เลยให้น้องเค้าทำ placement test ของมหาวิทยาลัย เพื่อให้ทางนู้นเค้าพิจารณามาว่าน้องเจนี่ต้องเรียนภาษากี่สัปดาห์ ผลออกมาว่าน้องเจนี่ได้ package มาว่าต้องเรียน General English 15 สัปดาห์ ต่อด้วย English for Academic Purposes 12 สัปดาห์ แล้วถึงจะตามด้วยคอร์ส Bachelor of Business ตามที่ต้องการ ตอนนั้นเนื่องจากว่าผมทำสมัครไปทั้ง ๆ ที่ทรานสคริปต์ก็ยังไม่ออก ทางมหาวิทยาลัยแจ้งมาว่าเค้ายังทำอะไรไม่ได้ เพราะว่ายังไม่เห็นผลการเรียนอะไรเลย ผมก็แจ้งไปให้น้องเจนี่ทราบว่าถ้าได้ทรานสคริปต์มาเมื่อไหร่ ให้รีบเอาเข้ามาเลย ผมจะได้ทำสมัครให้ทีเดียว รอแล้ว รอเล่า เฝ้าแต่รอ รอแล้ว รอแล้ว รอไม่สิ้น จนผมคิดว่าน้องเจนี่คงเปลี่ยนใจแล้วกระมัง

แล้ววันหนึ่ง น้องเจนี่เข้ามาพร้อมคุณแม่ โดยที่คุณแม่เดินเข้ามาทำหน้าแบบไม่พอใจ ประมาณว่าทำอะไรชักช้า ไม่มีอะไรคืบหน้า แถมยังขู่อีกว่าจะไปกับอีก agent นึงแล้ว ผมก็เลยหันไปทางน้องเจนี่ ถามหา transccript ว่าได้มารึยัง เพราะว่านี่มันต้นเดือนพ.ค. แล้ว น้องเจนี่ตอบอึกอักว่ายังไม่ออก ทรานสคริปต์จะออกมาปลายเดือนพ.ค. หรือไม่ก็ต้นมิ.ย. เซ็งครับเซ็ง ผมก็เลยหันไปอธิบายให้คุณแม่ฟังครับว่าถ้าเป็นแบบนี้คงจะทำสมัครไม่ทันแล้ว เพราะว่าคอร์สภาษาที่จะต้องไปเรียนก่อนเริ่มเรียนคอร์สหลักมันจะเริ่มกลางเดือนมิ.ย. แล้ว ตอนนี้คงทำได้แค่ทำสมัครเรียนภาษาไปก่อน แล้วเมื่อทรานสคริปต์ออกมาแล้วค่อยทำสมัครป.ตรีอีกรอบนึง เพราะว่าถ้าเริ่มเรียนภาษาช้ากว่านี้ มันจะจบไม่ทันเริ่มเรียนป.ตรีตอนเดือนก.พ.ปีหน้า ทุกอย่างก็ต้องเลื่อนออกไปอีก สรุปวันนั้นก็เลยให้กรอกใบสมัครเรียนคอร์สภาษาไปก่อน

ตามปกติแล้วการเรียนภาษาในออสเตรเลียจะทำเรื่องค่อนข้างง่าย สแกนใบสมัครส่งวันนี้ บางทีพรุ่งนี้ก็ได้ offer มาแล้ว กรณีของมหาวิทยาลัย นานสุดก็ไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่สำหรับที่มหาวิทยาลัยนี้ นานสุดไม่เกิน 3 วัน ผมก็งง ๆ ว่าทำไมมันไม่มาซักทีเพราะว่ามันอาทิตย์นึงแล้ว คุณแม่ก็โทรมาเร่งด้วยอารมณ์ขุ่น ๆ เหมือนเดิม แล้วคุยไปคุยมาคุณแม่ก็หลุดปากออกมาว่า "หรือเพราะว่าเคยทำสมัครกับที่อื่นไว้" เท่านั้นแหละครับ ผมรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เป็นอย่างที่คาดจริง ๆ คุณแม่ให้น้องเจนี่ทำสมัครกับอีก agent นึงในงาน interview program ของเค้าที่ศูนย์สิริกิติ์ (ใบ้มากไปรึเปล่าเนี่ย) แล้วคราวนี้ offer มันจะส่งไปที่ไหนล่ะ มันก็ต้องส่งไปที่อีก agent นึงไงครับ แล้วมหาลัยนี้มีระบุในสัญญาว่าห้ามเปลี่ยน agent ด้วย วันนั้นยอมรับครับว่า ปรี๊ดแตก ผมพูดแบบไม่เกรงใจเลยว่าให้คุณแม่กลับไปทำเรื่องต่อที่ agent นั้นเลย เพราะว่ามันเปลี่ยนไม่ได้ คุณแม่ก็ไม่ยอมเพราะว่าเคยส่งพี่ชายน้องเจนี่ไปกับบริษัทผมแล้ว ประมาณว่าติดใจในการบริการก็เลยส่งลูกสาวคนเล็กมาอีก นั่นแหละครับ ผลสุดท้าย คุณแม่โทรไปยกเลิก ให้เค้า cancel ใบสมัคร แล้วก็ได้ผลครับ วันรุ่งขึ้น offer ก็ส่งมาที่ผมทันที แล้วก็ทำเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในไม่ถึง 1 เดือน บินไปเรียนเรียบร้อย

เห็นรึยังครับ ผลของการไม่ยอมบอกความจริงทั้งหมดว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นแล้วเวลาเข้าไปใช้บริการของ agent นะครับ ไม่ต้องกลัวครับว่าความจริงจะน่าอาย หรือว่าไม่กล้าบอกหรืออะไรก็แล้วแต่ ขอให้พูดออกมาครับ เพราะว่าบางอย่างก็เป็นเรื่องที่พี่ ๆ counselor สามารถช่วยได้ ถึงมันจะไม่ได้ทั้งหมด หรือบางครั้งก็ได้แค่ผ่อน ๆ ก็ยังดีนะครับ และก็ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายครับ ดังนั้นแล้วแทนที่คุณพ่อคุณแม่จะใช้อารมณ์ ขอให้ใจเย็น ๆ แล้วพูดความจริงออกมาดีกว่าครับ มีปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันแก้ ดีกว่ามั๊ย และที่สำคัญครับ มันไม่มีเมืองไหนในโลกนี้ที่มันจะสมบูรณ์แบบ 100% หรอกครับ มันต้องมีข้อเสียอย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน ก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้กันด้วยนะครับ ขอความกรุณาอย่าขอในสิ่งที่ผมให้ไม่ได้ (พูดเหมือนรัฐบาลเรยแฮะ)

ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าผมยังไม่ได้พูดถึงขั้นตอนการไปเรียนเมืองนอกอย่างละเอียดเลย ดังนั้นแล้วตอนหน้าก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมตัวไปเรียนต่อครับ ท่านที่กำลังเล็ง ๆ ออสเตรเลียไว้ ห้ามพลาดนะครับ



Create Date : 22 กรกฎาคม 2551
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 10:41:44 น.
Counter : 756 Pageviews.

3 comments
  
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ :)
โดย: จอมโจรเหมียว วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:35:16 น.
  
อ่านแล้วเห็นภาพครับ ผมเพิ่งกำลังหัดจะพาเด็กไปซัมเมอร์แคมป์ที่ออสเตรเลีย แต่งานนี้เป็นงบที่จัดให้เด็กในจังหวัด ดังนั้นปัญหาของผมคงจะแย่ตรงตอนไปที่โน่นมากกว่า แต่อ่านเรื่องคุณแล้ว มันส์ดี
โดย: apyforever (apyforever ) วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:24:42 น.
  
บริษัทพี่ดูแลเฉพาะที่จะเรียนออสเตรเลียเท่านั้นเหรอคะ

อยากไปอเมริกาน่ะค่ะ
เรียนโท
พอจะให้คำปรึกษาได้มั้ยคะ
โดย: Lighting Plankton วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:17:45:49 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

The Queenslander
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



กรกฏาคม 2551

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
28
29
30
31
 
 
All Blog