|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ระหว่างการเดินทาง
1
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมมีโอกาสได้เดินทางไกล การเดินทางที่ขยับขับเคลื่อนจากตรงนี้ไปตรงโน้น คืนนี้นอนบ้านเพื่อนบ้าง คืนต่อไปนอนโรงแรมหรือนอนรีสอร์ทบ้าง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและสถานการณ์นั้นๆ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมเดินทางอยู่นอกบ้านยาวนาน การย้ายที่นอนอยู่บ่อยๆนั้นแตกต่างจากการไปอยู่นิ่งๆที่บ้านพักต่างจังหวัด การไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดคราวละนานๆนั้นจะเกิดความเคยชิน เพราะตื่นขึ้นมากิจวัตรประจำวันก็จะเหมือนๆเดิม อะไรอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ออกไปซื้อกับข้าวที่ร้านไหนก็ร้านนั้น ผู้คนที่ได้พบเห็นก็ค่อนข้างซ้ำหน้า ในแต่ละวันจึงดูว่าคล้ายๆกันทุกวันจนแทบแยกไม่ออกว่าวันไหนเป็นวันไหน แต่การออกเดินทางไกลและนอนไม่เป็นที่อย่างนี้ สำหรับผมแล้วทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตเพิ่มขึ้น ได้เห็นอาชีพที่แตกต่างของผู้คนต่างถิ่นรวมถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป ได้เห็นธรรมชาติและวิวทิวทัศน์ซึ่งแปลกไปจากที่คุ้นเคย ทำให้นึกถึงคำพูดของนักเขียนใหญ่ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่กล่าวไว้ว่า การเดินทางคือสายตาของนักเขียน ผมเริ่มต้นเดินทางพร้อมกับลูกและภรรยาเพื่อไปฉลองปีใหม่ที่บ้านแม่ยายที่ตะกั่วป่า จังหวัดพังงาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2548 จากนั้นผมก็ปล่อยให้ลูกและภรรยาเดินทางกลับกรุงเทพฯสองคน ส่วนผมขออนุญาตเดินทางไปหาเพื่อนๆแถบนครศรีธรรมราช เป้าหมายคือไปบ้านกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ (นักเขียนรางวัลซีไรต์คนหนึ่ง) ที่ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติที่หุบเขาฝนโปรยไพร อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ผมเห็นชีวิตกับการงานของเขาดำเนินไปด้วยกันอย่างเรียบง่ายและงดงาม คู่ชีวิตของเขาคือนักเขียนสาวอุรุดา โควินท์ ทั้งสองคนเลือกเดินบนเส้นทางถนนนักเขียนด้วยกัน ผมนอนซึมซับบรรยากาศอยู่สองคืนทำให้ได้รับพลังอย่างประหลาดเมื่อได้พูดคุยกับคนพันธุ์เดียวกัน กนกพงศ์ พาไปคารวะพี่จำลอง ฝั่งชลจิตรที่บ้านในเมืองนครศรีธรรมราช ถึงแม้สภาพที่อยู่อาศัยจะแตกต่างกัน เพราะบ้านพี่จำลองเป็นทาวน์เฮ้าส์เป็นชีวิตของคนเมือง แต่สิ่งที่ทั้งสองคนไม่แตกต่างกันก็คือความเป็นนักเขียนและการเลือกเดินทางตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
สิ่งที่สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผมเป็นพิเศษก็คือเมื่อพี่จำลองหยิบต้นฉบับยาว 197 หน้า กระดาษขนาด A4 (ซ้ำยังตัวพิมพ์ขนาด 14) ให้ผมดู มันเป็นนิยายแฟนตาซีที่เขียนโดยลูกสาววัย 12 ปีของเขา ซึ่งใช้เวลาเขียนเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น ระหว่างพักอยู่ในอำภอเมือง นครศรีธรรมราชนั้น ผมได้รับการดูแลให้ความสะดวกในเรื่องต่างๆจากเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นนักเขียน ไม่ว่าจะเป็นพี่อุทัยกับคุณแต๋วคู่ชีวิตซึ่งค้าขาย(ส่ง)พริก และคุณจอยสาวสวยตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นูสกิน (NUSKIN) เธอเป็นเจ้าของบริการห้องน้ำในตลาดกลางรวมพืชผล(หัวอิฐ)ที่เต็มใจบริการให้ผมเดินทางไปไหนมาไหนโดยสะดวกด้วยรถยนต์ฮอนด้าซีอาร์วีป้ายแดงของเธอ ผมต้องขอขอบคุณทุกๆคนด้วยใจจริง
จุดหมายปลายทางต่อมา เพื่อนที่ทำงานเอ็นจีโอชื่อ เงาศิลป์ มีความตั้งใจอยากให้ผมเดินทางไปยังเกาะตาครุฑเพื่อจัดกิจกรรมงานวันเด็กที่เกาะตาครุฑกับเธอด้วย เธอคนนี้เป็นนักเขียน และเป็นอะไรต่อมิอะไรมาสารพัด เมื่อก่อนนี้เราเคยแต่พบปะกันตามงานสังสรรค์ต่างๆในเมืองหลวง เรารู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ครั้งนี้เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกันมากมายหลายเรื่องจึงทำให้รู้จักกันในแต่ละด้านมากขึ้น
การไปร่วมกิจกรรมกับเธอครั้งนี้มีข้อแม้ว่าผมต้องมารอเธออยู่ที่หมู่บ้านจันดี กิ่งอำเภอช้างกลาง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองนครนัก เพื่อที่จะได้มาพักซึมซับบรรยากาศภูเขาทางแถบบ้านของเธอบ้าง เธอส่งผมมาพักที่ เขาเหมนรีสอร์ท (ทางเข้าอยู่ทางวัดมะนาวติดกับตลาดคลองจันดี)ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่หลานๆ ของเธอดูแลอยู่ การสนทนากับเธอเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของเธอมากขึ้น ผมรู้สึกทึ่งกับการเดินทางไปในที่ต่างๆและการงานของที่เธอได้ทำมา ผมว่าชีวิตของเธอสามารถเขียนเป็นหนังสือได้หลายเล่มหากเธอต้องการ เพราะประสบการณ์ต่างๆที่เธอเล่าให้ฟังนั้นถือว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดีทีเดียว ปัจจุบันนอกจากจะทำงานให้ความช่วยเหลือชาวบ้านหลังคลื่นยักษ์สึนามิในเขต 6 จังหวัดแล้ว เธอยังทำห้องอบสมุนไพรที่บ้านเพื่อให้ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพได้มาใช้บริการ โดยที่ไม่ได้กำหนดราคาค่าอบสมุนไพรว่าเป็นราคาเท่าไร เธอให้ผู้ใช้บริการหย่อนเงินไว้ในหม้อดินตามความสมัครใจ เธอบอกเหตุผลที่ทำแบบนี้ว่าเพราะสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้ขาดหายไปจากสังคมไทยนานแล้ว เธออยากให้มีเหลือเอาไว้บ้าง สี่คืนที่พักอยู่บนเขาเหมนสีรอร์ท ผมได้อยู่กับบรรยากาศเงียบสงบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความเขียวชอุ่มของภูเขา และน้ำใจแสนดีของเจ้าของที่พัก การเดินทางต่างบ้านต่างเมืองครั้งนี้ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ ทั้งประสบการณ์ภายนอกที่มองเห็นด้วยตาได้ยินด้วยหูและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เรียกว่าการเดินทางครั้งนี้ผมมีแต่ ได้รับ จากเพื่อนฝูงรอบข้างทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พักหรือการเดินทาง ผมสัมผัสได้ว่ายามที่เป็น ผู้รับ จากผู้ที่เต็มใจให้นั้นก็เป็นความสุขชนิดหนึ่ง แม้ไม่อาจเทียบได้กับการเป็น ผู้ให้ ก็ตาม 2/ เมื่อนึกถึงการงานของเพื่อนๆทำให้ผมนึกถึงหนังสือชื่อ เป็นเรื่องเล่าที่สอนให้เราเติบโต มีชื่อภาษาอังกฤษเก๋ๆว่า Once Upon a time เป็นการรวมผลงานระหว่างพ่อกับลูกสาววัย 6 ขวบ พ่อชื่อรักษ์ มนัญญา ลูกสาวชื่อจิรภิญญา สมเทพ ชื่อเล่นของเธอน่าเจียวกับไข่มาก คือ หอมหัวใหญ่ พ่อก็เขียนเรื่องของพ่อ ลูกสาวก็เขียนเรื่องของลูกสาวและเป็นผู้วาดภาพระบายสีประกอบเรื่องด้วย เป็นเรื่องเล่าธรรมดาๆในชีวิตครอบครัวของพ่อแม่ลูก แต่ผมกลับรู้สึกว่าแต่ละเรื่องไม่ธรรมดาเลย ผมเคยอ่านบทกวี เคยอ่านเรื่องสั้นของเขามาไม่น้อย แต่ผมกลับชอบงานเขียนที่เล่าเรื่องแสนจะธรรมดาของเขาชุดนี้ เป็นเรื่องจริงที่เล่าอย่างเรียบง่ายแต่มีมุมมองที่แหลมคม ความคมในความหมายของผมบางทีอาจไม่ได้อยู่ที่การเล่นคำหรือสำนวนโวหารหรอก แต่ผมว่าความคมเกิดจากการมองเห็นแง่มุมของชีวิตมากกว่า แม้แต่คำนำผมว่ายังคมเลย ลองอ่านดูสิ... การที่ผมได้เริ่มเขียนงานชุดนี้ ผมเริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น ทำให้ผมเขียนงานชุดนี้ได้เรื่อยๆ เขียนแล้วก็กลับมาอ่าน ทบทวนและตรวจสอบตัวเอง บางครั้งก็มองเห็นความผิดพลาดบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่งานเขียน แต่เป็นความผิดพลาดของตัวเอง ผมเริ่มได้คิดว่า การให้อภัยแก่ตัวเองอยู่ใกล้เคียงกับคำว่าแก้ตัวให้ตัวเองเป็นอย่างมาก
ผมต้องขอบคุณคนที่อยู่ใกล้ชิดชีวิตผมทุกๆคน ทั้งภรรยาและลูกๆที่ทำให้ผมได้มองเห็นความเป็นจริงที่เหมาะแก่ตนเอง ทำให้ผมรู้ว่าควรจะเว้นสิ่งใด และรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดบ้าง
นี่ไงประสบการณ์ชีวิต ผมอ่านแล้วบอกตัวเอง ประสบการณ์แบบนี้ที่ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วย หรือปีนหน้าผาสูงชัน หรือเดินทางหมื่นลี้ หรือเสพยาเสพติด แต่ทว่าเป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการเดินทางภายใน เป็นการเดินทางของชีวิต ทำความรู้จักกับชีวิตระหว่างการก้าวไปข้างหน้า เพราะในแต่ละวันมีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นและผ่านเข้ามาให้เราเรียนรู้มากมาย
หนูหอมหัวใหญ่นั่นแหละที่สอนสิ่งเหล่านี้ให้แก่พ่อของเธอ สอนให้เรียนรู้ที่จะรักอย่างไร้ขอบเขต สอนให้เรียนรู้ที่จะอดทน สอนให้รู้จักความอ่อนโยน ฯลฯ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้เป็นนักเขียน หรือบุคคลในอาชีพอื่นๆ,หรือต๋อง ศิษย์ฉ่อย นักสนุกเกอร์, หรือ ภราดร ศรีชาพันธุ์นักเทนนิส หรือ อดีตแชมป์มวยสากล แสน ส.เพลินจิต หรือใครก็ตามที่ทำงานตามสายงานของตน ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ต่างก็ได้เรียนรู้ชีวิตจากการงานของตนทั้งสิ้น
ถ้าไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่ประสบมาแล้วก็ไม่อาจเรียกว่าประสบการณ์ได้ เพราะประสบการณ์นั้นไม่ใช่เพียงแค่การพบและผ่านมาเท่านั้น แต่ทว่าต้องได้เรียนรู้จากสิ่งที่พบและผ่านมาด้วย บางคนผ่านมาทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ทว่าไม่ได้รู้จักตัวเองหรือชีวิตดีขึ้นเลย นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมานั่นเอง ---------------------------------------------
Create Date : 16 มกราคม 2549 |
|
20 comments |
Last Update : 16 มกราคม 2549 11:31:46 น. |
Counter : 484 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย (พ่อพเยีย ) 16 มกราคม 2549 4:23:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่เจี้ยวค่ะ (sutida_jeaw ) 16 มกราคม 2549 8:15:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: J IP: 203.154.114.149 16 มกราคม 2549 9:30:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายคา 16 มกราคม 2549 11:47:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: filmgus 16 มกราคม 2549 13:30:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: filmgus 16 มกราคม 2549 13:32:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: stillstranger IP: 58.10.160.242 16 มกราคม 2549 21:43:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดุสิตา (ดุสิตา ) 16 มกราคม 2549 22:13:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตะเบบูญ่า IP: 58.136.66.135 16 มกราคม 2549 22:45:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่เจี้ยวค่ะ (sutida_jeaw ) 17 มกราคม 2549 2:13:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: P.Ta 17 มกราคม 2549 13:23:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่เจี้ยวค่ะ (sutida_jeaw ) 18 มกราคม 2549 4:44:52 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
นนทบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]
|
ด้วยความยินดี... หากมีผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่าย,บทความ หรือข้อเขียนต่างๆ ใน Blog นี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด สามารถทำได้เลยทันที โดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
เว้นเสียแต่ว่า
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย
|
|
|
|
|
|
|
ปรากฏว่าไม่สบายเล็กน้อย
คิดว่าพักฟื้นสักวันสองวันก็คงหาย
หวังว่าทุกคนที่เข้ามอ่านคงสบายดีนะครับ
ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลต่างๆในการประกวดบล็อกด้วย