Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
25 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 18+19

ดวงใจในเงาจันทร์
18 - พ่อ


ราวๆสองสามวันต่อมา ราเชนทร์ก็ได้รับการติดต่อจากบริษัททัวร์ที่ไปสมัครงานทิ้งไว้ และคำตอบที่ได้รับก็เป็นดังคาด เขาไม่ผ่านการสัมภาษณ์งาน!

...ก็บอกกันมาเลยตั้งแต่วันนั้นให้จบๆไป ทำเป็นเรื่องมากไปได้

ราเชนทร์หัวเราะในใจแล้วส่ายหน้ากลุ้มๆให้กับตัวเอง ทีนี้ก็คงต้องหางานใหม่อีกแล้วสินะ จะเป็นที่ไหนดีล่ะ หายากๆอยู่ด้วย

ย้อนกลับมานั่งที่นอกชานบ้าน มองดูอากาศแจ่มใสพลางคิดถึงว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี

“เป็นไงบ้าง ไม่ผ่านสัมภาษณ์เหรอ”

ผีสาวถามมาจากทางด้านหลัง ราเชนทร์ไม่ได้มองดูเธอด้วยซ้ำ เขาเพียงแต่เอนหลังนอน แล้ววริสาก็หย่อนตัวนั่งยองๆอยู่ข้างๆ ทั้งเขาและเธอต่างมองดูท้องฟ้าที่มีสีฟ้าสดใส มองดูนกที่บินแหวกอากาศและนานๆก็จะเห็นปุยเมฆลอยผ่านเข้ามาในกรอบสายตา

“ลองหาที่ใหม่ไหม?” วริสาถาม

“ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากทำอะไรสักอย่างล่ะคุณ เป็นลูกจ้างคนอื่นก็ไม่มีอิสระ แล้วก็ต้องไปวนเวียนอยู่กับวังวนบ้าๆอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่อยากกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมเช้าทำอย่างนั้นเย็นทำอย่างนี้เหมือนคนอื่นหรอกนะ...ไร้ค่า”

“แล้วคุณไม่รู้สึกเหรอว่าอิสระที่คุณมีมันก็ออกจะไร้ค่าไปหน่อย” วริสาถาม

ราเชนทร์จ้องกลับ เขาไม่ค่อยพอใจนักหรอกที่ถูกว่ากล่าวเช่นนี้ ก็ยอมรับว่าคำพูดนั้นมีส่วนถูก แต่เขาไม่ชอบฟังมันออกจะแทงใจดำกันเกินไป

...วริสายังพูดไม่จบ

“อิสระในชิวิตเป็นเรื่องดี ถ้าทำได้นะ แต่คงยาก เพราะเห็นแสวงหากันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาที่สิบสามแล้ว ก็ยังไม่เจอเลย ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นหุ่นยนต์ ทำงานอยู่ในกรอบบังคับและไร้ค่า แล้วคุณล่ะ...อิสระที่พูดถึงนั่นคืออะไร อาจจะถูกที่ว่ามันไม่ไร้ค่า แต่นั่นก็เพราะมันไม่มีอะไรเลย ถามตัวเองสิว่ามันมีแก่นสารอะไรรึเปล่ากับอิสระที่คุณเลือกน่ะ”

ราเชนทร์หลบสายตาหญิงสาวเสีย ที่เอพูดมานั้นก็ถูกอีกนั่นแหละ อิสระงั้นหรือ ก็แค่คำพูดโก้เก๋ที่เอาไว้หลอกคนอื่น สร้างภาพให้ตัวเองดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเขารู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้างหรือเปล่า ความฝันสักอย่างก็ไม่มี อิสระของเขาจึงล่องลอยเสียยิ่งกว่าสายลมที่กำเนิดมาและพัดกระจายไร้จุดหมายเสียอีก มันไม่มีอะไรเลย...คำพูดชวนเจ็บปวดใจ

แต่ถึงจะรู้อย่างนี้แล้วก็เถอะ เขาก็ไม่อาจยอมรับได้

“คุณเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่าเนี่ยะ?” วริสาถาม

“อือ”

“แล้วจะทำอะไรต่อดี?”

“ไม่รู้”

“นี่คุณไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม?”

“อือ” ราเชนทร์ลุกนั่งพร้อมๆกับที่วริสาถอนใจเฮือก “ผมถามคุณจริงๆนะ ทำไมคุณต้องมาวุ่นวายจัดการชีวิตผมนัก?”

เขามองวริสาตรงๆ ในระยะห่างกันแค่นี้ทำให้เห็นใบหน้าหมดจดนั้น สัมผัสที่ส่งออกมาจากจิตของวริสาสื่อให้เขา ชวนหดหู่ โศกเศร้า แม้ในท่าทีและคำพูดที่วริสาชอบทำเป็นประจำจะไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เลย แต่เขากลับรับรู้ถึงมันได้ เธอเป็นผีที่น่าสงสารมากกว่าน่ากลัวเสียอีก

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ฉันก็แค่อยากจะตอบแทนคุณที่คุณคอยช่วยเหลือฉันเท่านั้นแหละ”

ราเชนทร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ และเขาเองก็พยายามทำความเข้าใจให้ได้ว่า มันจำเป็นขนาดนั้นเชียว ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาให้ดีขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทน

...บอกใบ้ให้หวยเขาไม่ง่ายกว่าหรือ

“พูดถึงเรื่องนี้ก็ดีแล้ว” ราเชนทร์พูด “ตกลงคุณจะให้ผมทำยังไงเรื่องคุณพ่อคุณ ผมจะได้รีบๆจัดการเสีย เสร็จแล้วคุณจะได้ไปที่ที่คุณควรไป”

สุ้มเสียงฟังๆแล้วแล้งน้ำใจไปนิด เขาต้องการขับไล่ไสส่งเธอขนาดนี้เลยหรือ ถามใจตัวเองแล้วก็ว่าไม่ใช่ เพียงแต่จิตใจไม่เป็นสุขตั้งแต่ตอนแรกส่งผลกระทบให้เขาเลือกใช้น้ำเสียงผิดอย่างนี้

นี่วริสาจะคิดอย่างไรกับคำพูดของเขาบ้างก็ไม่รู้ เดี๋ยวงอนแล้วหายตัวไปอีกก็แย่เลย

“ฉันอยากไปหาพ่อนะ แต่ว่าฉันเข้าบ้านหลังนั้นไม่ได้น่ะ เอางี้ไหม เดี๋ยวเย็นนี้คุณไปบ้านคุณพ่อฉัน แล้วก็บอกว่า คุณเห็นฉันเข้าบ้านไม่ได้ เพราะพ่อไม่ยอมจุดธูปบอกเจ้าที่”

“บ้าเหรอคุณ ผมไม่ใช่หมอผีนะ ถึงจะพูดจาแบบนั้นได้”

“งั้นก็บอกไปว่าฝัน บอกไปอย่างนี้แหละ”

“แล้วทำไมไม่เข้าฝันคุณพ่อเองเล่า” ราเชนทร์ถาม วริสายิ้มแห้งๆแล้วอ้อมแอ้มตอบ

“ก็...ฉันเข้าฝันไม่เป็นน่ะ ไม่มีใครสอนนี่”

ราเชนทร์กุมขยับ... เหลือเชื่อเลย อะไรของเขาเนี่ยะ

“แล้วทำไมครั้งก่อนๆผมถึงฝันเห็นคุณล่ะ พี่มินทร์อีก คุณมลด้วย”

“ไม่รู้สิ” วริสาพูด “ตอนนั้นฉันยังมึนๆงงๆอยู่ในโลกโน้นอยู่เลย จะมาเข้าฝันใครได้ไง มันคงเป็นลางบอกเหตุมั้ง”

ก็ถ้าเป็นอย่างที่วริสาบอก เธอไม่ได้ไปเข้าฝันใคร มันก็อาจจะจริงที่ว่าสิ่งนั้นคือลางบอกเหตุหรือไม่ก็โชคชะตาอะไรบางอย่างที่ชักนำให้คนทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยให้มาเจอกัน พบกันแล้วก็สร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เขาเองก็เป็นหนึ่งในนี้ด้วยสิ

“ว่าไง ทำตามนี้นะ” วริสาทวง

ราเชนทร์อึดอัดเล็กน้อย เขายังจำได้ถึงวันงานศพของหญิงสาว ตอนที่เจอหน้าคุณวันชนะนั้นเขาทำตัวไม่ถูกเลย ชายคนนั้นค่อนข้างเงียบขรึมจนยากจะเข้าหน้าติด นี่เขาต้องไปเยี่ยมด้วย ตายแน่เลยงานนี้

แต่ถ้าไม่ไป จะโดนวริสาเล่นงานหนักกว่ารึเปล่า อันนี้น่าเป็นห่วงกว่า...

“เอาเถอะคุณ แล้วเย็นนี้จะไป พ่อคุณชอบทานอะไรล่ะจะได้ซื้อติดมือไปฝากด้วย”

วริสายิ้มแฉ่งแล้วอธิบายยืดยาว

*********


ความรักเป็นเรื่องที่น่าสงสัยหรือเปล่า ความรักที่เห็นๆกันทั่วไปน่ะ เป็นเรื่องที่น่าสงสัยหรือเปล่า เวลาเราเห็นคู่รักบางคู่กระหนุงกระหนิงกัน เราก็จะรู้สึกว่าช่างเหมาะสมกันเสียจริงๆเลย คนคู่นี้ต้องรักกันมากแน่ๆ แต่กับคู่รักบางคู่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น พอเห็นแล้วจะรู้สึกค้างคาใจว่า รักกันไปได้ยังไง มีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังไหม อย่างเช่นคู่รักของดารา คู่รักของคนรวยกับคนจน คู่รักต่างวัย

ไม่ต่างอะไรไปจากคู่ของวันชนะกับนาถยา

ขนาดคนนอกแท้ๆยังคิดอกุศลว่าความรักครั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ แล้วจะไม่ให้วริสาคิดก็คงเป็นไปไม่ได้เลย

ราเชนทร์รู้ดีว่าถ้าหากเขาไปเยี่ยมพ่อของวริสาเพียงคนเดียวคงไม่เหมาะนัก เหตุการณ์ชวนอิหลักอิเหลื่ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เขาจึงรวมตัวกับรามินทร์และภาพิมลเพื่อไปเยี่ยมคุณวันชนะในเย็นวันนั้น

“พ่อฉันชอบกินรังนก พ่อชอบพูดตลกๆว่าที่รวยมาได้อย่างนี้เพราะเมื่อก่อนตอนเป็นเด็กยากจนมาก ไม่มีเงินซื้อรังนกกิน เลยแค้นใจ โตมาเลยทำงานงกๆๆจนรวย” วริสาเล่าแล้วก็หัวเราะ หากแต่ในยามที่เธอเล่านั้น รัศมีรอบกายดูจะเปล่งประกายเจิดจรัส “แต่ก็ไม่ซื้อกินทุกวันนะ จะกินเฉพาะโอกาสพิเศษ ไม่เหมือนฉันเลย เวลาอยากได้อะไรก็ได้ตลอด” น้ำเสียงของเธอเศร้าลงตรงนี้อีกครั้ง ก่อนจะรีบปรับให้ฟังร่าเริงอีกหน่อย “แล้วอย่าลืมซื้อขนมครกไปด้วยนะ นี่พ่อก็ชอบ”

ได้รังนกมาจากซุปเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านแล้วก็แวะเลยเข้าตลาดสด ตลาดสดแห่งนี้กว้างใหญ่ เขาแอบนึกในใจว่าเป็นอาณาจักรขนาดย่อมได้เลยทีเดียว และอาณาจักรซื้อขายแห่งนี้ก็อยู่ใต้ท้องฟ้าที่กำลังเปล่งประกายสีทองสว่างไสว ลำแสงสีทองส้มที่ทอทาบลงมาจับต้องทุกอย่างจนสุกปลั่ง กลบกลืนสีเดิมไปเสียสิ้น

ราเชนทร์กับภาพิมลตรงแน่วไปยังร้านขายขนมครกซึ่งมีอยู่เพียงจ้าเดียวเท่านั้น ส่วนรามินทร์ขอตัวนั่งรอที่รถ

กลิ่นขนมโชยมา หอมทั้งกลิ่นแป้งสุก กลิ่นกะทิ พอแม่ค้าควักขนมครกขึ้นมาจากกระทะที่เป็นหลุมๆนั้น ก็จะเห็นผิวที่เป็นทรงนูนโค้งเป็นสีน้ำตาลเหลือง ท่าทางจะกรอบน่าดู แล้วขนมครกสองฝาก็ประกบกันวางไว้ในถาดหลายคู่

“คุณเชนทร์รู้ได้ไงคะว่าพ่อยัยริสชอบอะไรบ้าง” ภาพิมลเท้าสะเอวถาม ดวงตาวาววามไม่ไว้ใจเขาอย่างที่สุด

ราเชนทร์หน้าเจื่อน

“ว่าไงคะ”

“คือ... ไว้ผมจะเล่าให้คุณฟังทีหลังนะ”

ราเชนทร์ตัดบทลงแค่นี้และก็คิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะพูดอะไรมากเกินไป

...มันยังไม่ถึงเวลา

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ชักสงสัยว่าเพราะตัวเขาเองหรือเปล่าที่ชอบทำอะไรให้มันยุ่งเหยิงขนาดนี้ หรือที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมัยนขมวดมั่วๆก็คือแม่ผีสาวนั่น!

ต้องเป็นวริสานั่นแหละ... เจ้าแผนการนักนี่

กว่าจะเดินทางถึงบ้านของวริสาได้ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เผลอแป๊บเดียวแสงสีบนฟ้าก็เปลี่ยนจากสีส้มทองกลายเป็นสีฟ้าแล้วก็สีครามเข้มค่อนไปทางดำ มีดวงจันทร์ครึ่งดวงโผล่ออกมาให้เห็น ส่วนดาวนั้นก็คงมีเพียงแต่แสงไฟจากพื้นโลกที่เปิดสว่างโร่กลบแสงระยับยิบๆเสียหมด

บ้านของวริสาหลังใหญ่โตจริงๆ แต่ก็คงเป็นได้เพียงสถานที่มโหฬารที่ไร้ชีวิตชีวา ไร้จิตวิญญาณ แม้แต่โคมไฟคู่ที่ตั้งไว้หน้าบ้านตรงประตูรั้วยังเป็นเพียงแสงหม่นๆกระด้าง ปูนและอิฐที่ก่อขึ้นเป็นตัวตึกดูแข็งกร้าว แม้แต่ต้นไม้ในกระถางยังไม่อาจช่วยขัดเกลาให้อ่อนโยนลงได้ ราเชนทร์รู้สึกเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเขารู้เรื่องราวของบ้านหลังนี้มาก่อนล่ะมั้ง รู้ว่าพ่อลูกต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน รู้ว่ามีคนตาย รู้ว่าความรักของคนในครอบครัวนี้เป็นเพียงเส้นใยเล็กๆบางๆที่จวนจะขาดสะบั้นอยู่รอมร่อ

และรู้ว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นตามมากับวันชนะ!

พอเข้าไปในบ้านแล้ว คนที่ออกมาต้อนรับทั้งสามคนคือนาถยา หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสเรียบๆไม่มีการตกแต่ง แต่ก็ถือว่าดูดี

“สวัสดีค่ะ ดีใจจังเลยที่ทุกคนมา เชิญเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ”

ทั้งหมดเข้าไปในบ้านตามคำเชื้อเชิญของนาถยา และทันทีที่ก้าวเข้าไป ราเชนทร์ก็รู้สึกว่าที่นี่ใหญ่โตจนเกินกว่าคนธรรมดาจะอยู่ โถงหน้ากว้างมีโคมไฟระย้าห้อยลงมา เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นค่อนข้างหรูหรา และถูกขัดถูจนขึ้นเงา จนสะท้อนแสงไฟแพรวพราวเลยทีเดียว นาถยาบอกให้แม่บ้านนำน้ำมาเสิร์ฟแล้วบอกให้ทุกคนนั่งรอวันชนะที่ชุดรับแขกซึ่งตั้งอยู่เยื้องเข้าไปทางด้านในอีกหน่อย

“เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สบายดีกันหรือเปล่า น้องมลล่ะคะ ไม่ได้เจอกันเสียตั้งนาน”

นาถยาพูดขึ้นหลังจากที่เธอหย่อนตัวนั่งเป็นคนสุดท้าย ภาพิมลเพียงแต่ยิ้มบางๆให้ครั้งหนึ่งก่อนแล้วตอบเรียบๆว่าสบายดี ราเชนทร์พอจะมองออกว่าภาพิมลไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่มันก็ถูกต้องดีแล้วนี่นา ภาพิมลเป็นเพื่อนกับวริสา เมื่อผีสาวไม่ชอบใคร ภาพิมลก็ย่อมต้องรู้สึกอย่างเดียวกัน

ทว่าเขากลับไม่คิดเหมือนวริสาสักเท่าไหร่ เขามองอย่างไรก็เห็นว่านาถยาไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายเลวทรามอะไรขนาดนั้น

เหมือนจะทรยศวริสานิดๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้...

“คุณวันชนะคงดีใจนะคะที่เห็นพวกคุณ เพราะท่านคิดถึงน้องริสมาเลย ถ้าเป็นไปได้อยากจะรบกวนให้มาบ่อยๆได้ไหมคะ ท่านอาจมีอาการดีขึ้น”

“คุณพ่อเป็นอะไรคะ” ภาพิมลถาม นาถยาทำหน้างุนงงเล็กน้อยแล้วหันมามองราเชนทร์ ราวกับจะส่งคำถามมาว่า เขาไม่ได้บอกหรือ ซึ่งก็ถูกจริงๆ เขาไม่ได้บอกใครเลย

“คือคุณวันชนะป่วยเพราะว่าคิดถึงคุณริสน่ะครับ” ราเชนทร์บอก แล้วสายตาขุ่นๆของภาพิมลก็ตวัดกลับมายังเขาราวกับจะกรีดเฉือน

...น่ากลัวจริงๆผู้หญิงพวกนี้

“ค่ะ อย่างที่คุณเชนทร์บอก ฉันก็เลยอยากขอร้องให้มาเยี่ยมท่านบ่อยๆ ถ้าเป็นไปได้นะคะ ยังไงก็ต้องขอรบกวนด้วย”

ภาพิมลอึกอักเหมือนจะพูดถ้อยคำเผ็ดร้อนอะไรบางอย่างออกไป บางทีอาจเป็นคำพูดที่ว่า เธอต้องมาเยี่ยมพ่อของเพื่อนอยู่แล้ว เพราะไม่ไว้วางใจภรรยาคราวลูกอย่างนาถยา หรือไม่ก็อาจจะอยากพูดว่า คุณวันชนะคงไม่เป็นอย่างนี้ ถ้าหากไม่มีคนอื่นเข้ามาทำให้วริสาต้องออกไปตาย แต่ก็นั่นแหละ ภาพิมลอาจคิดเช่นนี้หรือไม่คิดอะไรเลยก็ได้ เขาก็สุดจะรู้

ในช่วงจังหวะที่กรุ่นๆกันอยู่นั้น วันชนะก็ออกมาพอดิบพอดี ชายวัยกลางคน ผมสองสี เดินช้าๆโดยมีแม่บ้านเดินนอบน้อมตามหลัง พอนาถยาเห็นก็รีบลุกเข้าไปประคอง

...ท่าทีไม่ขัดตาเลยสักนิด แต่ก็เชื่อได้ยากว่าจะรักกัน...

ทั้งสามลุกขึ้นแทบจะพร้อมกันแล้วก็ไหว้ทักทายผู้สูงวัยกว่า วันชนะเพียงแต่รับไหว้พวกเขา ด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายอะไรนัก

พอวันชนะนั่งลง ทุกคนจึงได้นั่งตาม ราเชนทร์เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดที่พองขยายอย่างเงียบๆ มันกำลังจะบีบอัดทุกคนให้บี้แบนจนพูดอะไรไม่ออก

“ลมอะไรหอบมาล่ะ”

คุณวันชนะถาม ราเชนทร์หันไปขอความช่วยเหลือจากรามินทร์และภาพิมล

“พอดีมลคิดถึงคุณพ่อน่ะค่ะ เลยชวนคุณมินทร์กับคุณเชนทร์มาด้วย แล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าคุณพ่อป่วย ถ้ารู้เร็วกว่านี้มลคงมาตั้งนานแล้ว”

ราเชนทร์รู้ดีว่าภาพิมลต้องการกระทบกระแทกนาถยา หากคนที่รู้สึกรู้สากลับเป็นเขา ก็เขาเองนั่นแหละที่รู้แล้วไม่ยอมบอกใคร ภาพิมลคงลืมคิด

“พ่อไม่เป็นไรหรอก แค่โรคเก่า พอถึงเวลามันก็มาทักเสียทีหนึ่ง แล้วเดี๋ยวมันก็หาย”

“แล้วท่านไปหาหมอรึยังครับ ให้หมอดูอาการ” รามินทร์เริ่มพูดบ้าง แต่คนตอบเป็นนาถยา

“ไปหาแล้วค่ะ หมอก็ให้ยามาแล้วด้วย แต่ท่านดื้อไม่ยอมกินยา ก็เลยไม่หายอย่างนี้”

คนถูกดุหัวเราะกว้างๆเปิดเผย แต่กระนั้นราเชนทร์ยังรู้สึกว่านี่เป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น ในใจของคุณวันชนะไม่น่าจะมีความสุขอย่างนี้

“คุณพ่อคะ ดูสิ คุณเชนทร์ซื้อของมาฝากด้วยแหละ” ภาพิมลเริ่มออดอ้อน

ราเชนทร์ยิ้มแหยส่งให้‘คุณพ่อ’ที่กำลังหันมามองเขา นึกหวั่นๆเล็กน้อยทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ดุอะไรนัก แต่อาจเป็นเพราะความไม่คุ้นชินกับการเข้าหาผู้ใหญ่ของเขาจึงทำให้ประหม่าเช่นนี้

“นี่ครับ” ราเชนทร์ยื่นของในถุงให้ อีกฝ่ายก็รับไป

“เปลืองเงินเปลืองทองเปล่าๆ ความจริงไม่ต้องก็ได้นะ” คุณวันชนะพูดแทนคำขอบคุณ “แล้วนี่ซื้ออะไรมาบ้างล่ะ”

“รังนกกับขนมครกครับ”

สิ้นคำพูด มือของวันชนะก็อ่อนลง แววตามีประกายแสงจับจ้องมาทางเขาครู่หนึ่ง ทุกคนนิ่งงันราวกับถูกสาป

“ท่านไม่ชอบหรือครับ” ราเชนทร์หยอดคำถาม นึกในใจว่านี่คงกระตุ้นผู้อาวุโสกว่าได้ ถือเป็นการดีเลยทีเดียวที่เขาจะสานบทสนทนา

“เปล่าหรอก แค่รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้กินมานานแล้ว” วันชนะตอบ

นาถยาที่นั่งอยู่ข้างหน้าซีด และภาพิมลเองก็ดูจะอึ้งไปนิด

และนี่ก็คงถึงเวลาแล้ว...

“ไม่แปลกหรอกครับ เพราะคุณริสเธอบอกผมเอง”

ทั้งสี่คนช็อกและหันมามองเขาเป็นตาเดียว จะมีก็แต่รามินทร์ที่ตั้งสติได้ไวกว่าใครจึงรีบพูดดัก

“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะไอ้เชนทร์”

“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะพี่ ผมพูดจริง ผมเห็นคุณริสในฝัน”

ความเคร่งเครียดของทุกคนบรรเทาลงบ้าง แต่ก็ไม่มากพอจะสลายไป

“คุณฝันเห็นริสหรือ” วันชนะถามสีหน้าขึงขัง

“คุณริสเธอบอกว่าอยากกลับบ้าน แต่ว่าเธอเข้าบ้านไม่ได้เพราะเจ้าที่ไม่ยอม ต้องให้ท่านจุดธูปบอก เธอถึงจะเข้ามาได้ครับ”

ราเชนทร์เห็นวันชนะหันไปทางนาถยา หญิงสาวสีหน้าร้อนรน

“เห็นไหมคะ นาถบอกแล้วว่านาถเห็นน้องริส”

“แต่...” วันชนะอึกอักลังเล “ไม่จริงหรอก ผมไม่เชื่อ”

นี่หมายความว่า วริสาเคยมาปรากฏกายให้นาถยาเห็นแล้วและนาถยาก็น่าจะบอกวันชนะแล้วด้วย แต่วันชนะไม่เคยเชื่อเลยงั้นหรือว่าลูกตัวเองยังวนเวียนอยู่ในโลก

...น่าสงสารวริสานะ มิน่าล่ะ ถึงบ่นว่าไม่เคยได้เสื้อผ้าใหม่เลย ก็พ่อของเธอไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้ มันก็พอจะเข้าใจได้อยู่

“ผมก็ไม่ได้หวังว่าท่านจะเชื่อหรือไม่หรอกนะครับ คุณริสเพียงแต่มาขอความช่วยเหลือไว้ ผมก็เลยมาบอกตามนั้น”

“แล้วทำไมริสต้องไปเข้าฝันคุณ ทำไมลูกถึงไม่มาเข้าฝันผม” วันชนะเริ่มโมโห ราเชนทร์ไม่รู้เลยว่า ในความคิดของชายผู้นี้มีอะไรอยู่บ้าง

“แต่มลก็เคยฝันเห็นริสเหมือนกันนะคะ คุณมินทร์ก็ด้วย” ครั้งนี้ภาพิมลออกโรงช่วย ราเชนทร์อยากจะขอบคุณเธอเสียจริงๆ

ผู้อาวุโสที่สุดหน้านิ่ว ในดวงตาประกายวาวไปด้วยน้ำ นาถยาบีบมือเขาเอาไว้แน่น

“ทำไมริสถึงไม่มาเข้าฝันผม ทำไมริสถึงไม่มาหาพ่อแต่กลับไปหาคนอื่น”

วันชนะไม่ได้ถาม เพียงแต่กำลังรำพันกับตัวเอง ราเชนทร์เริ่มรู้สึกว่าบางสิ่งที่โอบคลุมห้องนี้เริ่มเปลี่ยนไป หรืออาจเป็นความรู้สึกของเขาที่มีต่อวันชนะที่เปลี่ยนแปลง ผู้ชายตรงหน้ากำลังคร่ำครวญเรื่องลูกที่ตายไปแล้ว สำนึกความผิดบาปที่ตัวเองได้กระทำไว้

“ริสคงโกรธผมมาก”

“ไม่หรอกครับ” ราเชนทร์พูด “คุณริสไม่ได้โกรธท่านหรอกครับ ถ้าเธอโกรธ เธอจะบอกให้ผมมาเยี่ยมท่านทำไม”

ประกายความเศร้าหมองจากวันชนะเริ่มคลายลง เขาหันมามองราเชนทร์ราวกับว่าคำพูดที่ชายหนุ่มเพิ่งเปล่งออกไปเมื่อครู่เป็นความหวังที่ชโลมความรู้สึกที่แห้งแล้งให้ชุ่มชื้นขึ้นบ้าง

“ริสเป็นห่วงท่านมาก ตอนที่ผมเจอเธอ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะครับ” ราเชนทร์เสริม เขาไม่ได้โกหก ไม่ได้แต่งเรื่อง เขาเจอวริสาจริงๆ และทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องครอบครัว วริสาจะเกรี้ยวกราดเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ก็หม่นเศร้าลงกะทันหัน ถ้าหากเธอไม่ห่วง แล้วจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ

ภายในห้องสงบเงียบ ไม่มีการสนทนาใดๆแทรกเข้ามา เหมือนทุกคนพร้อมใจกันให้วันชนะได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกดีๆไปสักพัก

บางที...นี่อาจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วริสาตาย ที่วันชนะพอจะมีความสุขได้บ้าง

*********

*********

*********




ดวงใจในเงาจันทร์
19 - บ้านหลังใหญ่


วริสากลับมาอยู่ในมิติคู่ขนานอีกครั้ง แสงสีน้ำเงินโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน ลูบไล้ผืนดินและสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย รวมไปถึงต้นไม้ใบหญ้าที่โบกไหวๆ

วริสาเหม่อมองไปยังบ้านของเธอ บ้านซึ่งเธอละทิ้งไปถึงสามปี ตอนนี้เธออยากกลับบ้านแล้ว แต่ก็กลับเข้าไปไม่ได้ เพราะอาณาบริเวณบ้านมีโดมแก้วคลุมกันไม่ให้ภูตผีตนใดเข้าไปได้ สิ่งเดียวที่เธอต้องข่มใจทำก็คือรอและภาวนาให้ราเชนทร์ทำสำเร็จ

ขอให้เธอได้กลับเข้าบ้านด้วยเถิด เธออยากเจอพ่อจริงๆ

“ทำไมถึงอยากเจอ” กระแสเสียงแสนคุ้นเคยถามขึ้น วริสาเหลียวมองรอบข้างราวกับว่าจะพบตัวตนเจ้าของเสียง แต่ก็เปล่า ไม่มีอะไรนอกจากความว่างที่ปรากฏ

“ไม่รู้สิ ก็แค่อยากเจอ”

“ห่วงใย ผูกพัน สายใยที่ยากจะตัด”

คำพูดละม้ายจะเยาะเย้ยแต่ก็ไม่ใช่ หรือจะเทศนาก็ไม่เชิง คล้ายกับการหยอกยั่วเล่นของเพื่อนฝูงมากกว่า

“พูดอะไรน่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” วริสาบอก “ที่อยากเจอก็เพราะมันเป็นหน้าที่ หน้าที่ของลูกที่ต้องดูแลพ่อ ก็แค่นั้น”

นั่นแหละ มันเป็นอย่างที่เธอพูด ห่วงใยอะไรกัน ไม่มีหรอก มันไม่มีนานแล้วนับตั้งแต่พ่อเลือกนาถยาแทนที่จะเลือกเธอ แต่เหตุที่ต้องกลับมาเพราะมันเป็นหน้าที่... หน้าที่ หน้าที่ ต้องจำไว้ใส่ใจ

“มนุษย์มักหาเหตุผลให้การกระทำของตนเสมอจริงไหม”

เสียงนั้นเย้าแหย่มาอีกครั้ง แต่วริสาก็ยังดื้อรั้นที่จะไม่ฟัง

“หรือจะให้ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลหรือไง”

“ทำตามเหตุผล กับหาเหตุผลมารองรับการกระทำ มันต่างกันนะ”

“ไม่เข้าใจ”

“แกล้งไม่เข้าใจมากกว่า”

ไม่มีแววระอาเจือมากับกังวานเสียงนั้นแม้แต่น้อย หากเสียงนี้มีตัวตน ก็คงเป็นคนอารมณ์ดีอย่างที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงก็เป็นคำตำหนิอยู่ดี

วริสากอดอกถอนใจแรงๆ และท่าทางของเธออาจชวนให้ขำแว่วเสียงหัวเราะจึงดังมาให้ได้ยิน

“อย่ามองเห็นแต่ตัวเองสิ เพราะถ้า เจ้าปล่อยวางสิ่งที่เจ้ายึดถือ เจ้าจะได้รับสิ่งใหม่ที่ดีกว่า”

“พูดอะไรให้งงอีกล่ะ”

“คนใดคนหนึ่งผู้ ใจฉกรรจ์ เคียดฆ่าคนอนันต์ หนักแท้ ไป่ป่านบุรุษอัน ผจญจิต เองนา เธียรท่านเยินยอแล้ ว่าผู้มีชัย* ข้าจะรอวันที่เจ้าเข้าใจโคลงบทนี้ นั่นแหนะ...มีคนจุดธูปเรียกเจ้าแล้ว ไปเถิด”

วริสานิ่วหน้าให้กับคำพูดนั้นแล้วมองไปยังบ้านของตน เกราะแก้วที่คลุมโอบรอบบ้านยังคงปกติดี เว้นเสียแต่ก็ตรงประตูรั้ว เกราะบริเวณนั้นแหว่งหาย กลายเป็นโพรง และบริเวณขอบโพรงนั้นก็เป็นประกายวิบวับราวกับกระดาษถูกไฟลน เป็นแสงแดงๆส้มๆไล่ขยายเป็นวงกว้าง

วริสากล้าๆกลัวๆ ใจหนึ่งก็อยากเข้าไป แต่อีกใจก็บอกว่าไม่พร้อม จะเข้าไปทำไม จะเข้าไปทำไม

หน้าที่... หน้าที่... แค่เท่านั้นแหละ

“เจ้ารู้ไหม อะไรที่น่ากลัวกว่าความพ่ายแพ้”

วริสาส่ายหน้าช้าๆ

“ความลังเลคือสิ่งที่น่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ ตราบใดที่มัวแต่พะว้าพะวง เจ้าก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาต่างๆให้ลุล่วงไปได้... ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง!”

*********


วริสาไม่อาจปัดเป่าความทรมานใจให้พ้นไปได้

พ่อนั่งอยู่ในห้องทำงาน หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ด้านหลังมีชั้นวางหนังสือและตู้เก็บเอกสารที่จัดไว้เป็นระเบียบ พ่อนั่งอยู่ตรงนั้นดูตัวเล็กลงกว่าเมื่อก่อน ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนเอง พ่อดูทรุดโทรมลงไปขนาดนี้เชียวหรือ

ดวงตาของพ่อไร้ประกายแห่งความสุข มันประจุแน่นไปด้วยความแห้งแล้งและขุ่นมัว

“พ่อคะ”

วริสาตรงมาที่ข้างๆ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่ามองหน้าผู้เป็นพ่อ

“พ่อคะ ริสอยู่ตรงนี้”

วริสาลองเอื้อมมือสัมผัสกับแขนพ่อ หากไม่ว่าจะกี่ครั้ง มือของเธอก็วูบผ่านไป ผ่านไป ไม่อาจสัมผัสได้เลย

ที่จริงเธออยากปรากฏกายให้พ่อเห็นเป็นตัวเป็นตนเหมือนกัน อย่างเวลาที่เธอรวบรวมพลังงานตอนติดต่อกับราเชนทร์ แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้น อาจเพราะเธอห่วงว่าหากพ่อเห็นเธอแล้วพ่อจะทุกข์ใจ หรือไม่เธอก็ยังฝังใจกับการทะเลาะในวันเก่า

น่าตลกดี...เป็นผีแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่อาจก้ามข้ามทะเลแห่งความวุ่นวายไปได้

สักครู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น วริสาลุกขึ้นยืน ทันเห็นประตูแง้มเปิดแล้วนาถยาก็โผล่เข้ามา

...รู้สึกร้อนลึกๆ

“คุณคะ เข้านอนเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว” นาถยาอ้อมเข้ามา วริสาออกมายืนจังก้า แต่แม่เลี้ยงสาวก็เดินทะลุผ่านตัวเธอไปก่อนหยุดชะงัก แล้วหันกลับมามอง

“มีอะไรรึเปล่าคุณนาถ”

“เปล่าค่ะ” นาถยาปฏิเสธ วริสาเลยเบ้ปากใส่ แต่จากนั้นก็ต้องตาลุกวาวเมื่อเห็นนาถยาวางมือลงบนต้นแขนของพ่อ “คิดถึงน้องริสอยู่เหรอคะ”

วริสากำลังคิดหาทางเล่นงานนาถยาอยู่ เธออาจจะดึงผมผู้หญิงคนนี้ให้หน้าหงาย หรือไม่ก็ปรากฏตัวให้เห็นอย่างคราวก่อน จะได้บ้าไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับพ่ออีก

หากแต่ความคิดอันชั่วร้ายต้องสะดุดกึกเมื่อได้ยินคำพูดของพ่อ

“คุณว่าริสจะยกโทษให้ผมหรือยัง”

พ่อพูดลอยๆแต่ทำให้วริสาต้องนิ่งงัน

“น้องริสไม่โกรธคุณหรอกค่ะ คุณไม่ใช่ต้นเหตุสักหน่อย”

“คุณนาถ...”

นาถยายิ้มจางๆ “นาถเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน”

ยิ่งได้ยินได้ฟัง วริสาก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด หากเป็นสมัยยังมีเนื้อหนัง หน้าของเธอคงเห่อชา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็ยังชิงชังต่อถ้อยคำเหล่านั้น...เสแสร้ง มารยา แถลงการณ์ลวงโลกที่ทำให้ดูดีขึ้น

เธอเกลียดนาถยา!!

“คุณอย่าโทษตัวเองนักเลย”

“นาถไม่ได้โทษตัวเองนะคะ แต่เป็นความจริง นาถรู้ค่ะว่าคุณรู้สึกอย่างไร แต่ส่วนหนึ่งเราก็ต้องยอมรับความจริงว่าการกระทำของเราต้องมีคนไม่เห็นด้วย”

“ทั้งๆที่รักกัน”

“ค่ะ ก็ความรักไม่สามารถวัดค่าได้นี่คะ ความรักจะแสดงออกให้คนอื่นรู้ก็ไม่ได้ แค่เจอคำถามว่ารักคืออะไร รู้ได้อย่างไรว่านั่นคือรัก เราก็ตอบไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะให้คนอื่นเชื่อ คงจะยากสักหน่อย”

วริสานึกชิงชังความใจเย็นคงเส้นคงวาของผู้หญิงที่ยืนข้างพ่อ

“นาถว่าเราอย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องที่บริษัท”

“ผมปล่อยให้คุณจัดการไปนานเลยสินะ ขอโทษที” วริสาเห็นพ่อพูดยิ้มๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ตอนนี้คุณต้องหาคนที่เชื่อใจได้มาไว้ข้างตัว เพราะคนเก่าของคุณกลายเป็นคนฝ่ายคุณอมรไปแล้ว”

วริสาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับบริษัทของพ่อเลย แต่เท่าที่ฟังดู เหมือนกับจะมีการแย่งอำนาจกันอยู่ ปัญหาภายในที่เกิดได้กับทุกๆองค์กร

“ผมพอจะรู้ แต่เราจะหาคนๆนั้นได้ที่ไหนล่ะ ลองอีกฝ่ายเสนอผลตอบแทนมากกว่า มันก็พากันแห่ไปหมด” พ่อพูดใส่อารมณ์

“ถ้านาถเสนอคุณเชนทร์ล่ะคะ คุณจะเห็นด้วยรึเปล่า”

วริสาอึ้งชั่วขณะ พ่อของเธอก็เช่นกัน นี่นาถยาจะเล่นตลกอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆจะเลือกราเชนทร์มาเป็นคนสนิทของพ่อ แม้เธอจะรู้ว่าเขาเป็นคนดี แต่กับนาถยา...สองคนนั่นเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งเองนี่

มีแผนอะไรหรือเปล่า...

“นาถไว้ใจเขานะคะ คนอย่างคุณเชนทร์หักหลังใครไม่เป็นหรอกค่ะ ส่วนเรื่องงานนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะให้ฝึกเสียหน่อยก็คงเป็น”

“คุณคิดอย่างนั้นหรือ”

“ค่ะ”

สีหน้าของพ่อปรับเปลี่ยนไป แม้จะอมเศร้าแต่ก็มีพลังของนักบริหารเจิดจ้าในท่วงทีแห่งการขบคิด การประเมินสถานการณ์จากข้อมูลที่ต้องคัดกรอง

...คำทำนายของมินตราบอกไว้ ราเชนทร์จะต้องเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของเธอ ...นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เขาจะต้องเลือก

“ขอผมคิดดูก่อนนะ” แม้จะพูดไว้เชิง แต่เหมือนพ่อจะคล้อยตาม
นาถยามยิ้มบางๆอีกครั้ง

“ค่ะ”

*********


ราเชนทร์รู้ว่าไม่มีใครเชื่อคำโกหกที่ว่าเขาฝันถึงวริสา อย่างน้อยก็พี่รามินทร์กับภาพิมลนั่นแหละที่ไม่เชื่อ เพราะทั้งคู่ปักใจมั่นว่าเขาไม่ได้ฝัน เขาเห็นต่างหาก ซึ่งมันก็จริงตามนั้น

แต่จะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อเขาไม่ได้คิดที่จะบอกทั้งคู่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้มินตราจะเตือนเอาไว้ว่าควรพูดเพื่อให้เกิดความสบายใจต่อทุกฝ่าย แต่เขาก็ลังเลอยู่ดีว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความสบายใจดังว่า หรือหนักใจกว่าเดิม
เอาเถอะ...ไว้ให้ถึงเวลาก่อนแล้วค่อยบอก

แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่จะถึงเวลาที่ว่า

รามินทร์แวะส่งภาพิมลก่อนแล้วจึงวกรถกลับบ้าน พอถึงบ้านราเชนทร์ก็รีบลงรถ ตรงดิ่งเข้าตัวเรือนทันที ตั้งใจจะรีบเข้าห้องล็อกประตูเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้เป็นพี่ เพราะขืนอยู่ต่อมีหวังเขาอาจโพล่งพูดถึงความลับที่อุตส่าห์เก็บงำไว้ออกมาจนสิ้น

แต่คงไม่ทัน...

“ไอ้เชนทร์ เราเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า” รามินทร์ที่ตามมาด้านหลังถาม
ราเชนทร์บิดลูกกุญแจ สลักเด้งดังกริ๊ก

“ว่าไง หรือไม่เชื่อใจพี่แล้ว”

ราเชนทร์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก น้ำเสียงรามินทร์นั้นจริงจังกว่าทุกคราว ในเวลาสำคัญๆ รามินทร์มักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจเย็นที่เขาเกรงกลัว แม้จะผ่านมาจนอายุปูนนี้แล้ว แต่ลองได้โดนท่าไม้ตายของพี่ชายเข้าไป ก็ทำอะไรไม่ถูก

“ไม่มีอะไรจริงๆครับ โธ่! พี่ก็เลิกมองว่าผมเป็นเด็กสักทีได้ไหม ผมรู้หรอกน่าว่าอะไรควรไม่ควร”

“รู้ว่าเอ็งไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ผู้ใหญ่ที่ตัดสินใจผิดพลาดก็เยอะไป”

“ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยนี่”

“จะบอกให้นะ คนเรามันต้องตัดสินใจกันตลอดเวลาแหละ อย่างที่เอ็งเลือกที่จะไม่บอกความจริง นี่ก็เป็นการตัดสินใจ”

“พี่เลิกเป็นห่วงผมสักทีเถอะ” ราเชนทร์ตอบทันควัน

แล้วทุกอย่างก็นิ่งลง อวลอากาศหยุดนิ่ง แม้แต่เข็มนาฬิกาก็เหมือนจะไม่กระดิก สำนึกลึกๆพาดผ่านเข้ามาในใจ... นี่เขาพลั้งวาจาโหดร้ายทารุณออกไปอีกแล้วหรือ...

“พี่มินทร์...”

คำพูดตะกุกตะกัก สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าบ้าน

หันหลังให้พี่ชายของตัวเอง

*********


วริสาอยู่กับพ่ออีกครู่หนึ่งก็ออกจากห้อง ตั้งใจจะกลับไปบ้านราเชนทร์ แต่ระหว่างที่ลอยเลื่อนลงบันได เธอก็เห็นนาถยาคุยโทรศัพท์ลับๆล่อๆ

“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันไม่ปล่อยให้คุณทำอะไรได้แน่”

วริสาเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะแอบฟังได้ชัดเจน และนี่ก็เป็นข้อดีของผี สามารถล้วงความลับได้! เก่งชะมัด

“ข้อเสนอวันนั้นล่ะ คุณว่าไง”

เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงผู้ชาย ทุ้มๆ ฟังแล้วนึกถึงสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในนิทาน

...ใครกัน

“ข้อเสนอสิ้นคิด” นาถยาตอบกลับ

“ผมก็แค่อยากให้คุณพ้นเวรพ้นกรรมจากไอ้แก่นั่น” วริสาเจ็บจี๊ดเมื่อฟังถึงตรงนี้ “ชีวิตแม่ม่ายเงินล้าน คุณไม่สนใจเหรอ”

นาถยาเยาะ “ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะน่าขยะแขยงอย่างนี้”

“เสียใจจ้ะที่รัก เธอเองก็เคย...อย่างว่าล่ะนะ กับคนน่าขยะแขยง”

“ฉันถึงรังเกียจตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ไง”

นาถยาตอบเสียงสั่น มือที่กำหูโทรศัพท์ก็สั่นเทา วริสารู้สึกถึงความโกรธแค้น ชิงชัง ที่แผ่ซ่านจากจิตใจของนาถยา ทว่าคนที่อยู่ปลายสายกลับหัวเราะเยาะยั่ว

“ดีใจนะที่คุณยังคิดถึงตลอดเวลาน่ะ”

“ไอ้ทุเรศ! ไปตายเลยไป๊!”

โครม! หูโทรศัพท์กระแทกกลับเข้าที่ ลมหายใจแรง ถี่กระชั้น ก่อนจะสะกดใจด้วยการสูดลมเข้าลึกๆ ยาวๆ แล้วระบายออก ใบหน้าแดงกร่ำเพราะความโกรธยังไม่จางหายดี

นาถยาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อีกพักใหญ่ก่อนจะขึ้นบันไดกลับห้องนอน
ทิ้งปริศนามากมายไว้ให้วริสาขบคิด

*********


(*โคลงโลกนิติ เรียบเรียงโดย สมเด็จพระยากรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร)

*********




 

Create Date : 25 กันยายน 2551
3 comments
Last Update : 25 กันยายน 2551 12:31:09 น.
Counter : 472 Pageviews.

 

หึหึ รู้สึกว่าวริสากับเเพชรกะรัตจะคล้ายๆกันเลยเนอะ ตายโดยปราศจากความรัก อิอิ

 

โดย: Tukta21 25 กันยายน 2551 23:15:14 น.  

 

พอดีคำถามนี้มอลลี่เคยถามไว้ใน
"ดวงใจในเงาจันทร์ 16+17"

พลอยกับรักดีตอบช้าไปหน่อยต้องขอโทษทีนะคะ
ปกติไม่ค่อยได้ย้อนไปอ่านอันก่อนๆสักเท่าไหร่น่ะ
จะอ่านก็แต่อันที่เพิ่งอัพล่าสุดมากกว่าค่ะ ^ ^

ขอก๊อปมาวางนี่อีกทีจะได้หายคาใจเนาะ

********************
วริสากับเพรชกะรัต ตายโดยยังไม่ความรักจริงๆค่ะมอลลี่
เพราะกติกาที่ตกลงกับบัดดี้ไว้คือ

ตัวเอกต้องตายอย่างน้อยหนึ่งฝั่ง (555+)
ฉะนั้น งานจะออกแนว คนรักผี ผีรักคน อะไรทำนองนี้
เลยชื่อว่า "โปรเจครักต่างภพ" น่ะค่ะ

จะเรียกว่างานเขียนเอาสนุกระหว่างพลอยกับรักดีก็พอได้
^ ^

ที่จะต่างกันไปก็ตรงพล็อตเรื่อง และอุปนิสัยใจคอทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นส่วนกำหนดว่า
ใครจะสามารถรับมือกับความรักได้ระดับใด แบบใดค่ะ


 

โดย: ploy666 IP: 124.157.236.104 26 กันยายน 2551 4:37:58 น.  

 

ในฐานะที่ตามอ่านมา ณ เวลานี้ อารมณ์ยังอยู่ในช่วงรักกับคุณมิค แวมไพร์แห่ง Moonlight แหะ แหะ เกี่ยวกันมั้ยนี่

แหะ แหะ ขออนุญาตเมนต์ประเด็นของสองเรื่องสักหน่อยนะคะ

ไม่รู้นะคะสำหรับพี่อ้อโทนสีของสองเรื่องแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้โครงกติกาจะเป็นตามที่ตกลงในโปรเจ็คของผู้เขียนทั้งสอง
ธีมหลักเดียวกัน แต่บริบทต่างกันโดยสิ้นเชิง
อารมณ์ของสองเรื่องแตกต่างกันเหมือนโทนร้อนและโทนเย็น
เท่าที่อ่านมาถึงบทตรงนี้ ณ วันนี้ ...


โทนอารมณ์ของดวงใจฯ เป็นเงาจันทร์จริง ๆ หม่น ๆ แต่ก็เป็นเอิร์ธโทนเย็น ๆ สบาย ๆ และอุ่น อ่านแล้วยิ้ม ยิ้ม
แต่ก็กลัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เหอะ เหอะ
เวลาวริสามีอารมณ์แบบผี ๆ เหอะ เหอะ

ขณะที่โทนอารมณ์ของความรักริมดาว ออกจะเป็นสีสันคัลเลอร์ฟูล
ตามอ่านด้วยอารมณ์ ตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ อยากรู้อยากเห็น สะใจ ขำกลิ้งจริง ๆ

ส่วนที่สองเรื่องแยกขาดจากกันออกไปคนละมุม
คงเป็นคาแร็คเตอร์ ของวริสา กับ เพชรกะรัต
ส่วนตัวพี่อ้อชอบคาแร็คเตอร์คุณเพชร มันสะใจดี เธอไม่แคร์ใครทั้งสิ้น เธอไม่แคร์ด้วยซ้ำ ว่าจะมีรัก หรือไม่มี แต่เธอก็ยังอยากรู้
เหมือนว่าเป็นความสนุกส่วนตัวอย่างที่เธอชอบ ได้กำหนด และออกคำสั่ง อย่างที่เป็นมา


แต่กับวริสา เธอค่อนข้างจะเป็นวิญญาณที่เหงา มีปมอะไรอีกมากมายทั้งเรื่องบ้าน เรื่องเพื่อน เธอยังค่อนข้างแคร์และห่วงหาคนอื่น
เธอถูกผลักให้หารักตามเสียงคนนำทาง แหะ แหะ ใครก็ไม่รู้ แต่พี่อ้อชอบคาแร็คเตอร์นี้ม๊ากมาก อิอิ
เหมือน Big Brother ดี
รวมทั้งของหมอดูอย่างมินตรา

อยากบอกว่าชอบทั้งสองเรื่องมากค่ะ
เป็นพล็อตที่มีสีสัน แปลกตา
ตอนแรกกลัวใจแทบขาดที่จะอ่าน 2 เรื่องนี้ แต่เรื่องดวงใจฯ ก็ช่างมีฉากให้กลัว ๆ อยู่ไม่น้อย
ดีนะที่มีบทหวานโรแมนติดช่วยฉุดไว้อยู่

อ่านพร้อม ๆ กันสองเรื่อง แล้วตามด้วยดูซีรีส์ Moonlight หัวใจมันอบอุ่นบรรยายไม่ถุกจริง ๆ


อิอิ ฝากกำลังใจให้คนเขียน และอยากบอกว่ารออ่านตอนต่อไปของทั้งสองเรื่องด้วยความทุรนทุรายเลยนะนี่

 

โดย: พรายทราย 1 ตุลาคม 2551 21:12:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.