Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
12 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ดวงใจในเงาจันทร์ 24

ดวงใจในเงาจันทร์
24 - นกแสก


ภายในห้องนั้นเย็นและเงียบ ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวเว้นแต่พรมปูพื้นที่เป็นสีเข้มและเฟอร์นิเจอร์สองสามชิ้นที่มีสีแปลกแยกออกไป

ราเชนทร์รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อนั่งต่อหน้าวันชนะแบบนี้ จริงอยู่ที่ว่าเขาเคยพบพ่อของวริสามาก่อน แต่นั่นก็แค่ครั้งเดียว และยังไม่ได้เผชิญหน้าตามลำพังแบบนี้

“พ่อฉันไม่กัดคุณหรอกน่า” วริสาบอกเมื่อเห็นเขานั่งหน้าจ๋อย ตอนนี้เธอยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆพ่อของเธอ

วันชนะรวบเอกสารกองไว้ด้านข้างเสียก่อน แล้วจึงหันมาพูดอย่างเป็นการเป็นงาน

“คุณคงเห็นแล้วว่าอะไรบางอย่างออกจะไม่ราบรื่นนัก”

“ครับ”

“และก็อย่างที่คุณรู้ ผมเลยอยากให้คุณมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของผม”

ราเชนทร์ขมวดคิ้ว แน่ล่ะว่าเขาไม่อาจจะปฏิเสธงานนี้ได้เพราะมีวริสาเป็นตัวแปรหลัก แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนที่จะตอบรับอะไรไป เขาก็อยากจะรู้อะไรบางอย่าง

“ทำไมถึงเลือกผมครับ... ท่านคงรู้ว่าผมไม่ใช่คนเก่งอะไร ผมเกรงว่า...”

“ผมรู้ว่าผมไว้ใจคุณได้” วันชนะตอบคำถามเสร็จสรรพ

“แต่...ท่านเพิ่งพบผมแค่ครั้งเดียว จะตัดสินง่ายๆแบบนี้เลยเหรอครับ บางทีผมอาจไม่ใช่คนซื่อสัตย์อย่างที่ท่านคิดก็ได้”

ราเชนทร์รีบแย้งเพราะรู้สึกว่า ออกจะไร้เหตุผลไปหน่อยกับวิธีการเลือกคนเข้าทำงานแบบนี้ และพอพูดออกไป วริสาก็แทบจะพุ่งมาแหกอกเขา

“นี่คุณ จะเซ้าซี้อะไรนัก เดี๋ยวถ้าไม่ได้งานนี้โดนเฉ่งแน่”

แต่ถึงวริสาจะขู่เขาอย่างนั้น วันชนะกลับมีทีท่าตรงกันข้าม เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า

“เอาเป็นว่า ผมถูกชะตาคุณแล้วกัน และถ้าคุณจะโกงผม ผมก็จะคิดว่าคุณคงจำเป็นจริงๆที่ต้องทำ”

ราเชนทร์พูดไม่ออก ยิ่งมองเหลือบไปทางวริสาที่ทำท่าถอนใจอย่างโล่งอกแล้วก็ยิ่งพูดไม่ออกมากกว่าเดิม เหมือนถูกคำสาปให้กลายเป็นใบ้อย่างไรอย่างนั้น

“อย่าคิดมาก คุณราเชนทร์ งานที่ผมจะให้คุณทำต้องการคนที่พิเศษจริงๆ” วันชนะบอก

เป็นการสรุปที่แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่เขาก็ต้องยอมรับ

*********


“แลปของที่นี่มีการดูแลอย่างแน่นหนา ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากคุณวันชนะ จะไม่สามารถเข้าไปได้ค่ะ”

นาถยาแนะนำสถานที่ให้ราเชนทร์รู้ไว้ก่อนที่เขาจะมาเริ่มต้นทำงานในวันพรุ่งนี้ วริสาเองก็ตามคนทั้งสองมาและพยายามไม่พูดให้มากที่สุด เพื่อที่ว่าราเชนทร์จะได้มีสมาธิ และรับข้อมูลได้เต็มที่ แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดไป เพราะพอฟังนาถยาอธิบายส่วนต่างๆได้สักพัก เขาก็เริ่มมึนๆเบลอๆ

“นี่คุณ” วริสาสะกิด “จะหลับเหรอไง ตื่น!”

ราเชนทร์สะบัดแขนหนี แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง คงพยายามเค้นคำถามเพื่อจะถามนาถยา

“เคยมีคนที่ไม่ได้รับเชิญแอบเข้าไปไหมครับ”

นาถยาแสดงสีหน้าแปลกใจสักหน่อย แล้วก็ยิ้มตอบ

“มีเหมือนกันค่ะ สองราย... รายแรกถูกยามที่เฝ้าอยู่เชิญออกไป” นาถยาชี้ไปยังยามตัวโต หุ่นนักกล้ามคนหนึ่ง นั่งหลังโต๊ะซึ่งมีป้ายติดว่า‘รักษาความปลอดภัย’

“อื้อหือ” วริสาร้องเบาๆ สงสัย คนที่จะมาเฝ้าที่นี่คงต้องคัดสรรแล้วคัดสรรอีกล่ะมั้ง

“แล้วอีกคนล่ะครับ” ราเชนทร์หัวเราะเสียงแปร่งถาม

“คนของคุณอมร คนนั้นดื้อหน่อยค่ะ นอกจากจะถูกเชิญออก แล้วเรื่องก็ถึงตำรวจด้วย” นาถยากล่าวเสียงเรียบ ราวกับว่าไม่มีอะไรสำคัญเลยสักนิด “แต่คุณเชนทร์ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณวันชนะบอกแล้วว่าอนุญาตให้คุณเข้าออกที่นี่ได้”

วริสาเห็นราเชนทร์มองไปยังรปภ.ที่ทำหน้านิ่งแล้วส่งยิ้มกว้างสุดๆ

“ผมคิดว่า ผมจะพยายามมาให้น้อยครั้งที่สุดนะครับ”

นาถยาหัวเราะแล้วนำทางออกไปจากทางเข้าห้องแลป

แต่เดินกันมายังไม่ถึงสิบก้าว ทั้งหมดก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนนท์เตร็ดเตร่อยู่ใกล้ๆ และทางฝ่ายนั้นก็เหมือนจะเห็นเช่นกัน

“อ้าว! คุณนาถ”

นนท์ตรงเข้ามา ยิ้มมุมปากหน่อยนึง วริสาหมั่นไส้ในอาการขี้เก๊กของเขา

“ฉันว่าเขาไม่มาดีแน่ เชื่อสิ”

วริสาบอก แต่ราเชนทร์ทำตาดุๆใส่เธอ ประมาณว่า “อย่าพูดมากน่า” เธอเลยยักไหล่เบาๆครั้งหนึ่ง

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาทำอะไรแถวนี้คะ” นาถยาถาม

รอยยิ้มแบบเคลือบฉาบของนนท์ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

“ผมก็แค่แวะมาเยี่ยมชมบริษัทเท่านั้นแหละ” เขาตอบ แล้วเหลือบเลยมาทางราเชนทร์ “คุณชื่ออะไรนะ ขอโทษที...ผมจำไม่ได้”

“อัลไซเมอร์เหรอไง หรือไม่ก็ไอคิวต่ำสุดๆ ขนาดขับรถชนเขาแล้วจำไม่ได้เนี่ยะ”

เธอตั้งใจจะถากถางต่อไป แต่ราเชนทร์คำรามต่ำๆในคอ เธอเลยหยุดเพียงแค่นั้น เขาเลยบอกชื่อไป

“ราเชนทร์ครับ”

“สวัสดีครับคุณราเชนทร์ ได้ข่าวว่าคุณเป็นคนสนิทของท่านประธานใช่ไหมครับ”

“เปล่าหรอกครับ แค่ผู้ช่วยเท่านั้นเอง”

“ไม่นึกว่า คุณวันชนะจะไว้ใจใครต่อใครได้ง่ายขนาดนี้”

“ท่านฉลาดครับ” ราเชนทร์ตอบหน้าตาย “รู้ว่าคนแต่ละคนเป็นยังไง ผมว่าวิจารณญาณท่านดีนะ”

วริสารู้สึกดีใจที่ราเชนทร์รู้จักตอบโต้กลับไปบ้าง และดูเหมือนจะไม่ได้แค่เธอเพียงคนเดียว แม้แต่นาถยาที่พยายามซ่อนสีหน้าไว้ก็ยังปิดความดีใจเล็กๆไม่มิด

พอถูกโยนคำเหน็บแนมกลับ รอยยิ้มแบบปะติดของนนท์ก็เลือนหายไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหัวเราะเป็นการแก้เก้อ

“ดูท่าทางคุณสองคนจะสนิทกันดีนะ”นนท์ยัดเยียดข้อหา
วริสาเห็นทั้งนาถยาและราเชนทร์อึ้งกันไปทั้งคู่

“แล้วคุณนาถพอจะว่างหรือเปล่า ผมอยากจะปรึกษาข้อสัญญาอีกหน่อย”

นาถยาถอนใจเฮือก

“ได้ค่ะ” เธอตอบ แล้วหันมาทางราเชนทร์ “คุณเชนทร์จะเดินดูบริษัทต่อก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันจะเรียกพนักงานให้”

วริสากำลังจะอ้าปากบอกว่า เอาเลย แต่ราเชนทร์ไวกว่าเธอมากในเรื่องนี้

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมต้องไปทำธุระที่อื่นต่อ”

“งั้นก็...เจอกันวันพรุ่งนี้ค่ะ”

“ครับ” ราเชนทร์ค้อมศีรษะเล็กน้อย แล้วหันไปทางนนท์ “สวัสดีครับ คุณนนท์”

พอนนท์รับคำลาเสร็จ ราเชนทร์ก็หัวเราะหึๆแล้วเดินหนีไปทางอื่น วริสายังลังเลอยู่ว่า เธอจะตามราเชนทร์ไปดี หรืออยู่ต่อ

แต่ก็คงไม่มีประโยชน์...กลับดีกว่า เหม็นขี้หน้าไอ้หัวเกลี้ยงนี่

วริสาเข้าไปใกล้ๆนนท์ แล้วกระทืบลงไปแรงๆ นนท์ชักเท้ากลับพร้อมสบถ

วริสายิ้มอย่างมีชัยแล้วลอยตามราเชนทร์ไปทันที

*********


เขาไม่ได้ติดธุระอะไรที่ไหนอย่างที่บอกกับนาถยาไป เพียงแต่พาวริสาเที่ยวชมรอบเมือง ดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆเลื่อนลงจากบนฟ้า ดูแสงสีที่แปลกตา ดูต้นไม้ แม่น้ำ บ้านเรือน และวิถีชีวิตที่ดำเนินไป

“ถ้าให้เลือกไประหว่างภูเขากับทะเล คุณจะไปที่ไหน”

ราเชนทร์ถามวริสา ระหว่างที่รถแล่นออกนอกตัวเมืองไปทุกขณะ

“ไปทะเล ไม่เอาดีกว่า ไปภูเขา”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ฉันชอบนี่ ไม่ต้องถามมากหรอกน่า คุณนั่นแหละ ถ้าให้ไปทะเลกับภูเขาจะไปไหน”

“ไปทะเล”

“ทำไม”

“ดูสาวใส่จี-สตริง” ราเชนทร์ตอบ พอเห็นวริสาทำหน้าอึ้งแล้วก็หัวเราะลั่น

“ลามก” วริสาบ่นกระปอดประแปด

“เอาน่า...ก็มันความจริงนี่คุณ แต่มันก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลักไง ไปทะเลก็ไปดูโน่นดูนี่ สบายกว่าขึ้นดอยขึ้นภูเขาเยอะ”

“ยังไง”

“ก็บนภูเขาไม่มีใครใส่จี-สตริง” ราเชนทร์ตอบ และวริสาก็แยกเขี้ยวใส่ “อ่าน่ะๆ ล้อเล่น ที่ไปทะเลสบายกว่าไปภูเขา เพราะผมขี้เกียจเดินขึ้นดอยชันๆน่ะ เหนื่อย”

“แก่แล้วก็งี้แหละ”

“นี่คุณ ผมก็พอๆกับคุณนั่นแหละ”

“ไม่ต้องเลย ฉันหยุดอายุไว้แค่นี้แล้วย่ะ”

วริสาตอบแล้วสะบัดหน้าหนี ราเชนทร์ดูเธอมองออกไปทางด้านข้าง แล้วก็เปิดเพลงแล้วฮัมตาม ท่วงทำนองอะคูสติก เบาๆ สบายๆ

“ไม่ค่อยเข้ากับคุณเลยนะ เพลงแบบนี้”

วริสาทักทั้งที่ไม่ได้หันกลับมามอง ราเชนทร์แอบดูเธออีกหน่อย แล้วก็ตอบ

“ผมเหมาะกับเพลงลูกทุ่งเหรอไง”

“ลูกทุ่งลามกด้วย คุณน่ะ” วริสายืนยัน

ราเชนทร์หัวเราะร่วน แล้วก็ฮัมเพลงต่อโดยไม่ใส่ใจสักนิดว่าวริสาจะค่อนขอดอะไรอีก

เกือบค่ำ กว่าเขาจะกลับถึงบ้าน วันนี้ที่บ้านดูสว่างไสวเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะรามินทร์เปิดไฟทุกดวงในบ้าน

หวังว่าพี่ชายเขาคงไม่คิดว่าวริสากลัวแสงสว่างหรอกนะ ขนาดพระอาทิตย์จ้าอยู่กลางหัว เธอยังไม่กลัวเลย

“กลับมาแล้วครับผม”

ราเชนทร์ร้องทักเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป เสียงตะหลิวกระแทกกระทะดังออกมา กลิ่นเครื่องแกงกะหรี่อบอวล พอเขามองผ่านทางฉากไม้ระแนงที่กั้นห้องครัวเข้าไป ก็เห็นทั้งรามินทร์ ภาพิมล และมินตรากำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารในนั้น

“ทำอะไรกันครับ”

“ปูผัดผงกะหรี่ค่ะ วันนี้เชฟอ้อยลงมือทำเองเลยนะคะ” ภาพิมลอธิบาย

“หา...แล้วจะกินได้เหรอครับคุณมล”

ราเชนทร์แหย่ แล้วเข้าไปในห้องครัว มีวริสาตามหลังเข้ามาด้วย

“กินได้สิคะ คุณเชนทร์นี่พูดแปลกๆ”

ภาพิมลตอบกลับมา ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเข้าใจใน‘มุข’ของเขานัก แล้วทีนี้ ทุกคนก็เลยหัวเราะ

“แหม เส้นตื้นกันจังเลยนะคะ” ภาพิมลโวย พลางจัดการกับผักบนเขียงต่อไป มินตราเองก็ง่วนอยู่หน้าเตา ส่วนงานหลักของรามินทร์คือล้างจาน

“แล้วเป็นไง ที่ทำงานใหม่สนุกไหม” รามินทร์ถาม หลังจากสะบัดหม้อที่ล้างเสร็จ แล้ววางไว้บนชั้น

“สนุกกับผีอะไรล่ะพี่... โอ๊ย! ผมไม่ได้ว่าคุณ” ราเชนทร์ร้องเมื่อโดนวริสากระทุ้งสีข้าง แต่ทั้งห้องกำลังตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงมินตราเท่านั้นที่ไม่ได้แปลกใจอะไรเลย

“คุณริสอยู่ในนี้ด้วยเหรอ” รามินทร์ถาม
ราเชนทร์ยิ้มแหยๆ เขาไม่กล้าตอบ ดังนั้นคนที่ต้องทำหน้าที่จึงเป็นมินตรา

“ค่ะ... คุณริสอยู่ตรงนั้น” มินตราผายมือไปทางวริสา แล้วก็หันกลับมาปิดเตา ก่อนจะกลับมารวมที่โต๊ะ “พวกคุณอยากเห็นคุณริสไหมคะ”

คำถามตรงๆของมินตราทำให้ทั้งรามินทร์กับภาพิมลอึ้งไปเล็กน้อย

“ก็... ดีครับ” รามินทร์นั่งลงข้างๆภาพิมล แต่ก่อนที่คนอื่นจะได้พูดอะไร เขาก็รีบดักขึ้นมาเสียก่อนว่า “ขอเสียงมาก่อนได้ไหมครับ แล้วภาพค่อยมาทีหลัง”

ราเชนทร์อยากจะหัวเราะอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นสีหน้าหวาดๆของรามินทร์กับภาพิมลแล้วก็ทำไม่ได้

“ค่ะ...” คราวนี้วริสาพูด “ฉันอยู่นี่”

“ริส ออกมาดีๆนะ ไม่งั้นเราวิ่งนะ” ภาพิมลขอร้อง

“เออ... แกรอดูฉันนะ”

พอสิ้นคำพูด ก็เหมือนมีสายลมอ่อนๆวูบหนึ่งหมุนวนรอบร่างของวริสา รามินทร์กับภาพิมลต่างก็เกร็ง

...ทั้งคู่เห็นวริสาแล้ว

“ริส...” ภาพิมลคราง “ตัวจริงใช่ไหม” “เออดิ...ฉันนี่แหละ จะมีใครอีก”

วริสาตอบแล้วเข้าไปหาเพื่อน ราเชนทร์เห็นแล้วว่า ทั้งรามินทร์กับภาพิมลดูจะควบคุมตัวเองได้ดีพอสมควร

อย่างน้อย วริสาก็คงไม่น่ากลัวเท่าที่พวกเขาเห็นกันเมื่อคืน

“สวัสดีค่ะคุณมินทร์ ยินดีที่ได้พบค่ะ” วริสาทักทาย แล้วยื่นมือให้เขา เหมือนอย่างที่เธอเคยทำตอนที่ปรากฏกายให้ราเชนทร์เห็นครั้งแรก

รามินทร์กล้าๆกลัวๆอยู่ไม่น้อย และบังคับตัวเองให้จับมือกับวริสาจนได้และพูดว่า “เช่นกันครับ” ก่อนจะปล่อยมือเธออย่างเร็วๆ

วริสาหัวเราะคิกคัก “คุณมินทร์เก่งกว่าน้องชายคุณอีกนะคะ ตอนเขาเจอฉันครั้งแรก ยังไม่กล้าจับมือฉันเลย ...เสียมารยาทที่สุด”

ราเชนทร์ขึงตาใส่เมื่อถูกว่า

“ผมอยู่คนเดียวนี่คุณ แต่นี่มีตั้งหลายคน ไม่เหมือนกันซะหน่อย”

“คุณกลัวล่ะสิ”

“ช่างผมเหอะ”

วริสาหัวเราะซ้ำอีกครั้ง แต่ราเชนทร์หน้ามุ่ย แล้วดึงเก้าอี้ตัวที่ว่างออกมานั่ง พร้อมกับมองไปยังรามินทร์ที่ยังคงค้างคาใจอยู่

“ทำไมผมถึงจับมือคุณได้ล่ะครับ”

ราเชนทร์เองก็รอฟังคำตอบเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าผีสาวเล่นกลอะไร ถึงสามารถทำโน่นทำนี่ได้ตามใจชอบ แต่ดูเหมือนวริสาเองก็ไม่อาจอธิบาย มินตราจึงต้องรับบทผู้รู้อีกตามเคย

“ถ้าให้ฉันเดานะคะ คุณริสคงใช้จิตบังคับให้เป็นอย่างนี้ แต่ก็น่าประหลาดใจว่า คุณริสสามารถทำอะไรได้มากกว่าผีทั่วๆไปได้อย่างไร”

“ไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ” ภาพิมลงง

“ผีแบ่งออกเป็นหลายชั้นน่ะค่ะ ยิ่งถ้าเป็นผีที่มีความรู้สึกบางอย่างแรงกล้ามากก่อนตาย จะทำให้ดวงจิตมีพลังที่เข้มข้น อย่างผีที่มีความพยาบาท ผีที่มีความห่วงหา แม้แต่ผีที่มีความรัก แต่ผีอีกประเภทหนึ่ง ก่อนตายไม่มีความรู้สึกที่แรงกล้ามากนัก ดวงวิญญาณก็จะมีแต่พลังๆอ่อนๆ...”

“แต่ผีแบบหนึ่งหรือแบบสองก็ปรากฏตัวให้คนเห็นได้เหมือนกันนี่ครับ” รามินทร์แย้งถาม

มินตราส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ค่ะ ลองสังเกตดีๆ ผีระดับที่พลังไม่รุนแรงนัก จะปรากฏตัวให้เห็นได้เฉพาะคนที่มีจิตตกมากๆหรือจิตละเอียดอ่อนมากๆเท่านั้น แต่กับดวงวิญญาณที่มีความรุนแรงในตัว จะสามารถปรากฏตัวให้คนเห็นได้ แม้ว่าคนๆนั้นจะมีจิตปกติก็ตาม”

“งั้นฉันก็เป็นผีแบบที่สองสิคะ” วริสาถามบ้าง เธอเองก็คงอยากรู้เรื่องราวของตัวเองอยู่ไม่มากก็น้อย

“ไม่ค่ะ...คุณต่างออกไป” มินตราบอก “คุณริสได้รับอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่านั้น แต่ฉันไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่”

“อะหือ เป็นผีมีอภิสิทธิ์นะคุณ” ราเชนทร์ล้อ

“นี่คุณ...ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเขากำลังเครียดๆอยู่”

แต่ถึงจะเครียดอย่างที่วริสาบอก เขาก็เห็นภาพิมลแอบหัวเราะให้กับมุขของเขา

“ขำอะไรนักหนาคะคุณนาย” วริสาเริ่มฟาดงวงฟาดงา

“ขำผีมีอภิสิทธิ์ค่ะ คุณเพื่อน”

แล้วภาพิมลก็หัวเราะออกมาดังๆ วริสาหน้างอ

“เงียบเลยแก” วริสาว่า “แล้วฉันแปลกกว่าผีตนอื่นยังไงคะ”

“คุณมีอำนาจมาก ทั้งที่ตัวคุณเองไม่ได้มีความรู้สึกแรงกล้าก่อนตาย ไม่ได้อาฆาตใคร ไม่ได้เกลียดใคร ไม่ได้รักใคร” มินตราตอบ

“รู้ได้ไงคะ อาจไม่ใช่ก็ได้นะ”

“ฉันสัมผัสได้ค่ะ”

ราเชนทร์พยักหน้าหงึกหงัก ถ้าเป็นอย่างที่มินตราอธิบาย ก็แปลกจริงๆที่วริสาสามารถมีฤทธิ์ได้ขนาดนี้

“หรือเพราะคุณรู้สึกไม่เคยรักใครเอามากๆ”

ราเชนทร์โพล่งถามไปตามความคิด วริสาเริ่มเท้าสะเอว

“จะบ้าเหรอ”

“เอ๊า...ก็เหมือนเพลงไง ไม่ได้แต่งงานพอตายไปยมบาลก็ถาม ใช่คุณเลยเนี่ยะ”

“มั่วละ” วริสาส่ายหน้าตูมๆ

ราเชนทร์ยิ้มรับ รู้สึกดีใจที่ได้แหย่วริสาเล่น

“ผมว่าเราอย่าสนใจเลยครับว่าทำไมริสถึงผิดปกติผี” เขาหลิ่วตาให้เธออีกครั้งก่อนจะพูดต่อพลางลูบท้องป้อยๆ “กินข้าวกันเถอะ ผมหิวแล้ว”

*********


วริสารู้ว่าเพื่อนสาวของเธออาจจะกลัวเธออยู่ แต่ภาพิมลก็เก่งที่ทำใจดีสู้เสือได้

“จำได้ไหม รูปนี่ตอนที่เราไปเที่ยวทะเลกัน”

ภาพิมลถาม แล้วยื่นรูปให้วริสาดู ทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น กำลังระลึกถึงวันเก่าๆก่อนๆ

พอวริสาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หน่อย ภาพิมลก็กระเถิบถอย

“ริส ไปห่างๆหน่อย เรายังไม่คุ้น”

“เหรอ” วริสายิ้ม อยากแกล้งให้มากกว่านี้แต่กลัวเพื่อนจะช็อกตาย “ในรูปนี่เรียนปีไรวะ”

“ปีสองมั้ง ราวๆนี้แหละ”

“อืม...น่าจะใช่ แต่ตอนนั้นสนุกมากเลยเนอะ มันมากๆ”

“ก็แน่ล่ะสิ... ตัวเองเล่นไปถีบคนตกทะเลมาน่ะ ไม่สนุกก็แย่แล้ว”

วริสาอมยิ้ม นึกถึงวันนั้นแล้วยังขำไม่หาย คนที่เธอถีบตกทะเลเป็นเพื่อนชายรุ่นเดียวกันที่ริจะจีบเธอกับภาพิมล หวังกะรวบสองคนเลยทีเดียว

“สมควรแล้วที่โดน...หน้าม่อชะมัด”

“แหม ริสนี่ก็”

ภาพิมลไม่ได้ต่อว่าอะไรอีก เพียงแต่เปลี่ยนรูปใหม่ขึ้นมาอวดเรื่อยๆ

“อันนี้แฟนเก่าเรา น่ารักเนาะ”

ชายหนุ่มในรูปดูผอมๆดำ หัวกับตัวไม่ค่อยสมส่วนกันดีนัก

“นี่แหละ สเปกเพื่อนฉัน”

“ไม่ใช่เลย” ภาพิมลโวย “แต่เพราะเป็นคนเดียวที่ฝ่าด่านริสเข้ามาได้หรอก มีอย่างที่ไหน พอเราคิดจะคบใคร ริสก็แกล้งทำเป็นบ้า ปากเบี้ยว มือหงิกเฉยเลย โชคดีจังที่คุณมินทร์ไม่ต้องฝ่านด่านริสก่อน”

วริสาร้องเชอะใส่

“ฉันรู้แล้วว่าทำไมฉันถึงตาย เพราะแกนี่เอง แอบแช่งฉันใช่ไหม”

“นิดหน่อยน่ะ” ภาพิมลหัวเราะเพราะรับมุขทัน

ภาพิมลดูมีความสุขจริงๆ แค่เสียงหัวเราะและอารมณ์ดีๆที่แสดงออกมา ก็มากพอที่คนรอบข้างจะสัมผัสได้

วริสาอมยิ้ม...ดีใจกับเพื่อนที่มีความรัก และหวังว่านี่จะเป็นความรักที่ดีสำหรับภาพิมลจริงๆ

“คุณมินทร์คะ” วริสาตะโกนเรียกเมื่อนึกอะไรพิเรนทร์ขึ้นมาได้อีก “มานี่เร็วค่ะ มาดูแฟนเก่ายัยมลกัน”

ไม่เพียงรามินทร์เท่านั้นที่ออกมาจากครัว มินตรากับราเชนทร์ก็ตามออกมาด้วย

และเป็นอีกครั้ง ที่เธอเห็นว่ามินตรามีสายตาที่แปลกไปยามมองราเชนทร์

...ไร้สาระน่า...

“นี่ค่ะ” ภาพิมลยื่นรูปให้รามินทร์ดูเมื่อเขามาถึง “หล่อไหม”

รามินทร์ขยับแว่น แล้วจดจ้อง เขาส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่หล่อเหรอ งี้คุณก็ไม่หวงฉันเลยล่ะสิ เปลี่ยนรูปดีกว่า” ภาพิมลพูดเองเออเองแล้วก็หยิบรูปใหม่ขึ้นมาให้ดู “นี่ดีกว่า บอกได้ไหมคะว่าคนไหนคือริส”

วริสาชะโงกหน้ามองดูรูปที่ภาพิมลหยิบขึ้นมาให้ทุกคนดู แล้วก็ยิ้มกว้างๆให้กับมัน เธอจำได้ว่าตอนขากลับจากทะเล เธอเจอผู้หญิงอีกคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเธออย่างกับแกะ ขนาดที่ว่าคนที่รู้จักยังแยกแทบไม่ออก เธอเลยขอถ่ายรูปคู่เก็บไว้และคอยเอามาหลอกเพื่อนๆอยู่เรื่อย

“ฝาแฝดคุณริสเหรอครับ” รามินทร์ถาม

“แฝดคนละพ่อคนละแม่เลยค่ะ” วริสาตอบ “เชื่อไหมคะว่าเราสองคนไม่รู้จักกันเลย แต่บังเอิญที่มาเจอกันแล้วหน้าตายังเหมือนกันอีก”

“ผมสงสารผู้หญิงคนนั้นจังเลย” ราเชนทร์ยั่ว “สงสารที่เขาหน้าตาเหมือนคุณน่ะ”

“พูดให้สวยๆหน่อยนะคุณ ไม่งั้นมีเรื่อง”วริสายิ้มเย็นๆ “ว่าไงคะ ดูกันออกไหม ว่าฉันเป็นคนไหน”

รามินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วก็หันไปทางราเชนทร์ แต่ทั้งคู่ก็ตอบไม่ได้ จะมีก็แต่มินตราเท่านั้นที่ชี้นิ้วไปยังคนในรูป

“คุณริสคนนี้ค่ะ... ตาของคุณริสจะคมกว่า ส่วนอีกคนจะจมูกโด่งกว่านิดหน่อย”

วริสาจ้องหน้ามินตราอย่างทึ่ง ภาพิมลเองก็มีอาการไม่ต่างจากเธอนัก

“เก่งจังเลยค่ะ” ภาพิมลพูด

“ไม่หรอกค่ะ แค่สังเกตเห็นพอดี” มินตราอธิบาย แล้วหันไปดูนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มเศษ “ถ้ายังไงขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคุณ” ราเชนทร์ถาม และวริสาก็เห็นมินตรามองไปทางเขาครู่หนึ่ง

“ค่ะ”

“งั้นมลกลับด้วยค่ะ” ภาพิมลแทรก “คุณมินทร์จะได้ไปส่งทีเดียวเลย”

แล้วภาพิมลก็ลุกขึ้น รวบๆเอาอัลบั้มรูปกองไว้บนโต๊ะก่อนหันมาบอกวริสา

“เราเอาไว้นี่นะ เผื่อริสจะดู อ่อ...เสร็จแล้วเก็บด้วยล่ะ อยู่บ้านท่านอย่าทำบ้านท่านรก เข้าใจรึเปล่า”

“รีบๆไปเลยแก” วริสาไล่เมื่อเป็นฝ่ายโดนบ่นบ้าง

“จ้า...อยู่กันดีๆนะคะ แล้ววันพรุ่งนี้เจอกัน”

ภาพิมลพูดจบก็ควงรามินทร์ออกไปโดยมีมินตราเดินตามหลังไป

แต่ก่อนที่จะพ้นปากประตู วริสาก็เห็นมินตราหันกลับมาอีกครั้งที่ราเชนทร์

*********


วริสานั่งตรงชานบ้านมองดูความมืดที่ว่างเปล่า ส่วนราเชนทร์กำลังนอนเหยียดยาวอยู่ข้างๆ

ตรงออกไป ที่ขอบรั้ว ก็เห็นนกแสกตัวโตเกาะอยู่ตรงนั้น มันกำลังจ้องมาที่เธอ ตาวาว น่ากลัว

“นกตัวนั้นตามฉันอยู่แน่เลย” วริสาเอ่ยขึ้น ราเชนทร์ชันตัวมอง แล้วก็เปลี่ยนเป็นนอนตะแคง

“คิดมาก... ไม่มีอะไรหรอกคุณ”

“แต่มันแปลกจริงๆนี่ เดี๋ยวดูนะ” วริสาบอก พลางก้มหยิบหินก้อนหนึ่งขว้างไปยังนกตัวนั้น ก้อนหินกระทบเข้ากับปีกของมันดังปุ แต่นกแสกตัวนั้นเพียงแค่ร้องเสียงแหลมแล้วกระโดดหลบออกข้างๆ

“ทรมานสัตว์” ราเชนทร์บ่น “มันหลงทางรึเปล่า คงหาที่นอนสักคืนแหละ”

“คุณว่างั้นเหรอ”

“อือ...”

“เฮ้อ...” วริสาถอนใจเฮือก อยากจะยืนยันคำพูดของตัวเองต่อ แต่คิดๆแล้ว ถึงพูดไปตอนนี้ราเชนทร์ก็คงไม่ใส่ใจฟังเท่าไหร่นัก สู้เปลี่ยนเรื่องเสียดีกว่า

“คุณว่า ไอ้หัวเกลี้ยงนนท์มันจะมาไม้ไหน”

“คุณว่าอะไรนะ”

“ฉันถาม...คุณคิดว่าเขาจะมาไม้ไหน เรื่องที่บริษัทน่ะ”

“ไม่ใช่... หัวเกลี้ยงน่ะ”

วริสาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“นิดหน่อยน่ะคุณ เทคนิคการจำชื่อไง”

“อย่ามาใช้เทคนิคแบบนี้กับผมล่ะ” ราเชนทร์บอก “วันนี้ขอวันนึง ไม่พูดเรื่องบริษัท ผมเครียด”

“อะไร... แค่ไปนั่งฟังประชุมเนี่ยนะเครียด”

“เออ”

วริสายักไหล่ ดูท่าทางเขาจะเครียดจริงๆแหละ แต่เธอก็หวังว่า ราเชนทร์จะปรับตัวได้ไว

“งั้นก็หมดเรื่องคุยแล้ว”

“ไปออกเดทกันไหม”

วริสาหันขวับไปยังเขา ไม่คิดว่าเขาจะถามคำถามนี้กับเธอ

“ลองทำให้เป็นเรื่องเป็นราวดู เผื่อว่าคุณจะรักผม”

“คิดไงเนี่ยะ” วริสาถาม

ราเชนทร์ส่ายหน้า “แค่อยากลองดู”

นั่นสิ ต้องลองดู เผื่อว่าเธอรักเขาขึ้นมาจริงๆ เธอก็จะได้ไปสู่ที่ที่เธอควรไป แต่เธอจะรักเขาได้จริงๆหรือ...แล้วทุกวันนี้ล่ะ เธอรู้สึกยังไงกันแน่

ไม่มีคำตอบอีกตามเคย

“เมื่อไหร่ดี” วริสาถาม

“มื้อเย็นวันพรุ่งนี้ ตกลงไหม”

“ได้...ตามนั้น”

ตอบคำถามแล้วก็หยิบก้อนหินขึ้นมาอีกก้อน ขว้างใส่เจ้านกตัวเดิม มันร้องอย่างโกรธๆ

...เข้าเป้าเป๊ะเลย!

*********



Create Date : 12 ตุลาคม 2551
Last Update : 12 ตุลาคม 2551 0:39:06 น. 2 comments
Counter : 549 Pageviews.

 
น่ารักดีค่ะ อยู่กันก็น่ารักดีแล้ว
ออกเดทให้เป็นทางการแบบนี้ จะชุลมุนเวียนหัว หรือยิ่งเข้าใจกันมากขึ้นน้า

ขำภาพิมลมากค่ะบทนี้ อิอิ


โดย: พรายทราย วันที่: 13 ตุลาคม 2551 เวลา:10:18:53 น.  

 
คุณน้องรักดีถนัดทางทำให้นิยายยุ่งเหยิงน่ะค่ะ
เป็นคุณสมบัติพิเศษที่หาได้ยากยิ่ง (แอบนินฯ)

555+
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ


โดย: ploy666 (ploy666 ) วันที่: 15 ตุลาคม 2551 เวลา:12:35:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.