Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
22 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 16+17

ดวงใจในเงาจันทร์
16 - ความลับ


ราเชนทร์สะดุดกึกด้วยความอยากรู้ ได้แต่สงสัยในใจว่า สองคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันทางไหน ทำไมถึงได้ออกมาพบปะพูดคุยกันได้

...โลกนี้ช่างกลมแท้ๆ

ราเชนทร์ยืนนิ่ง ลอบสังเกตไปยังฟุตบาทฝั่งตรงข้าม รถหลายคันแล่นฉิวตัดผ่านไป เสียงเครื่องยนต์คำรามกับเสียงสายลมถูกแหวกดังอึงอื้อ เขาจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่า คนทั้งคู่คุยอะไรกันอยู่... ไม่นานนักนนท์ก็ขึ้นรถประจำตัวของเขาและขับทะยานออกไป โดยมีนาถยากอดอกมองตาม ผมยาวของเธอรวบเป็นหางม้าต่ำๆไว้ด้านหลัง ดวงหน้านิ่งเอาจริงเอาจัง จนกระทั่งหญิงสาวหันหลังกลับ ในช่วงเวลานั้นเธอก็เจอะเขาเข้าพอดี นาถยาโบกมือมาให้ รอจังหวะที่รถว่างแล้วจึงข้ามมาหา พร้อมกับทักทายด้วยเสียงแจ่มใส

“สวัสดีค่ะ มาทำอะไรแถวนี้คะ”

ราเชนทร์ยิ้มกว้าง “ผมมาหางานทำน่ะครับ แล้วคุณนาถล่ะ”

“ฉันมาทำธุระแทนคุณวันชนะน่ะค่ะ พอดีท่านป่วยเลยต้องมาจัดการแทน”
ราเชนทร์พยักหน้าหงึกหงักไปตามเรื่องตามราว ก่อนจะถามกลับ

“แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ”

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ... ท่านเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องน้องริสตามมาอีก อาการก็เลยแย่ลง นี่หมอก็สั่งห้ามไม่ให้ทำงานหนักด้วย แต่ท่านก็ดื้อแพ่งไม่ยอมท่าเดียว ดิฉันเลยต้องขู่ ท่านถึงยอมให้เป็นตัวแทน”

ราเชนทร์อยากจะถามหนักๆ เจาะลึกลงประเด็นไปเลยว่า เรื่องที่เธอคุยกับผู้ชายคนนั้นคือเรื่องอะไร และรู้จักกันได้อย่างไร เพราะความรู้สึกในทางอกุศลของเขาบอกว่าเรื่องนี้มีสิ่งที่ผิดปกติ...

ผิดปกติ...จากท่าทาง สายตา ที่นนท์และนาถยามีต่อกัน...

หากแต่ก็ต้องทำใจ เพราะสืบตอนนี้ไปก็คงไม่รู้ หรือถึงรู้แล้วจะมีอะไร... นั่นสิ มันจะมีอะไร อย่างไรเสียแพรไหมก็ไม่มีวันจะกลับมาหาเขาอยู่แล้ว

“ท่านคงคิดถึงคุณริสมากนะครับ” ราเชนทร์สานต่อบทสนทนาเมื่อครู่

“ค่ะ”

“แต่ทั้งที่รักกันขนาดนี้ ทำไมถึงได้ดูห่างเหินกันจังเลยก็ไม่รู้” ราเชนทร์ถาม

และเป็นคำถามเดียวที่นาถยาร้องขึ้นมาอย่างเอะใจ...

“คุณเชนทร์รู้ได้ไงคะว่าท่านกับน้องริสระหองระแหงกัน”

ราเชนทร์หน้าบื้อไปชั่วขณะ มันก็จริง เขารู้ได้อย่างไรว่าวริสามีเรื่องระหองระแหงกับผู้เป็นพ่อ ก็ในเมื่อเขาไม่เคยรู้จักมักจี่กับหญิงสาวมาก่อน เพียงเหตุการณ์ครั้งนั้นคงไม่ได้ทำให้เขารู้เรื่องทุกซอกทุกมุมของหญิงสาวหรอก

จะบอกไปว่า เพราะหลังจากที่วริสาตาย เธอก็ตามรังควานเข้าฝัน จนเขาต้องถามภาพิมลเรื่องที่วริสามีปัญหากับพ่อและแม่เลี้ยงก็คงไม่ใช่ที่... ต้องตอบรวมๆ คลุมเครือไว้ก่อน...

“คือ... ผมได้ยินมาอย่างนั้นน่ะครับ” ราเชนทร์บอกเร็วๆเพื่อจะหนีประเด็นที่ถูกจับผิด “พ่อลูกก็คงต้องมีเรื่องทะเลาะกันบ้าง ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร”

ราเชนทร์ลอบถอนหายใจยาวเมื่อสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนพ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการผลักไสความอึดอัดใจนี้ให้ตกอยู่กับฝ่ายของนาถยาด้วย แววตาของเธอแสดงออกถึงความสับสนและอยากจะระบาย แต่เธอก็เลือกที่จะนิ่งเงียบและไม่พูดอะไรออกมา

...ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า... ผู้หญิงตรงหน้าเขาสามารถทำตามคุณสมบัติข้อนี้ได้

หรือไม่อีกที... เธอก็มีความลับบางอย่างที่เก็บงำไว้

แล้วความเงียบชวนอึดอัดก็แผ่อิทธิพลอยู่เหนือพวกเขาทั้งสอง มีเพียงสิ่งต่างๆรอบนอกที่เคลื่อนไหว ราเชนทร์กำหมัดเบาๆ สัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะบนฝ่ามือ

“ว่าแต่คุณเชนทร์พอจะมีเวลาว่างบ้างหรือเปล่าคะ”

“มีอะไรครับ”

สีหน้าของนาถยาเปี่ยมไปด้วยความลำบากใจ “ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป อยากให้คุณชวนคุณรามินทร์กับน้องมลไปเยี่ยมท่านหน่อยได้ไหมคะ พอดีน้องมลสนิทกับน้องริสมาก ถ้าหากท่านได้เจออาจคลายความเสียใจลงบ้าง”

ราเชนทร์พอจะเข้าใจจุดประสงค์ในการเข้ามาทักของนาถยาแล้ว

“ทำไมคุณนาถไม่ลองชวนคุณมลด้วยตัวเองล่ะครับ”

นาถยาหัวเราะแห้งๆ “ไปชวนได้ค่ะ แต่กลัวจะไม่มา”

ราเชนทร์รู้สึกว่าเขาเริ่มจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งเหยิงภายในครอบครัวของวริสามากขึ้นทุกที จึงต้องกันตัวไว้ในระดับหนึ่ง

“ถ้างั้น... ไว้ยังไงผมจะลองชวนดูนะครับ” เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้

“ขอบคุณค่ะ” นาถยาค้อมศีรษะเล็กน้อย “ท่านต้องดีใจมากแน่ๆเลย”

พอพูดสิ่งที่ต้องการจบ นาถยาก็ชวนคุยสัพเพเหระอีกเล็กน้อย

“คุณเชนทร์คะ” นาถยาล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือ แล้วยื่นนามบัตรสีชมพูเล็กๆมาให้ เขารับไว้ “เมื่อครู่เห็นบอกว่าหางานทำอยู่ ถ้าหากว่ามีอะไรที่ดิฉันพอจะช่วยเหลือได้ก็บอกนะคะ”

ราเชนทร์ค้อมศีรษะให้เธอเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรคะ”

นาถยาขอตัวกลับ เธอข้ามไปยังถนนอีกฟาก ราเชนทร์มองตามหลังของเธอไป มองดูผมหางม้าที่แกว่งไกวดูจนเธอกลืนหายไปกับผู้คน แล้วจึงก้มลงมองนามบัตรในมืออีกครั้ง กระดาษแข็งสีชมพูเนื้อดี กลิ่นหอม มีตัวหนังสือสีดำเลื่อมบอกถึงตำแหน่งงานของหญิงสาวที่ทำให้ราเชนทร์ต้องขมวดคิ้ว

กรรมการบริษัทงั้นหรือ...

*********


ราเชนทร์กลับมาถึงบ้านก็ย่ำบ่ายมากแล้ว ฝนตั้งเค้ามาตั้งแต่เช้า แม้จะยังไม่มีทีท่าว่าจะตกแต่ก็ยังวางตัวทะมึนต่อไปเรื่อยๆ บรรยากาศภายนอกจึงมืดๆครึ้มๆชวนให้เหน็บหนาว หากภายในบ้านที่มีแสงไฟสว่างเพียงพอและการจัดห้องในรูปแบบใหม่ทำให้บ้านดูอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ราเชนทร์เอาของไปเก็บไว้เรียบร้อยก็กลับเข้ามาในครัวที่เป็นกึ่งๆห้องรับประทานอาหาร

ห้องครัวนี้เป็นส่วนที่ถูกกั้นขึ้นด้วยฉากไม้ระแนง ตรงส่วนที่เป็นทางเข้าไม่มีบานประตู เป็นเพียงช่องว่างโล่งๆ ภายในครัวก็มีอ่างล้างจานและเคาน์เตอร์ปูด้วยกระเบื้องอยู่ติดผนังด้านในสุด มีชั้นวางของใส่พวกเครื่องครัวทั้งหลายตรงนั้น ถัดมาอีกหน่อยจึงเป็นเตาแก๊ส ส่วนอีกมุมหนึ่งเป็นที่วางตู้กับข้าว ตู้เย็น และเตาไมโครเวฟ ตรงกลางห้องเป็นโต๊ะรับประทานอาหารหน้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ใหญ่มากนัก

ราเชนทร์นั่งบนเคาน์เตอร์นั้น ละเลียดกาแฟที่ส่งไอกรุ่นๆขึ้นมาพร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา แววตาของนาถยายังเป็นที่คาใจ... เธอจะต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างกับนนท์

ระหว่างที่กลุ้มใจอยู่ตามลำพัง วริสาก็โผล่ออกมา หากแต่คราวนี้เธอส่งเสียงมาก่อน บอกว่าจะโผล่มาแล้วนะ แล้วค่อยปรากฏร่างนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้า เขาจึงไม่ตกใจเท่าไหร่นัก

“ไปไหนมาทั้งวันล่ะคุณ” ราเชนทร์ถาม วริสายึกยัก

“คุณล่ะไปไหนมา”

“ผมก็ไปหางานทำไง... จะได้ไม่ต้องอยู่ว่างๆให้ผีมาบ่นกรอกหู รำคาญ...”

วริสาหน้าตึงส่งเสียงจึ๊กจั๊ก ไม่สบอารมณ์ “ฉันไม่ได้บ่นเสียหน่อย แค่แนะนำ”

“อือ... คงงั้นมั้ง” ราเชนทร์รับคำ หัวเราะเล็กๆไปด้วย ก่อนจะบอกข่าวสำคัญกับวริสา “เออ... วันนี้ผมเจอแม่เลี้ยงคุณด้วยล่ะ”

วริสาเปลี่ยนสีหน้าในทันทีทันใด ราเชนทร์สัมผัสได้ถึงพลังงานน่ากลัวที่ห้อมล้อมเธอไว้

“ใจเย็นๆสิคุณ... ไม่งั้นไม่เล่าให้ฟังนะ” ราเชนทร์ตำหนิกลายๆ หญิงสาวจึงยอมผ่อนความโมโหลง ราเชนทร์เห็นว่าสภาพการณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาจึงยอมเล่าเรื่องต่อ “คุณนาถบอกว่าพ่อคุณป่วยมาก เพราะเสียใจที่คุณตาย”

ราเชนทร์เห็นวริสาอึ้งไปสักเสี้ยวนาที ก่อนที่เธอจะยิ้มเยาะเหี้ยมเกรียม

“เขาคงไม่ได้ห่วงฉันหรอก แค่โรคเก่ากำเริบน่ะ พ่อฉันเป็นโรคหัวใจ พอใครทำอะไรไม่ถูกใจก็ล้มป่วยแบบนี้แหละ”

ราเชนทร์ไม่คิดจะฟังคำประชดประชัน แม้เขาจะเข้าใจว่า วริสารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ชอบใจนักที่เธอมักทำเป็นแค้นเคืองราวกับคนอื่นๆทำผิดกับเธอไปหมดแบบนี้

“ผมว่าท่านรักคุณมากนะ”

วริสาเบ้ปากนิด “ฉันไม่รู้หรอก... ว่าแต่คุณเถอะ โดนแม่นั่นกล่อมมาได้ยังไง”

ราเชนทร์ยักไหล่เบาๆ จิบกาแฟอีกนิด แล้วเล่าต่อ

“พอดีผมกำลังจะกลับบ้าน แล้วทีนี้เห็นคุณนาถเขามาคุยธุระแถวนั้น...” ราเชนทร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาอยากจะถามวริสาว่า นาถยากับนนท์มีความสัมพันธ์อะไรกัน เกี่ยวข้องกันทางไหน หรือเธอรู้จักผู้ชายคนนั้นมาก่อนไหม แต่อีกใจหนึ่งกลับต่อต้าน บอกว่าอย่าถามเลย เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ แต่ดูเหมือนความคิดฝ่ายหลังจะพ่ายแพ้หมดรูป

“คุณรู้รึเปล่าว่า ผู้ชายที่ชื่อนนท์เขาเป็นใคร”

“ไม่รู้... ถามทำไม”

“เปล่า... ก็พอดีคนที่คุณนาถมาคุยธุระด้วยก็คือผู้ชายคนนี้ ผมก็เลยสงสัยว่าเขารู้จักกับครอบครัวของคุณรึเปล่า หรือว่าเป็นญาติ...”

วริสาใช้ความคิดอย่างหนัก เธอยกแขนขึ้นเท้าคาง แล้วถอนใจ

“ไม่นะ ฉันไม่เคยรู้จักอีตานนท์อะไรนี่ ในบริษัทก็ไม่... เพื่อนพ่อก็คงไม่ใช่...ญาติแม่นั่นก็ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ เพราะแม่นั่นตัวคนเดียว...” วริสาพึมพำดังๆ ก่อนจะร้องเสียงดังขึ้นมาเฉยๆ “ฉันรู้แล้ว!”

“อะไรของคุณ” ราเชนทร์ถามพลางส่ายหน้ากับ‘กิริยาไม่เป็นกุลสตรี’อย่างนี้

“ชู้ไงคุณ แน่ๆเลย” วริสาสรุป

“เฮ้ย! มั่วรึเปล่าคุณ” ราเชนทร์ร้องท้วง หากแต่ลึกๆลงไปเขาเองก็คิดอย่างนั้น ใช่... เขาคิดแบบนั้นจริงๆ ด้วยอาการของนาถยาที่เขาเห็น มันยากที่จะปฏิเสธได้ว่า สองคนนั้นไม่มีเรื่องลึกลับอำพราง

“ฉันว่าใช่นะ” วริสายืนยัน จ้องเขาเขม็ง “คุณคิดดูสิ พ่อฉันแก่ขนาดนั้นแล้วผู้หญิงคนไหนจะรักจริง ถ้าจะรักก็รักเงินพ่อมากกว่า นี่คงคิดจะแต่งงานเอาสมบัติสินะ เฮ้ย! ฉันไม่น่าออกจากบ้านเลยจริงๆ เข้าแผนมันหมด”

หากเป็นในเวลาอื่นที่ราเชนทร์ไม่มีความกังวลส่วนตัวแล้ว เขาคงหัวเราะให้กับนิยายที่วริสาแต่งขึ้น แต่ในตอนนี้ ความที่เขาเองก็มีความคิดไม่ต่างจากเธอนัก เมื่อถูกกระตุ้นเติมเชื้อจินตนาการเข้าไป มันก็ยิ่งลุกโชติช่วงเข้าไปใหญ่... ถ้าหากเป็นจริงดังว่า แล้วแพรไหมเล่า แพรไหมจะรู้ความจริงข้อนี้หรือเปล่า หรือว่าเธอก็โดนไอ้นนท์นั่นหลอกเหมือนกัน

ราเชนทร์รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา แต่ก็ข่มมันลงไปตามเดิม เพราะจะว่าไป มันก็หมดสิทธิ์ที่จะเป็นห่วงแพรไหมแล้ว

...หมดเวลาของเขาแล้ว

“ผมว่าคุณใจเย็นๆก่อนดีกว่านะ” ราเชนทร์แนะนำทั้งวริสาและตัวเอง “บางทีเรื่องมันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดๆกันอยู่นี่ก็ได้”

“แต่ฉันสังหรณ์ว่ามันจะเป็น”

“ก็แค่คิดเดาเอาเองเท่านั้นแหละ... อย่าเพ้อเจ้อนักเลยคุณ”

ราเชนทร์ลงจากเคาน์เตอร์ วางแก้วกาแฟลงในอ่างน้ำแล้วเดินออกจากห้องครัว วริสาลอยตามหลังเขามาติดๆ หน้าบอกบุญไม่รับเสียด้วย

“ฉันไม่ได้เพ้อเจ้อ ฉันพูดจริงๆ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ”

ราเชนทร์ส่ายหน้า “ไหนล่ะหลักฐานว่าเป็นอย่างนั้น มีไหม ถ้าไม่มีก็เพ้อเจ้อ คิดเป็นตุเป็นตะไปเอง สร้างเรื่อง เหลวไหล”

“นี่... จะหาเรื่องว่าฉันหรือไงยะ”

ราเชนทร์หยุดกึก แล้วต่อมา เขาก็รู้สึกเย็นวาบ ชาแปลบปลาบทั่วกาย ทะลุทะลวงเข้าไปถึงภายใน ก่อนจะเห็นวริสาที่หยุดไม่ทันพุ่งทะลุตัวเขาออกมาเกือบล้มหกคะเมน พอตั้งหลักได้ หญิงสาวก็ลุกขึ้นมาแยกเขี้ยวใส่เขา

หากแต่ในช่วงเวลานั้น ดวงจิตของวริสาอยู่ใกล้ชิดกับเขาเสียเหลือเกิน เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอคล้ายกับว่ามีแรงดึงดูดลึกลับทำให้ไม่อาจละจากดวงหน้านั้นได้ วงหน้าเรียวละมุนที่แข็งกร้าวในชั้นแรกอ่อนโยนลง วริสาเองก็นิ่งไปเช่นกัน สบตาประสานเนิ่นนาน เสี้ยววินาทีดั่งชั่วโมง

มันเป็นไปได้หรือที่เขาจะรู้สึกเช่นนี้... อารมณ์หวั่นไหวปะทุขึ้นมาในใจจนสั่นสะท้าน

ความนิ่งเงียบแผ่คลุมไปทั่วทั้งบ้าน บรรยากาศอบอุ่นคล้ายดั่งมนต์สะกดให้เขาไม่อาจละสายตาได้ จนวริสาต้องเป็นฝ่ายหลบหน้าหนี แล้วถอยออกไป พร้อมกับหันไปทางอื่นไม่ยอมมองมาที่เขา

ราเชนทร์ยกมือขึ้นจับท้ายทอย ตะกุกตะกักพูด

“เออ ผมซื้อของมาฝากคุณด้วย ไม่รู้ว่าจะชอบรึเปล่า”

วริสามองมาทางเขาอีกครั้งหนึ่ง น้ำเสียงแข็งๆนั้นไม่ได้ก้าวร้าวอย่างที่เคยได้ยิน

“อะไร...”

“เอาเหอะน่า ไปดูกัน”

ราเชนทร์พูดแล้วก็วิ่งนำไปยังห้องนอน พอวริสาตามมาถึง เขาก็หยิบกล่องของขวัญขึ้นมาให้วริสาดู เธอคงจะแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“แกะเองไหม”

“บ้า!” วริสาเอ็ด “ฉันไม่เปลืองพลังงานกับเรื่องไร้สาระหรอก”

“เอ้า... คนอุตส่าห์ซื้อมาฝากทั้งที พูดงี้เสียน้ำใจแย่...” ราเชนทร์ว่า “เอาเถอะ เดี๋ยวแกะให้ดูก็ได้”

แล้วกระดาษสีสวยที่หุ้มห่อเอาไว้ก็ถูกฉีกอย่างทารุณ วริสาคงขุ่นข้องใจสุดๆจึงบอกเขาว่าให้แกะดีๆ จากนั้นพอหมดปราการด่านแรก เขาก็เปิดกล่องออก และหยิบเอากล่องดนตรีที่อยู่ในนั้นออกมา บ้านเซรามิกโดดเด่นน่ารัก ทีแรกเขานึกว่าวริสาจะดีใจทีได้เห็น แต่กลับผิดคาด เพราะเธอทำหน้าแหยงๆ สำรวจมองราวกับนี่คือสิ่งที่ไม่ควรค่าแก่การพบเห็น

“อะไรกันคุณ ไม่ดีใจเหรอ ทำท่าดีใจหน่อยไม่ได้เหรอไง”

“เรื่องอะไรล่ะ ก็ฉันไม่ชอบนี่”

“บ้านใหม่ของคุณเลยนะ” ราเชนทร์พูดงอนๆ แล้วก็วางกล่องดนตรีลงบนโต๊ะหัวเตียง “คุณจะได้มีที่พัก ไม่งั้นเดี๋ยวก็เพ่นพ่านไปทั่วบ้านอีก”

“แต่ฉันไม่ชอบ” วริสายื่นคำขาด ราเชนทร์กำลังไขลาน แล้วเสียงดนตรีก็กังวานขึ้นมา

“ผมอยากให้คุณอยู่ในนี้ คุณก็ต้องอยู่” ราเชนทร์ออกคำสั่ง ลืมคำนึงไปนานแล้วว่ากำลังคุยกับผีอยู่

วริสาชั่งใจอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะให้คำตอบ

“ก็ได้... จะฝืนใจอยู่”

พอขาดคำ หญิงสาวก็กลายสภาพเป็นดวงจิตสีเงินเปล่งประกายจรัสวิบวับ พุ่งเข้าสู่บ้านเซรามิกบนกล่องดนตรี ราเชนทร์ลอบอมยิ้มที่เห็นหญิงสาวอ่อนข้อให้

“ยิ้มอะไร ห้ามยิ้ม ไม่งั้นฉันจะออกไปหลอกคุณ” วริสาโวยออกมาจากด้านใน

“ก็ได้... ผมไม่ยิ้มก็ได้ แต่ขอหัวเราะนะ”

แล้วในห้องที่อบอุ่นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของราเชนทร์ผสมผสานกับร้องวี๊ดว๊ายอย่างขัดใจของวริสา...

เป็นจุดเริ่มต้นของความสุข... แม้มันจะเป็นเพียงจุดเล็กๆก็ตามที

*********

*********

*********




ดวงใจในเงาจันทร์
17 - ความรู้สึกที่แตกร้าว


พื้นที่โล่งๆว่างเปล่าภายในบ้านเซรามิกไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับวริสาแต่อย่างใด เธอเพียงแค่สร้างสภาวะเหมือนจริงขึ้น ทำให้บ้านหลังน้อยกลายเป็นบ้านที่มีห้องนอนหนึ่งห้อง มีครัว ห้องรับแขก และมีห้องน้ำ ตามอย่างที่บ้านของคนควรจะมี เมื่อตกแต่งทุกอย่างจนสมใจแล้ว วริสาก็นึกรักบ้านหลังเล็กนี้ขึ้นมาทีละน้อย ต่อไปนี้เธอก็จะมีบ้านเอาไว้พักเวลาที่ไม่อยากออกไปเคว้งคว้างบนหลังคาบ้าน หรือเดินเรื่อยเปื่อยในยามค่ำคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่จมกับการหลับใหล

ต้องขอบใจราเชนทร์ผู้เป็นเจ้าของความคิดนี้... วริสาแอบยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงหน้าตายียวนของเขา แล้วก็นึกถึงตอนที่เขาชะงักงันเมื่อสบสายตากับเธอตรงๆ

หวั่นไหว...ไม่หรอกน่า ตอนนั้นเธอแค่โมโหที่เขาหาเรื่อง มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่หรือ...

วริสายืนยันกับตัวเองอย่างนั้นแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ฟูกนุ่มๆเป็นสปริงให้ตัวเธอเด้งดึ๋งๆสองสามครั้งก่อนจะหยุด เธอมองดูเพดานอึดใจหนึ่ง แล้วลุกเดินไปยังหน้าต่าง เลิกม่านแอบดูข้างนอกเสียหน่อยแต่ก็ไม่เห็นราเชนทร์

ช่างเขาเถอะ... ไปไหนก็ช่าง เพราะตอนนี้ เธออยากลองอาบน้ำในอ่างจากุซซี่เสียแล้วสิ

*********


วริสาตามราเชนทร์ออกมาเดินเล่น เขาอธิบายว่าวันนี้มีตลาดนัดที่ใกล้ๆบ้านและฝนก็คงไม่ตกแล้ว วริสาเลยยอมตามมา อีกอย่างถึงฝนจะตกเธอก็ไม่กลัว เธอยังไม่รู้เลยว่าผีกลางสายฝนจะเป็นอย่างไร จะเปียกไหม มันน่าจะลองดู

เธอลอยอยู่ข้างๆเขา เลื่อนไปพร้อมกับจังหวะกะก้าวที่มั่นคงนั้น เหม่อมองไปยังสุดปลายถนนที่โล่งว่าง นานๆทีถึงจะมีรถแล่นผ่านมาสักคัน ทิวไม้เอย บ้านเรือนเอย ตกอยู่ใต้ฉากก้อนเมฆสีเทา ชาวบ้านต่างพากันเดินฝ่าสายลมที่พัดวูบมาเป็นระยะ พวกเขาเหล่านั้นพูดคุยกันแล้วพากันหัวเราะแต่วริสาไม่ได้สนใจ

“ชุดนี้ดูสวยนี่” ราเชนทร์เอ่ยทัก “ใครทำบุญให้มาล่ะ”

วริสาเอียงมองดูชุดเสื้อกระโปรงเรียบๆที่แต่งด้วยโบว์อันเล็กๆตรงเอวก่อน ค่อยส่งยิ้มให้เขา

“สวยเหรอ...ที่จริงมันเป็นชุดคนป่วยนั่นแหละ แต่ฉันเสกเอา ไม่มีใครเขาส่งเสื้อมาให้ฉันเลย เซ็งเหมือนกันนะ”

เมื่อพลั้งปากพูดออกไปแล้วก็หดหู่ นี่เธอปราศจากคนสนใจขนาดนี้เชียวหรือ... แต่ก็เอาเถอะ ตอนมีชีวิตก็ใช่ว่าเธอจะวิสาสะกับใครเท่าไหร่ เป็นผีเสียอย่างนี้จะมีใครคิดถึง...

ราเชนทร์จ้องเธออยู่พักหนึ่ง ในแววตานั้นก่อความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับว่าต้องการค้นเข้าไปในตัวเธอ

“เออ...” วริสาร้องพร้อมกันกับราเชนทร์

“เอาไว้ผมหาให้นะ เสื้อน่ะ...”

ถ้อยคำและน้ำเสียงอย่างนี้ หากเธอยังเป็นคน...หัวใจจะเต้นแรงไหมนะ แล้วเธอจะมีอาการอย่างไร เพราะในตอนนี้ ทั้งที่เป็นผี เธอก็ยังเก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูก

“ผมไม่อยากเห็นผีซกมก...” ชายหนุ่มพูดติดหัวเราะแล้วก็เดินหนีเร็วๆ วริสาจึงได้แต่ถลึงตาใส่เขาโดยที่เขาไม่เห็น

ใช้เวลาราวๆสิบห้านาทีก็มาถึงตลาดนัดที่ว่า ในอาณาบริเวณเต็มไปด้วยร้านค้าและผู้คน เสียงระเบ็งเซ็งแซ่และกลิ่นหลากกลิ่นที่ปะปนลอยอวลในอากาศดูจะเป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะปฏิเสธ วริสาคิดอยู่ในใจว่า ถ้าหากเธอลอยขึ้นไปสูงๆ แล้วมองลงมา คงจะเห็นสีสันพันลึกที่เคลื่อนที่ไร้ระเบียบหากแต่สวยงามเป็นแน่

วริสาคะยั้นคะยอให้ราเชนทร์ดูของสวยๆงามๆเป็นเพื่อน เขาก็เอาแต่ส่ายหน้าแล้วก็เดินหนีไป แน่ล่ะ...คนอย่างเขาจะไปหาอะไรได้นอกจากอาหาร... กินตลอดรายการเลยตาคนนี้

วริสาชะโงกหน้ามองราเชนทร์ที่กำลังสั่งขาไก่ทอดแล้วร้องยี้ใส่หูเขา

“ไขมันจุกอกตายแน่”

ราเชนทร์คำรามฮึ่มๆในคอ วริสารู้ดีว่าเขาตอบโต้เธอไม่ได้ เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นว่าเขาพูดคนเดียว คนอื่นก็จะมองว่าเขาบ้าอีก...สมน้ำหน้านัก

น่องไก่ถูกตักออกจากกระทะ นำมาพักไว้บนตะแกรงเพื่อไม่ให้อมน้ำมันและคลายความร้อนไปในตัว แป้งที่ถูกทอดเป็นสีเหลืองน้ำตาลมีแววประกายวับๆ และถ้าหากว่านำน่องไก่สักน่องไปไว้ในที่เงียบๆ เงี่ยหูฟัง ก็จะได้ยินเสียงฉ่าๆปะทุออกมาจากผิวแป้งที่ห่อหุ้มไว้นั้นด้วย แต่ใครเล่าจะเอาไปทำอย่างนั้น กลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้อยากกินเสียขนาดนี้ เก็บลงท้องเข้าท่ากว่า

“นี่คุณ...ให้ฉันน่องนึงสิ” วริสาอ้อนวอน อีกฝ่ายเพียงแต่ชำเลืองมอง สายตาดั่งมีคำถามว่า... ไหนเมื่อกี้บอกว่าอ้วน...

“ผีน่ะไม่มีอ้วนหรอก รู้ไว้ซะ” วริสาบอก แล้วก็รีบชี้นิ้วไปยังชิ้นที่ต้องการ ราเชนทร์หัวเราะเบาๆอยู่คนเดียวแต่ก็ซื้อเพิ่มให้จนได้

แม่ค้าคีบน่องไก่ที่เขาบอกใส่ถุงให้ พอซื้อขายกันเสร็จวริสาก็คะยั้นคะยอให้เขาย้อนกลับไปดูของกระจุกกระจิกที่อยู่หน้าตลาดเมื่อครู่ แต่ชายหนุ่มไม่ได้อนาทรร้อนใจ ทำราวกับว่าไม่มีเธออยู่ตรงนั้นเสียได้ วริสาขุ่นๆอยู่ไม่น้อย ...หากก็เท่านั้น

จนกระทั่งลึกเข้ามาในตลาดอีก ก็มีเสียงเรียกชื่อราเชนทร์ดังมาจากทางด้านหลัง วริสาหันกลับไปมองพร้อมๆกับเขา จึงเห็นว่า ใครคนนั้นคือมินตรา...

“สวัสดีค่ะ” มินตราทักทาย “มาเที่ยวตลาดกันเหรอคะ”

‘มาเที่ยวตลาดกัน’ เธอพูดอย่างนี้แล้วก็หันมามองทางวริสาครู่หนึ่ง วริสายิ้มรับ

“คุณก็มาเหมือนกันเหรอ” น้ำเสียงของราเชนทร์ไม่ได้บอกถึงดีใจที่ได้พบ กลับชวนให้คิดว่าเปี่ยมด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายเสียมากกว่า

“ฉันมีข่าวจะมาบอกคุณ” มินตราพูด พร้อมๆกับเดินต่อ ราเชนทร์จึงตามไปข้างๆ ส่วนวริสาเมื่อถูกเบียดที่ไป จึงต้องตามหลัง “พี่ชายคุณกับคุณมลมาหาฉัน เขาห่วงว่าคุณกำลังถูกคุณริสครอบงำ”

“เอ๊ะ! ไม่ได้ครอบงำเสียหน่อย” วริสาโวยวาย แต่คนข้างหน้าทั้งสองคนไม่ได้หันมา

“คุณน่าจะลองอธิบายให้พวกเขาเข้าใจดูนะ แล้วฉันจะช่วยพูดอีกแรง” มินตราบอกอย่างสงบ

“คุณจะให้ผมพูดยังไงล่ะครับ ผมไม่อยากให้สองคนนั่นรู้เรื่องเพราะห่วงว่าพวกเขาจะกลัวกัน เรื่องมันอาจเลวร้ายกว่านี้ก็ได้”

มินตราถอนใจเฮือกใหญ่ วริสาสังเกตเห็นว่าแม่หมอตรงหน้าออกจะเอาใจใส่เรื่องของเธอกับราเชนทร์มากไปหน่อย... หรือเธอคิดไปเอง

“คุณประเมินคนที่ห่วงใยคุณต่ำไปนะคะ ถ้าหากว่าพวกเขารู้มีหรือที่พวกเขาจะไม่ช่วยคุณ ฉันว่านะ บางทีการเก็บเรื่องแย่ๆไว้เป็นความลับของตัวคนเดียว มันไม่อาจช่วยให้อะไรดีขึ้นได้เลยนะคะ แต่ถ้าหากคุณบอกให้พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจไว้ คุณริสเองก็จะได้เปิดเผยตัวออกมาให้คนอื่นเห็นได้ด้วย เธอจะได้มีเพื่อน ไม่ใช่ติดแหง็กอยู่กับคุณคนเดียวแบบนี้”

วริสาพยักหน้าให้ พอใจกับคำตอบ ใช่เลย...เธออยากคุยกับภาพิมลจะแย่อยู่แล้ว จะดีแค่ไหนนะถ้าเธอปรากฏตัวให้เพื่อสาวเห็นได้ ยัยมลคงวิ่งกรี๊ดลั่นบ้านแน่ แค่คิดเล่นๆก็ขำแล้วนะนี่

แต่คนที่ไม่ขำน่าจะเป็นราเชนทร์ เพราะรายนี้ทำตาขวางทันทีที่มินตราพูดจบ

“เชื่อฉันเถอะค่ะ” มินตรายืนยันในความคิด ราเชนทร์จึงถอนใจแล้วสงบลง

“เอาเถอะ ผมจะลองคุยกับพี่มินทร์ดู”

มินตรายิ้มกว้างๆ เวลาที่ผู้หญิงคนนี้ยิ้มแล้วดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว... วริสาคิดอย่างนี้อยู่ในใจ แล้วก็นึกไปถึงว่า มินตราก็เป็นคนจัดรายการวิทยุดูดวงนั่นด้วย จึงไม่น่าแปลกที่เธอจะต้องมีอัธยาศัยดีพอควร...แต่ทำไมนะ เวลาปกติเธอถึงไม่ค่อยยิ้ม หรือยิ้มนั้นมีเอาไว้เฉพาะเวลาทำงาน... อันนี้สิผิดปกติ

“แล้วอีกเรื่อง” มินตราไม่ยอมให้เสียเวลาไปแม้แต่น้อย “ช่วงนี้ดวงของคุณวันชนะกำลังแย่ ทั้งเรื่องธุรกิจและสุขภาพ บางทีอาจจะ...” มินตราทอดเสียงไว้ตรงนั้น แต่วริสาใจหวิว “ฉันว่าคุณลองหาทางเข้าไปดูแลท่านหน่อยนะคะ อย่างไรเสียท่านก็เป็นพ่อ”

คำพูดทั้งหมดนี้ มินตราจงใจสื่อมาให้วริสาโดยเฉพาะ มินตรามาเตือนว่าพ่อของเธอมีอันตราย และอันตรายนั้นก็ร้ายแรงมาก...

บทสนทนาเมื่อช่วงบ่ายแย่งพื้นที่ความคิดเข้ามา ราเชนทร์บอกว่าเขาเห็นนาถยาคุยอยู่กับผู้ชายอีกคน... เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะทรยศพ่อ

วริสาเป็นเดือดเป็นแค้น แต่ก็ข่มใจแล้วถามคำถามกลับไปว่า

“ฉันต้องทำยังไงคะ ต้องหลีกเลี่ยงยังไง”

“ช่องทางมีอยู่แล้ว” มินตราตอบ “หวังว่าคุณเชนทร์คงช่วยได้ และถ้าคุณทำสำเร็จ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณวันชนะปลอดภัยได้ แต่คุณยังจะช่วยคุณริสได้ด้วย”

วริสาเงียบ... หรือบางทีนี่อาจเป็นลิขิตจากฟ้า ภารกิจสำคัญที่เธอจะต้องทำเพื่อที่จะหลุดพ้นจากโลกใบนี้

วริสามองคนตรงหน้าอีกครั้ง เธอเห็นมินตราลอบมองราเชนทร์ที่นิ่งเงียบอยู่ ในส่วนลึกรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป

มินตราคิดอะไรอยู่นะ...ทำไมถึงจ้องราเชนทร์ขนาดนี้

แต่จะอย่างไรก็ช่างเถอะ เวลานี้เธอไม่สนใจใครแล้วนอกจากเรื่องของพ่อ เธออยากจะแล่นไปหาในทันทีทันใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าบ้านหลังนั้น เพราะมีเจ้าที่กั้นขวาง หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของบ้านแล้ว ก็เป็นการยากที่เธอจะเข้าไป และเมื่อเธอไม่อาจเข้าบ้านได้ ก็ช่วยพ่อไม่ได้ และข้อเท็จจริงอีกข้อก็คือ เธอเป็นแค่ผีตนหนึ่ง ไม่อาจช่วยเหลืออะไรมากกว่าตามดูแล

ต้องพึ่งราเชนทร์แล้วจริงๆ ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งสงสารเขา... ดูเหมือนเธอจะนำพาแต่เรื่องราววุ่นวายมาให้เขาไม่เคยขาด เรื่องเก่ายังไม่ทันหาย เรื่องใหม่ก็เข้ามาแทรก หรือบางทีเธออาจเป็น วริสา-เจ้าแห่งความโชคร้าย ล่ะมั้ง คนรอบข้างเธอถึงได้ต้องมีแต่เรื่องหนักอกหนักใจอยู่ตลอดเวลา

วริสาหยุดนิ่ง เธอปล่อยให้คนทั้งสองเดินกันต่อไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปในตลาด ส่วนตัวเธอเองหยุดยืนอยู่ตรงที่เก่า แล้วถอยกลับเข้าสู่มิติของตัวเอง โลกรอบด้านมืดลง กลายเป็นโลกสีน้ำเงินแกมเทา ผู้คนกลายเป็นเพียงโครงร่างดำๆ เดินวนเวียนวุ่นวาย

*********


ราเชนทร์กระอักกระอ่วนใจไม่น้อยที่ต้องเจอกับแพรไหมในตอนนี้

ตาเรียวคมของแพรไหมกำลังสำรวจมินตราอย่างละเอียดถี่ถ้วน มุมปากยกยิ้มติดจะเยาะหยันในที หากแต่มินตราที่ยืนข้างกายเขากลับนิ่งเฉย ปราศจากอารมณ์ขุ่นเคืองใดๆ

“ไหมเพิ่งรู้ว่าพี่เชนทร์รู้จักกับอ้อยด้วย” แพรไหมพูด ก่อนจะเดินเข้ามาขนาบอีกข้าง

“พอดีพี่เคยติดต่อธุระด้วยน่ะ” ราเชนทร์ตอบเลี่ยงๆ แล้วก็รีบเปลี่ยนประเด็นอื่น “ว่าแต่ไหมเถอะ ทำไมวันนี้มาคนเดียว ไม่เห็น... เขาไม่มาด้วยเหรอ”

แพรไหมหน้าเสียเล็กน้อย แต่หญิงสาวก็ปั้นหน้าได้รวดเร็ว จนมินตราหัวเราะขำ

“เป็นอะไรมากรึเปล่าจ้ะอ้อย”

“เปล่าหรอก แค่อารมณ์ดีน่ะ” มินตราแย้มยิ้ม แต่ราเชนทร์รู้สึกว่ามันเยือกเย็นพิลึก ผู้หญิงสองคนนี้น่าจะมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน และตอนนี้ เขาก็เป็นกำแพงกลางสงครามเย็นเสียด้วย

วริสาไปไหนนะ... ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน

“พี่ว่า...” ราเชนทร์พูด แต่เสียงอ่อยๆไม่อาจสู้เสียงแหลมปรี๊ดของแพรไหมได้

“พี่เชนทร์รู้ไหมคะว่าอ้อยเขาเก่งนะคะ เป็นหมอผีมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”

“อือ...” มินตรายิ้มตอบ “พอดีฉันไม่ค่อยเด่นน่ะค่ะ เลยมีเวลาทำอะไรที่พิเศษกว่าการไปจับ... เอ๊ย... กว่าการมีแฟน ว่าแต่ไหมเถอะ ตอนนี้จับ...เอิ่ม... ขอโทษทีนะ ติดมาจากรายการน่ะ ฉันจะถามว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันมานาน ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลยนะ”

ราเชนทร์ออกจะมั่นใจว่า‘ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ’ที่มินตราพูดหมายถึงอย่างอื่นที่ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา และแพรไหมเองก็คงคิดเช่นเดียวกับเขา หน้าตาจึงถมึงทึงอย่างไม่อาจปิดบัง

“ขอบคุณจ้ะที่ชม” แพรไหมกัดฟันตอบ “ช่วงนี้ก็เรื่อยๆแหละ อย่างคนธรรมดาทั่วไป... พี่เชนทร์คะ” แพรไหมหันมาออดอ้อนราเชนทร์แทน “ทานอะไรมารึยัง ไหมหิว ไม่มีเพื่อนกินข้าวเลย”

ราเชนทร์ทำหน้าไม่ถูก เขาไม่นึกเลยว่าแพรไหมออกจะกล้าขนาดนี้ ก็ในเมื่อเธอเลือกที่จะไปจากเขาแล้วก็ยังทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเลิกกันไปแล้วยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ มันก็ใช่อยู่หรอก เพียงแต่...จะให้มาสนิทสนมกลมเกลียวอย่างที่เคยเป็นมันไม่ได้ ความรู้สึกแตกร้าวไปแล้วมันประสานได้หรือ ยิ่งแพรไหมทำแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก

...แพรไหมเป็นคนประเภทไหน นี่คือคำถามที่เขาถามกับตัวเอง ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขานี้ไม่เป็นทุกข์ร้อนใดๆเลยหรือกับคำว่าเลิกกัน เธอเห็นทุกอย่างเป็นของสนุกและ อยู่ในเงื้อมมือเธอหมดเลยใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงของเล่นที่เธอแค่เล่นๆเมื่อเบื่อก็ทิ้งไป แพรไหมจะรู้ไหมนะว่าความสนุกนั้นคือความเจ็บปวดของคนอื่น... เธอเคยรู้บ้างไหม... ผู้หญิงคนนี้เคยรู้อะไรบ้างรึเปล่า...

ราเชนทร์ชูถุงอาหารให้แพรไหมดูแทนคำตอบ แล้วก็เอ่ยเสียงที่ฝืนให้ร่าเริงสุดๆ

“เราไปหาที่คุยกันไหม ตรงนี้คนเยอะ”

“อ้อยเขาจะว่างเหรอคะ ไม่ถึงเวลากลับไปให้อาหารรักยมที่บ้านอีกเหรอจ้ะอ้อย” แพรไหมบุกอย่างเผ็ดร้อนอีกครั้ง

ราเชนทร์รู้สึกชาบนใบหน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขารู้สึกว่าคำพูดของแพรไหมดูจะแรงไป และเมื่อหันกลับไปเห็นมินตราหน้าเสียก็ยิ่งรู้สึกผิด ทว่าเขาก็ได้เห็นสีหน้าแบบนั้นบนใบหน้าแม่หมอสาวเพียงแป๊บเดียว เพราะเธอตอบกลับด้วยสีหน้ามั่นใจไม่แพ้กัน

“นั่นสิ ถึงเวลาต้องไปสวดมนตร์แล้ว เอาไว้ฉันจะแผ่เมตตามาให้เธอด้วยก็แล้วกัน จะได้ดีขึ้นบ้าง... ฉันหมายถึงดวงน่ะ” มินตราพูดจบก็หัวเราะ แล้วบอกกับราเชนทร์ “เอาไว้ค่อยคุยเรื่องของเราต่อนะคะ ฉันไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวอาหารจะเน่าหมด”

ราเชนทร์ยิ้มเหยเกให้กับมินตราที่เดินจากไป ความรู้สึกผิดที่เคลือบจิตใจเมื่อครู่ลอกล่อนไปแล้ว... ร้ายพอกันล่ะ ทั้งสองคนเลย

“ไหมมีอะไรรึเปล่า” พอมินตราลับหายไปจากสายตา เขาก็เอ่ยถามแพรไหม

“พี่เชนทร์ก็ ไม่มีธุระคุยกันไม่ได้เหรอคะ”

นั่นสิ...ไม่ได้เหรอ ทีเมื่อก่อนเขาอยากพบเธอทั้งที่ไม่มีธุระนั่นแหละ เธอกลับอิดออดบ่อยๆ มาตอนนี้ แพรไหมกลับเป็นฝ่ายต้องพูดคำนี้เสียแล้ว น่าตลกดีที่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วทุกอย่างจะกลับตาลปัตร

“พี่รีบ เอาไว้ว่างๆเราค่อยคุยกันดีกว่านะ”

แพรไหมหน้าม่อยลง “พี่เชนทร์โกรธ...”

ราเชนทร์ไม่ได้ปฏิเสธอย่างทันที เขาอ้ำอึ้งอยู่นิดเพราะกำลังคิดว่าเขาโกรธหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความโกรธเลยสักนิด หากแต่เป็นความอาลัยในตอนแรกและด้านชาในตอนหลัง

“พี่ไม่ได้โกรธค่ะ”

“พี่เชนทร์โกหก... ไหมรู้ว่าพี่เชนทร์โกรธ”

“พี่ไม่ได้โกรธจริงๆ พี่จะโกรธไปทำไมล่ะ ไหมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“แล้วทำไมต้องหนีหน้าไหมล่ะคะ”

แพรไหมกระเง้ากระงอด ภาพในวันเก่าก่อนย้อนทับ นี่ถ้าหากเป็นสมัยนั้นที่เธอยังคบกับเขา เขาก็คงจะเข้าโอ๋เข้าปลอบ แต่เวลานี้แม้แต่จะเข้าใกล้ยังไม่อยากเลยด้วยซ้ำไป

ราเชนทร์ถอนใจเฮือก ไม่อยากอธิบายอะไรอีก...

“ไหม... พี่มีธุระจริงๆ ขอตัวก่อนนะ”

ราเชนทร์ตัดบท แล้วเดินฉับๆหนีมา แพรไหมทันเรียกชื่อเขาแค่คำเดียวแล้วก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

*********




 

Create Date : 22 กันยายน 2551
5 comments
Last Update : 22 กันยายน 2551 12:17:44 น.
Counter : 460 Pageviews.

 

ยังตามอ่านอยู่นะคะ

 

โดย: พรายทราย 22 กันยายน 2551 16:47:13 น.  

 

สวัสดีค่ะ น้องพลอย
พี่สาวแวะมาเยี่ยมค่ะ
เขียนนิยายเก่งจังเลยนะคะ

 

โดย: พี่สาว (พอที ) 22 กันยายน 2551 22:40:14 น.  

 

ขอบคุณคุณพรายทรายมากๆค่ะ
พอดีวันนี้รักดีไม่มารับแขก พลอยเลยมาทักแทน
..หลั่นลา... ^ ^

***
สวัสดีค่ะพี่สาว
เขียนไปเรื่อยเปื่อยตามประสาแก้เหงามือน่ะค่ะ
บล็อกนี้พอดีชวนน้องอีกคนมาช่วยกันเขียน
ไม่งั้นสงสัยคงร้างพอดูถ้าให้พลอยลุยแบบเดี่ยวๆ

^o^

 

โดย: ploy666 IP: 124.157.236.130 23 กันยายน 2551 3:14:59 น.  

 

อยากบอกว่าสะใจค่ะ แพรไหมโดนเมินเฉยซะบ้าง สมน้ำหน้า อิอิ

รู้สึกว่าวริศากับเพชรกะรัตจะคล้ายๆกันตรงที่ตายโดยปราศจากความรัก ชิมิคะ อือ มันมีแง่คิดดีเนอะ

 

โดย: Tukta21 24 กันยายน 2551 23:55:26 น.  

 

วริสากับเพรชกะรัต ตายโดยยังไม่ความรักจริงๆค่ะมอลลี่
เพราะกติกาที่ตกลงกับบัดดี้ไว้คือ

ตัวเอกต้องตายอย่างน้อยหนึ่งฝั่ง (555+)
ฉะนั้น งานจะออกแนว คนรักผี ผีรักคน อะไรทำนองนี้
เลยชื่อว่า "โปรเจครักต่างภพ" น่ะค่ะ

จะเรียกว่างานเขียนเอาสนุกระหว่างพลอยกับรักดีก็พอได้
^ ^

ที่จะต่างกันไปก็ตรงพล็อตเรื่อง และอุปนิสัยใจคอทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นส่วนกำหนดว่า
ใครจะสามารถรับมือกับความรักได้ระดับใด แบบใดค่ะ

 

โดย: ploy666 IP: 124.157.236.208 25 กันยายน 2551 21:00:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.