Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
10 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 09

ดวงใจในเงาจันทร์
9 - การกลับมาของวริสา


“ผมไม่เอาด้วยหรอก นั่นผีนะ ไม่ขอยุ่งด้วยแน่ๆ”

ราเชนทร์ร้องลั่นบ้าน อารมณ์ขุ่นเคืองพลุ่งพล่านยากจะระงับ

“เอ็งไม่เอาแล้วจะทำยังไง... มันไม่ได้อยู่ที่เอ็งจะเลือกเขาหรือเปล่า มันอยู่ที่เขาตั้งใจเลือกเอ็ง” รามินทร์อธิบาย

“อ้าว... โยนมาเลยนะพี่ เขาไม่ได้เลือกผมซะหน่อย เขาอาจจะเลือกพี่ก็ได้”

“เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว... เอ็งแหละเหมาะสุด”

ราเชนทร์หน้าหงิกตั้งใจจะโวยแล้วลุกหนี แต่รามินทร์ชิงตัดหน้าไปเสียก่อน

“เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวฉันจัดการจุดธูปบอกคุณริสเอง”

แล้วรามินทร์ก็จากไป ทิ้งให้ราเชนทร์หัวฟัดหัวเหวี่ยงตามลำพัง

กว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้ก็ต้องสูดลมหายใจเข้าๆออกๆแล้วก็นับเลขเกือบจะถึงร้อย วริสานี่เหลือเกิน จะตายทั้งที ตายโดยที่คนอื่นไม่เดือดร้อนไม่เป็นหรือไง

คืนนั้นมินตราอธิบายถึงเรื่องดวงอะไรสักอย่างของเขากับรามินทร์ว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับวริสา เพียงแต่มินตราไม่อาจบอกได้ว่า เป็นใคร เขาหรือพี่ชายกันแน่ที่หญิงสาวจะต้องเลือกไปเป็นเนื้อคู่

“คงไม่อันตรายถึงชีวิตหรอกค่ะ แต่ดิฉันก็บอกไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร”

คำอธิบายสั้นๆของมินตราที่ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไหร่ หนำซ้ำยิ่งทำให้เขาต้องนั่งทุกข์อยู่กับจินตนาการส่วนตัวว่า ถ้าหากวริสาเลือกเขาขึ้นมาจริงๆจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องมันจะเป็นอย่างไรและจะดำเนินไปในทางไหน...

อยากจะบ้าตายจริงๆโว้ย!

ยิ่งคิดยิ่งเครียด ยิ่งมองปฏิทินแล้วยิ่งเครียดหนัก คืนนี้แล้วสินะที่จะครบกำหนดสี่สิบเก้าวัน... คืนนี้แล้วที่วริสาจะกลับมาจากดินแดนแห่งความตาย

แค่นึกก็ขนพองสยองเกล้า... เลิกนึกเสียดีกว่า

ราเชนทร์กดโทรศัพท์หาแพรไหม อย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนคุยเพื่อที่จะไม่ต้องคิดถึงเรื่องแย่ๆกับผีแย่ๆที่ชอบทำให้คนอื่นเขาแย่ตาม

เสียงสัญญาณดังขึ้นต่อเนื่องกัน สักพัก ก็มีคนรับสาย

คนรับเป็นผู้ชาย!

ราเชนทร์ชะงักกึก ไม่อาจจะเอ่ยปากพูดอะไรออกไปได้ จู่ๆ ภาพในห้วงคิดก็ย้อนกลับมาในหัว รถสปอร์ตสีแดงที่ขับออกจากบ้านของแพรไหม ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ ช่วงเวลาที่เขาบาดเจ็บแต่ไม่มีแม้เงาของหญิงสาวอยู่เคียงข้าง... เจ็บแปลบลึกๆ เป็นความรู้สึกพ่ายแพ้ แต่ก็ยังไม่ยอมรับความจริง

“สวัสดีครับ”

เสียงนั้นเอ่ยทักมาอีกครั้ง ท่าทางงุนงง และจากนั้นราเชนทร์ก็ได้ยินเสียงหวานใสของแพรไหมดังแทรกเข้ามาในโทรศัพท์

“ใครโทรมาคะพี่นนท์”

อาจจะเป็นเพราะมือพลั้งไปหรือจิตสำนึกสั่งก็ไม่ทราบ แต่เขารีบกดวางสายในทันที

ชาหนึบไปทั้งตัว... เรี่ยวแรงเหือดหายจนไม่อาจขยับเขยื้อน...

*********


ราเชนทร์ขับรถไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งไปถึงที่ที่เงียบสงบ ริมแม่น้ำเป็นลานโล่งกว้าง และมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นห่างๆเพียงไม่กี่ต้น เขานั่งใต้โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาเขี่ยดินเล่น แต่ดวงตาจับจ้องไปยังผิวน้ำที่เนืองนองด้วยพรายระยับซึ่งเป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ยามสาย

คิดถึงวันเวลาที่ผ่านมาแล้วรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย... เขารักผู้หญิงคนหนึ่งมากแต่มันน่าเศร้าที่เธออาจไม่คิดเช่นเดียวกับเขา มันอาจจะไม่จริง และ... เขาอาจคิดมากเกินไป แต่มันผิดหรือที่เขาจะคิด

ในเมื่อพิรุธที่ส่อออกมา ชี้นำไปเช่นนั้น

ราเชนทร์เอนหลังลงนอน หญ้าแทงผิวเนื้อรู้สึกคันๆแต่ไม่มาก เขาโยนไม้ในมือทิ้ง ดวงตาหยี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันเจิดจ้า

เสียงฝีเท้าเบาๆก้าวมาจากทางด้านหนึ่ง แล้วหยุดลงใกล้ๆกับเขา กลิ่นน้ำหอมคุ้นๆโชยติดจมูก ราเชนทร์ชำเลืองตามอง ก่อนจะเห็นว่าคนที่มาก็คือมินตรา

ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งทันทีทันใด เศษหญ้าเกาะติดเต็มหลังเสื้อและผมที่ยุ่งหน่อยๆ

“มีอะไรกับผมอีกล่ะ ไม่ต้องมายุ่งกับผมแล้วนะ ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น”

มินตราหัวเราะ และเขาก็ระแวงว่าเธอตั้งใจจะเยาะเขาหรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“คุณจะทำยังไงต่อไปล่ะ” มินตราถามหลังจากหย่อนตัวลงนั่งข้างๆเขา วางกระเป๋าถือไว้ข้างกาย

ดวงตากลมใสซื่อ ปราศจากวี่แววว่าเธอจะคิดร้าย ราเชนทร์จึงผ่อนคลายลงอีกนิด

“ก็... ไม่รู้สิ...”

“ในชีวิตคนเราก็มีแต่ปัญหาทั้งนั้น สำคัญคือเราจะตัดสินใจอย่างไรจึงจะดีที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เราจะยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้หรือไม่”

“จะมาเทศน์อะไรให้ผมฟังอีกล่ะ” ราเชนทร์รวนใส่ แต่มินตรากลับใจเย็น ไม่โต้ตอบหนักๆอย่างที่เคยทำ

“ไม่ได้อยากเทศน์อะไรนักหรอก เพียงแต่คุณเป็นคนที่น่าสนใจ”

คนที่น่าสนใจ... มินตราหมายความว่าอย่างไรกันนะ

ราเชนทร์หันขวับกลับไปยังหญิงสาว สายตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม

“ฉันอยากรู้ว่าคนที่มีดวงชะตาประหลาดๆอย่างคุณจะต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้างเท่านั้นแหละ”

พอฟังคำตอบจากมินตราแล้ว ราเชนทร์ก็แทบจะบ่ายหน้าหนี อุตส่าห์คิดว่าจะมาดีๆก็ดันตกม้าตายเสียนี่ ...เห็นเขาเป็นกรณีศึกษาไปได้

“งั้นผมว่าคุณอย่าสนใจผมเลย” ราเชนทร์บอกแล้วลุกขึ้น ปัดเศษหญ้าออกจากเสื้อผ้า มินตรารีบลุกตาม

“โชคชะตาเป็นเพียงเส้นทางชีวิตเท่านั้นนะคะ แต่คนเดินคือคุณ” มินตราพูด แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือหยิบของบางอย่างส่งให้ “ฉันได้มาจากธิเบต... คุณจะต้องใช้มันในอนาคต”

ราเชนทร์มองดูสิ่งที่ถูกยื่นส่งมา เป็นรูปหล่อโลหะผีโครงกระดูกสองตนกำลังเต้นระบำ

“น่ากลัว...”

“เทพเจ้าสุสาน... เป็นผู้ดูแลวิญญาณทั้งหลายให้สงบสุข สักวันหนึ่งคุณจะได้ใช้ของสิ่งนี้”

“แล้วผมจะเอาใช้ทำอะไรล่ะ” ราเชนทร์ถามขณะที่รับมา สัมผัสเย็นๆจากผิวโลหะซึมซ่านไปทั่วฝ่ามือ

“เมื่อถึงเวลาแล้วคุณจะรู้เองค่ะ” มินตรายิ้มให้เขา “เอาล่ะ... ฉันขอตัวก่อน แล้วคืนนี้ ฉันขอแนะนำให้คุณ คุณรามินทร์และก็คุณภาพิมลอยู่ใกล้ๆกันไว้ดีกว่านะคะ จะได้ไม่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก”

มินตราจากไปโดยทิ้งคำพูดชวนขนลุกไว้ให้

ราเชนทร์หายใจติดขัด... อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วสิ...

*********


ละอองไอบางๆเฉียดผ่านข้างแก้มของวริสาไป มันเย็นๆ เสียดลึกลงในผิวเนื้อ เธอเดาว่าคงเป็นชั้นหมอกที่กดทับหนาลงมาทุกขณะ

ความมืดที่ห่อหุ้มรอบกายเธอนั้นบัดนี้เริ่มคลี่คลาย กลายเป็นบรรยากาศวิเวกวังเวง มีแสงสีน้ำเงินพอให้มองเห็นสถานที่โดยรอบคล้ายๆกับช่วงเวลารุ่งสาง รอบด้านของเธอมีแต่ดงไม้หนาทึบ อาจเป็นป่าหรือไม่ก็สวนที่ไหนสักแห่ง และต้นไม้ที่เธอเห็นก็คดๆงอๆ บิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด ชวนให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง

แล้วฉับพลัน ก็มีเส้นแสงสว่างหลากสีสันเอื้อมตรงเข้ามาหาเธอ มันระมาบนพื้นดิน ลัดเลาะโคนต้นไม้ วริสาพยายามถอยหนี แต่เส้นแสงเหล่านั้นก็มีมากมายจากทั่วสารทิศ ครั้นแล้ว เส้นเหล่านั้นก็มัดยึดข้อเท้าเธอไว้ แล้วประสานพัน ห่อหุ้มร่างกายของเธอขึ้นมาเรื่อยๆ วริสาดิ้นรนอึกอัก รู้สึกร้อนผ่าวและชาไปทั่ว มันพันห่อเข้ามาจนมิดหัว ทำราวกับเธอเป็นหนอนดักแด้

และไม่นานนัก ก็มีเสียงหนึ่งซึ่งเธอคุ้นเคยดังขึ้น... เสียงที่เธอเคยได้ยินมาถึงหกครั้ง

“กลัวหรือ”

วริสาอยากจะตอบออกไปใจจะขาดว่าเธอกลัวจับใจ และถ้าลองมีใครมาตกอยู่ในสถานะเช่นเดียวกันแล้วล่ะก็ คนๆนั้นก็คงหวาดผวาเช่นเดียวกับเธอนั้นเอง แต่ความที่ถูกพันธนาการไว้เช่นนี้ ทำให้เธอไม่อาจกล่าวโต้ตอบกับเสียงลึกลับผู้เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในดินแดนประหลาด หาก... ก็ดูเหมือนเจ้าของเสียงนั้นจะอ่านใจของเธอออก

“กลัวไปไย... การกลับไปต่างหากที่เจ้าจะต้องกลัว”

...กลับไปงั้นหรือ... ใช่สินะ ถึงกำหนดเวลาแล้ว หลังจากพบกันเจ็ดครั้ง เธอจะได้กลับไปเจอพ่อกับภาพิมล แต่ทำไมเจ้าของเสียงนี้จึงเตือนเธอว่าการกลับไปน่ากลัวกว่าเล่า...

“เจ้าน่ะ... ตายแล้วนะ”

วริสาเหมือนจะรู้สึกตัวตื่น ภาพทรงจำลางๆย้อนกลับเข้ามาในหัวพร้อมๆกับที่เส้นแสงเหล่านั้นหลอมรวมเข้ากับเนื้อหนังของเธอ เสียงเอะอะอึกทึก แล้วความมืดมิด...

เธอตายแล้วจริงหรือ...

นิ่งงัน ความเงียบถาโถมเข้ามาจนแม้ถ้ามีเข็มตกก็จะได้ยิน เส้นแสงซึมซาบเข้าไปในผิวหนังของเธอเรื่อยๆ

ไม่สิ... ไม่ใช่ผิวหนัง หากเธอตายไปแล้วนี่ก็ต้องเป็นดวงจิต

“เจ้าจะต้องกลับไป เพื่อปลดปล่อยความขัดแย้งในตัวเจ้า... และเมื่อเจ้าค้นพบแล้ว ข้าจะรับเจ้าไปสู่โลกหน้า”

แล้วพันธนาการทั้งหลายก็หมดสิ้น วริสาทรุดฮวบลงกองนั่ง...

“ฉันไม่อยากไปแล้ว” วริสากระซิบเสียงเบา “ไม่อยากกลับไปในสภาพแบบนี้ คุณพาฉันไปไม่ได้เหรอ... ฉันตายแล้ว... แล้ว... แล้วต้องทำยังไงต่อล่ะ ฉันไม่รู้เลยว่าคนที่ตายแล้วต้องทำอะไร ต้องไปที่ไหน นรกหรือสวรรค์ มันอยู่ที่ไหนกัน”

กระแสเสียงใส... กังวาน... กระซิบปลอบโยน

“นี่คือหน้าที่ที่เจ้าต้องกลับไป และเมื่อเจ้าค้นพบสิ่งที่ต้องการแล้ว ข้าจะไปรับตัวเจ้า”

“แต่... ฉันจะเริ่มต้นยังไงล่ะ” วริสาเริ่มนึกถึงผีเร่ร่อน เหล่าโอปปาติกะที่ไร้สถานสถิต “ฉันต้องทำอะไร คุณบอกฉันได้ไหม”

“เส้นใยทั้งหลายที่พันธนาการขึ้นมาเป็นรูปมายาของเจ้านั้น คือตัวแทนของจิตใจที่ขัดแย้ง มันจะเหนียวแน่นหากเจ้าปฏิเสธที่จะเรียนรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทว่า เส้นใยเหล่านี้จะขาดสะบั้นลง หากเจ้ายอมรับความรู้สึกที่แท้จริง”

วริสาฉงนกับคำอธิบายนั้นนักหนา เจ้าของคำพูดจึงหัวเราะเบาๆอย่างคนอารมณ์ดี ก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมแบบที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าใจ

“จงจำไว้ เมื่อเจ้ายอมรับที่จะรู้สึก เส้นใยจะขาดลง ร่างมายาของเจ้าจะเลือนหาย และเมื่อถึงเวลาสุดท้าย ข้าจะนำเจ้าไปยังดินแดนอีกฟาก...”

น่าเหลือเชื่อที่ต้นไม้ทั้งหลายย่อส่วนหายไปในพริบตา และพื้นที่เธออยู่ก็กลายเป็นลานทรายโล่งๆ ถัดมานั้นเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่สุดสายตา ละไอหมอกลงหนาทึบเหนือผิวน้ำที่ไหลเอื่อยๆ...

“กลับไปเถิด เพื่อเจ้า... จะค้นพบ”

*********


ราเชนทร์ตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้เขาจะไม่อยู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นบ้านของตัวเองหรือบ้านภาพิมล...

“คุณอ้อยก็เตือนแล้วว่าให้พวกเราอยู่ใกล้ๆกันไว้ ทำไมยังดื้อจังวะ” รามินทร์ถาม และภาพิมลก็ส่งสายตามาในทำนองเดียวกัน

ราเชนทร์จึงทำหน้ายุ่ง ตอบกลับไปว่า “ผมไม่อยู่เฉยๆให้ความกลัวมาเล่นงานหรอกครับ ผมจะไปเที่ยว คุณริสไม่ตามไปแน่”

“ออกไปนอกบ้านอาจอันตรายกว่านะคะ” คราวนี้ภาพิมลให้เหตุผล

แต่ราเชนทร์ก็เพียงส่ายหน้าแล้วคว้ากุญแจรถ ออกจากบ้านและตรงดิ่งไปยังสถานบันเทิงยามราตรี

อีกสิบห้านาทีจะตีหนึ่งแล้ว ราเชนทร์ได้แต่นั่งสัปหงกตรงเคาน์เตอร์รูปตัวแอล (L) ในผับ แรกทีเดียวเขาตั้งใจจะชวนแพรไหมให้ออกมาด้วย แต่พอคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า ที่ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มารับโทรศัพท์แทนเธอ เขาก็ตัดใจ แล้วนั่งดื่มตามลำพัง

ผิวหน้าโต๊ะเรียบมันมีแก้วเบียร์ใบใหญ่วางตั้งทิ้งไว้ น้ำสีเหลืองอ่อนใสเหือดต่ำกว่าครึ่ง รอบแก้วนั้นมีฝ้าน้ำเกาะ ตรงฐานก็เป็นหยดน้ำลากเป็นวง

ราเชนทร์นึกสนุกจึงยกแก้วออก แล้วก็ใช้ปลายนิ้ว ขีดลากลายวงกลมนั้นให้กลายเป็นรูปอื่น เป็นการแก้ง่วงไปในตัว เขาไม่ได้ตั้งใจมาดื่ม ตอนนี้เขาง่วงและอยากนอนมากกว่า แต่ติดตรงที่ มินตราบอกว่าคืนนี้วริสาจะกลับมา

แน่ล่ะ... เขาไม่อยากเจอเธอ

เสียงเพลงเร่งเร้าจังหวะคึกคัก กลิ่นสาบๆไม่รู้จะบอกว่าหอมหรือเหม็น ตีกันฟุ้งในอากาศอับๆ ผับแห่งนี้มีคนมาเป็นคู่ บ้างก็มากับเพื่อนฝูง แต่น้อยนักที่จะมีใครมาเพียงคนเดียวอย่างเขา

ความง่วงเริ่มจู่โจมอีกครั้ง ราเชนทร์บิดขี้เกียจและลุกขึ้น วินาทีนั้นเอง เขาก็ชนเข้ากับหญิงสาวที่เดินมาด้านหลัง

“ขอโทษครับ” ราเชนทร์อุทาน อีกฝ่ายก็กล่าวเช่นเดียวกัน

หญิงสาวหันมายิ้มให้เขาหน่อยนึง ภายใต้แสงไฟวอบแวม ดวงหน้ามนนั้นดูดีจนถึงขั้นสวย

“มาเที่ยวคนเดียวเหรอคะ” หญิงสาวถาม ราเชนทร์สังเกตว่าข้างเธอก็ไม่มีใครเช่นกัน

“ครับ... แล้วคุณล่ะ...”

“อ๋อ มากับเพื่อนน่ะค่ะ” แล้วเธอก็ชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่อีกด้านหนึ่งของผับ ตรงนั้นมีกลุ่มหญิงสาววัยรุ่นนั่งกันอยู่ประมาณห้าหกคน “จะไปร่วมกันไหมคะ”

นึกครึ้มในใจ โอกาสงามแท้ๆจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไรเล่า

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบตกลง จู่ๆใบหน้าของหญิงสาวที่คุยด้วยก็เปลี่ยนแปลง มีเงาดำๆทับซ้อนขึ้นมา

กลายเป็นใบหน้าของวริสาอย่างชัดเจน...

ราเชนทร์สะดุ้งเฮือก ผงะถอยจนปัดแก้วเบียร์กระเด็น คนที่อยู่รอบข้างหันกลับมามอง

...ใบหน้าของวริสาหายไปแล้ว...

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

ใจยังเต้นตึกๆ แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาทจึงรีบตอบกลับ

“เปล่าครับ... คงง่วงเท่านั้นเอง ไว้ยังไงเป็นโอกาสหน้าแล้วกันนะครับ”

หญิงสาวยิ้มอ่อนหวาน “ค่ะ แล้วเจอกัน”

ราเชนทร์มองตามแผ่นหลังที่เดินจากไป แล้วถอนใจเฮือก สงสัยอยู่ว่าวริสาจะตามตื้อเขามาถึงที่นี่เลยหรือ... ดูท่าจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว

ราเชนทร์จ่ายเงินเรียบร้อยก็ถอนทัพ ตั้งใจกลับบ้าน นี่แหละน้า แทนที่จะเชื่อคำเตือนดีๆกลับหาเรื่องใส่ตัว

รถโฟร์คเต่าสีเหลืองสดแล่นทะยานไปบนถนน ได้แต่หวังว่าพี่รามินทร์จะไม่ไปพักอยู่ที่บ้านของภาพิมล

ก็ได้แต่หวัง... คู่นี้เขากำลัง‘ดูๆ’กันอยู่นี่นา จะหวังอะไรมากไม่ได้

ถนนในค่ำคืนค่อนข้างโล่ง พอมีรถราบ้างประปราย เขาไม่อยากนึกเลยว่าถ้าหากวริสาโผล่มาแบบผีในหนังในละคร ชนิดที่ยืนโบกมือเรียกให้รถจอดรับ หรือเยี่ยมหน้า เกาะหน้าต่างรถเป็นจิ้งจกตุ๊กแก เขาจะประสาทหลอนแล้วทำรถคว่ำคอหักตายตามเธอไปด้วยหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นคงสาใจเธอล่ะมั้ง...

ละอองหมอกโปรยบางๆ แต่ยังมีแสงไฟกิ่งจากเกาะกลางถนนช่วยให้มองเห็นทางได้อย่างแจ่มแจ้ง ฉับพลัน ก็มีเสียงแตรไล่หลัง

เสียงแตรลากยาวกระชากจิตที่กำลังดำดิ่งให้กระตุก ราเชนทร์หันกลับไปพร้อมกับสบถ ไฟสูงสาดมาเป็นจังหวะจนเขานึกรำคาญ

...จะอะไรกันนักกันหนาวะ

ชายหนุ่มเบี่ยงรถเข้าเทียบริมทาง รถคันหลังจอดตาม และอีกครู่หนึ่งก็มีผู้ชายร่างสูงโปร่งตรงมาหาแล้วเคาะกระจกรถ...

“คุณครับ... คุณ...”

ราเชนทร์เลื่อนกระจกรถลงเล็กน้อย ก่อนจะถามถึงธุระของอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มกลับทำหน้าหงุดหงิดและย้อนถามว่า

“มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า...”

ราเชนทร์ขมวดคิ้วมุ่น “อะไรครับ”

“ก็ผมเห็นผู้หญิงนั่งอยู่บนหลังคารถคุณน่ะ มันอันตรายนะรู้ไหม จะทะเลาะอะไรกันก็ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้นี่”

คำตอบที่ได้รับมาทำให้ราเชนทร์หน้าซีด หัวใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม

“คุณว่าอะไรนะ”

“ผมบอกว่า” ชายหนุ่มคนนั้นขยับปากช้าๆ “คุณจะทะเลาะอะไรกันก็ช่าง แต่ไม่ควรปล่อยให้คุณผู้หญิงขึ้นไปนั่งบนหลังคา มันอันตราย เกิดตกมาแล้วรถคันหลังเบรกไม่ทัน ไม่แย่กันหมดเหรอ” แล้วผู้ชายคนนั้นก็สอดสายตาเข้ามาในรถ “คุณผู้หญิงไปไหนแล้วล่ะ”

“ไม่มีครับ ผมมาคนเดียว” ราเชนทร์ยืนยันเสียงสั่น หันหน้าหันหลังหวาดระแวง

ผู้มาเตือนเริ่มหน้าซีดตาม เม็ดเหงื่อผุดซึมจนเห็นได้ชัด เขาหยุดพูด วิ่งกลับไปที่รถ ในขณะที่ราเชนทร์รีบเปิดประตูออกมา วินาทีเดียวกัน รถของชายคนนั้นก็แล่นฉิว แม้เขาจะตะโกนเรียกก็ไม่หยุด

ราเชนทร์ชะงักนิ่ง เสียววาบไล่ไต่ตามกระดูกสันหลังมาถึงต้นคอ ขนลุกเกลียว ขาสั่นก้าวไม่ออก เสียงอะไรสักอย่างกระทบประตูเป็นจังหวะ เหมือนกับเสียงกระทุ้งเบาๆ กลิ่นหอมอวลก็ฟุ้งรอบกาย เขาเหลียวกลับไปช้าๆ เสียงนั้นเร่งเร้าดังขึ้น... ดังขึ้น... ก่อนที่สายตาเบิกกว้างจะในสิ่งที่ไม่อยากเห็น

บนหลังคารถมีผู้หญิงในชุดโรงพยาบาลนั่งแกว่งขากระทบประตูรถเป็นจังหวะ ตุ๊บ... ตุ๊บ...

*********




 

Create Date : 10 กันยายน 2551
5 comments
Last Update : 10 กันยายน 2551 12:15:44 น.
Counter : 475 Pageviews.

 

พี่ขาสองเรื่องนี้พี่จะออกเป็นเล่มไหมคะ น้องอยากให้ออกจัง สนุกดี

 

โดย: รัตจันทน์ IP: 118.174.83.141 10 กันยายน 2551 14:48:20 น.  

 

ยังไม่ทราบค่ะน้องฟ้า
เพราะยังเขียนกันไม่จบทั้งสองเรื่อง
^--^ คงต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป

ส่วนเรื่องจะส่งพิจารณาหรือไม่นั้น ยังไม่แน่นอนค่ะ
(จะผ่านหรือเปล่า ยิ่งเดายากไปใหญ่แฮะ)

ตอนนี้เอาแค่ขยันเขียนให้จบๆได้อย่างที่คิดไว้ก็พอใจแล้วค่ะ

 

โดย: Ploy666 IP: 124.157.237.57 11 กันยายน 2551 14:17:18 น.  

 

^ ^
ยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะน้องฟ้า
ตอนนี้ตั้งเป้าหมายใกล้ๆแค่ให้จบได้อย่างที่ใจคิดวางโครงไว้น่ะค่ะ

 

โดย: ploy666 IP: 124.157.237.57 11 กันยายน 2551 14:21:39 น.  

 

น่าจะผ่านแหละพลอย ถ้าออกเป็นเล่มอะนะ แต่ถ้าเอาสร้างเป็นหนังละก็ คงไม่มีครกล้าดูคนเดียว เหอๆๆๆ

 

โดย: Tukta21 15 กันยายน 2551 5:24:03 น.  

 

ของพลอยไม่น่ากลัวเท่ารักดีหรอก

แต่ถ้าเป็นหนังแล้วไม่มีใครไปดูด้วย
พลอยจะชวนมอลลี่ไปนะ 555+

 

โดย: ploy666 IP: 124.157.236.75 25 กันยายน 2551 19:16:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.