Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
12 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 10+11

ดวงใจในเงาจันทร์
10 - เส้นทางของวิญญาณ


วริสานั่งแสยะยิ้มอยู่บนหลังคารถของเขา

ราเชนทร์ตาเหลือกค้าง กระเถิบถอยห่างโดยอัตโนมัติ แล้วก็มีแสงไฟรถสาดมากระทบร่างเขา เสียงแตรดังลั่นพร้อมๆกับเสียงเบรกที่เสียดแทงสองหู

ราเชนทร์รู้สึกตัวอีกที เขาก็ฟุบลงไปแล้ว เจ็บๆมึนๆในขณะที่รอบข้างเงียบงัน

“เป็นอะไรรึเปล่า”

ราเชนทร์ได้ยินคำถามดังมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าคน ลักษณะการพูดและเนื้อเสียงนั้นคุ้นหูละม้ายว่าเคยได้ยินได้ฟังจากที่ใดมาก่อน

ของเหลวไหลย้อยเข้าตาจนทำให้รู้สึกแสบ อาจเป็นเลือดก็ได้... เขาพยายามจะปาดมันออกไป แต่เจ็บร้าว ระบมไปทั้งตัว

“ตายรึเปล่าคะ” อีกคำถามหนึ่งตามมา

และใครคนนี้เองก็ทำให้ราเชนทร์พยายามอย่างยิ่งที่จะหันกลับไปมอง... ใช่จริงๆด้วย

“พี่เชนทร์!”

แพรไหมอุทานอย่างตกใจ ราเชนทร์เห็นหญิงสาวเกาะแขนของชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงตัดผมสกินเฮด ดวงตาเธอตระหนกเบิกกว้างอย่างเห็นได้ชัด

ราเชนทร์หลับตาลง... รับรู้ความเจ็บปวดสุดซึ้งทั้งกายและใจ

*********


นี่เธอจะทำให้เขาตายรึเปล่านะ

วริสานิ่งเครียด ขณะที่ลอยตามชายหนุ่มไปจนถึงโรงพยาบาล เธอไม่คิดอยากจะหลอกหลอนเขาหรอก แต่ทำไงได้ ในเมื่อตอนที่ถูกส่งกลับมา เธอก็หล่นปุลงหลังคารถของเขา และก็ด้วยความเพลินไปหน่อยที่ได้เห็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่มืดสนิท น่าหลงใหล เธอก็เลยนั่งเล่นอยู่อย่างนั้น

ไม่ได้หวังจะหลอกจะหลอนเลยจริงๆ สาบานได้...

ว่าแต่...เป็นผีแล้วสาบานได้ไหมนะ

และด้วยความสำนึกผิดในความประมาทที่ก่อไว้ วริสาเลยตัดสินใจตามเขามาถึงที่นี่

ชายหนุ่มนอนนิ่งบนเตียงเข็นในห้องฉุกเฉิน เครื่องมือแพทย์ถูกลากมาใช้อย่างรวดเร็วและแม่นยำจากฝีมือของหมอผู้ชำนาญการภายใต้แสงไฟสว่างจ้าไร้ประกาย หากแต่อาการค่อนข้างหนัก เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอะไรบ้างแต่สิ่งที่เห็นก็คือออร่าที่หุ้มกายเขาอยู่นั้นอ่อนแสงและเริ่มมืดลง

“อย่าเป็นอะไรนะคุณ ฉันจะหาทางช่วยคุณเอง”

วริสาบอกไปเช่นนั้นทั้งๆที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยอย่างไร อาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆ หมอและพยาบาลอีกโขยงหนึ่งเข้ามารุมช่วยเหลือสุดความสามารถ เสียงสั่งโน่นนี่ดูวุ่นวายปวดหัว

แต่ในมิติของเธอเห็นชัดว่า มีเส้นใยสีเงินไหลออกจากทวารต่างๆของชายหนุ่ม

“วิญญาณของเขากำลังจะออกจากร่าง”

เสียงกระซิบคุ้นเคยดังข้างๆหู วริสาจึงเอ็ดเอาดังๆ

“แล้วจะช่วยเขาได้ยังไงล่ะ”

ไร้ซึ่งคำตอบ วริสารุ่มร้อนใจเป็นที่สุด เธอกระโจนแทรกเข้าไปในวงหมอ แล้วเก็บเอาเส้นใยต่างๆเหล่านั้นไว้ด้วยสองมือ... จะไม่ยอมให้วิญญาณออกจากร่างเขาแน่ เธอต้องช่วยเขาให้ได้...

หาก... ในวินาทีที่สัมผัสกับเส้นใยบางๆเหล่านั้น เธอก็เห็นถึงภาพต่างๆในอดีตของชายหนุ่มผู้นอนนิ่งบนเตียง ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว การแยกทางของพ่อแม่ พี่ชายเพียงคนเดียว แฟนสาวคนปัจจุบัน และความทุกข์ทรมานใจทั้งหลายทั้งปวงที่เขาซุกซ่อนไว้ในส่วนลึก

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น เขาคือคนๆเดียวกันกับที่ประสบอุบัติเหตุครั้งก่อนร่วมกับเธอ...ราเชนทร์

วริสาทรุดฮวบอย่างหมดแรง มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่จะได้เห็นสิ่งต่างๆภายในจิตใจของคน...พิศวงปนน่ากลัว

เส้นใยสีเงินพุ่งออกมาเรื่อยๆ วริสาพยายามจะฝืนกำลังเพื่อเข้าไปรั้งพลังงานนั้น หากแต่เสียงกระซิบกลับห้ามเธอไว้

“อย่าทำเช่นนั้น”

“แต่เขาจะตายนะ... คุณเข้าใจไหมว่าเขากำลังจะตาย ฉันปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้หรอก”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้”

กระแสเสียงที่เคยนุ่มนวลและละเอียดอ่อนในความรู้สึกเริ่มสั่นกระเพื่อม วริสาเริ่มหวั่นเกรงต่ออิทธิพลดังกล่าว เธอจึงชะงักงัน และเป็นเพียงผู้รับฟังที่ดี

“คอยดูต่อไป...” เสียงนั้นบอก “เจ้าจะช่วยเขาได้แน่”

วริสาได้แต่นิ่งรอตามคำบอก ทีมแพทย์กำลังวุ่นวายอยู่กับเครื่องไม้เครื่องมือ ในขณะที่เส้นสีเงินนั้นเหยียดยืดออกมาเต็มที่ แล้วตรงมุมห้องด้านบน ก็ปรากฏเป็นวงมืดดำขนาดใหญ่ แลคล้ายหลุมดำอย่างที่เธอเคยเห็นในสารคดีอวกาศ หากแต่รอบๆวงมืดดำที่เห็นนั้นมีประกายแสงบิดเป็นเกลียววน เส้นใยชีวิตของราเชนทร์กำลังถูกสูบเข้าไปในนั้นอย่างเชื่องช้า

“ถ้าเจ้าอยากช่วยเขา เจ้าต้องผ่านประตูนั้นเข้าไป...”

คำสั่งแล่นขึ้นมาในดวงจิต วริสาตัดสินใจในทันที

เธอรวบรวมสมาธิให้มั่น การเป็นวิญญาณนี่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือเพียงแค่คิดจิตก็เป็นไป คราวนี้ก็เช่นกัน เพียงแค่เธอคิดว่าจะเข้าไปในช่องมิตินั้น ร่างของเธอก็ลอยขึ้นเหนือพื้น เธอมองรอบด้านอย่างอัศจรรย์ใจ

“เจ้าต้องรีบพาเขากลับมาก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวไปในดินแดนแห่งความตาย... เจ้าจำสถานที่แห่งนั้นได้ใช่ไหม”

...จำได้สิ ในดินแดนที่ทั้งมืดและหนาว ตกอยู่ในห้วงที่คล้ายฝันครึ่งจริงครึ่ง จะเห็นแสงสว่างแวบผ่านมาเพียงเจ็ดครั้งเจ็ดครา

ฉันสัญญาว่าจะพาคุณกลับมาให้ได้...

*********


วริสาโผล่มาในอีกมิติหนึ่ง

มันเป็นอุโมงค์แคบๆยาวๆ มีเพียงแสงสลัวที่ส่องพอให้เห็นทาง อีกทั้งละอองอากาศที่สัมผัสต้องนั้นก็สร้างความหนาวเยือกเสียดลึก

ไกลลิบลับออกไป เธอเห็นวิญญาณของชายหนุ่มกำลังมุ่งหน้าไปยังปลายทาง

“รีบพาเขาออกมา”

วริสาขยับตามเสียงสั่ง เธอวิ่งเต็มกำลัง หากแต่ในการวิ่งนั้นกลับเหนื่อยเสียยิ่งกว่าเวลาวิ่งในน้ำ จะยกจะย่างดูยากไปเสียหมด ผิดกับคนที่เดินนำหน้า ที่ท่าทางเหม่อลอยนั้นไปได้อย่างสบาย

ทำไมนะ... ทำไมถึงเป็นเช่นนี้...

วริสาถามตัวเองซ้ำๆหลังจากที่เหนื่อยหอบจนต้องหยุดวิ่ง สียงที่คอยให้ความช่วยเหลือเธอไม่เอื้อนเอ่ยแถลงไขใดๆอีก ทว่า เพียงแค่หยุดพักและมีสติ เธอก็พอจะรู้แจ้งขึ้นแล้วบ้างว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ก็ในเมื่อดินแดนแห่งนี้ใช้จิตเป็นตัวกำหนด... การออกแรงจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ หากสิ่งที่เธอควรทำคือต้องทำใจให้สงบ อย่าได้ดิ้นทุรนทุราย เพราะการที่ใจกระวนกระวายนั้นย่อมทำให้ประกอบกิจการใดๆไม่สมบูรณ์

คิดได้เช่นนี้วริสาก็ระงับความว้าวุ่นใจและก้าวเดินช้าๆอย่างมั่นคง และเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เธอก็พบว่าตัวเธอเข้าใกล้เขามากยิ่งขึ้น ปลายทางอยู่ด้านหน้านี้แล้ว หลังปากทวารแห่งมรณะเป็นเหวลึกสุดหยั่ง มีเพียงแสงเรืองๆสะท้อนขึ้นมาจากเบื้องล่าง

...หากเขาพ้นจากอุโมงค์นี้ไป ก็จะจากไปตลอดกาลเช่นเดียวกับเธอ

แม้จะไล่มากระชั้นชิดและราเชนทร์ก็อยู่แค่เอื้อมนั้นแล้ว แต่กลับเป็นเอื้อมที่ยากเย็นนักหนาจนไม่อาจคว้ามาครองได้ ปากอุโมงค์ใกล้เข้ามาอีก ราเชนทร์ก้าวเท้าข้างหนึ่งยื่นออกไปกลางความว่างเปล่า และดวงจิตเขาเหมือนจะดิ่งสู่เบื้องสุดของก้นหุบเหว

วริสาเบิกตากว้าง โผนเข้าหาในทันใด ฉุดรั้งแขนเขาไว้มั่นก่อนดึงกลับมาอย่างสุดกำลังราเชนทร์ล้มตัวคว่ำหน้า ครึ่งท่อนบนอยู่ในอุโมงค์ ส่วนครึ่งท่อนขาลงไปนั้นพร้อมจะดิ่งลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง

“คุณจะไปไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมให้คุณไป” วริสาร้องและยื้อไว้สุดแรง แต่ราเชนทร์ไม่รู้สึกตัวใดๆทั้งสิ้น ดวงตาของเขาว่างเปล่า จิตของเขานิ่งไม่ขยับเขยื้อน สุดจะลากจะจูงไปทางใดก็ได้ วริสาเห็นเขาแล้วอยากจะร้องไห้ ผีร้องไห้เป็นหรือไม่ไม่รู้ เธอรู้แต่ว่าลึกๆลงไปในดวงจิตของเธอ ในตัวตนที่ก่อร่างขึ้นมานี้กำลังสั่นสะเทือน

“ราเชนทร์!” วริสากรีดร้อง “ถ้าคุณจะตายก็ต้องตายเพราะคนอื่น อย่ามาตายเพราะฉัน ฉันไม่ยอม... คุณเข้าใจไหม”

วริสาใช้สองขายันพื้น ดึงราเชนทร์ขึ้นมาอีกทีละนิด ดูเหมือนว่าในดวงตาของเขาจะมีแววประกายขึ้นมา ชายหนุ่มถีบตัวเองให้พ้นจากดินแดนมรณะ คล้ายๆว่าเขาจะได้สติแล้ว แต่ก็ยังไม่เต็มที่นัก

วริสารู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้และก็ดีใจที่ผ่านพ้นมันมาได้ หากเธอต้องคิดเสียใหม่ เพราะความโชคร้ายนั้น เวลาจะมามักมาพร้อมๆกัน... ตอนนี้ ผนังอุโมงค์รอบด้านที่เคยเป็นผิวขรุขระคล้ายผิวหินที่ไม่ได้ขัดแต่ง ได้มีมืองอกโผล่ออกมามากมาย มือดำมะเมื่อมมีน้ำไหลเยิ้มย้อยแหมะๆน่าสะอิดสะเอื้อน

พวกมันหมายจะตะปบจับเอาเธอกับราเชนทร์ไว้!

วริสาพยุงราเชนทร์ขึ้น แล้วเดินหลบเลี่ยงมือเหล่านั้นมาเรื่อยๆ ทว่าด้วยความที่ไม่อาจระวังตัวได้รอบ จู่ๆมือลึกลับก็คว้าหมับเข้าที่หัวไหล่ของเธอ นิ้วทั้งห้าจิกลึกลงไปในภาพมายาที่เห็นเป็นเนื้อ วริสารู้สึกเจ็บจริงๆ มันร้าวลึกจนต้องร้องครวญคราง ราเชนทร์เองก็ไม่พ้น ถูกพวกมันลากตัวไปเช่นกัน

เมื่อมือหนึ่งกระชากเธอออกมาได้ อีกหลายๆมือก็รุมทึ้งและดึงเธอไปจนแผ่นหลังแนบติดกับผนังอุโมงค์ จิตวิญญาณแทบจะฝังแน่นเข้ากับแผ่นหินเยียบเย็น

ทั้งที่ปลายทางอยู่ข้างหน้าแท้ๆ เธอจะต้องกลายเป็นพวกเดียวกับมือผีพวกนี้หรือ...

ยิ่งดิ้นสะบัดมาเท่าไหร่ การกอดรัดก็ยิ่งแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ พวกมันกอดไล่มาทุกสัดส่วน รัดเอว รัดอก รัดคอ มือหยาบกระด้างเกาะจิกใบหน้าไร้ความปรานี ราเชนทร์เองก็ถูกกระทำเช่นเดียวกับเธอ เพียงแต่เขาไม่มีอาการดิ้นรนขัดขืนใดๆ...

โอ๊ย... คุณพระคุณเจ้า ชี้ทางสว่างให้กับลูกด้วยเถิด...

ไม่! เธอต้องไม่ตกใจ เธอต้องตั้งสติ เธอก็เป็นผีเหมือนไอ้มือพวกนี้ แล้วผีจะกลัวผีทำไม ถ้าพวกมันมีฤทธิ์ได้ เธอก็ต้องมีฤทธิ์ได้ ซ้ำเธอยังต้องมีเหนือไอ้ผีพวกนี้อีกด้วย เพราะมันถูกผนึกขังไว้กับแผ่นศิลาซีดชืด ในขณะที่เธอมีอิสระจะไปไหนทำอะไรก็ได้

ผีอย่างเธอต้องชนะพวกมันสิ!

วริสากำหนดจิตให้แน่วแน่ รวมใจให้เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน และดูเหมือนมือเหล่านั้นจะกลัวเกรงต่อภาวะจิตเช่นนี้ ครั้นเธอกำหนดให้กายร้อน มือเหล่านั้นก็สะบัดเร่าๆดั่งโดนไฟแผดเผา พากันละหนีไปจนหมด

มือลึกลับทั้งหลายเริ่มคลายออก วริสาหลุดจากการเกาะกุม เธอปรี่เข้าไปช่วยราเชนทร์ออกมา แน่นอน... โดยไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่เธอเข้าไปใกล้ก็เหมือนมีพลังงานบางอย่างขับไล่พวกมันให้หดหัว

วริสาประคองราเชนทร์มาเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่ควรจะเป็น...

หรือควรจะเรียกว่า เส้นทางที่เธอเลือกให้เป็น...

*********

*********

*********



ดวงใจในเงาจันทร์
11 - พันธสัญญา


“รู้หรือยังว่าเหตุใดจิตจึงมีอำนาจ อย่างผีที่เจ้าเคยนึกสงสัยว่าทำไมจึงออกมาเป็นได้ ผิดกับบางดวงวิญญาณที่มิอาจปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมา”

เสียงนั้นพร่ำสอน ขณะที่วริสาเดินไปตามถนน ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมากลายเป็นภาพเร็วๆ เลือนๆ เหมือนอย่างเวลาดูภาพยนตร์ยามที่ตัวเองกำลังโศกเศร้าและคนอื่นรอบข้างกลับเดินกันไวๆอย่างนั้น

ผิดกันตรงที่เธอไม่ได้เศร้า เพียงแต่อยู่กันคนละมิติ...

สองดินแดนขนานกันมาช้านาน เธออาจรู้... เคยรู้ แต่ก็ลืมไปเมื่อยามที่ได้อาศัยกายเนื้อเป็นบ้านของดวงจิต

“ไม่รู้...” วริสาตอบอย่างดื้อดึง หากแต่ผู้ที่คอยอธิบายไม่ยอมเบื่อง่ายๆ

“เจ้าน่าจะรู้... เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่อาจนำคนๆนั้นกลับมาได้”

นำกลับมาจากดินแดนแห่งความตาย วริสาภูมิใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวที่เธอสามาระช่วยชีวิตของราเชนทร์ให้พ้นจากเงื้อมมือมัจจุราช แม้ในโลกแห่งความเป็นจริง จะเป็นเพราะยา เพราะเครื่องมือแพทย์ เพราะเทคนิคในการผ่าตัด หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ หาก... ในดินแดนแห่งวิญญาณ เธอรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

“ยิ่งเจ้าสงบมากเท่าไหร่ ความไม่ซัดส่ายก็จะทำให้เจ้าเข้มแข็งยิ่งขึ้น แต่เมื่อจิตเกิดวอกแวก ไม่อาจหยุดนิ่ง เมื่อนั้นเจ้าก็จะไร้พลัง”

“เคยมีบ้างไหมคะที่พลังหมด” วริสาถามเอาดื้อๆ

“สภาวะของพลังงานเคยสิ้นสูญหรือ...”

วริสาหยุดเดิน มองท้องฟ้าสีน้ำเงินมัวๆ นึกสงสัยในคำอธิบายของเสียงซึ่งเธอยึดเอาเป็นเพื่อน

“ถ้าอย่างนั้นคนเราก็ไม่ต้องทำบุญสิ ก็ในเมื่อพลังวิญญาณไม่มีวันหมดนี่นา”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ผู้ตอบก็ตอบอย่างอารมณ์ดี “บุญหรือบาปไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังงานแต่อย่างใด เพียงแต่บุญนั้นจะทำให้เจ้าชุ่มชื่น อิ่มเอม ในขณะที่บาปจะทำให้เจ้าหมองมัว มันก็เพียงนั้น ไม่ได้ส่งผลต่อพลังงานของเจ้า วิญญาณของเจ้าจะไม่ดับสลายเพียงเพราะไม่ได้ทำบุญหรอก แต่เจ้าจงตรองดูก่อน ว่าบุญหรือบาปส่งผลประการอื่นหรือไม่ อย่างเช่นเกิดมาเป็นคนเหมือนกันแท้ๆ แต่ผลกุศลกรรมส่งให้บุคคลหนึ่งร่ำรวย และอีกผู้หนึ่งยากจน เจ้าเห็นความแตกต่างหรือไม่เล่า ว่าบุญและบาปส่งผลอย่างไรบ้าง...”

แม้วริสาจะเข้าใจบ้างไม่ใจบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการดำรงตนอยู่ในโลกของวิญญาณ

แต่ก่อนที่เธอจะตั้งใจเรียนในบทต่อไป สิ่งที่ค้างคาใจยังไม่ได้รับคำตอบ

...เธอกลับมาทำไม...

วริสารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินในพื้นพิภพนี้ มองไปรอบข้าง ผู้คนมากมายขวักไขว่ แต่ปราศจากคนที่จะมองเห็นเธอ ไม่มีใครมาทักทายเธอ

เป็นความเงียบชวนเหงา ไม่ใช่เงียบอย่างสงบ...

กระแสเสียงสำราญหัวเราะร่า เธอชินแล้วที่มักจะถูกอ่านใจออกบ่อยๆ

“อาจถึงเวลาที่เจ้าต้องไปหาใครคนหนึ่ง...”

“ใคร”

“ผู้ที่จะช่วยเหลือเจ้าได้”

*********


สถานที่ที่วริสาถูกพามาคือบ้านทรงไทยประยุกต์หลังหนึ่ง หน้าบ้านมีสนามหญ้ากว้าง กลางสนามนั้นก็มีโต๊ะชุดสีขาว มีร่มกางไว้คงสำหรับเวลาพักผ่อนตอนบ่ายๆอย่างนี้ล่ะมั้ง ส่วนตัวเรือนนั้นก็แบ่งออกเป็นสองส่วน คือตัวเรือนยกใต้ถุนสูง กับส่วนของสำนักงานขนาดย่อมที่อยู่ติดๆกัน

วริสาได้แต่เมียงๆมองๆอยู่นอกเขตรั้ว เพราะอาณาเขตของบ้านหลังนี้มีพลังงานลึกลับเป็นเกราะกั้น คล้ายโดมแก้วครอบเอาไว้

“ฉันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ”

หญิงสาวบ่น หวังจะให้ดังถึงหูของผู้ที่คอยเป็นเพื่อนและที่ปรึกษา แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเยาะ

“คิดเองสิ”

“เอ๊ะ! ฉันเป็นผีน้องใหม่นะ จะให้คิดเองได้ไงเล่า”

“ไม่รู้”

“เชอะ!” วริสาสะบัดหน้างอนแล้วบ่นพึมพำว่าใจร้ายๆอยู่นาน ก่อนจะพยายามนึกหาหนทางที่จะเข้าไปพบคนที่โชคชะตาดลบันดาลให้มาช่วยเหลือเธอ

ใครว่าการเป็นผีนั้นง่าย เป็นยากจะตาย โดยเฉพาะผีที่ต้องมีภารกิจอย่างนี้ด้วย... มันเหนื่อยนะค้า...

“หรือจะรวบรวมพลังจิตแล้วก็บุกเข้าไปเลย” วริสาร้อง ตั้งใจจะถามความคิดเห็น แต่กลับมีเสียงหนึ่งโวยวายออกมาจากในบ้าน

“ผีไร้มารมาท”

และปรากฏเป็นร่างของชายชราตนหนึ่ง ในมือถือไม้เท้า นุ่งชุดขาวอย่างพราหมณ์ ผมหงอกขมวดเป็นมวย

“ไปให้พ้นจากที่นี่”

เสียงสั่งทรงอำนาจ หากแต่วริสาไม่ได้นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด รัศมีสีขาวบริสุทธิ์ที่เปล่งเรืองรอบๆยชายชราทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นพวกผีไม่ดี แต่เป็นเทวดา...

ใช่... เทวดา!

“ขอฉันเข้าไปหน่อยไม่ได้เหรอคะ” วริสาต่อรอง “ฉันต้องการคนช่วยเหลือ ท่านเป็นเทวดาอย่าใจร้ายกับฉันนักสิ”

ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผี วริสาก็ยังเป็นอย่างเดิม เธอไม่เคยกลัวใคร อยากจะพูดและคิดอะไรก็เป็นอย่างนั้น

ถือเป็นผีที่ดีที่ไม่คิดจะหลอกใคร... ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

“แต่ข้ามีหน้าที่รักษาบ้านหลังนี้ ไม่ให้พวกโอปปาติกะและเหล่าสัมภเวสีทั้งหลายเข้าไปทำความเดือดร้อนได้ หากข้าให้เจ้าเข้าไป ข้าก็ผิดต่อหน้าที่ สมควรหรือไม่เล่า” ชายชราขึงขังตอบ แล้วกระแทกไม้เท้าลงพื้น “ไป! จงไปเสียให้ไกลจากบ้านหลังนี้”

วริสาเบ้ปาก โต้กลับอย่างไม่ยี่หระ “ฉันจะอยู่ตรงนี้แหละค่ะ ท่านก็ดูแลบ้านของท่านไป แต่ไม่มีสิทธิ์มาไล่ฉันนะ เพราะมันนอกเหนือหน้าที่... หน้าที่ของท่านอยู่แค่ในรั้วเท่านั้นแหละ”

พูดจบเธอก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงนั้นเป็นการประท้วง สายตาขุ่นเคืองจับจ้องเจ้าที่ เห็นสีหน้าเอือมระอาแล้วก็พอจะเข้าใจว่าเจ้าที่คิดอย่างไรกับเธอ

ทั้งผีทั้งเจ้าที่ต่างประจันหน้ากันอยู่อย่างนั้น ราวกับกำลังมีสงครามเย็นเกิดขึ้น จนกระทั่ง กระแสเสียงกังวานดังแทรกขึ้นมาในจิตใจของเธอ

“สนุกไหม”

แม้เธอจะได้ยินเสียงใสนั้นชัดเจน หากแต่ตาเจ้าที่กลับไม่ได้ยินด้วย วริสาสงสัยที่เป็นเช่นนั้น

“เพราะเราต้องการสื่อกับเจ้า... ว่าอย่างไร สนุกมากไหม”

“สนุกตายเลย” วริสาตวัดปลายเสียง

“แล้วจะทำทำไม คิดหาหนทางอื่นเข้าสิ”

“ก็จะให้ฉันทำยังไงล่ะ บอกแล้วว่าเพิ่งเป็นผีฝึกหัด ใช่ผู้เชี่ยวชาญเสียเมื่อไหร่ นี่นะ ถ้าหากเป็นคนแม่จะตะโกนเรียกไม่ก็โทรศัพท์เข้าไปหาแล้ว”

“เจ้าก็‘โทรฯ’สิ”

คำแนะนำนั้นออกจะขัดหูในเบื้องต้น หากแต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้ววริสาจึงพบว่าเป็นการบอกใบ้ที่โจ่งแจ้งเสียเหลือเกิน

โทรจิต... เธอต้องส่งข้อความทางจิตให้กับใครคนนั้นได้รับรู้

ว่าแต่... ทำอย่างไรล่ะ...

“จิตคือพลังงาน เหตุใดเจ้าจึงลืมได้ง่ายดายเช่นนี้”

“น่า... ขอบคุณค่ะ”

วริสายิ้มแก้มปริ ก่อนจะมองเชิดๆไปยังตาเจ้าที่ แล้วหันกลับมาหลับตา ทำสมาธิให้ใจว่างเพื่อสื่อสารกับ... ใครบางคน ในบ้านหลังนี้

ตั้งแต่เป็นผีมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใช้โทรจิต

*********


อีกชั่วครู่หนึ่งไม่รู้ว่านานสักเท่าใดเหมือนกัน ตาเจ้าที่ก็กระแอมไอ

“เข้าไปได้...”

คำบอกเหมือนไม่เต็มใจนัก แต่วริสายักไหล่อย่างเคยตัว

“ทำไมล่ะคะ ไหนว่าไม่ให้เข้าไง”

“นังคนนี้วอนนัก...” ตาเจ้าที่เอ็ด “ก็เอ็งติดต่อให้คุณเขาขอเปิดทางมิใช่หรือ ยังจะเซ้าซี้อยู่ได้ เข้าไปเสีย”

วริสายิ้มงามๆแล้ว ลุกขึ้นไหว้ตาเจ้าที่ประหลกๆ

“ขอบคุณค่ะ”

พอล่วงผ่านเขตแดนเข้ามาได้ วริสาก็รู้สึกโล่งใจไปอีกเปราะ เธอตรงดิ่งไปยังที่ที่‘คิด’ว่ามีคน ซึ่งก็คือส่วนสำนักงาน หากแต่ยังไม่ทันจะพ้นจากสนามหญ้าดี ก็มีเสียงหวานทักทาย

“ชะตาฟ้ากำหนด แต่คุณคือคนเดิน”

วริสาเหลียวไปตามเสียงที่เรียก ก่อนจะเห็นหญิงสาวร่างเล็ก ผมยาวสลวยนุ่งชุดขาวยืนอยู่บนบันไดทาขึ้นเรือนไม้ยกใต้ถุน

สำนึกจากอดีตบอกว่าผู้หญิงคนนี้เองที่เกี่ยวพันกับเธอมาตั้งแต่แรก... ผู้หญิงคนนี้... ในวันที่เธอรถชน...

“คุณทำนายอีกได้ไหม ว่าฉันจะเป็นยังไง”

“ไม่มีตำราดูหมอเล่มไหนใช้กับคนที่ตายไปแล้วได้หรอกค่ะ”

“แต่ฉันไม่เข้าใจ... คุณต้องรู้สิว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แล้วทำไมฉันจึงยังไม่อาจไปภพอื่นได้”

วริสาร้อนใจ และอีกพักเดียว ก็เหมือนมีลมวูบใหญ่หอบเธอมาหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาว ถ้าเป็นคนอื่นคงจะตกใจไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้เพียงแต่ผงะเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“บอกฉัน ว่าฉันต้องทำอะไรต่อไป” วริสานึกแปลกใจตัวเองเหลือเกินที่เสียงของเธอห้าวลึกอย่างที่ไม่เคยเป็น

“คุณเคยรักใครบ้างไหมคุณวริสา” คำถามที่ย้อนกลับมานั้นดั่งปีศาจที่ไล่คุกคาม วริสานิ่งงัน

“ไม่! ...มันเกี่ยวอะไรล่ะ อย่าเฉไฉดีกว่า คุณต้องบอกฉันมาว่าฉันต้องทำอย่างไรถึงจะข้ามแม่น้ำสายนั้นไปได้”

แม่น้ำสายที่กั้นเธอไว้จากภพที่เธอควรจะอยู่

“คุณยังไม่ได้ตอบคำถาม คุณวริสา... คุณเคยรักใครบ้างไหม”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่... ฉันไม่เชื่อว่าความรักมีจริง”

ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจหน่อยๆ แล้วเดินทะลุผ่านตัวเธอไปอย่างเสียมารยาท ภาพมายาของวริสาวูบเลือน ก่อนจะก่อร่างเป็นตัวตนอีกครั้ง

วริสาหันหลังกลับ ลอยตามหลังผู้หญิงคนนั้นไป

“คุณต้องเรียนรู้ คุณวริสา... คุณต้องเรียนรู้ เพื่อที่ว่า คุณจะได้เข้าใจอะไรอีกหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ และมันจะปลดความขัดแย้งในใจของคุณออก แต่ถ้าคุณไม่คิดจะเรียนรู้และหนีมันอย่างที่คุณทำมาตลอดชีวิต คุณจะไม่มีวันข้ามไปสู่ภพภูมิที่ควรจะเป็นได้เลย”

“แต่...” วริสาทำท่าจะโต้แย้ง แต่เธอก็มึนงงเกินกว่าจะเถียงอะไรได้

“มีผู้ชายสองคนที่คุณต้องเลือก หนึ่งคนจะทำให้คุณได้เรียนรู้ และปลดปล่อยคุณสู่อิสรภาพ” ผู้หญิงคนนั้นพูดเรื่อยๆ ดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับเธอ “แต่คุณอย่าลืม เบื้องหลังอิสรภาพคือพันธะผูกพัน...”

วริสาสะดุดกึกเมื่อคนนำหน้าหันขวับกลับมา แววตาจริงจัง และนัยน์ตานั้นก็เหลือกขึ้นเห็นแต่ตาขาว เสียงพูดสั่นน่ากลัว

“จงอย่ามีพันธะผูกพัน”

*********







 

Create Date : 12 กันยายน 2551
0 comments
Last Update : 12 กันยายน 2551 2:55:50 น.
Counter : 501 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.