Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
20 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 14+15

ดวงใจในเงาจันทร์
14 - วิธีชีวิตใหม่


หลังจากหายดีแล้ว ราเชนทร์ก็กลับบ้านได้โดยไม่ลืมที่จะหนีบวริสากลับไปด้วย

...หรือถึงลืม เธอก็คงตามไปเองอยู่ดี

ตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาลร่วมกันมา วริสากลายเป็นเพื่อนคุยชั้นดีจนบางหนเขาก็ลืมไปเสียว่าเธอเป็นผี ความกลัวที่ก่อกำเนิดขึ้นในขั้นต้นเริ่มเหือดหายและหมดสิ้นไป ทิ้งไว้เพียงความคุ้นเคย

แต่ต่อให้คุ้นเคยสักแค่ไหนเขาก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้

หลังจากคืนที่เขาทำข้อตกลงกับวริสาแล้ว เขาก็บอกรามินทร์กับภาพิมลว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดี ขอให้ทั้งสองคนไม่ต้องเป็นห่วง แรกๆทั้งคู่ก็ยังเซ้าซี้ถาม “เรียบร้อยยังไง” แต่เขาก็ดื้อดึงไม่ยอมตอบจนกระทั่งคนตื้อต้องยอมเลิกไปเอง

“ในกระบวนคนหัวแข็งมันไม่แพ้ใครหรอก” รามินทร์บ่นทิ้งไว้

ในช่วงแรกๆที่กลับมาพักอยู่ที่บ้าน ราเชนทร์ต้องทำความเข้าใจกับวิถีชีวิตแบบใหม่ซึ่งมีผีมาอาศัยอยู่ด้วย อันดับแรกสุดคือ เขาจะต้องจัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนที่ได้ยินคำสั่งนี้จากวริสา เขาถึงกับบ่นออกไปว่าวริสาเป็นคนที่เรื่องมาก แต่เธอก็อธิบายกลับมาเรียบๆว่า ผีนั้นมีลำดับขั้น แตกต่างกันตรงความละเอียดของดวงจิต ถ้าดวงจิตหยาบก็จะอยู่ในที่หยาบๆ อย่างเช่นพวกผีเร่ร่อนที่ต้องอาศัยตามบ้านร้าง หรือสัมภเวสีที่ซุกซ่อนตัวในสถานที่เก่าแก่ พุพัง เพราะบริเวณที่รกๆจะเต็มไปด้วยพลังงานไม่เป็นมงคล หรือถ้าจะว่ากันตามหลักฮวงจุ้ย ก็ต้องบอกว่า ชี่ ไม่ดี ผีเหล่านั้นจึงมีจิตใจที่หดหู่และคอยจะหลอกหลอนผู้คน แต่ตอนนี้ดวงจิตของเธอยังใหม่ และเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน ถ้าหากได้อยู่ในบ้านที่เรียบร้อย มีพลังงานถ่ายเทเต็มที่ เธอก็จะอารมณ์ดี ไม่เที่ยวหลอกหลอนใคร แล้ววริสายังโยนข้อดีมาให้เขาอีกด้วยว่า ถ้าหากเขาไม่ทำบ้านรก ชีวิตเขาก็จะราบรื่น มีปัญหาน้อยลง

ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงที่ผีนักการเจรจากล่าวมาทำให้เขาต้องจัดบ้านช่องเสียใหม่ วริสาสั่งให้ย้ายโน่นโยกนี่ตามแต่ใจต้องการ

และก็มีของอย่างหนึ่งที่เธอกลัว...

มันเป็นขลุ่ยไม้ไผ่สองเลาที่นำมาวางไขว้กันมัดด้วยด้ายแดง พี่ชายของเขาผูกเอาไว้ตั้งนานแล้ว แต่วริสากรี๊ดทันทีที่ได้เห็นของสิ่งนี้ เธอร้องเร่าบอกให้เอามันออกไปห่างๆ เขาต้องตาลีตาลานทิ้งมันไป และพอกลับมาดูวริสาอีกทีก็เห็นว่ารูปกายของเธอนั้นพร่าเลือนราวกับจะดับหายไปเลยทีเดียว

“กลัวอะไรไม่กลัว กลัวขลุ่ยเนี่ยะนะ”

วริสาหน้าเบ้ แสงสีรอบกายหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“ขลุ่ยสองอันน่ะมันเป็นสัญลักษณ์ของสิงห์คาบดาบ เครื่องรางที่เขาเอาไว้ป้องกันผี ถ้าเอาไว้ตรงเหนือประตูพวกผีอย่างฉันก็จะเข้าประตูนั้นไม่ได้ นี่ดีนะที่พี่นายซุกๆเอาไว้ ไม่งั้นฉันแย่แน่ๆเลย”

วริสาบอก น้ำเสียงล่องลอย ขาดห้วง

ราเชนทร์รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาบ้างวันต่อมาเขาจึงไปทำบุญให้เธอ

หลังจากวริสาได้บ้านแบบที่เธอต้องการแล้ว อันดับต่อมาเธอก็คอยจู้จี้กับชีวิตของเขา

“ชีวิตคุณนี่ไร้สาระชะมัดเลย” วริสาบ่น “ไม่กินก็นอน หาอะไรทำมั่งสิ”

“เรื่องของผม” ราเชนทร์ตอบ แล้วก็นอนหลับตาตรงชานที่ยื่นออกไปข้างๆบ้าน ตากลมให้สบายใจ

“ทำอย่างนี้มันไม่ดีหรอกรู้ไหม ระวังเถอะ ชีวิตคุณจะถูกกลืน เวลาที่คนเราไม่ได้ทำอะไร ชีวิตจะถูกกลืนกินไปเรื่อยๆ ความคิดความอ่านมันจะฝ่อฟีบ แล้วเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า มันก็ไร้ประโยชน์เสียแล้วเพราะคุณหมดเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นต่อสู้ ชีวิตของคุณกำลังจะจมเข้าไปในความมืดนะรู้ไหม”

“โอ๊ย... บ่นจริง นี่แหละน้าผู้หญิง จะผีหรือคนไม่ต่างกันเล้ย”

วริสาถลึงตาใส่เขา

“หวังดีย่ะ... ไม่สนแล้ว”

แล้ววริสาก็หายวับไป ราเชนทร์ร้องเชอะเบาๆก่อนจะนอนหนุนแขนต่อ

เขาไม่ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้ว ลาออกจากที่เก่าเพราะรู้สึกไม่ชอบ พอออกมาแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง จะว่าไปมันก็จริงอย่างที่วริสาบอก แรกๆเขาก็คิดแต่ว่าจะพักผ่อนไปเรื่อยๆ แต่เมื่อพักถึงจุดหนึ่งแล้ว ความรู้สึกก็ถาโถมเข้ามา กล่าวหาว่าเขาเป็นคนไร้ค่า อยู่ไปวันๆ เป็นความหดหู่ที่กัดกร่อนจิตใจของเขา แม้บางครั้งจะคิดไว้ดิบดีว่าจะต้องลุกขึ้นต่อสู้และหาอะไรที่ดูเป็นแก่นสารทำบ้าง แต่ก็เหลวเสียทุกหน เพราะเขาพอใจเพียงแค่คิด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะลงมือทำตามต้องการ

สงสัยวันพรุ่งนี้ต้องลองหางานทำดูแล้วล่ะ... ได้ไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง...

*********


คงประมาณบ่ายสามโมงเศษๆ วริสาเดินเตร็ดเตร่กลางถนนเพราะโกรธที่เมื่อครู่นายราเชนทร์กล่าวหาว่าเธอจุ้นจ้านกับชีวิตของเขามาเกินไป

อะไร้... หวังดีต่างหาก ไอ้ตาถั่ว ตาไม่ถึง ไม่สำนึกบุญคุณฉันเลยนะ

วริสาบ่นกระปอดกระแปดในใจ นี่ถ้าหากเธอยังเป็นคน เธอจะต้องไประบายให้ภาพิมลฟัง แล้วภาพิมลก็จะบอกว่า “...ก็ถูกของเขาแหละ ริสเป็นอย่างนั้นจริงๆนี่” วริสาลอบยิ้มเมื่อคิดถึงท่วงท่าที่เธอเคยเห็นจนชินตา

นึกขึ้นมาแล้วก็ถวิลหา อยากจะไปพบไปเจอเพื่อนรักหน่อยคงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง แย่ก็ตรงที่วันนี้เป็นวันทำงาน เธอคงต้องตามภาพิมลไปถึงที่ทำงานโน่นแหละ

เพียงแค่คิด ดวงจิตของเธอก็พร่าหายก่อนจะก่อรูปกายขึ้น ณ ที่แห่งใหม่ วริสาโผล่มาอยู่ข้างหลังภาพิมลซึ่งกำลังพิถีพิถันแต่งหน้าให้ลูกค้า

ภาพิมลเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ ร่วมหุ้นกับรุ่นพี่ซึ่งเรียนมาทางด้านการเสริมสวยโดยตรงเปิดร้านแห่งนี้ ดังนั้นคนที่มีฝีมือระดับวายร้ายมาอยู่ร่วมกันและเข้ากันได้ ร้านก็ประสบความสำเร็จ แม้เพิ่งเปิดมาเพียงไม่กี่ปีแต่ก็ทำชื่อติดตลาดมีผู้คนรู้จักในวงกว้าง

ร้านของภาพิมลเปิดอยู่บนชั้นสองของห้างสรรพสินค้ากลางเมือง เป็นห้องตรงมุมสุดซึ่งกั้นด้วยกระจกใสสองด้าน ส่วนมุมด้านในร้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวของบรรดาพนักงานทั้งหลาย ผู้คนมากมายมานั่งรอคิว บางคนก็มาทำผม บางคนก็มาทำเล็บ หรือเข้าคอร์สบำรุงผิวหน้าก็ว่ากันไป

ภาพิมลนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำ หันหน้าเข้าหาลูกค้า ปลายนิ้วแตะแต้มบลัชออนเนื้อครีมลงบนใบหน้าหญิงสาวที่ดูมีอายุมากกว่าก่อนจะวนไล้ให้สีสันกลมกลืน ไม่ต่างอะไรกับจิตรกรผู้เค้นพลังจินตนาการเพื่อวาดรูปภาพสุดตระการ เพียงแต่จิตรกรรมนี้ทำบนใบหน้าคน

“มลใช้บลัชเนื้อครีมนะคะ เพราะว่าผิวของคุณพี่จะได้ดูเปล่งปลั่ง...” ภาพิมลบรรยายขณะที่ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยสีจากพวงแก้มขึ้นไปยังโหนกแก้ม “คุณพี่ทำงานมาเหนื่อยๆทั้งวันอาจจะโรยบ้าง แต่อีกเดี๋ยวก็สวยปิ๊ง ประกายเป็นเจ้าหญิงเลยล่ะค่ะ”

ภาพิมลช่างพูดช่างเจรจาจนวริสานึกขำ ถ้าจะว่าไปแล้วเธอกับภาพิมลก็เป็นพวกพูดมากพอๆกัน พอจับเข้าคู่ จึงไม่มีใครยอมใคร ส่งเสียงแจ้วๆได้ตลอดเวลา

“ทำงานไปดีๆ อย่าโม้มาก” วริสาหมั่นไส้ กระซิบข้างๆหู

ภาพิมลชะงักกึก นิ่งงันแล้วหันหน้ามาทางวริสาจนหน้าจะชนกันอยู่แล้ว แต่ภาพิมลไม่เห็นเธอ เพื่อนสาวเพียงแต่ลอบถอนหายใจ แล้วหันกลับไปแต่งหน้าลูกค้าต่อ

วริสามองดูเพื่อนสาวทำงานอย่างเพลินๆ จนกระทั่งเลิกและมีโทรศัพท์ดังขึ้น วริสาไม่แน่ใจว่าภาพิมลคุยกับใคร แต่ดูจากอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็พอจะเดาออก

...จะใคร ถ้าไม่ใช่พี่ชายนายราเชนทร์

จริงตามคาด ภาพิมลขอตัวกลับด้วยท่าทีร่าเริง

วริสาตามติดเพื่อนรักแจ เธออยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของภาพิมลกับรามินทร์ก้าวหน้าไปถึงไหน แม้เธอจะสนิทกับราเชนทร์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องไว้ใจพี่ชายเขานี่ ภาพิมลเป็นคนช่างเพ้อฝัน หลงใหลกับคำว่ารักได้ง่าย นี่เป็นจุดอ่อนที่น่ากังวล

ภาพิมลนัดกับรามินทร์ไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆกับบ้านเช่าของหญิงสาว ตอนที่ภาพิมลมาถึง รามินทร์ก็อยู่ที่นั่นแล้ว

“รอนานไหมคะ” ภาพิมลถามเมื่อเข้าไปถึงในร้าน วริสาเห็นที่ว่างด้านในจึงรีบชิงเข้าไปนั่งก่อน เพราะเธอเองก็รับไม่ได้ที่จะให้ใครมาเดินผ่านร่างโปร่งของเธอไปเฉยๆ

ภาพิมลตามมาถึงและก็นั่งลงข้างๆเธอ ฝั่งตรงข้ามคือรามินทร์

“วันนี้ลูกค้าที่ร้านเยอะไหมคะ” ภาพิมลฉอเลาะ ...ห่วงใยถามถึงธุรกิจครอบครัวเชียวนะ ยัยมล

“พอสมควรครับ พอดีมีหนังใหม่เข้ามา”

“เรื่องอะไรคะ”

รามินทร์บอกชื่อเรื่องไป “เป็นหนังรักครับ คุณมลอยากดูรึเปล่า ถ้าไงผมจะเอามาให้”

“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ” ภาพิมลร้อง แต่คนที่ขัดหูคือวริสา...

...ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียว จริตจะก้านเยอะขึ้นเท่าตัว

“เอาไว้มลไปหาที่ร้านดีกว่าค่ะ เผื่อจะเจอเรื่องอื่นด้วย”

วริสาอมยิ้ม นั่นไง ที่แท้ก็วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนี่เอง ร้ายกาจมาก... เห็นหงิมๆเงียบๆนึกไม่ถึงเลยว่าพอถึงเวลาแล้วจะกล้าขนาดนี้

ก็ต้องลองดูกันต่อไป ยังไงเธอก็ต้องเอาใจช่วยเพื่อนล่ะ

ทั้งคู่นิ่งกันสักครู่ ภายใต้บทสนทนาไร้คำพูดนั้นคือบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความสุข น่าประหลาดเหลือเกินที่คนอย่างวริสาจะนึกถึงประโยคอมตะที่บอกว่า เพียงแค่สบสายตา ก็รับรู้ถึงข้อความในใจ... มันจะจริงเหรอ... มันเป็นจริงหรือเปล่า...

ภาพิมลกุมแก้วกาแฟไว้ทั้งสองมือ ยกขึ้นดื่มอย่างเขินๆ รามินทร์ก็ทำเช่นนั้น แล้ววริสาก็เห็นทั้งสองคนหัวเราะ บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจอาการของเพื่อนเท่าไหร่ นี่ถ้าหากว่าเธอมีเนื้อหนัง มีร่างกาย มานั่งตรงนี้คงอึดอัดพิกล นี่ขนาดเป็นผีแล้วนะ ยังมิวายร่ำแต่จะคิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน

ทั้งคู่ชวนกันคุยสัพเพเหระทั่วไปไม่มีประเด็นน่าสนใจนัก เวลาผ่านไปเนินนานสักเท่าไหร่ไม่รู้ แต่พอวริสาเริ่มเบื่อและกำลังจะถอนทัพกลับ รามินทร์ก็เอ่ยกับภาพิมลด้วยเสียงเรียบ

“เอ่อ... คุณมลครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษา”

ภาพิมลทำตาโตบ้องแบ๊ว “อะไรคะ”

“คือ นายเชนทร์... พักหลังๆดูเปลี่ยนไป”

“เปลี่ยนไป...” ภาพิมลย้ำ และวริสาเองก็เริ่มสนใจที่จะฟังการสนทนาในครั้งนี้มาบ้าง

“ครับ! ผมก็อธิบายไม่ถูกนะว่าแปลกยังไง แต่เหมือนกับว่าน้องชายผมมีเรื่องบางอย่างปิดบังอยู่”

“อาจเป็นเรื่องของคุณแพรไหมก็ได้นะคะ” ภาพิมลบอก

แพรไหม... อดีตแฟนของนายราเชนทร์น่ะเหรอ ก็เลิกกันไปแล้วนี่ มายุ่งเกี่ยวอะไรอีกล่ะ เอ๊ะ หรือว่าเขายังคิดถึงเธออยู่ เฮ้อ...ไม่เข้าใจเลยไอ้เรื่องความรักเนี่ยะ ทำไมมันต้องยุ่งยากนักก็ไม่รู้

รามินทร์ส่ายหน้าให้กับคำตอบของภาพิมล

“ไม่ใช่หรอกครับ... ผมกลัวว่าบางทีอาจจะเกี่ยวกับคุณวริสา”

วริสาร้อนตัวเมื่อถูกพาดพิงถึง นิ่งฟังใจจดใจจ่อ

“คุณมลจำได้รึเปล่าครับ ที่นายเชนทร์บอกว่าตกลงกับคุณริสเธอเรียบร้อยแล้ว และหลังจากนั้น ทั้งคุณมลกับผมก็ไม่เจอเรื่องแปลกประหลาดอีกเลย ผมว่ามันต้องมีเบื้องหลังอะไรสักอย่าง”

ภาพิมลเริ่มจะเห็นด้วย “เราลองไปหาแม่หมออ้อยกันดูไหมคะ เผื่อเธอจะบอกอะไรได้บ้าง คุณก็จะได้สบายใจด้วย”

วริสาขมวดคิ้วมุ่น ทั้งสองคนคงคิดไปกันใหญ่แล้ว

“ตกลงตามนี้ครับ ไว้ถ้าคุณว่างผมจะไปรับนะครับ”

ภาพิมลยิ้มน้อยๆ ตอบตกลงด้วยความเต็มใจสุดซึ้ง

แต่คนที่ดูไม่ค่อยจะเต็มใจนักก็คือวริสา... เธอไม่เข้าใจเลยว่ามันเรื่องอะไรที่ทั้งเพื่อนของเธอและพี่ชายของนายราเชนทร์จะต้องมายุ่มย่ามกับเรื่องนี้ เธอก็ไม่ได้ทำร้ายเขา แถมยังคอยช่วยเหลือต่างๆนานา... ยุ่งนัก เดี๋ยวแม่ก็แหกอกเสียหรอก

วริสามองดูคนทั้งคู่อย่างไม่สบอารมณ์นัก สะบัดหน้าพรืด จังหวะนั้นเอง รามินทร์กับภาพิมลก็ลุกขึ้น เธอจึงรวบรวมอำนาจจิตแกล้งผลักภาพิมลให้ถลาไปหาชายหนุ่มตรงหน้า รามินทร์รับร่างของภาพิมลไว้ได้อย่างเหมาะเจาะ วริสาไม่ได้ดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรต่อ เธอหายตัววับไปทันใด

สมน้ำหน้า... ต้องแกล้งเสียให้เข็ด

*********

*********

*********





ดวงใจในเงาจันทร์
15 - เริ่มเรียนรู้


“คุณลองบอกฉันหน่อยสิว่าถ้าฉันจะรักคุณ ฉันต้องเริ่มยังไง”

ราเชนทร์กระเด้งตัวขึ้นนั่งบนเตียง วางหนังสือไว้ข้างๆแล้วมองวริสาที่นั่งไขว้ห้างกลางอากาศตรงมุมห้องด้วยความแปลกใจเป็นล้นพ้น

ไม่รู้ว่าวริสานึกเพี้ยนอะไร เห็นตั้งแต่กลับมาแล้ว ไม่พูดไม่จา มีแต่บ่นกับตัวเองเป็นระลอก พอเขาถามก็จ้องตาเขียวปั๊ด ไหนว่าจัดห้องแล้วพลังงานถ่ายเทจะอารมณ์ดีไง ทำไมคุณเธอถึงเป็นอย่างนี้ไปได้เล่า

“บอกมาสิ เร็ว” วริสาออกคำสั่ง

“จะบ้าเหรอ ผมไม่รู้เว้ย” ราเชนทร์ปฏิเสธพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอาแล้วล้มนอนลง แต่ทันทีที่หลังเอน เขาก็เห็นวริสานอนอยู่ข้างๆ อารามตกใจจึงกระโจนพรวดพราดลงจากเตียง เหงื่อแตกซิกๆ

“อะไรของคุณเนี่ยะ ผมตกใจนะรู้ไหม”

“ช่วยไม่ได้ ก็คุณไม่ยอมบอกฉัน” วริสาหายแวบอีก แล้วมาโผล่ตรงหน้าเขา ราเชนทร์พอจะตั้งสติได้บ้างจึงไม่ตกใจนั่ง เพียงแต่กลับไปนั่งที่เตียงนอนตามเดิม วริสายังตาไม่หยุด “ฉันว่าเรารีบๆรักกันเสียทีเถอะ เรื่องมันจะได้จบๆ”

ราเชนทร์ไม่มั่นใจว่าตัวเองหูฟาดหรือดวงจิตของวริสาได้รับความกระทบกระเทือนจนต๊องไปแล้ว

“อะไรของคู้ณ ความรักนะไม่ใช่หวัดจะได้เป็นกันง่ายๆ”

“ต้องลองไปออกเดทกันดู” วริสาพูดอย่างมั่นใจ แต่ราเชนทร์ไม่ได้‘มั่น’ตามสักนิด “เวลาที่ตกหลุมรักกันนี่ต้องไปออกเดทเพื่อสานความสัมพันธ์ต่อ”

“แต่ผมไม่เคยตกหลุมรักคุณเลยนะ” ราเชนทร์บอกซื่อๆ

วริสาหันกลับมาจ้องเขาแบบดุๆ ดูเกรี้ยวกราด สองมือกำหมัดแน่นยกขึ้น เหมือนเวลาที่คนเราทำอะไรไม่ถูก

“คุณก็แกล้งทำสิ ไม่ได้หรือ ฉันอยากจะไปเต็มที่แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว”

ราเชนทร์พยักหน้าหงึกๆ พลางคิดในใจ... ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกที่อยากให้เป็นอย่างนั้น เขาก็ด้วย คิดอย่างเดียวกันเป๊ะเลย... เมื่อไหร่จะไปสักที

“นี่ริส...” ราเชนทร์เริ่มกร่อนคำ ไม่เรียก ‘คุณริส’ อย่างเคย “ไปทำอะไรมา ใครเซ่นของแสลงให้รึเปล่า”

เพลิงอารมณ์ในตัวหญิงสาวเริ่มราลง เธอลดตัว นั่งยองๆอยู่กับพื้น แขนสองข้างพาดบนเข่ายื่นออกมา ใบหน้าเงื่องหงอยหมดอาลัยตายอยาก

“เปล่า... ก็แค่วันนี้ฉันไปหายัยมล พอดีเจอพี่ชายของคุณเข้า” วริสาบอก “เขาบอกว่าคุณน่ะเปลี่ยนไป แล้วก็หาว่าเป็นเพราะฉัน นี่ก็กำลังจะไปปรึกษาแม่หมออ้อยกัน คงคิดจะกำจัดฉันล่ะสิ”

อ๋อ... พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหญิงสาวจึงคลั่งเสียขนาดนั้น เมื่อไม่มีใครเห็นค่า มันก็น่าน้อยใจอยู่หรอก

...ไม่มีใครเห็นค่า เขาล่ะ มีใครเห็นค่าในตัวเขาบ้าง

“แต่ถึงจะไม่มีเหตุการณ์นี้ก็เถอะ ฉันก็ถูกส่งมาเพื่อจะรักคุณอยู่แล้วนี่” คราวนี้วริสาเริ่มฟาดงวงฟาดงาใส่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่

“เอ๊า! เฉยเลย” ราเชนทร์กระอ้อมกระแอ้มพูด

วริสาอาจจะขัดเคืองที่เขาแสดงท่าทีไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ฉลาดพอจะละเลย แล้วก็รวบรัดต่อ “เพราะฉะนั้น คุณต้องทำให้ฉันรักคุณเร็วที่สุด เข้าใจไหม”

“ผมจะทำได้ไงเล่า”

“ไม่รู้... เรื่องของนาย”

ราเชนทร์ลุกยืน ตรงไปสำรวจหญิงสาวที่นั่งจุมปุ๊ก สองแขนกอดอก ร้องอืมเป็นจังหวะ

“ตัดเรื่องที่คุณเป็นผีออกไป คุณก็สวยดี เก่ง ฉลาด แต่บอกตามตรง... ไม่ใช่สเป๊กผม”

วริสาหน้างอ ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจ้องเขาจัง ไม่แม้แต่จะหลบตา แต่ราเชนทร์ไม่ปล่อยโอกาสให้เธอพูดขัด

“ทางที่ดี คุณต้องหาทางเอาเองแล้วล่ะว่า ทำยังไงคุณถึงจะรักผม”

วริสาเหยียดตามองเขาราวกับกำลังสำรวจสินค้าที่ราคาไม่สมกับคุณภาพอยู่ “คุณไม่ใช่สเป๊กฉันเหมือนกัน”

“เรื่องมาก...”

“ว่าอะไรนะ”

“ผมบอกว่าคุณเรื่องมาก... เฮ้ย... พอเหอะ ไม่เถียงด้วยแล้ว” ราเชนทร์โบกมือสะบัดตัดบท วริสากระทืบเท้าเร่าๆทว่าไม่ได้ส่งเสียงดังแม้แต่น้อย

ราเชนทร์พยายามไม่สบสายตาวริสาอีก แกล้งทำเป็นหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แต่ตัวหนังสือเพียงผ่านสายตา ตอนนี้เขากำลังคิดถึงสิ่งที่วริสาพูด... เขาไม่ได้ลืมหรอกว่าเธอจะไปสู่สุคติได้ เธอจะต้องเข้าใจความรักเสียก่อน แต่... เขาจะทำอย่างไรให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใจได้ล่ะ ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน

สิ่งที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เครื่องการันตีที่ดีนัก

เหลือบมองวริสาอีกหน เห็นเธอกลับเข้ามุมของเธอไป นึกสงสารอยู่บ้างแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรจริงๆ

...ไว้ผมจะพยายามเต็มที่นะ ริส...

*********


คืนนี้มีจันทร์เคียวเกี่ยวคว้างอยู่กลางฟ้า วริสาหลบออกมาจากห้องนอนของราเชนทร์ ขึ้นมานั่งเล่นบนหลังคา มองดูแผ่นฟ้ารูปโดม คล้ายกระทะเว้าลึกควบคว่ำ ดวงดาวดารดาษหลากสี ระยับระยับวับๆบ้าง บางดวงก็นิ่งกระด้างไร้แววประกาย

อาจมีสายลมพัด เพราะเห็นยอดไม้กระดิกไหวๆ หากแต่เธอไม่อาจสัมผัสสายลมได้อย่างสมัยที่เคยเป็นคน เป็นเพียงดวงจิตได้เท่านี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว...

เมื่อนั่งทอดสายตาเหม่อไป เธอก็คิดถึงบทความที่เคยอ่านผ่านตา ผุดขึ้นมาได้จากจิตใต้สำนึกกระมัง... ถึงกวี มัตชุโอะ บะโช... กวีชาวญี่ปุ่นผู้ซึ่งออกเดินทางตามหัตถ์ที่กวักเรียก เขาท่องไปทั่วดินแดนอาทิตย์อุทัยและบันทึกเรื่องราวการเดินทางไว้ในชื่อ Narrow Road to a Far Province ถนนสายน้อยสู่ดินแดนแสนไกล หลอมรวมจิตใจของเขาและกลั่นออกมาเป็นถ้อยคำ กวี...ผู้ซึ่งแสวงหามีจุดมุ่งหมายหรือเปล่า ขณะที่เขาเขียนไฮกุบทแรกลงไปนั้น เขารู้หรือไม่ว่าบทสุดท้ายจะลงเอยเช่นไร

เธอเองกลับคืนสู่โลกมนุษย์ด้วยสภาพที่คงไม่ต่างไปจากกวีมัตชุโอะ บะโช เท่าไหร่นัก รู้เพียงจุดเริ่มต้น แต่ไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร อาจมีบ้างที่คาดคะเนไว้ แต่มันจะเป็นดั่งใจตลอดไปไหม... หนทางแห่งชีวิตมนุษย์เคยราบรื่นหรือ... มีแต่ทางที่ลื่นจนล้มเสียมากกว่า

ทอดถอนใจด้วยความเคยชิน แล้วก็นั่งกอดเข่าเดียวดายอยู่อย่างนั้น

เปล่งเสียงกระซิบแว่วข้างๆหู กระแสนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างที่เคย เพื่อนผู้ปลอบประโลม

“กังวลสิ่งใดหรือ”

“เปล่าค่ะ...” วริสาตอบ ไร้ความหมาย “ฉันไม่เคยนั่งดูดาวอย่างนี้เลยนะ ตอนที่ฉันเป็นคน ฉันทำนู่นทำนี่ตลอด ไม่เคยว่างจะมาสนใจอะไรพรรค์นี้ น่าเสียดายจริงๆ ถ้าฉันรู้ว่ามันสวยอย่างนี้ ฉันจะดูเสียตั้งแต่ตอนนั้น”

“แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว... ใช่ไหม... มนุษย์มักพูดคำนี้ติดปาก พอๆกับคำว่าไม่มีเวลา... มนุษย์ผู้ไม่เคยมีเวลาพอมักจะทำอะไร‘สาย’ไปเสมอ ต้องร้องเพลงเศร้า น้ำตาร่วงเผาะ นี่แหละมนุษย์ ผู้ที่คิดว่าตัวตนของตัวเองนั้นดีเยี่ยม สมองเป็นเลิศ วิจารณญาณชั้นยอด จนละเลย และสายเกินไป”

วริสานิ่ง คิดตามสอนเหล่านั้น เธอเองก็ละเลยอะไรต่อมิอะไรไปเยอะจนถึงตอนนี้ก็สายเกินไปเหมือนกัน...

ใบหน้าของพ่อวนเวียนขึ้นมาในมโนสำนึก ใจจริงเธอห่วง แต่ความโกรธทำให้เธอต้องข่มความห่วงนั้นเอาไว้... ทำไมน่ะหรือ เธอก็ตอบตัวเองไม่ได้จวบจนวันนี้

“...หยาดน้ำค้างกลั่นร่วง
ละอองไอเหน็บหนาวเยือกลึก
ใต้แสงจันทรางาม...”

บทกวีไฮกุดังขึ้น วริสาฟังแล้วก็นึกสงสัยถึงความหมายของไฮกุบทนี้

“แปลว่าอะไรคะ”

“ผู้แต่งกวีไม่มีหน้าที่ต้องแปลบทกวีของตน” กระแสเสียงตอบกลับละมุนละไม “เจ้าไม่รู้หรือ ว่ากวีทำหน้าที่ถ่ายทอดสิ่งที่เห็น ผู้เสพจะเสพได้ตามแต่ประสบการณ์ของตน ลึกตื้นต่างกันนัก”

วริสายิ้มน้อยๆให้กับคำตอบอมภูมินั้น แต่เจ้าของวาทะคมคายกลับรู้ทัน เอ่ยขัดขึ้นมา

“อย่าหัวเราะไป... เจ้าควรจะหัดแต่งกวีเสียบ้าง”

“ฉันผีนะคะ ไม่ใช่คน” วริสาโต้แย้ง

“นั่นแหละ บทกวีนั้นเข้าใกล้กับจิตวิญญาณมากที่สุด เจ้าไม่รู้หรอกหรือ... กวีจึงอ่อนหวาน ก็เพราะเขาน้อมจิตลงสู่ความละเอียดอ่อน”

วริสาเบ้ปาก โค้งคิ้วขมวดมุ่น “งั้นไม่แต่งดีกว่าค่ะ ฉันเห็นพวกกวีเหมือนคนบ้า”

“กวีไม่ใช่คนบ้า... คนที่แสดงตนว่าบ้าแล้วบอกว่าตนเองคือกวีนั้นเป็นแต่เพียงเปลือก เหมือนพวกจิตรกรที่เจ้าเห็นว่าแต่งกายพื้นๆ ติดดิน ก็เพราะเขาต้องการจะสัมผัสถึงตัวตนแห่งจิตวิญญาณที่แท้ แต่ผู้ไม่รู้เห็นแต่เปลือกนั้น จึงคิดว่า หากทำตามเปลือกนั้นแล้วจะเป็นอย่างเขาได้...แล้วเป็นได้ไหม เจ้าก็คงพอจะประจักษ์แก่ตาแล้วบ้าง”

วริสาหัวเราะแห้งๆ แล้วสงบปากสงบคำไม่พูดอะไรต่อ เสียงลึกลับจึงสั่งสอนต่อไป

“เจ้าต้องเข้าใจถึงแก่น... เฉกเช่นกวีที่แท้ที่รู้จักสัจธรรม เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะข้ามแม่น้ำได้”

“แล้วฉันต้องทำยังไงคะ” วริสาถาม “ฉันรู้แค่ว่าจะต้องรัก แต่ไม่รู้เลยว่าจะรักอย่างไร และรักเพื่ออะไร”

“อย่างไรนั้นคือวิถีของเจ้า ข้าไม่อาจตอบได้ แต่ข้าจะตอบเจ้าว่าเพื่ออะไร...”

วริสารอคำตอบ ดวงดาวกระพริบบนฟ้ากระพริบวับๆ พอๆกับจิตใจของเธอที่หวั่นไหว

“ขั้นแรกของความเข้าใจคือการเรียน... เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเรียนได้มากพอที่จะรู้ และสะสมตัวรู้มากขึ้นจนเพียงพอ มันก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นความเข้าใจในตัวเจ้า และในตอนนั้นเองตะครั่นซึ่งนอนลึกในดวงจิตของเจ้าก็จะถูกชำระออกไปจนสิ้น แล้วเจ้าก็จะไปกับข้าได้”

วริสานิ่ง...สิ่งซึ่งเป็นตะครั่นงั้นหรือ คงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น... ครอบครัวของเธอ

*********


รุ่งเช้า... อากาศโดยรอบเย็นกว่าวันไหนๆ อาจเป็นเพราะวันนี้บนท้องฟ้ามีก้อนเมฆก้อนใหญ่คล้ายกับว่าจะมีหางพายุพัดผ่าน

ตั้งแต่ราเชนทร์ตื่นมา เขาก็ยังไม่เห็นวริสาเลย คิดในใจว่าเธอคงไปเที่ยวเล่นที่ไหนตามประสาผีๆล่ะมั้ง... ช่างเถอะ ไม่อยากกวน

ราเชนทร์จัดการธุระส่วนตัวต่างๆจนพร้อมสรรพ หอบหิ้วกระเป๋าเอกสารแล้วขับน้องเต่าเหลืองไปยังบริษัทที่หมายตาเอาไว้

บริษัทแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านเขานัก เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว พวกจัดกรุ๊ปทัวร์อะไรทำนองนั้น เมื่อเขาเรียนจบมาทางด้านนี้อยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาว่างานจะไม่ตรงกับสายอาชีพที่เรียนมา หนำซ้ำถ้าหากได้งานที่นี่ เขาก็จะได้ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เป็นผลพลอยได้ไปในตัว

เมื่อไปถึง เขาก็พบว่าที่นี่เป็นบริษัทขนาดเล็ก สำนักงานขนาดสองคูหาก็ถือว่ากว้างขวางพอสมควร ยิ่งมีการตกแต่งที่ดูเป็น‘ธรรมชาติ’ก็ยิ่งทำให้น่าเข้าไปมากขึ้น

เขาบอกกับพนักงานสาวซึ่งนั่งหลังโต๊ะไม้ใกล้ๆกับประตูทางเข้า พนักงานคนนี้วัยประมาณสามสิบแล้ว แต่รวบผมหางม้าสูงทำให้ดูประเปรียว รอยยิ้มเป็นกันเองง่ายๆปรากฏตรงริมฝีปากไม่เคยหาย เธอบอกเขาว่าให้นั่งรอสักครู่หนึ่ง เพื่อรอสัมภาษณ์และก็ผายมือให้เขาไปนั่งรอที่ม้านั่งยาวข้างๆ ตรงนั้นมีผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ในมือของแต่คนก็มีซองเอกสารติดมาด้วย... น่าจะมาสมัครงานเช่นเดียวกับเขา

ราเชนทร์รออยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงคิวของเขา พอเข้าไปในห้องผู้จัดการซึ่งกั้นฉากด้วยไม้สำเร็จรูปก็พบเห็นผุ้ชายอายุสักสี่สิบนั่งหมุนปากกาเล่นหลังโต๊ะทำงาน ราเชนทร์ไหว้ไปงามๆไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะนั่งและยื่นเอกสารประวัติส่วนตัวของเขาให้ ผู้จัดการเพียงแต่อ่านคร่าวๆ พยักหน้าเป็นจังหวะและก็ก็นิ่งเฉยบ่อยครั้ง ราเชนทร์รู้สึกว่าไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะประวัติของเขาไม่ได้หวือหวาอะไรนัก

“ทำไมถึงต้องการทำงานที่นี่ครับ”

เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่ลอกกันไปใช้เกือบทุกที่ ถ้าอย่างนั้นก็สมควรไม่ใช่หรือที่คำตอบนั้นก็ต้องลอกๆกันตอบไป

“ผมเห็นว่าบริษัทนี้กำลังมีความมั่นคงครับ แม้จะเป็นบริษัทขนาดย่อมแต่ในระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมาบริษัทก็สามารถฝ่ากระแสเศรษฐกิจที่ทรุดตัวได้ และก็ยังมี กลยุทธ์ในการตีตลาดที่ค่อนข้างจะได้ผล ผมจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่”

เป็นคำตอบสำเร็จรูปที่ท่องๆมาจากบ้าน ถึงมันจะฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ผู้จัดการก็คงพอใจกว่าการบอกไปตามตรงว่า เขาอยากทำงานนี้ก็เพราะเงิน... และก็อยากเที่ยวด้วยนิดหน่อย...

“คุณคิดว่าบริษัทควรปรับปรุงในด้านไหนบ้าง”

ราเชนทร์ยิ้มแต้อย่างรวดเร็ว “ผมเชื่อว่าบริษัทนี้ทำได้ดีในหลายๆจุดครับ แต่จะดีกว่านี้ถ้าหากจะมีการสนองตอบต่อลูกทัวร์มากขึ้นด้วยการหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆซึ่งไม่ซ้ำกับคนอื่น”

สีหน้าเหนื่อยๆของผู้จัดการเปิดเผย โจ่งแจ้ง จนราเชนทร์รู้สึกหดหู่

“คุณคิดว่าผมควรจะรับคุณเข้าทำงานไหม”

“ควรอย่างยิ่งครับ... เพราะหากผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แล้ว ผมเชื่อว่าจะสามารถช่วยพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นได้”

“ขอเป็นรูปธรรมชัดเจนกว่านี้หน่อยได้รึเปล่า”

“ผมสามารถหาลูกค้าเพิ่มขึ้นได้ ทำงานเอกสารต่างๆได้ แล้วก็ว่างเสมอสำหรับงาน และเมื่อผมได้รู้จักระบบงานมากขึ้นแล้ว ผมจะสามารถขยายแผนการตลาดของที่นี่เพื่อสร้างกำไรที่มากขึ้นได้ครับ”

ผู้จัดการพยักหน้าหงึกๆ ปากกาในมือยังคงหมุนต่อไป เขาถามคำถามราเชนทร์อีกสองสามข้อ และบอกว่า

“แล้วผมจะติดต่อกลับไปนะครับ”

ราเชนทร์ยิ้มรับและไหว้อีกครั้งเป็นการลา

พอพ้นออกจากบริษัทมาได้เขาก็ถอนหายใจ แล้วก็ยิ้มให้กับตัวเอง...

ราเชนทร์เตร็ดเตร่บนฟุตบาท ผู้คนมากมายเดินสวนทางกันไปมา ระหว่างที่ย่ำเท้าย่ำปูนซีเมนซ์ไปเรื่อยๆ สายตาก็พลันปะทะเข้ากับกิ๊ฟต์ช้อปตรงหัวมุมถนน ทีแรกเขาคิดจะเดินผ่าน แต่อยู่ๆก็คิดถึงวริสาขึ้นมาเลยแวะเข้าไปในร้านนั้นเสียหน่อย

เขาอยากจะหาของขวัญไปให้แม่ผีสาวสักชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นการขอบคุณที่แนะนำให้เขาออกมาหางานทำ แม้จะไม่เป็นผลสำเร็จน่าพอใจเท่าที่ควร แต่ก็ทำให้ชีวิตจำเจของเขาทลายลงได้บ้าง

ภายในร้านแบ่งเป็นชั้นล่างกับชั้นลอย ราเชนทร์ไม่คิดจะขึ้นไปชั้นบนอยู่แล้ว เขาเพียงแต่เลือกดูสิ้นค้ากระจุกกระจิกตามชั้นวาง เป็นของที่เหมาะกับเด็กผู้หญิงจริงๆ แต่วริสาไม่ใช่เด็กผู้หญิง และก็ไม่ค่อยจะเหมือนผู้หญิงทั่วไปสักเท่าไหร่ เขาต้องเลือกดีๆ

แล้วก็พบว่าด้านในสุดของร้านมีกล่องดนตรีอยู่ ด้านบนเป็นบ้านเซรามิกขนาดจิ๋ว ลักษณะอย่างเดียวกับบ้านของพวกฝรั่งที่ก่ออิฐทุกด้าน มุงหลังคาด้วยแผ่นไม้หนาแน่นและมีปล่องควัน ข้างๆบ้านจิ๋วนี้มีลานหมุนสีเงินเสียบอยู่ หากเวลาต้องการเล่นเพลงก็ไขลานตรงนี้ แล้วดนตรีเพลงก็จะดังหวานขึ้นมา

ราเชนทร์ตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นนี้

“น่ารักนะคะ แฟนพี่ต้องชอบแน่ๆเลย”

คนขายกระเซ้าแหย่ ราเชนทร์กำลังจะท้วงออกไปอยู่แล้วว่าไม่ใช่แต่ก็คิดเสียว่าไม่จำเป็นจึงส่งยิ้มให้พร้อมๆกับจ่ายเงิน

หลังจากรอคนขายใส่กล่องห่อกระดาษเรียบร้อยเขาก็ออกมาจากร้าน ตั้งใจว่าจะแวะหาอะไรกินสักหน่อย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ แป๊บเดียวก็เที่ยงวันแล้ว

แต่พ้นจากประตูร้านเพียงแค่สองสามก้าว เขาก็เห็นอีกฝั่งหนึ่งของถนน ใกล้ๆกับเสาไฟฟ้ามีรถสปอร์ตสีแดงจอดอยู่ และถ้าจำไม่ผิด คือรถคันเดียวกันกับ‘พี่นนท์’ของแพรไหม

เขาแอบเข้าริมๆแล้วก็ลอบสังเกตดูด้วยความอยากรู้ ชายหนุ่มร่างสูงกำยำตัดผมทรงสกินเฮดหาดูไม่ยาก แค่กวาดตามองครั้งเดียวก็เห็นเขาแล้ว และถ้าหากชายหนุ่มจะมากับแพรไหม เขาจะไม่ว่าอะไรเลย

แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ... ผู้ชายที่ชื่อนนท์กำลังทำธุระติดต่อกับนาถยา

...แม่เลี้ยงของวริสา!

*********




 

Create Date : 20 กันยายน 2551
3 comments
Last Update : 20 กันยายน 2551 10:17:06 น.
Counter : 499 Pageviews.

 

มาอ่าน เเล้วก็มาทักทายเเล้วค่ะ

 

โดย: รัตจันทน์ IP: 118.174.174.46 20 กันยายน 2551 13:08:55 น.  

 

sawasdee ka ploy

 

โดย: fuku 21 กันยายน 2551 17:34:47 น.  

 

ขอบใจจ้ะน้องฟ้าที่แวะเวียนมาเยี่ยมเสมอๆ ^ ^

*****
สวัสดีค่ะพี่ก้อย วันนี้เอารูปใหม่มาอัพต่อหรือยังเอ่ย?




 

โดย: ploy666 IP: 124.157.236.198 22 กันยายน 2551 13:25:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.