Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
7 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ดวงใจในเงาจันทร์ 07+08

ดวงใจในเงาจันทร์
7 - 49 วัน


ณ รุ่งสางอันโดดเดี่ยว ราเชนทร์ย่ำเดินให้ไวเพื่อที่จะทันกับแพรไหมซึ่งวิ่งหนีไปเสียห่าง เขาได้แต่ตะโกนเรียก “รอพี่ก่อน” ทว่าอีกฝ่ายไม่ขานตอบ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกไป บนถนนเปลี่ยวที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และดงหญ้ารกเรื้อ

บนฟ้า เมฆครึ้มรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และเดี๋ยวเดียว หยาดฝนก็โปรยปรอย ราเชนทร์มุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ เขาเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวอยู่ลับๆ ความเหน็ดเหนื่อยแล่นจุกมาถึงอก เลยต้องหยุดอย่างช่วยไม่ได้ เขาตะโกนออกไปอีกครั้งให้หญิงสาวกลับมา แต่ไม่มีวี่แวว

สองแขนค้ำยันกับสองเข่า ก้มมองพื้นดินที่เริ่มเปียกเป็นจุดๆ ลายพร้อย มีเสียงย่ำฝีเท้าใกล้เข้ามาจากทางด้านหน้า คงเป็นแพรไหมนั่นแหละ

หาก... พอเงยขึ้น คนที่เขาพบกลับไม่ใช่แพรไหมอย่างที่ต้องการ แต่กลับเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่งไป

วริสา...

ความตกใจผลักให้เขาผงะหงาย ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า วริสาไม่ได้พุ่งตามมาหลอกหลอนเขาแต่อย่างใด เธอเพียงแต่ยืนนิ่งๆ อยู่ในชุดของโรงพยาบาล และปรายตาเหม่อลอยมาทางเขา

ราเชนทร์ดิ้นรนอึกอัก เหงื่อโซมกาย และไม่นานก็สะดุ้งพรวด... ตื่นจากความฝันอันน่ากลัวผสมความหดหู่

ลุกนั่งบนเตียงและปล่อยให้สายตาคุ้นชินกับความมืด เขามองเห็นสิ่งของรางๆภายในห้องนอนของตนเอง ขณะที่สมองก็ครุ่นคิดถึงการปรากฏตัวอันกระชั้นถี่ของวริสา

เธอยังไม่ไปไหนใช่รึเปล่า... คนตายโหงนี่นา จะไปไหนได้...

ราเชนทร์ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตั้งใจไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะทำบุญไปให้หญิงสาว

*********


น่าเหลือเชื่อ ที่รามินทร์และภาพิมลเองก็ฝันเห็นวริสาเช่นเดียวกัน

ในตอนเช้า ระหว่างที่ราเชนทร์กำลังรับประทานอาหารกับรามินทร์อย่างเงียบๆ ภาพิมลก็โทรฯมาหาโดยมีรามินทร์เป็นคนรับสาย เธอบอกว่า เมื่อคืนเธอฝันเห็นวริสา เลยอยากจะพบกับพวกเขา อย่างไรก็ดี ทั้งคู่ไม่ได้ปรึกษากันทางโทรศัพท์มากนัก รามินทร์เพียงแต่บอกว่า เดี๋ยวจะไปรับ เพราะตั้งใจจะไปทำบุญอยู่แล้ว

วัดใกล้บ้านเป็นวัดที่ค่อนข้างเงียบสงบ หลบอยู่ในตรอกซอย บริเวณรอบๆปลูกต้นไม้ใหญ่ และมีกอไผ่หนาแน่นขึ้นตามจุดต่างๆ สภาพโดยรวมชวนให้คิดถึงวัดป่ามากกว่าวัดในเมือง

รามินทร์เทียบรถจอดใต้ต้นไม้สูงริมกำแพงวัด ก่อนที่ต่างคนต่างหิ้วหอบเอาถังสังฆทานลงจากรถ เสียงนกร้องจิ๊บๆสอดแทรกมาตามเสียงสายลมเบาๆ น่าสงบ... ร่มเย็น... และเมื่อผ่านโบสถ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่ามาอีกสักหน่อย จะเห็นศาลาที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ที่ขึ้นห่างๆโปร่งๆ บริเวณรอบศาลานี้มีแม่ชีสองคนกำลังกวาดพื้นขยันขันแข็ง และในศาลาโล่งกว้าง ต่อหน้าองค์พระประธานและพระภิกษุที่นั่งขัดสมาธิบนผืนอาสนะ ยังมีผู้หญิงรุ่นๆคนหนึ่งนั่งพับเพียบอยู่ พนมมือแต้... เธอคงมาทำบุญ

หญิงสาวคนนั้นใส่ชุดขาว คาดคะเนไว้ว่าน่าจะมีร่างที่เตี้ยสักหน่อย หากแต่ความที่เธอไม่ได้เป็นคนเจ้าเนื้อหรือท้วมอะไรนัก จึงละม้ายเด็กวัยรุ่นตัวเล็กๆมากกว่า เส้นผมสีดำมันขลับแผ่ยาวกลางหลัง ตัดกับเสื้อสีขาวชัดเจน ส่วนองค์พระภิกษุสูงวัยในจีวรสีกลักที่กำลังสวดมนตร์ให้ศีลให้พรหญิงสาวนั้น ก็ดูราวกับเปล่งรัศมีอันน่าศรัทธาออกมาตลอดเวลา ใบหน้าอิ่มเอิบ แม้ไม่ยิ้มก็คล้ายว่ายิ้ม

ครั้นพอเข้าไปถึง พระก็สวดจบพอดี หญิงสาวคนนั้นเหลือบมองมายังพวกเขา ดวงตาคู่โตหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปก้มกราบพระแล้วถอยจากไป ปล่อยให้พวกเขาทั้งสามได้เข้าไปทำบุญกันต่อ

การทำบุญใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ประมาณสิบนาทีก็เสร็จสิ้น เพราะพระภิกษุเพียงแค่สวดรับสังฆทานและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้กระทำแล้วนั้นให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย พร้อมกับกรวดน้ำไปในตัว แล้วพิธีก็เสร็จสิ้นเพียงแค่นั้น จะมีก็แต่ราเชนทร์ที่ขอรับอาสา ทำหน้าที่เอาน้ำที่กรวดเสร็จแล้วไปรดใต้โคนต้นไม้

ราเชนทร์เลือกต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ถัดห่างจากตัวศาลามาทางด้านหน้าโบสถ์ เงาของร่มไม้แผ่ลงมาต่อๆกัน เว้นที่ว่างให้แสงแดดเพียงนิดเดียว ดังนั้นพื้นที่โดยรวมจึงโปร่ง มีแสงสว่างมากเพียงพอ แต่ไม่ร้อนระอุ

เขาย่อตัวลงนั่งและรินน้ำรดรากไม้ พร้อมกับอธิษฐานในใจ

...ขอพระแม่ธรณีและเทวดาทั้งหลายจงเป็นพยานแก่การทำบุญในครั้งนี้ ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำแล้วจงถึงแก่นางสาววริสาด้วยเถิด...

หยาดน้ำหยดสุดท้ายแตะต้องกับพื้นดิน เขายอมือไหว้สาอีกครั้งแล้วลุกขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังมาจากทางด้านหลัง

“สวัสดีค่ะ”

ราเชนทร์หันกลับไปหา ผู้หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาเห็นในศาลา คนที่มาทำบุญก่อนหน้าเขา

“มีอะไรรึเปล่าครับ” เขาถามอย่างงงๆ หากแต่อีกฝ่ายทำหน้านิ่วใส่ แววตาจริงจังสอดส่องซอกแซก

“คุณกำลังถูกครอบงำ...” เธอบอกเสียงเข้ม

แม้จะรู้ว่ามีเรื่องลี้ลับเกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาทายมั่วๆส่งเดชอย่างนี้...

เขาเดินหนีทันทีโดยไม่ต่อล้อต่อเถียง หากหญิงสาวคนนั้นก็หมุนตัวมองตามเขามาและเร่งเสียงให้ดังขึ้น

“คุณวริสาจะตามคุณไปเรื่อยๆ เพราะเธอยังไปไหนไม่ได้”

ราเชนทร์สะดุดกึก ผู้หญิงคนนี้พูดชื่อวริสาชัดถ้อยชัดคำ

“มีความเชื่อกันมาว่า ดวงวิญญาณจะอยู่บนโลกเพียงแค่สี่สิบเก้าวัน” หญิงสาวคนนั้นพูดต่อ ขณะที่เขาค่อยๆหันกลับไปมอง “...อยู่ในสภาพที่ล่องลอย ครึ่งหลับ ครึ่งตื่น และจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทุกๆเจ็ดวัน วิญญาณจะรู้สึกตัว พร้อมกับมีองค์พุทธะมาโปรด ก่อนจะนำทางไปสู่ดินแดนหลังความตาย แต่คุณวริสาเธอไปไม่ได้ ยังมีบางอย่างที่เธอต้องทำ”

“คุณพูดอะไรของคุณ” ราเชนทร์ถามห้วน นึกอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรกันแน่จึงมาพูดอย่างนี้กับเขา

“จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจนะคะ แต่ที่ฉันบอกมันเป็นหน้าที่... ก็เท่านั้น”

หญิงสาวพูดจบก็เดินหนีไป ลับหายไปตรงมุมโบสถ์ ปล่อยให้เขางงงวยกับปริศนาในคำพูดนั้น

ยังไปไหนไม่ได้ เพราะมีบางสิ่งต้องทำ...

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ... มันเกี่ยวอะไรกัน...

*********


หลังจากทำบุญเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็อพยพมายังร้านอาหารใกล้ๆซึ่งเป็นเพิงเล็กๆริมทาง ไร้ฝากั้น มีเพียงด้านหลังที่ใช้ไม้ระแนงกั้นเป็นฉากสำหรับพื้นที่ทำครัว

“มลก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ ว่าทำไมพักหลังๆถึงได้ฝันเห็นยัยริสมากขึ้น... ริสไม่ได้มาแบบน่ากลัว ออกจะน่าสงสารด้วยซ้ำไป”

ภาพิมลทำหน้าเหยเกขณะที่พูดเรื่องนี้ ราเชนทร์มองพี่ชายที่กำลังตั้งท่าปลอบหญิงสาวแล้วนึกหมั่นไส้ตะหงิดๆ

“ผมว่าอย่างน้อยตอนนี้เราก็ทำดีที่สุดแล้วนะครับ มาทำบุญให้เธอแล้ว เราเองก็ควรสบายใจ”

ภาพิมลมองหน้ารามินทร์ ส่งยิ้มให้บางๆ ราเชนทร์ดูแล้วต้องหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนอมยิ้มไว้

เออ... ดีจัง นี่ขนาดมีเรื่องทุกข์ร้อนก็ยังมานั่งจีบกันอยู่ได้

อิจฉานะเพ่...

“แต่สำหรับคุณมลผมว่ายังไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไหร่นะครับ” รามินทร์ว่า “ปัญหาก็คือ ทำไมผมกับเชนทร์ถึงฝันเห็นคุณวริสาด้วยนี่สิ”

เมื่อมีประเด็นใหม่ผุดขึ้นมา ก็ต้องร่วมกันนั่งขบคิดอีก ราเชนทร์เห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชายค่อนข้างมาก การที่ภาพิมลฝันถึงวริสานั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกตินัก เพราะความที่เป็นเพื่อนกัน ย่อมมีความผูกพัน สนิทสนมชิดเชื้อเป็นธรรมดา ในขณะที่เขากับพี่รามินทร์ต่างก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แล้วทำไมจึงฝันถึง

หรือในอีกหนึ่งความเป็นไปได้... แม้เขากับพี่ชายจะไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์กับวริสา แต่พวกเขาก็ต้องถือว่าเกี่ยวข้องกันบ้าง พี่ชายของเขานั้นมีลางที่มองเห็นว่าวริสามีอันตรายมาตั้งแต่แรกแล้ว ในขณะที่ตัวเขาถึงกับร่วมเหตุการณ์ความเป็นความตายกับเธอมาด้วย

...จะเป็นไปได้ไหมที่เป็นเพราะจุดนี้ จึงเชื่อมโยงเธอมาพัวพันในชีวิต

ถูกครอบงำ...

คำพูดของหญิงสาวที่เจอในวัดก้องกังวานอยู่ในสองหูและในกะโหลก เขาพยายามสลัดมันทิ้ง ไม่อยากจะแยแสมากนัก

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ทั้งที่ก็เชื่อว่าเรื่องของวริสาเป็นเรื่องจริง แต่กลับไม่เชื่อในคำแนะนำของเธอคนนั้น

หรือจะเป็นเพราะความกลัว... ลึกๆลงไปแล้วเขาอาจกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น กลัวต่อความไม่รู้และหวาดหวั่นต่ออนาคต

เมื่อกลัวแล้วจึงต้องปฏิเสธ...

“แล้วเราจะทำกันยังไงต่อล่ะคะ มลคิดอะไรไม่ออกเลย อยากจะบอกให้พ่อของริสเขารู้แต่ก็กลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไปอีก เพราะเห็นว่าตั้งแต่ริส... จากไป... ท่านก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก” ภาพิมลพูด

พ่อของวริสาคือนายวันชนะ เขาจำได้ว่าในวันงานเคยเห็นคนๆนี้ข้างๆผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับวริสา หากแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของนายวันชนะ...

หรือว่า...

“คุณมลครับ” ราเชนทร์ทะลึ่งพูดเสียงดังแทรก “คือผมถามตามตรงนะครับ คุณวริสานี่มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ... กับครอบครัว...”

ภาพิมลขมวดคิ้วเล็กน้อย และยอมบอกแต่โดยดี

“คือ... ริสเขามีปัญหากับพ่อน่ะค่ะ เรื่องที่ท่านไปมีภรรยาใหม่ ริสก็เลยไม่ยอมเจอหน้าท่าน เกือบสามปีแล้วมั้งคะ ใจแข็งจริงๆ”

ราเชนทร์พยักหน้า แล้วหันไปสบตาพี่ชายที่เหมือนจะรู้ทันกัน

“คุณเชนทร์มีอะไรรึเปล่าคะ” ภาพิมลถามกลับ เลิ่กลั่กเมื่อเห็นทั้งเขาและรามินทร์เงียบไป

“เปล่าหรอกครับ” ราเชนทร์ว่า “ผมคิดว่าคุณมลคงเคยได้ยิน เรื่องที่ว่าวิญญาณที่ไม่ไปไหนมักจะมีห่วง ถ้าหากว่าคุณวริสายังวนเวียนอยู่แถวนี้ ก็แสดงว่าเธออาจต้องการให้เราช่วยเหลืออะไรบางอย่าง”

“และเรื่องอะไรที่คุณวริสาน่าจะอยากขอความช่วยเหลือ” รามินทร์ต่อประโยคจนสมบูรณ์ “ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เธอเป็นห่วงมากที่สุด”

ภาพิมลร้องอ๋อในลำคอเบาๆ ก่อนจะโต้แย้งขึ้นมาเสียดื้อๆ

“แต่มันไม่ก้าวก่ายไปหน่อยเหรอคะ... มลหมายความว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องในครอบครัว ถ้าริสเขายังไม่ไปไหนเพราะเรื่องนี้ เขาก็ไม่ควรลากเราเข้าไปพัวพันด้วย เพราะถ้าให้เรายื่นมือเข้าช่วย มันก็กลายเป็นเราเข้าไปก้าวก่ายในครอบครัวของคนอื่น มันไม่เหมาะมั้งคะ”

“ก็ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ แล้วคุณวริสามีปัญหาอะไรอีกไหมล่ะครับ” รามินทร์ถาม

ภาพิมลส่ายหน้าหนักๆ

“ไม่มีค่ะ เท่าที่รู้จักกันมา ริสเขาไม่ค่อยเก็บอะไรมาคิดมากหรอกค่ะ จะมีก็แต่เรื่องพ่อเขาเท่านั้น ถ้าเรื่องอื่นนี่ มลไม่รู้จริงๆ”

สองหนุ่มพากันถอนใจเฮือกที่สุดท้ายก็วกกลับมาเจอทางตันอีกจนได้

“ทำไมเราไม่ไปหาพวกคนทรงล่ะคะ ให้ริสมาตอบคำถามเองน่าจะดีกว่ามานั่งคิดกันเองอย่างนี้นะ”

ข้อเสนอของภาพิมลดูเป็นข้อเสนอที่ดี และสำหรับรามินทร์เองก็คงเห็นด้วย

ในขณะที่ราเชนทร์กลับไม่คิดอย่างนั้น

“แล้วเราจะรู้ได้ไงครับว่าคนทรงพวกนั้นของจริง... แล้วเขาจะไม่หลอกเรา...”

“แต่พี่เห็นด้วยกับคุณมล” รามินทร์ว่า

“แต่ผมไม่ถูกโรคกับพวกนี้นี่ครับ ผมกลัวว่ามันจะเหลวมากกว่า ถ้าเราไปหาแล้วเขาแนะนำอะไรมาผิด มันไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เหรอ”

รามินทร์กอดอก แล้วส่งสายตาดุๆมาพร้อมกับคำถามว่า...

“ก็ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือ”

*********

*********

*********





ดวงใจในเงาจันทร์
8 - ความลับและความรัก


การหลอกลวงปรากฏอยู่ในทุกหนทุกแห่ง มันปะปนไปกับความจริงและบางครั้งก็ยากจะแยกแยะออก

หลังจากนัดแนะกันจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ราเชนทร์ก็ตามพี่ชายและภาพิมลไปยังสำนักทรง ด้วยความไม่เชื่อมาก่อนจึงทำให้ราเชนทร์คอยจ้องแต่จะจับผิด และก็ไม่เสียแรงเลย เพราะตำหนักที่ใครว่าดีว่าแน่ เขาก็ป่วนเพื่อจะดูว่าเป็นของจริงหรือไม่

...และมันก็เก๊ทั้งหมด...

“ผมก็บอกแล้ว ว่ามันไม่จริง” ราเชนทร์บอก หลังกลับจากตำหนัก พลางนึกถึงวีรกรรมที่แกล้งพูดภาษาเทพกับคนทรงแล้วคนทรงก็เออออห่อหมกด้วย

“คงจะมีจริงหรอก ก็เล่นเขาเสียขนาดนั้น” รามินทร์บ่น “คราวก่อนก็แกล้งทำเป็นองค์ลง อีกทีก็แกล้งให้ข้อมูลผิดๆ จนคนทรงไขว้เขว อืม... ให้มันได้อย่างนี้ไอ้เชนทร์”

ราเชนทร์อมยิ้ม เดินนำพี่ชายและภาพิมลเข้ามาในบ้าน เวลาบ่ายแก่ๆอย่างนี้ทำให้แดดแรงจนเพลีย

“โธ่! ก็ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้จะรู้เหรอครับว่าพวกนั้นไม่มั่วน่ะ”

รามินทร์หันไปสบตากับภาพิมลที่ยิ้มแห้งๆให้

ราเชนทร์ตรงดิ่งไปยังห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวจมลงโซฟาแล้วกอดอกหลับตา ทำท่าจะนอนเอาเสียเดี๋ยวนั้น และอีกสักครู่หนึ่ง รามินทร์ก็ตามมานั่งข้างๆ ส่วนภาพิมลไปครอบครองเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง

“พวกตำหนักต่างๆก็โดนเล่นหมดแล้ว ทีนี้จะทำยังไงกับเพื่อนคุณดีล่ะ”

รามินทร์ถาม น้ำเสียงผ่อนคลายลง หากแต่ในถ้อยคำก็มิวายตำหนิราเชนทร์อยู่หน่อยๆ

“มลว่า... เราหาดูอีกรอบไหมคะ เผื่อว่าจะมีตำหนักไหนที่เป็นของแท้บ้าง”

“อย่าเลยครับ” ราเชนทร์รีบตอบ ลืมตามองหญิงสาว “ผมว่า อย่าหาเลย มันไม่มีหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดการกับปัญหานี้ยังไงล่ะคะ หรือจะให้มานั่งคิดเอาเอง คงไม่ไหวหรอกค่ะ”

ราเชนทร์ไม่ได้ตอบหญิงสาว เขาเพียงแต่หุบปากตัวเองให้สนิท เพราะรู้ตัวดีว่า วันนี้ทำให้เธอเสียแผนมามากแล้ว เพราะตำหนักต่างๆที่ว่า ก็ภาพิมลทั้งนั้นที่พาไป

“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ...” รามินทร์แทรกเพื่อผ่อนอารมณ์ปะทะ “ผมว่าเราพักผ่อนกันก่อน ไว้สมองโล่งๆแล้วค่อยมาหาหนทางกันใหม่”

ข้อเสนอแนะของรามินทร์ทำให้ภาพิมลกับราเชนทร์ถอยคนละก้าว ความเงียบแผ่คลุมเข้ามาอีกคราว จนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาดังติ๊กๆ

ราเชนทร์ไม่ค่อยชอบความเงียบสักเท่าไหร่ เขาจึงไปเปิดสเตอริโอเพื่อทำลายความเงียบ เสียงคลื่นซู่ซ่า ก่อนจะมีเสียงดีเจสาวพูดเกริ่นนำก่อนเข้าเพลง

ดนตรีไม่ค่อยสนุก เสียงนักร้องไม่ค่อยเพราะ แต่ก็ติดหูจนฮัมเพลงตามได้ เพราะได้ยินทุกวัน เขาถอยห่างออกมา แล้วก็ดูคนเบื้อใบ้อีกสองคนที่นั่งเหม่อ ต่างคนต่างคิดอะไรเรื่อยเปื่อยกันไป

“ใครเอากาแฟมั่งครับ” ราเชนทร์ถาม

“เอาแก้วนึง” รามินทร์ตอบ แล้วหันไปหาภาพิมล “คุณมลเอาสักแก้วไหมครับ”

ภาพิมลตอบรับคำชวนนั้น ราเชนทร์จึงตรงเข้าไปในครัว เพื่อชงกาแฟสามแก้วสำหรับคนสามคน

กลิ่นกาแฟแห้งๆลอยขึ้นมาเมื่อเปิดฝาโหล เขาตักเม็ดกาแฟสีดำใส่แก้วกระเบื้องลวดลายสวยงาม ก่อนจะเติมน้ำตาลและครีมเทียมลงไป แล้วใส่น้ำร้อน ไอขาวฉุยๆลอยขึ้นมา

...ขอพักสักหน่อยเถอะนะคุณวริสา เพราะช่วงนี้ผมยุ่งกับเรื่องของคุณจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว

ราเชนทร์ยกกาแฟออกมาเสิร์ฟ รามินทร์เองก็กำลังคุยกับภาพิมลในเรื่องทั่วๆไป ค่อนข้างจะไร้สาระ

แต่แล้วจู่ๆ ขณะที่ภาพิมลกำลังยกแก้วกาแฟขึ้น เธอก็ร้องขึ้น

“มลนึกออกแล้วค่ะ... มีอยู่คนหนึ่งที่น่าจะให้คำปรึกษาได้”

ราเชนทร์ขมวดคิ้วมุ่น ส่วนรามินทร์ก็แสดงท่าทีตั้งอกตั้งใจฟัง

“แม่หมออ้อย... มลว่าเธอต้องช่วยเราได้แน่ๆเลยค่ะ”

*********


ภาพิมลเป็นคนแบบนี้เอง บางทีก็เฉื่อย บางทีก็ว่องไวจนใครๆตามไม่ทัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เธอจะดึงดันไปหา‘แม่หมออ้อย’ในทันที

หลังจากสอบถามเข้าไปในรายการและพูดคุยกันบ้างแล้ว แม่หมอก็นัดให้พวกเขาไปที่บ้านพักอีกด้านหนึ่งของมุมเมือง

และแม้จะได้ชื่อว่าเป็นเขตผู้คนพลุกพล่าน แต่ที่นี่ก็เงียบสงบจนวังเวง ทั้งที่เพิ่งหัวค่ำ แต่ถนนสายที่ตรงไปบ้านของแม่หมอกลับทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันดึกกว่าปกติ

เป็นการสร้างอารมณ์ของคนมาดูดวงได้เป็นอย่างดีทีเดียว

หน้าบ้านของแม่หมออ้อยเป็นเพียงรั้วไม้ที่ใช้ซุงเป็นท่อนมาเรียงต่อกันเป็นแถว มีต้นเฟื่องฟ้าปลูกเรียงเว้นระยะอย่างเหมาะเจาะ และอาจจะมีต้นราตรีแฝงอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพราะกลิ่นดอกราตรีฟุ้งโชยผ่านหน้าต่างรถที่เปิดทิ้งไว้จนอบอวลไปหมด กลิ่นหอมๆเย็นๆ แต่ชวนปวดหัวสิ้นดี

บริเวณบ้านค่อนข้างกว้าง มีสนามหญ้าที่ตัดแต่งเรียบร้อย เมื่อเข้าไปตามช่องทางเดิน จะเห็นตัวเรือนอยู่ตรงสุดปลายทาง แสงไฟสว่างไสวดับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา... ก็ถือว่าดีเพราะทำให้ความหวาดผวาต่อสิ่งเร้นลับจางหายไป

เรือนหลังนี้เป็นเรือนไม้ทรงไทยประยุกต์ ส่วนที่ใช้รับรองแขกเป็นพื้นที่ด้านล่างซึ่งจัดทำเป็นสำนักงานทันสมัย ส่วนที่พักนั้นจะเป็นส่วนของเรือนยกพื้นที่อยู่ติดๆกัน

คนที่ออกมาต้อนรับพวกเขาเป็นหญิงสูงวัย อายุน่าจะประมาณห้าสิบกว่าๆ สวมเสื้อฝ้ายทรงกระบอกและนุ่งซิ่น นางไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร เพียงแต่เชิญให้เข้าไปด้านใน แล้วก็ยกน้ำและขนมมาให้ระหว่างรอ

ห้องนี้เป็นขนาดกลาง มุมด้านในเป็นโต๊ะทำงาน ใกล้ๆกับประตูทางเข้ามาชุดรับแขกเป็นเฟอร์นิเจอร์สีดำตั้งวาง หน้าต่างกระจกเปิดระบายอากาศ ผ้าม่านถูกมัดไว้ตรงริมเพื่อไม่ให้เกะกะ...

“เหมือนหนังผีเลยเนาะ” ราเชนทร์เปรยๆ คล้ายบ่นกับตัวเองมากกว่า แต่รามินทร์คำรามดุๆในคอ

“ก็แค่เปรียบเทียบน่ะคร้าบ”

เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นมาจากทางด้านนอก และสักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา

เป็นเธอคนที่เคยเจอในวัด... ผู้หญิงคนนั้น

ราเชนทร์ผงะนิดหน่อยเมื่อได้เห็น ก่อนจะตั้งสติได้ และถาม

“คุณ... มาทำอะไรที่นี่”

หญิงสาวคนนั้นปรายตามายังเขาอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับภาพิมลและรามินทร์

“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ให้รอนาน”

“ไม่นานหรอกค่ะ ว่าแต่ คุณ...” ภาพิมลถาม เธอเองก็คงไม่แน่ใจเหมือนกัน

“ดิฉัน... มินตรา หรือที่พวกคุณรู้จักในชื่อแม่หมออ้อยนั่นแหละค่ะ”

คำตอบของหญิงสาวทำให้ราเชนทร์เสียหลักทางความรู้สึกไปเล็กน้อย เพราะภาพของแม่หมอที่เขาวาดไว้คือผู้หญิงมากวัย ใส่ชุดขาว ท่าทางคร่ำครึ ชอบพูดอะไรแปลกๆ และทำให้คนอื่นหวาดกลัว
ที่กล่าวมาทั้งหมดดูจะใช้ไม่ได้กับผู้หญิงคนนี้

“เราเคยเจอกันมาแล้ว และดิฉันก็พอจะรู้ว่าพวกคุณต้องการอะไร ซึ่งเมื่อพวกคุณมาปรึกษา ดิฉันก็จะแนะนำให้ ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่พวกคุณ”

มินตราตวัดสายตามาทางราเชนทร์ครู่หนึ่งก่อนตรงไปยังโต๊ะทำงานด้วยท่าทีนิ่งเฉย

เป็นการจิกทางสายตาที่ส่งผลให้ร้อนชาไปทั้งหน้าเลยทีเดียว

“พี่มินทร์แน่ใจนะว่าเชื่อถือได้” ราเชนทร์เริ่มแขวะเบาๆพอได้ยินเฉพาะเขากับพี่ชาย ส่วนภาพิมลนั้นกำลังให้ความสนใจกับแม่หมออ้อยจนไม่คิดจะหันมาร่วมฟังคำบ่นของเขา

“เงียบๆไปเลยไอ้เชนทร์” รามินทร์ว่า

หญิงสาวกลับมาหาพวกเขาอีกครั้งพร้อมอุปกรณ์ในมือ มีทั้งไพ่ยิปซี กองกระดาษ และลูกแก้วคริสตัล

“คุณวริสาอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทั่วไปนะคะ” มินตราเกริ่น ภาพิมลตื่นเต้น

“คุณรู้...”

มินตราเพียงแต่ยิ้มให้แล้วนั่งลง ดวงหน้ามนดูสวยไม่น้อย “ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกค่ะ เพียงแต่บางครั้งฉันก็สื่อถึงเธอได้ แต่ถ้าจะให้สรุปออกมาว่า ทำไมคุณวริสาถึงยังไม่ไปไหน แล้วจะช่วยเธอได้อย่างไร ฉันคงต้องพึ่งพวกคุณด้วย”

ราเชนทร์ยู่หน้า ร้องเชอะเบาๆจนคนอื่นหันมามองเป็นตาเดียว เขาจึงรีบเอ่ยปากถามมินตราไปตรงๆ

“ช่วยยังไงล่ะครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวผมกับคุณริสเกี่ยวข้องกันยังไง แล้วจะให้ช่วยอะไรได้”

คนถูกถามหัวเราะเยาะ ทำราวกับเขาเป็นเด็กไร้เดียงสาเสียเต็มประดา ราเชนทร์นึกฉุนขึ้นมาตงิดๆ

“ว่าไงล่ะครับ บอกหน่อยสิ”

“คุณจะได้ช่วยแน่ๆค่ะ แต่ขอให้ดิฉันแน่ใจสักนิดนะคะ”

แล้วมินตราก็ยื่นไพ่ยิปซีส่งให้รามินทร์พร้อมกับบอกให้เขาสับไพ่ด้วยมือซ้ายตามความพอใจ พอรามินทร์ส่งคืนให้ เธอก็กรีดไพ่เป็นวง และบอกให้ชายหนุ่มเลือกออกมาสามใบ และพอไพ่ถูกเปิดออก ก็ปรากฏเป็นไพ่ เดอะ มูน (พระจันทร์), เดอะ เอ็มเพลส (ราชินี) และ ไพ่สองถ้วย

มินตรานิ่งไปนิด คงกำลังอ่านความหมายของไพ่

“มีอะไรรึเปล่าครับ” รามินทร์ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไพ่ของคุณเป็นไพ่ที่ดีนะคะ”

ราเชนทร์โคลงศีรษะน้อยๆเมื่อได้ยินคำทำนาย... โธ่เอ๊ย เป็นใครก็ทายได้ บอกแค่ว่าคุณจะโชคดี... แล้วก็หาเรื่องมั่วเอา มันก็คงต้องถูกบ้าง

...น่าสงสารคุณวริสาจริงๆ จะได้เรื่องอะไรบ้างไหมนะ

มินตราเองก็คงเห็นกิริยาสบประมาทของเขา เธอจึงล้างไพ่แล้วกระแทกส่งให้เขา

“สับไพ่ด้วยมือซ้าย แล้วก็เลือกมาสามใบ”

ราเชนทร์เบือนหน้าไปทางอื่นแล้วก็ทำตามที่บอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ไพ่ใบใหญ่หนาเทอะทะเกือบร่วงหลายครั้ง ในที่สุดก็ต้องตั้งใจในการสับไพ่มากขึ้น

หากแต่น่าแปลก ที่พอเขาแตะไพ่ซึ่งถูกกรีดเป็นวงโค้งสวยงาม เขาก็ดึงมือออกอย่างรวดเร็ว เพราะรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต

ทุกคนเห็นอาการของเขาหมด และรามินทร์ก็ถามเขาว่า

“เป็นอะไรรึเปล่า”

เสียงเครียดๆเช่นนั้นทำให้เขาไม่สบายใจนัก

“เปล่าหรอกครับ สงสัยเส้นกระตุกน่ะ”

แล้วจึงกลับไปหยิบไพ่สามใบตามที่มินตราบอก

เมื่อเปิดออกมา เขาก็มีไพ่ เดอะ มูน (พระจันทร์), เดอะ ไฮ พรีสเตส (ราชินีพระจันทร์) และไพ่ ดีวิล (ซาตาน) มินตรามองแล้วได้แต่ถอนใจ ส่ายหน้ากับตัวเอง

...แม้รูปไพ่จะมีโทนสีน่ากลัวชวนให้ใจเสีย แต่หญิงสาวทำท่าจนราเชนทร์ใจเสียมากยิ่งกว่า

ไม่มีอะไรหรอกน่า... ก็แค่ไพ่สามใบ จะมีอะไร...

“เป็นไงบ้างคะ” คนถามคือภาพิมลที่อดรนทนไม่ไหว

มินตราไม่ได้ถอดความจากไพ่ให้ฟัง เธอเปลี่ยนเป็นเล่าเรื่องอื่น เป็นเรื่องที่เธอเตือนราเชนทร์ไว้ที่วัด

“ตามตำรามรณะศาสตร์ เขาบอกว่าหลังจากตายแล้ววิญญาณจะอยู่บนโลกเพียงแค่สี่สิบเก้าวัน แต่คุณวริสาเธอยังมีพันธะบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อาจไปจากโลกนี้ได้...”

“ฉันไม่เข้าใจค่ะ” ภาพิมลบอก

“ถ้าจะอธิบายง่ายๆก็คือ จิตของคุณวริสายังมีความขัดแย้งที่มากจนน่าตกใจ และเหตุนี้เองเธอจึงไม่อาจไปไหนได้”

“แล้วขัดแย้งเรื่องอะไรล่ะครับ” รามินทร์ถาม

มินตราจ้องกลับมายังสองพี่น้อง ราเชนทร์รู้สึกขนลุก

“อาจฟังดูตลก แต่คุณวริสาเธอมีปัญหากับตัวเอง... ในเรื่องของหัวใจ”

ราเชนทร์เบ้หน้าทันทีที่ได้ยินคำตอบ เขาแทบจะร้องออกไปทันใดว่า เรื่องนี้เหลวไหลทั้งเพ

หากแต่ภาพิมลกับรามินทร์คงไม่คิดอย่างเขา ทั้งสองยังคงทำหน้าจริงจังกับถ้อยคำของมินตรา

“อาจจะจริงก็ได้นะคะ เพราะริสปฏิเสธความรักมาตลอด ขนาดจะดูหนังรักยังไม่ยอมดูเลย มลจำได้... ริสเคยบอกว่าโลกนี้ไม่มีความรัก ไม่ว่าจะระหว่างคนกับคนหรือคนกับผี”

รามินทร์พยักหน้าหงึกๆ แล้วถามออกไปว่า

“แต่... ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยากที่เราจะช่วยเหลือเธอได้นะครับ คง เป็นไปไม่ได้”

ราเชนทร์เห็นด้วยกับพี่ชายเป็นที่สุด สมมุติว่าจริง... แล้วไงล่ะ เขาจะช่วยให้วริสาหาความรักได้จากไหน ของอย่างนี้มันไม่ใช่ง่ายๆนี่

“มันเป็นไปแล้วค่ะ... มีเพียงคุณสองคนเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้” มินตราบอก

ทั้งสามคนพร้อมใจกันอุทานออกมา ถ้าหากเป็นเวลาอื่นคงน่าขำ แต่ตอนนี้จะขำก็ขำไม่ออก

“แรมสิบห้าค่ำที่จะถึงนี้จะครบรอบสี่สิบเก้าวันที่คุณวริสาตาย เธอจะกลับมา” จิตตราเงียบไปนิด สายตาจับจ้องมายังรามินทร์และราเชนทร์ตามลำดับ

“คนหนึ่งในคุณทั้งสอง... จะเป็นเนื้อคู่ของเธอ!”

*********



Create Date : 07 กันยายน 2551
Last Update : 7 กันยายน 2551 11:33:55 น. 3 comments
Counter : 535 Pageviews.

 
มาอ่านเเล้วค่ะ ขยันจริงพี่พลอยของน้อง อิ อิ


โดย: รัตจันทน์ IP: 118.174.90.65 วันที่: 7 กันยายน 2551 เวลา:14:23:33 น.  

 
อ่ะหูยย..
เดี๋ยวต้องย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนที่ 1
...
เรื่องภาพ ไม่มีอะไรมากมาย
อย่างที่บอกน่ะแหล่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาจ้องนะขอรับ
ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
(เสี่ยว=ใช้คำนี้ได้ใจมาก เพราะตอนนี้ก็ชอบพูดกับเพื่อนอยู่บ่อยๆ)


โดย: HastaLaVista วันที่: 9 กันยายน 2551 เวลา:6:13:02 น.  

 
Get a Sexy, Colorful and Cute Comment from Commentsheaven.com TODAY!



อรุณรุ่ง สุรีย์ ทอง ส่องฟากฟ้า
แสงเจิดจ้า นภาพราว คราวแสงส่อง
ฟ้าสว่าง กระจ่างใส คล้ายชวนมอง
หมู่วิหค นกไพรร้อง ก้องนภา/...




อรุณสวัสดิ์ ค่ะ มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: สุนันยา วันที่: 9 กันยายน 2551 เวลา:8:20:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.