นิยาย ดราม่า ดี ฮา หื่น สนุก เลิฟซีนภาษาสวย
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 

ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ 3

ในห้องเรียนวันนี้ค่อนข้างเงียบกว่าปกติ ด้วยเป็นเวลาสอบ
ยางลบของสัจจะตกลงไปที่โต๊ะขิมอย่างจงใจ ขิมก้มเก็บแต่มือขาวๆของครูประจำชั้นชิงเก็บคืนเสียก่อน เอ่ยเสียงเข้มผิวใบหน้าละมุน
“สัจจะถ้ายางลบของเธอตกอีกครั้งครูจะปรับให้สอบตก”
“ทำไมละครับครู” สัจจะแสรังดีหน้าเหรอให้ดูเหมือนซื่อ
“เพราะว่ายางลบของเธอตกครั้งหนึ่ง ขิมจะเกาหัวทุกทีแล้วนิ้วที่เกามันก็เป็นหนึ่งบ้างสองบ้าง นึกว่าครูไม่รู้หรือไง
ว่าส่งสัญญาณให้กัน” สองเด็กชายยิ้มเรี่ยราดที่ครูรู้ทัน ดีว่าเป็นศิษย์โปรดหาไม่ คงถูกลงโทษทั้งคู่
การศึกษาประชาบาลในสมัยนั้นครูและศิษย์ต่างสนิทสนมดังพ่อแม่ลูก เด็กๆโดนตี พ่อแม่ผู้ปกครองไม่เคยเอาเรื่องเพราะถือสุภาษิตเดียวกัน รักวัวให้ถูกรักลูกให้ตี และครูนั้นเป็นแม่พิมพ์ที่ดีอย่างแท้จริงมีอยู่มากกว่า คนที่มีแต่สำนึกของเงินเดือน ที่หาค่าความเป็นครูไม่ได้ตามที่เป็นข่าวให้ได้รับรู้กัน แต่ ครูที่แท้ยังเป็นครูที่ดียังมีอยู่มากนัก
ป่านแก้วหิ้วปิ่นโตตามผองเพื่อนไปนั่งกินข้าวใต้ร่มไม้ใหญ่
มีเพื่อนนักเรียนหญิงพากันนินทาป่านแก้วอยู่บ้าง เนื่องจากเด็กหญิงมักจะอยู่รวมกลุ่มกับเด็กชายสี่คนเสมอ
“อีป่านมันกระแต ชอบเล่นกันเด็กผู้ชาย”
สัจจะเปิดกระโปรงคนนินทา
พรึ่บ เสียงผ้ากระพือลมถูกเลิกสูง
เจ้าตัวกรีดร้องค่าไล่หลังสัจจะที่แกล้งแล้ววิ่งหนีไป
“จ๊ะ ตัวสกปรก เปรต” เด็กหญิงด่ายาวเป็นวา จนลืมไปแล้วว่าด่าสัจจะเพราะอะไร
ฝ่ายกลุ่มเพื่อนอมเหนียว ต่างล้อมวงเข้ามารวมกัน ต่างคนต่างวางข้าวที่ห่อใบตองกับพื้น ป่านแก้วจัดแจงหวายฝาปิ่นโตเทใส่ใช้ปิ่นโตเปล่าเทข้าวจากใบตองส่งให้เพื่อน
อมรเลื่อนปิ่นโตของตนเข้ามาร้องบอกเพื่อนว่า
“ข้าวเยอะเว้ย...ล่อให้อิ่มไปเลยพัน” พูดแล้วอมรเติมข้าวให้เพื่อน
“แม่เราทำขนมมาเผื่อ”
ขิมเปิดฝาหมออวยโชว์กล้วยบวชชี เพื่อนพากันน้ำลายสอ จากนั้น พลพรรคต่างรีบกินข้าวโดยเร็วเพื่อจะได้กินขนมหวานต่อ
ซึ่งในแต่ละวันนั้น ใครจะใช้ชีวิตวันกันอย่างไรไม่รู้ แต่กลุ่มของป่านแก้วมีความสุขกันได้ทุกทีที่ได้อยุ่ร่วมกันอย่างนี้
.......................
คืนนี้เป็นคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง
กลุ่มเพื่อนของป่านแก้ว ต่างน้ำกระทงมาอวดกันว่าใครสวย ของสี่คนเป็นกระทงใบตอง ทำกลีบบายสีคล้ายกัน มีแต่ของสัจจะแปลกแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นทุกคนต่างตัดสินว่า ของสัจจะแต่งได้สวยแปลกตา ทั้งที่เป็นเพียงเปลือกแตงโมผ่าครึ่ง แต่เจ้าตัว สลักลาย จักขอบรอบ แต่งด้วยดอกไม้ราวกับว่าดอกสวยๆของดอกไม้นั้นเกิดในกระทงแตงโมได้
ด้วยการบรรจงแต่งตามประสาคนมีใจรักทางศิลปิน
“อธิษฐานว่าไงดีวะกู” สัจจะยกกระทงเหนือหัวแล้วแต่ยังนึกคำขอไม่ออก
“ขอให้หายขี้เกียจสิเจ้าจ้ะ” ป่านแก้วว่าเสียงแจ๋ว
“เดี๋ยวถีบ” กล่าวพลางง้างเท้าใส่เพื่อนหญิง แต่เสียงโครม เมื่อสัจจะถูกใครคนหนึ่งถีบตกน้ำ อมรหัวเราะฮา
“แหมจ๊ะมึงลอยบนบกก็ได้ เสือกลายตามกระทง” พงศ์พันธุ์ว่า
“ขิมถีบกู มึง มึง”
“โทษทีตีนไวไปหน่อย”
“เราจะแกล้งป่านเท่านั้นไม่ได้ถีบมันซะหน่อย”
“แหมแต่เราไม่ได้แกล้ง แต่ถีบจริงๆเลย” ขิมกลั้นหัวเราะ
สัจจะขั้นฝั่งมาสั่นงัก เพราะความหนาวของน้ำในคืนวันเพ็ญซึ่งตรงกับฤดูหนาวที่หนาวยิ่งนัก สัจจะมองกระทงใบตองซึ่งไม่มีรูปสวย ดั่งก่อนเปียกน้ำหลงเหลืออยู่เลย เด็กชายบ่น
“หมดกันกระทงกู”
“ลอยกับเราก็ได้จ๊ะ” เด็กหญิงยื่นกระทงให้ลอยอย่างคนมากมีน้ำใจ แต่สัจจะรีบโบกมือปฏิเสธ
“เราไม่ลอยกับผู้หญิง”
ขิมเข้ามาใกล้เพื่อนสนิท ยื่นกระทงให้ลอยร่วมกัน
“เอ้า...กระทงใบเดียวกันก็ลอยได้”
ลอยกระทงแล้วเด็กผู้ชายไปส่งป่านแก้วกลับบ้าน จากนั้นพากันนอนในกองฟางในฤดูหนาว เพราะไอฟางอุ่น ทำโพรงเข้าไปซุกตัวนอนกันได้มีไฟฉายให้แสงสว่างภายในสักดวงพากันหลับสบายยันเช้า

.............................
ตอนที่3
“ตัวนี้ ตัวนี้อีกตัว”
ป่านแก้วร้องเสียงแจ้ว พลางกระโจนตะครุบปลาช่อนตัวเขื่อนดิ้นแรงทำให้จับไม่อยู่ ขิมคว้าหมับอีกแรง หนึ่งเด็กแต่ละคนมอมแมมด้วยดินโคลน หน้าแล้งน้ำเริ่มขวด ห้าแรงแข็งขันช่วยกันกันช่วยกันหาปลา พอคาดว่าหาได้หมดก็จัดการล้างทั้งตัวปลาและตัวเองเตรียมทำอาหารกิน
“ตัวโตๆให้พันมันไว้เป็นกับข้าว” ขิมแยกปลาช่อนปลาดุกให้พันเพราะอาหารการกินในครอบครัวพันค่อนเรางขัดสนด้วยน้องมากหลายคน บางวันกับข้าวมีแต่ผักบุงกับพริกเกลือ ย่าปรางต้องแบ่งปันอาหารมาให้บ่อยๆ
“กินกันเถอะวะ” พันเกรงใจเพื่อนไม่น้อย ทุกคนเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน แต่เขาจะหยิบชิ้นปลามันก็กระไรอยู่
“แกเองของกลับบ้านไป แล้วรีบมานะเว้ย” สัจจะบอกเพื่อนอมรกับขิมก่อไฟ ป่านแก้ววิ่งไปหาใบตอง ครั้นไม่มีก็หักใบบอนมาให้เพื่อน ขิมเอ็ดอึง
“ป่านเดี๋ยวได้ปากแหกกัน เอาไปทิ้ง”
“ก็มันคล้ายใบบัวคิดว่าใช้ได้”
พูดแล้วเด็กหญิงคันตามแขนตามคอ ลงท้ายต้องวิ่งกระโจนลงน้ำคลองที่น้ำเหลือไม่มากนัก แทนที่จะได้ยินเสียตูม แต่เพื่อนได้ยินเสียงป่านแก้วร้องลั่น
“โอ๊ย”
“ป่าน” ขิมรีบดูเด็กหญิง เพื่อนผู้ชายตาลุกรีบวิ่งตามไปดูเพื่อนหญิงทันที
ป่านแก้วขึ้นจากคลอง ทำหน้าเหยเก ขิมตกใจ เพราะเห็นเลือดไหลเป็นทาง สัจจะเผ่นพรวดจับเท้าอีกฝ่ายหงายดู บาดแผลจากหินบาด เป็นทางยาวเกือบสองนิ้ว เขากดแผลห้ามเลือดซึ่งก็ไม่หยุดไหลโดยง่าย
“ทำไงดี” ป่านแก้วเสียงสั่นใจเริ่มเสาะเพราะเห็นเลือด
“เราเห็นใบเสือหมอบ” อมรนึกขึ้นได้รีบไปที่ต้นเสือหมอบ ขิมนั่งยองๆ ให้ป่านแก้วขี่หลังถามเสียงอ่อนด้วยอีกฝ่ายทำเบะหน้าและร้องไห้ออกมาในที่สุด
“กลับบ้านเหอะป่านเจ็บมากมั้ย”
“ให้เลือดหยุดก่อน” บอกทั้งน้ำตาร่วงเผาะ “อย่าให้ย่าเห็นเลยว่าเราเลือดออกเดี๋ยวไม่ได้มาเล่นอีก”
อมรหักกิ่งเสือหมอบมาหอบหนึ่ง มาถึงเขาจัดแจงใส่กะลา แล้วจึงใช้ท่อนไม้ตำๆให้แหลก
“ต้องผสมน้ำ” ขิมบอก
สัจจะถ่มน้ำลายปิ๊ดลงไปผสม อมรคว่ำกะลาทิ้งทันที พร้อมกับ ขิมโวยวาย
“สกปรกไม่เลิกเลยนะมึงจ๊ะ ไปเอาน้ำที่เราเอาไว้กินกันมาผสมสิ”เขาสั่ง
เวลาต่อมาบาดแผนของป่านแก้วถูกใบเสือหมอบโปะแผล ครู่ใหญ่เลือดค่อยหยุดไหลลง เด็กหญิงเห็นเท้าตัวเองแล้วหัวเราะทั้งที่น้ำตารื้นเต็มขอบ สัจจะต่อว่าเพื่อนหญิงของเขา
“ร้องไห้หาอะไรวะตีนกะหัวใจไกลกันเยอะ”
ป่านแก้วขยับช่วยไม้เสียบปลาขิมดุเสียงดังให้นั่งดูเฉยๆ จึงต้องนั่งลงตามคำสั่ง
พงศ์พันธุ์วิ่งกลับมารวมพลมียามใส่ของติดมาด้วย อมรคว้าไปรื้อดูจึงพบว่ามีข้าวห่อใบตองอยู่ ๒ ห่อ
“แม่ให้มาพอดีมีข้าวเหลือก้นหม้อ”
“เอามาทำไมวะ”
“แม่เขาขอบอกขอบใจยกใหญ่ดีใจแทบร้องให้ที่เห็นปลาเต็มข้อง แหมถ้าพวกแกเห็นน้องๆเราแกจะอึ้ง” น้ำเสียงของเขาบอกไม่ถูกว่าดีใจจริงหรือกำลังเยาะในความจนของตัวเอง
“อึ้งเรื่องอะไร”
“มันบอกว่าวันนี้ไม่ต้องกินผักบุ้งแล้ว บ้าเรากินผักบุ้งจนจะคลานได้แบบเต่าแล้วว่ะ ยิ่งน้องคนเล็กที่กำลังคลานน่ะหน้ามันเหมือนเต่าเปี๊ยบเลย อ้าวป่านอีท่าไหนนั่นต้องพอกใบเสือหมอบ”พงศ์พันธุ์ธ์ เปลี่ยนเรื่องทันควันเมื่อเห็นเพื่อนพอกยาจำเป็นห้ามเลือด ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยที่ได้ผลดี
“หินบาด”
“เสือกเก็บใบบอนจะเอามาห่อปลา แพ้บอนคันคะเยอ กระโจนลงน้ำโดนหินบาด น้ำแห้งแล้วดันกระโจนลงแปได้”สัจจะบ่นอีกฝ่ายเหมือนตาแก่แก่บ่นหลานสาว
กลิ่นปลาหอมฉุย เด็กๆล้อมวงแบ่งกันกิน อยู่เล่นจนตะวันบ่ายคล้อยจึงพากันกลับ ปู่เนียมรับมาดูหลายเมื่อเห็นขิมให้ขี่หลังมาส่ง
“เป็นอะไรป่าน” ปู่ถาม พร้อมเข้าไปอุ้มหลานสาวลงจากหลังของเด็กชายตัวโต
“โดนหินบาดจ้ะปู่”
เด็กหญิงบอกเสียงอ่อยแต่ปดไปว่าพึ่งได้แผล ขืนบอกว่าเจ็บนานแล้วคงถูกดุซ้ำที่ไม่รีบกลับบ้าน ย่าปรางลงจากเรือนมาดูหลานสาว
“ไปฉีดยากันบาดทะยักที่สุขศาลาก่อน” ปู่เนียมบอก (สุขศาลา-สถานีอนามัย)
“ไปอาบน้ำก่อน ทำแผลแล้วจะได้ไม่ต้องมาอาบอีก” ย่าปรางรอบคอบกว่า“ลำดวนมาพาน้องไป อีนังนี่ไม่เรียกไม่ขานไม่ยอมลงมาดูผู้คนบ้าง”
เมื่อคนทำตัวเป็นตุ๊กตาไขลานได้ยินคำสั่งรีบลงมาปฏิบัติตาม
“หนูป่านพอกอะไรมาล่ะเหม็นจะตายชัก”ลำดวนอุ้มเด็กหญิงแล้วยังบ่น ย่าปรางด่าซ้ำจึงรีบพาน้องไปโดยเร็ว
“นั่นล่ะยาพื้นบ้านอย่างดีแก้ไขเลือดให้หยุดได้ชะงัดนัก ไม่ต้องทำบ่นไป แต่ยังไงก็ไปฉีดยาก่อน”
“เนื่องไปธุระยังไม่กลับเลย เอารถไปด้วยเหลือมีแต่จักรยาน” ปู่พูดขณะนั่งรอป่านแก้ว
“ผมขี่ไปส่งป่านเองครับ” ขิมขันอาสา
“เดี่ยวให้เหวกไปส่ง เจ้าไปตามมันมาทีมันเอารถเครื่องไปกินก๋วยเตี๋ยวบ้านเจ้ามอญ”
อมรหดคอคล้ายเต่าหดหัว ไม่กล้ากลับบ้านเดี๋ยวไม่ได้ออกอีก ขิมรับคำไปคว้าจักรยานล้อให้แบบจักรยานรุ่นเก่า วงล้อกว่า ตัวรถสูง
ถึงจะตัวโตกว่าเด็กรุ่นเดียวกันแต่เมื่อเทียบกับพาหนะแล้วไม่มีทางจะคร่อมตัวถังได้ เขาจึงสอดขาลอดใต้ท่อนเหล็กซึ่งเรียกว่าตัวถังถีบมันไปด้วยท่านั้น ซึ่งถ้าไม่แน่จริงก็ถีบไม่ได้เหมือนกัน
ปู่เนียมมองตามหลัง ย่าปรางสังเกตท่าทีเหนื่อยๆของคู่ชีวิต ซึ่งหมู่นี่ปู่เนียมดูอิดโรย อย่างเห็นชัด นี่ท่านคงรู้ตัวว่าถีบจักรยานไปไม่ไหวถึงขอให้เด็กช่วย ส่วนลำดวนก็ขี่ไม่เป็น
ย่าปราง เดินกลับขึ้นเรือนไปหาย่าหม่องยาดม ลงมาให้ปู่ ท่านรับไปสูดดม เอ่ยแผ่วเบา
“หมู่นี้ตามันลายๆ”
“ไปโรงพยาบาลซะเลยไม่ดีหรือปู่” ย่าเอ่ยพอได้ยินตามลำพัง
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก โรคคนแก่”
ปู่ปฏิเสธ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล หรือยอมรีบการรักษา จึงมีคำกล่าวกันว่าเข็นคนแก่ไปโรงพยาบาลยากกว่าบังคับเด็กเป็นไหนๆ

วันเวลายังคงผ่านไปทุกเมื่อเชื่อวัน
ใต้ตันทองกวาวใกล้โคกสูงริมทุ่งนา เด็กชายหญิงสี่คนเจ้าเก่า นั่งเหยหน้าชมลิเกจำเป็น นำแสดงโดยพงศ์พันธุ์ กางเกงเก่าปะลายจนไม่รู้ว่าพื้นไหนคือสี่เดิม หน้าผากคาดเชือกกล้วยเสียบดอกหางกระรอก พอกล้อมแก้มเป็นขนสีขาวที่ลิเกชอบปักไว้ แต่การแต่งตัวของเจ้าพงศ์พันธุ์มันเหมือนคนบ้ามากกว่าพระเอกลิเก
“โดดผางขึ้นนั่งบุ๊ป” พระเอกร้องทันกันกับกระโดดขี่ม้าก้านกล้วย
“เอ๊ะอะไรกระดุบๆที่ตูดฉัน”
เพื่อนหัวเราะเกรียว มันแหกปากร้องต่อ
“เอามือคลำดู อ๋อหัวตะปูมันดัน” ” ร้องเสร็จตีระนาดเองเรียบร้อย
“ เตง เตง เต่ง เตี้ยว ไฟ ไหม้เหมียว แดงโร่”
ป่านแก้วตะโกนแซว
“ตะปูบ้าอะไรวะอยู่บนหลังม้า”
“ม้าไม้ไงเล่า ที่มันตอกไม่ดี เพราะพ่อจ๊ะมันตอกค้างไว้”พระเอก หันมาทำหน้าทะเล้นตอบ ท่านผู้ชม แถมต่อว่าไปถึงบุพการีของเพื่อน
คนดูทำท่าจะขึ้นไปเตะพระเอกจำเป็น
“โธ่เวรเล่นพ่อเราเลยหรือ” แต่พระเอกไม่สนใจตอบโต้ ตั้งหน้าเล่นลิเกฉากต่อไป เล่นคนเดียว เหมารวมหมดทุกตัวทั้งนางเอกและพระเอก เมื่อเขาเป็นพระเอก ก็ชมนางเอกกับลมกับแล้ง เมื่อเป็นนางเอก เขาก็หันมาอีกข้างพูดกับลมได้ แต่พระเอกคนนี้อนาคตดีเพราะคนดูอุตส่าห์พากันดูรู้เรื่องแถมสนุกอย่างเป็นเรื่องราวไปด้วย
“มาประสบพบพักตร์นางน้อง
ขนหัวพี่พอง แต่ขนน้องดันไม่มี มีแต่ขน….”
ครานี้ผู้ชมเฮลั่นเข้าใจว่าต้องจบแบบโป๊ ตามกลบท เมื่อเห็นเพื่อนชอบใจ พระเอกเจ้าเก่าก็ยักคิ้ว ดัดจริตพูดเพราะกว่าที่เคยว่า
“แหมกระผมไม่ใช้ลิเกสัปดนหรอกนะขอรับ จะได้เล่นลามปามถึงเพศแม่” เขากระแอมนิดหนึ่ง
“ฮะแอ้ม”พอให้ผู้ชมหมั่นไส้แล้วจึงร้องต่อ
“ขนหัวขนหางไม่มี แต่แม่ห่มผ้าศรีชายครุย เตง เตง เต่ง เตี้ยง ....เตงต้องไฟไหม้หอยแมลงภู่”
“โธ่ เอ๊ย เรารึเงี่ยหูฟังคิดว่าจะได้ยินของดี” อมรหุ่นอวบ บ่นอุบ
พรรคพวกเด็กอยู่เล่นจนเที่ยงลิเกชาวนาเปลี่ยนอาชีพไปเลี้ยงควาย จูงมันไปหาน้ำกินในแหล่ง

ย่าปรางนั่งคุยกับปู่เนียมบนแคร่ไม้มีเชี่ยนหมากวางข้างๆ ปู่เนียมหายา ดมมาฉมอีก ท่านรู้สึกหายใจไม่สะดวกนัก แต่ยังนึกห่วงหลานคนโปรด
“แผลหายก็ไม่อยู่บ้านเลยเจ้าป่าน”
“อยู่คนเดียวมันก็เหงา แถวบ้านเรามันไม่มีเด็กผู้หญิงเด็กพวกนั้นมันก็เป็นลูกหลานคนรู้จักทั้งนั้น ฉันดูแล้วมันไม่เกเรสักคน”
“ทำอะไรๆให้เจ้าป่านมันให้เรียบร้อยดีมั้ยย่า” ปู่พูดเหมือนสั่งเสีย
ย่าปรางใจหายวับ ถึงท่านจะอายุมากผ่านคนเป็นคนตายไม่น้อย แต่สำหรับคนใกล้ตัวอย่างคู่ชีวิตนั้น ท่านทำใจยากเหลือเกิน
“ได้ข่าวว่าทางโน้นก็มีลูกแล้ว ส่วนของป่านจากพ่อมันคงเหลือน้อย ย่าเอาเงินของปู่แบ่งให้ป่านมันครึ่งหนึ่ง นอกนั้นค่อยให้ลูกสามคนไปแบ่งอีกที”
“ปู่”ย่าครางเรียกคู่ชีวิต น้ำตาผู้ชรารื้นเต็มขอบจับแขนปู่เบาๆ ปู่เนียมยิ้มจางปลอบใจ
วันนี้ดูหน้าของท่านผ่องใสผิดปรกติ ย่าปรางรู้สึกดี คนเฒ่าคนแก่มันพูดต่อๆมา คนไปสบายมักจะหน้านวลก่อนตาย
หลังทานข้าวเย็น ปู่ไปอาบน้ำผัดแป้งอีกครั้ง อย่างไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ท่านเข้าไปห้องพระสวดมนต์ แล้วให้ง่วงนอนนัก จึงเอนหลังลงหน้าโต๊ะหมู่บูชา

ย่าปรางนอนกอดหลาน หลับไปจนค่อนดึก นึกห่วงปู่เนียมจึงลุกขึ้นไปเข้าห้องพระ ท่านเห็นปู่นอนนิ่งคล้ายหลับสนิท ไม่ได้ห่มผ้านอนใช้แต่แขนต่างหมอน
ปู่ไม่ใช่คนขี้เซา เสียงย่าเปิดประตูเข้ามาน่าจะรู้ตัว แต่นี่ท่านกลับนอนนิ่ง
ย่าเรียกอยู่สามครั้งจึงเอามือรอที่จมูก ไม่มีแล้วซึ่งลมหายใจหัวใจผู้ชรากระตุกวูบรายกับมัจจุราชมาฉุดกระชาก ท่านก้มกราบเท้าผู้ที่จากไป น้ำตาแห่งความสูญเสียรินไหลพรั่งพรู
“พี่เนียม พ่อพระของฉันความดีของพี่เทียบได้กับพ่อฉัน คำน้อยไม่เคยด่าฉันผิดฉันดื้อพี่ไม่เคยตบตี ฉันทำผิดอะไรต่อพี่ไปขออโหสิกรรมนะพี่ พี่เนียม”
ย่าปรางจับเท้าสามีบีบแน่น ซบหน้าลงกับเท้าของปู่เนิ่นนาน สิ่งที่เคยได้จากไปในชีวิตครั่งนี้นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด
“ย่า” ป่านแก้วพลิกกายกอดย่าไม่เห็นก็ผุดลุกเรียกหา ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ห้องพระข้างๆ ตะแคงหูฟังก็จำได้ว่าเป็นเสียงย่าร้องไห้เด็กหญิงรีบวิ่งออกไปหา
“ย่า”
“ป่าน มากราบปู่เสีย ท่านไปแล้ว”ย่าปราง ปาดน้ำตาทิ้ง แต่มันก็ไหลลงมาอีก
“ปู่ ตายแล้ว”ป่านแก้วอุทาน ยารั้งอีกฝ่ายมากอดแน่น ก่อนเอ่ยบอก
“กราบเท่าปู่ซะลูก แล้วไปเรียกอาเนื่องมาหาย่า”ท่านกล่าวเสียงเครือสั่นไม่ยอมห่างร่างชายอันเป็นที่รักและบูชาน้ำใจมาตลอดสี่สิบปี
ป่านแก้ว ไปหาอาเนื่องในห้องใหญ่ เคาะเรียกอยู่สองครั้ง เนื่องและบุษยาจึงลุกมาเปิด
“อ้าวป่าน”
“ปู่ตายแล้ว ปู่ตายแล้วค่ะอาเนื่องขา ย่าร้องไห้ในห้องพระ”
“พ่อ” เนื่องอุทานเพียงคำเดียว แล้วถลันไปที่ห้องพระโดยเร็ว เขาเห็นมารดานั่งร้องไห้อย่างเงียบงัน ชายหนุ่มทรุดกายลงกราบเท้าบิดา แล้วหนไปสวมกอดมารดาแนบแน่น ท่านร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้นไว้ได้อีก
บุษยาสติดีกว่าใครเดินไปตามลำดวนกับเสวกที่พักอยู่ห้องติดครัวให้ไป พ่อของเธอซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านมาดู แคร่ปีกไม้ขัดพื้นเรียบไม่มีปู่เนียมนั่งอีกต่อไปแล้ว
ป่านแก้วร้องไห้จนตาบวมช้ำญาติพี่น้องมากันหมด โดยเฉพาะพ่ออุ้มน้องสาวคนใหม่วัยไม่กี่เดือน เรวดียังอุ้มท้องมาอีกคน ป่านแก้วขออุ้มน้อง พ่อจะส่งให้แต่เรวดีตีแขนสามี ก่อนคว้าลูกสาวไปอุ้มเอง พลางเอ่ยเหตุผล
“เดี๋ยวพลัดตกจะว่ายังไงไม่เอาล่ะ ผิวยายปิ๋มยิ่งบางอยู่ด้วย”
“มือป่านไม่สกปรกหรอกค่ะ” แทนคำยืนยันเด็กหญิงเช็ดมือกับกระโปรงคำที่ใส่อยู่ แม่เลี้ยงเหยียดมุมปากไม่ยอมให้อุ้ม แล้วยังเอ่ยเสียงสะบัด
“อุ้มไม่ได้ น้องปิ๋มใส่ทองเต็มตัว ถ้าหายไปใครจะรับผิดชอบ” ทองที่แม่เลี้ยงพูดคือของย่าปรางรับขวัญหลาน ใครมาไหว้ให้เห็นหน้าแต่เยาว์วัย ท่านรับไหว้หมดทุกคน
เด็กหญิงป่านแก้วมองบิดาด้วยสายตาน้อยใจ เพราะเขาไม่แสดงทีท่าว่าจะช่วยให้ได้อุ้มน้อง ดังนั้นป่านแก้วจึงค่อยเดินถอยออกไป
ลูกของอาประณตก็ไม่มีใครมาเล่นด้วย ป่านแก้วไม่รู้ว่าครูสุขฤทัย อาสะใภ้พูดใส่หูลูกของนางมาว่า
“สมบัติคุณปู่คุณย่าเขายกให้ยายป่านหมด เขาไม่รักพวกเรา เราก็ไม่ต้องไปรักเขา”
“แล้วเราจะไปเผาเขาทำไมล่ะคุณแม่” ปรนัย หรือป้อ ลูกชายคนโตรุ่นเดียวกับป่านแก้วถามมารดา ทำให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความผูกพันใดๆ กับผู้เป็นย่าหรืญาติข้างบิดาสักนิดเดียว
“เขาเป็นพ่อของพ่อแก น่ะสิถึงต้องมา ถ้าแกจะเกลียดก็เกลียดยายป่านโน่น นังป่านนั่นล่ะที่ฉกเอาสมบัติไปตั้งเยอะ”
คนไม่มีสำนึกในความเป็นผู้นำของลูก ยังสอนสิ่งไม่ดีให้ ลูกตน คนแบบนี้มายึดอาชีพแม่พิมพ์อยู่ได้อย่างไรหนอ!!
สัจจะมองเพื่อนหญิงเพียงคนเดียวของเขาไม่วางตา หัวใจใสสว่างของเด็กชายเต็มไปด้วยความห่วงใย ได้ยินแม่เลี้ยงทำรังเกียจ เขาจึงตักน้ำมาให้เพื่อนด้วยตัวเอง เป็นการปลอบใจ
“ป่านกินน้ำ”
ส่วน ขิมลากทางหมากปลายอีกทางมีกระทงใบตอง สามกระทง เป็นข้าวสวย ผักพร่า ปลายำ ลากไปทั้งไว้ทางสามแพร่งเป็นความเชื่อทางประเพณีโบราณ
พงศ์พันธุ์แต่งชุดที่ดูดีที่สุดคือชุดนักเรียน ชวนป่านแก้วพูดคุยเพื่อให้คลายทุกข์ แต่เด็กหญิงก็ยังมีสีหน้าหม่นหมอง
“ญาติๆเราไม่มีใครร้องสักคน”
“คนอื่นไม่รักช่างเขา แต่พวกเรารักแกจนตายเลยป่าน” อมรว่า เพื่อนพ้องพยักหน้าเห็นด้วย ถึงจะต่างเพศต่างฐานะ แต่ความรักที่บริสุทธิ์ รินไหลให้กันและกันไม่ได้มีกำแพงขวาง
เด็กยังจับกลุ่มกันแน่น ส่วนผู้ใหญ่ต่างถกปัญหาของแต่ละคนไปในเรื่องสมบัติเป็นส่วนใหญ่ทีเดียว
“คุณแม่ยังไม่แบ่งสมบัติให้หรือคุณ” เรวดีถามหลังจากงานศพเสร็จสิ้น ต่างแยกย้ายกันกลับโดยที่ย่าปรางไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น
“คุณแม่แก่มากแล้วนะต่างจากคุณพ่อสองปีเท่านั้น”
“นี่คุณกำลังพูดถึงแม่ผมหรือแม่คุณ” ประนาทไม่พอใจที่ ภรรยากำลังพูดเหมือนแช่ง
“เอ๊ะ” เรวดีเสียงเขียวเถียงกลับมาอย่างไร้ความสำนึก
“ฉันหวังดีกับคุณนะประนาท หากแม่ของคุณปุบปับตายไปอีกคน น้องคุณสบายเลยที่นี้เพราะอยู่ใกล้”
“เนื่องลำบากมาตลอดได้มากกว่าคนอื่นก็สมควรแล้ว”
“แต่คุณเป็นลูกคนโต”
“ผมได้มามากแล้ว ที่ไร่ที่นาท่านก็แบ่งให้เท่ากันหมด”
“ฉันหมายถึงเงินสดค่ะ” นั่นคือสิ่งที่อยากได้มาโดยตลอด
“แม่คุณยังสบายดีอยู่มั้ย”ประนาทย้อนพูดเรื่องเดียวกัน
“คุณหมายความว่าอย่างไรคุณนาท”
“หมายความว่าถ้าแม่คุณตายผมจะได้เงินบ้างมั้ย” เขาประชดเสียงห้วน
“คุณ คุณแช่งแม่ฉัน”
“ก็แล้วที่คุณแช่งแม่ผมล่ะ” เรวดีโกรธจนปากคอสั่น ยกมือกุมท้องที่โย้มากเพราะครรภ์หลายเดือน ประนาท ประคองเมีย แต่เธอฤทธิ์มากผลักไสไม่ให้ถูกตัว เขาเลยทิ้งไปเสียดื้อๆ
“คุณนาท อย่าทำอย่างนี้กับฉันนะ” เธอตวาดไล่หลังสามีแต่ก็หยุดอะไรเขาไม่ได้
ประนาทเป็นอย่างนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ง้อครั้งเดียว หากงอนอยู่ก็หมายความว่าจะได้เห็นแต่หลังกว้างของเขาเท่านั้น
กานดาเมียเก่าก็ได้รับความหมางเมิน หลังจากกานดาไม่อาจรับเมียน้อยได้ เธอใจแข็งแยกทางกับประนาท และประนาทก็ทิฐิจนตายจากกันชั่วชีวิต
เรวดีไม่กล้าขนาดนั้น ยังรักใคร่ไหลหลงและที่สำคัญสมบัติเขายังมีอีกเยอะ ฐานะของเธอจนค้นแค้น พี่น้องต้องแย่งข้าวกันกิน พอเป็นสาวก็หัดคบคนรวยเข้าสังคมเอาหน้ากากมาสวม ไม่เคยพาประนาทไปบ้านบอกแต่ว่าเรวดีไม่พอใจที่เป็นเมียน้อย จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นมาเป็นเมียหลวง เมื่อกานดาตายจากไป




 

Create Date : 16 สิงหาคม 2554
0 comments
Last Update : 16 สิงหาคม 2554 7:53:24 น.
Counter : 630 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นางแก้ว ดาราพร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add นางแก้ว ดาราพร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.