นิยาย ดราม่า ดี ฮา หื่น สนุก เลิฟซีนภาษาสวย
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
27 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ 13

ตอนที่14 ไม่มีที่ว่างสำหรับคนอื่น

ผู้จัดการแกลอรี่นั่งคุยกับ กุลธิดา ซึ่งแต่งกายทันสมัย เธอนั่งไขว้ห้าง เอนเข่าไปนิด เพราะกระโปรงสั้น สาวสวยเปิดยิ้มกว้างเป็นมิตรให้กับผู้เข้ามาใหม่ เขาคือจิตรกรร่างผอมสูงแต่ผิวพรรณและใบหน้าหล่อ เยือกเย็นเหมือนรูปสลักหินอ่อน ผู้จัดการแกลอรี่แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันจากนั้นจึงปล่อยให้ตกลงเรื่องงานที่ติดต่อผ่านเขา ให้ได้คุยกันตามลำพัง ผู้จัดการแกลอรี่เดินออกไปจากมุมรับแขก
หญิงสาวเปิดปากบอกความประสงค์ในการคิดวาดรูปของตนเองออกมาให้จิตกรมีชื่อได้ รับฟังความต้องการของตนเอง
“ธิดาอยากจะเก็บภาพไว้ค่ะ แต่ภาพถ่ายมันไม่มีชีวิตธิดาไม่ชอบ ธิดามาที่นี่ ได้ดูภาพสวยๆของคุณแล้ว ธิดาอยากลงไปวิ่งเล่นในสวนอย่างภาพวาดของคุณแบบนั้นบ้าง”
สัจจะมองหญิงสาวท่าทางออกเปรี้ยวและมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างภาพเด็กหญิงป่านแก้วของเขา
“ดิฉันชื่อกุลธิดาค่ะ แต่ภาพที่อยากได้ต้องผมยาวนะคะ”
“ผมสั้นก็สวยอยู่แล้วครับ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยพูด เหมือนชมแต่ไม่มีความหมายว่าสวยอย่างที่เขาชอบ เพราะแววตาของนักวาดยังนิ่งเฉย เหมือนน้ำในบ่อลึกยากที่จะมองเห็นก้นบึ้งอย่างง่ายดายนัก
“สวยเหรอ” กุลธิดาสะบัดปลายผมเล็กน้อยหัวเราะเสียงเบา นายจิตรกรทำหน้าเฉยไม่ยินดียินร้ายใดๆ กับกิริยาท่าทางของเธอ
“คุณสัจจะธรรมพร้อมวาดเมื่อไหร่คะ ธิดาอยากให้ไปวาดที่ห้องของธิดาค่ะ” เธอเสนอแนะเพราะว่าเป็นภาพนู้ด ห้องตัวเองจึงดูเหมาะสมยิ่ง
“ถ้าคุณพร้อมพรุ่งนี้ผมจะไป”
“เช่นนั้นไปรู้จักห้องของธิดาก่อนดีมั้ยคะ เอารถคุณไว้ที่นี่ก่อน”
“ผมไม่มีรถ” เขาบอกเสียงเรียบ
หญิงสาวทำตาโตอย่างไม่เชื่อในคำพูดของเขา ก่อนเปลี่ยนท่าทีเป็นไหวไหล่เล็กน้อยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนขอเพียงให้วาดภาพเธอให้ได้ตามความต้องการก็แล้วกัน
“ถ้าอย่างนั้นไปกับธิดาสะดวกกว่านะดีมั้ย”หญิงสาว เอียงคอคล้ายลูกแมวช่างสงสัย รอคำตอบจากริมฝีปากหนาได้รูปสวย สัจจะพยักหน้ารับ
ธิดารู้สึกพอใจสัจจะอย่างเงียบๆในท่าทีเหมือนไม่สนใจหญิงใดในโลก ทั้งที่เธอไม่เห็นเขาเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันสักนิดเดียว
นายคนนี้แกเป็นรูปปั้นชั้นเยี่ยมของศิลปินฝีมือดีหล่อเหลาเหมือนรูปปั้นเซ็กซี่แต่ไร้หัวใจ!!
รถจอดบริเวณลาดจอดรถของคอนโดหรูอยู่ใจกลางเมืองชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของ ห้องชุดทันสมัย หากแต่สัจจะเมินเฉยที่จะคิดถึงมัน
เขาเห็นความวิเศษเลอเลิศเฉกเช่นตึกหลายชั้นหลายประเภทให้อยู่รวมๆกัน ดูอย่างเวลาขึ้นลิฟต์ก็ไม่ได้ขึ้นเพียงลำพัง ยังมีผู้อยู่ร่วมภายในชายคาแห่งเดียวกันนี้ร่วมไปด้วย ต่างมองกันอย่างแปลกหน้าไม่สนใจกันถึงจุดหมายก็ต่างแยกกันไป มีความสุขกันนักหรือเมื่ออยู่สถานที่แบบนี้ ชายร่างสูงนึกถึงภาพกล่องใส่ลูกไก่ ซึ่งวางเป็นชั้นๆหลายร้อย พลายพันชีวิต ซึ่งเขาไม่ปรารถนาชีวิตเช่นนั้นสักนิดเดียว เขาเคยผ่านความแร้นแค้นมาแล้วกับสถานที่คับแคบ ที่แย่งพื้นที่หายใจกัน
“ถึงแล้วค่ะคุณธรรม ธิดาเรียกได้ใช่มั้ย” หันมาพูดเสียงอ่อน
“เชิญครับ” เขายังวางสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม
ภายในห้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างครบครับ ห้องรับแขกจัดหรูหราราวกับว่ามีแขกสำคัญมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ถัดไปคงเป็นห้องนอน
“มุมนี้ค่ะ ที่อยากให้คุณใช้วาด”
เธอพาไปด้านในสุด เมื่อเปิดม่านบังตาออก สามารถมองออกไปข้างนอกได้ชัดเจนเพราะเป็นกระจก มุมนี้เจ้าของคงจัดเป็นมุมส่วนตัวจุดชมวิวมีหมอนอิงวางบนพื้นพรมราคาแพง โต๊ะกระจกตั้งอยู่ด้านข้าง บนโต๊ะอ่างแก้วลอยดอกไม้สีชมพู
กุลธิดาเชื้อเชิญให้เขานั่งบนหมอนรอง ตัวเองยืนชิดผนังชี้บอก
“เราตั้งภาพตรงนี้ ธิดาจะนั่งโพสต์ท่าตรงนี้นะคะ”หญิงสาว ชี้ไปที่หมอนอิง
“ครับ”
“ดื่มอะไรเย็นๆมั้ยคะ เอ่อศิลปินส่วนใหญ่จะสูบบุหรี่ คุณธรรมล่ะสูบยี่ห้ออะไร”
“ของผมไม่สูบครับ”
หญิงสาวยิ้มในสีหน้าพลางคิด มิน่าเล่าปากได้รูปสวยจึงออกสีแดงไม่ดำคล้ำเช่นชายอื่น นี่เขาเป็นศิลปินประเภทไหนกันหนอ0จึงไม่ต้องพึ่งพาสารก่อมะเร็งมาอัดปอดเพื่อขยี้อารมณ์ให้เข้าถึงแก่นแท้อย่างที่อ้างกัน
“เครื่องดื่มล่ะอย่างเหล้าหรือ...”เธอ ละคำพูดพาดพิงถึงผู้หญิง
“ผมไม่ค่อยได้ดื่มเท่าไหร่ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับผม”
“เหมาะกับชื่อสัจจะธรรมนะคะ”
สัจจะยิ้มเหยียดให้กับตัวเอง ความเป็นจริงก่อนหน้านั้น ที่เขาไม่แตะต้องของพวกนี้เพราะเงินแต่ละบาทของเขามีความหมาย อุปกรณ์กับอาหารคือสิ่งที่เขานึกถึงก่อนอื่นใด
และเพราะไม่ต้องอาศัยสิ่งฟุ่มเฟือยตามที่คนไม่รู้คิดว่าศิลปินต้องติดยาติดเหล้า ซึ่งไม่จริงหรอกว่าอบายมุขสองสิ่งนั้นจำเป็น
กุลธิดานั่งลงใกล้กับร่างสูงโปร่ง ชายหนุ่มขยับห่างนิด ทำให้กุลธิดาหัวเราะในคออย่างเห็นชัดกลั้วหัวเราะขณะเอ่ย
“ ตกลงราคาเท่าไหร่คะ”
สัจจะบอกราคาซึ่งไม่ได้สูงอย่างที่กุลธิดาคิดแต่แรก ทำให้เธอแปลกใจจนต้องเอ่ยปากกับเขา
“ คนมีชื่อเสียงอย่างคุณวาดภาพด้วยราคาเท่านี้หรือคะ แหม คุยกับคุณวิชาญพักใหญ่ขณะรอคุณเขาว่าเฉพาะเดือนนี้ภาพของคุณขายไปหลายล้าน” ใบหน้าขาวยังเรียบเฉยเหมือนรูปปั้นไม่ยินดียินร้ายกับตัวเลขที่ผ่านเข้ามาในชีวิตช่วงนี้
“แม้แต่ชาวต่างประเทศยังมาซื้อภาพของคุณ รู้ใช่มั้ยคะว่าเดี๋ยวนี้เขานิยมภาพวาดอย่างที่เรียกว่าแนวใหม่ค่ะ ทรีแปรง ใช่เครื่องพ่นสี หรือใช้สัตว์มาวาดอะไรสักอย่าง จากนั้นประมูลขายกันเป็นบ้าเป็นหลัง”
“เรื่องนั้นเป็นเรื่องตามความชอบ”สัจจะตอบเรียบเฉย
“และธุรกิจ”
“มันเป็นเรื่องของคนอื่นครับ”สัจจะบอกอย่างต้องการให้หญิงสาวรู้ว่า เรื่องของคนอื่นเขาไม่อยากรู้ กุลธิดาเข้าใจว่าเมื่อเธอเปิดประเด็นเรื่องแนวการวาด จะได้รับการคุยโตโอ้อวด แต่เปล่าสักนิด ดังนั้นเธอจึงวกเข้าหาเรื่องของตนเอง
“คุณใช้เวลาวาดกี่วันคะ”
“แล้วแต่อารมณ์วาดจะจำกัดแค่ไหน”
“ถ้านานล่ะก็ธิดาไม่ต้องแก้ผ้าโพสต์ท่าทุกวันหรือคะ”
เธอพูดไม่ได้เก้อเขิน และหัวเราะคิดคัก อย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก สัจจะเอ่ยเรียบเฉยตามปกติ
“แก้ให้ผมเห็นครึ่งเดียวก็พอ ผมแค่ต้องการสเกตช์ภาพเท่านั้น”
“เอ” กุลธิดาชักไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อหรือไม่ ผู้ชายคนนี้เหมือนรูปปั้นไร้ชีวิต
หากเป็นขิม เขาไปไหนกันหนอปล่อยให้เธอรอเก้อมานานแล้ว!
“ผมกลับล่ะพรุ่งนี้ผมจะมาที่นี้” สัจจะสรุปเมื่อคนว่าจ้างไม่มีเรื่องพูดต่อ
“ไปไหนคะธิดาจะไปส่งก็ได้ธิดาไม่มีธุระที่ไหน”
“คงไม่รบกวนครับ”เขาตัดสัญาณการข้ามขั้นนายจ้างกับลูกจ้าง จนหญิงสาวนึกหมั่นไส้ จากนั้น กุลธิดาเดินมาส่งเขาจนถึงประตูลิฟต์โบกมือลาเขาค้อมศีรษะเป็นการลาตอบ
“สงสัยจะมาจากขั้วโลกเหนือ ดูเย็นชาซะจริง”เธอบ่น หันกลับห้องไปหยุดอยู่หน้ากระจกเต็มตัวในห้องนอนเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น
“เห็นเป็นร่างฉันครึ่งเดียวพอหรอ พ่อจิตรกร” เธอภาคภูมิใจกับสะรีระทุกสัดส่วนของตัวเองนักหนา ก็ใครต่อใครที่ได้พบเห็นรีบโลมเล้าเอาใจพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“สวยเหลือเกินธิดา” ขิมดูมีภาษีดีกว่าคนอื่น กุลธิดาพอใจชายหนุ่มมากกว่าคนอื่น
ไปหาชายหนุ่มดีกว่าอยู่อย่างเหงาๆ คิดแล้วกุลธิดาเปลี่ยนชุดที่ใส่ออก แล้วสวมเพียงเดรสโนบรา ออกไปตามที่หัวใจปรารถนา!!!
สัญญาณมือถือของขิมดังอยู่นานกว่ามือแข็งแรงเอื้อมไปหยิบจากมุมโต๊ะด้วยสีหน้ายุ่งเพราะกำลังยุ่งจริงๆ
“ขิมพูด”
“ขอสัมภาษณ์งานหน่อยนะคะ”
“ขอโทษครับผมไม่ว่างไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน”
“จากหนังสือป่านแก้วนะคะ” ปลายสายหัวเราะเสียงใส สีหน้าคนทำตัวยุ่งสดชื่นขึ้นทันที เขาหัวเราะเบาๆตอบอีกฝ่าย
“โทรมาแกล้งทำไม คิดถึงแทบแย่แล้ว จะไปหานะ”
“ไหนว่าไม่ว่างล่ะ”
“ไม่ว่างเพราะจะไปหาไง นะจะไปให้สัมภาษณ์หมอเนื้อหมดตัวเลยเอ้า”
“งั้นไปให้คนอื่นทำเหอะขี้เกียจคุยกับคนแก้ผ้า”ป่านแก้วหยอก
“กลางวันนี้ไปทานข้าวด้วยนะป่าน”
“ไม่ว่างจ้ะ ไปดูของที่หน้าร้านไปกับคนอื่นก่อนก็แล้วกัน”
“ไปจริงแล้วอย่าร้องไห้นะป่าน” ขณะพูดประกายตาระยิบระยับอย่างคนมีความสุขเปี่ยมล้น
“ไม่ร้องหรอกแต่จะฟ้องพ่อ ลืมแล้วหรือว่าใครคุมกำลังพล พลตรีประนาทเชียวนา”
“กลัวแล้วจ้ากลัวแล้ว ขิมคงต้องสั่งข้าวแกงขึ้นมารองเท้าแล้วละ”ป่านแก้วหัวเราะคิกคัก พูดมาโดยที่ขิมไม่มีโอกาสได้ฟังต่อ เพราะกุลธิดาแย่งโทรศัพท์ไปฟังแทนอย่างถือวิสาสะ
“กลัวให้จริงเถอะน่า ไม่ใช่ว่าคุยกับเราทางโทรศัพท์แต่ตัวเองมีผู้หญิงอยู่หน้าโต๊ะทำงานล่ะ”
“รู้ด้วยหรือจ๊ะว่าคู่รักเขาอยู่ตรงนี้”
“ธิดา” ขิมตกใจกับสิ่งที่กุลธิดาทำ ป่านแก้วตกตะลึงที่ได้ยินเช่นนั้น
“บ้าเหรอธิดาพูดอะไรไป”
“พูดเรื่องจริงก็เรารักกัน นอนด้วยกัน” จงใจพูดใส่โทรศัพท์เพื่อให้ปลายสายได้ยิน ป่านแก้วบังคับมือไม่ให้สั่นขณะปิดสายโทรศัพท์มือถือปล่อยให้มันร่วงหล่นลงบนตักอย่างหมดแรง
“ป่าน ป่าน” ขิมแย่งมือถือไปจากกุลธิดาที่แทบจะส่งคืนทันที่ที่สัญญาณทางโน้นตัดไป
“คุณแย่มากเลยธิดา”
“ไม่เอาน่าอย่าหัวเสีย”
เธอนั่งลงยลบนตักของเขาโอบรอบคอจุมพิตปากเต็มอิ่ม ขิมเบือนหน้าหนี
“ขอโทษค่ะ” อรชุมาเลขาหน้าห้องเคาะประตูสองครั้งก่อนเปิดพรวดพราดเข้ามาเจอภาพหนังสด ทำให้อายแทนจนหน้าแดงจัด
“คุณเข้ามาได้ไงคะ” อรชุมาถามกุลธิดาหน้าเหรอหรา เพราะเมื่อครู่ไปห้องน้ำกลับมาก็ได้รับโทรภายในว่ามีแขกมาขอพบขิมจึงเข้ามารายงาน ทันได้เห็นการกอดจูบของคนทั้งคู่พอดี กุลธิดาไหวไหล่ไม่น่าเกลียด
“ก็เดินเข้ามาไม่เห็นเธอ อยู่ที่โต๊ะ เอ้า ออกไปสิเสียมารยาทคู่รัก เขาจะสวีต กัน” อรชุมาทำท่าเดินออกแต่ขิมเรียกรั้งไว้ก่อนแล้วถามธุระของอรชุมา
“มีอะไรเกด”
“มีตำรวจมาขอพบค่ะ”
“ตำรวจ” เขาทวนคำ นึกไม่ออกว่าไปมีเรื่องอะไรตำรวจถึงมาขอพบ
เออถ้าทหารก็ว่าไปอย่าง นึกถึงทหารแล้วคิดไปถึงป่านแก้ว แล้วพานชังหญิงสาวที่นั่งบนเก้าอี้ ไม่ยอมขยับไปที่ใด กุลธิดาช่างก่อเรื่องให้ปวดหัวเสียจริงๆ แต่ไม่เป็นไรน่า ง้อป่านประเดี๋ยวเดียวก็ดี...ขิมคิดถึงหญิงสาวใจกว้าง ที่ตนเริ่มตีกรอบตัวเองกันสาวคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว
“ตำรวจที่ว่าคอยอยู่ที่ไหนหรือ”
“อยู่ที่ล็อบบี้ข้างล่างค่ะ”
“ไปบอกเขาให้รอสักครู่ เดี๋ยวผมจะลงไปหา” เขาสั่งแค่นั้นเลขาก็รู้หน้าที่รีบลงไปบอกแขกข้างล่างว่าเจ้านายกำลังจะลงไป
กุลธิดากอดแขนแข็งแรงเขาแกะมือเธอออก บอกด้วยสีหน้ายุ่งยาก ไม่เต็มใจ และดุแปลกสำหรับหญิงสาวที่คิดว่าชายคนนี้คงรู้สึกพิเศษเช่นที่เธอคิดว่า สำหรับขิมนั้นเธอกระโจนมาหาเมื่อใด เขาต้องอ้าแขนรับ แต่วันนี้ เปลี่ยนไปแล้ว
หัวใจชายหนุ่มไม่ว่างให้ใคร เขาอาจไม่รู้ แต่กุลธิดารู้
“คุณมีคนที่คิดถึงทุกลมหายใจแล้วใช่มั้ยขิม”เธอเจาะถามตรงประเด็น ชายหนุ่มอึ้งไปนิด ก่อนยอมรับ
“เขาเป็นคนที่ผมรัก” น้ำเสียงบอกว่าพูดจริงเฉกเช่นดวงตาคมแน่วนิ่ง “คนที่คุณโทรแกล้งเขาเมื่อครู่นี้”
“ขิม” เธอเรียกชื่อเขาในคอก้อนแข็งๆแล่นจุกคอหอยจนหายใจลำบาก
“แล้วจะเล่าให้ใครฟังที่หลัง วันนี้คุณกลับไปก่อนก็แล้วกันธิดา” เขาปลดมือเธอออกในขณะที่กุลธิดาปล่อยแต่โดยดี ขิมพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่ารักผู้หญิงคนนั้นความสัมพันธ์ที่เคยมีแก่กันก่อนที่เธอจะไปเรียนต่อเมืองนอก ถูกตัด
ออกไปแล้วหรือไร ผู้หญิงคนนั้นดีกว่าธิดาหรือ ขิมได้เลือกแล้ว เธอเชื่อเพราะท่าทีของชายหนุ่มไม่ใช่กล่าวเพื่อบ่ายเบี่ยงหรือสลัดรักใคร แต่เขากล่าวออกมาจาดดวงตาของเขาทีเดียวว่ารักเธอคนนั้น!!!

ประพันธ์แต่งเครื่องแบบเต็มยศเข้ามาถึงจะเป็นมอเตอร์ไซค์ดันเดิมแต่ยามก็ปล่อยให้เข้ามาแต่โดยดี เขามองไปโดยรอบพนักงานเดินกันขวักไขว่หลายคน แต่ละคนท่าทางงานยุ่งจนแทบไม่มีใครสนใจแขกอย่างเขา
ชายร่างสูงใหญ่ผิวคร้าม เนียนตาหล่อจัดเดินออกจากประตูลิฟต์ ส่ายตาหาตำรวจที่มารอพบ เห็นยศว่าเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยขิมจึงไม่ค่อยใส่ใจ แต่เมื่อมายืนต่อหน้า และอ่านป้ายชื่ออีกฝ่ายแล้วทำให้ตาคมลุกวาว ถลันเข้าไปหาตำรวจชั้นประทวน เพื่อนเก่าแก่ทันที
“พัน”
“นายคือ ขิมใช่มั้ย” ประพันธ์ลุกปราดจับแขนขิมแน่น
“ใช่เลยเราเอง นายรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่ นายเป็นยังไงบ้างเป็นตำรวจ แล้วหรือพ่อแม่ล่ะ นายเจอเพื่อนคนไหนบ้าง”
ประพันธ์ ยิ้มหวานทำให้ขิมหวนนึกถึงพระเอกลิเกบนโคกใต้ต้นทองกราว ขิมหัวเราะอึกอักในคอเมื่อภาพความหลังรื้อขึ้นมาเป็นฉากๆขณะฟังเพื่อนเล่าความเป็นมาให้ฟัง คำท้ายทำให้หัวใจหนุ่มพองวาบ
“เราพบกับจ๊ะโดยบังเอิญ วันนั้นก็มาด้วยกันแต่ยามไม่ให้เข้า”
“ไล่ออก ต้องไล่ออก มันเรื่องอะไรมาห้ามอย่างนี้” ขิมเรียกลูกน้องเข้ามาแต่ประพันธ์ห้ามไว้
“อย่าขิม ขืนไล่ออกลูกเมียเขาลำบากแย่ เขาทำตามหน้าที่ แล้ววันนั้นจ๊ะก็แต่งตัวเซอมาก เขาเลยมีเหตุผลไม่ให้เข้ามา”
“มันก็จริงอยู่ แต่จะมาตัดสินคนที่การแต่งตัวไม่ได้ นี่ถ้านายไม่มาอีกแล้วฉันจะมีวันพบนายได้ยังไง จ๊ะล่ะอยู่ไหน เราไม่รอให้มันมาหาแล้ว เราจะไปบ้านมันไปเลยไปเดี๋ยวนี้” ขิมเร่งเพื่อนเก่า ราวกับว่าถ้ามัวชักช้าสัจจะ จะหนีไปเสียก่อน
“เราเอามอเตอร์ไซค์มา” ประพันธ์บอก ไม่สะดวกที่จะไปกับเพื่อนเวลานี้
“ทิ้งไว้ที่นี่ไปรถเรา” เขาพูดอย่างง่ายๆ ตามนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง
“เรายังมีงานอยู่เย็นๆเราจะแวะมาอีกครั้ง”
“เราจะไปหานายเองพัน นายทำงานอยู่สถานีไหน บอกให้ละเอียดแล้วเรารอที่นั่น”ขิมสั่งรัว ดีใจจากหัวใจแท้จริง ทั้งที่คนอื่นๆอาจจะมีเพื่อนใหม่เกิดขึ้นได้หลังจากเรียนข้ามไปทีละขั้น สุดท้ายเพื่อนชั้นประถมจะเป็นคนที่จำได้เป็นคนสุดท้าย แต่สำหรับคนที่อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน ทุกข์สุก สนุกสนาน และมีชีวิตเติมเต็มให้แก่กันและกันแล้ว ไม่ว่าจะมีเพื่อนใหม่วนเวียนเข้ามากี่ร้อยชีวิตก็ตาม พวกเขาไม่สามารถพรากความทรงจำ และสิ่งดีๆในอดีตนั้นไปได้ เช่นคนกลุ่มนี้ ที่มีเส้นชีวิตผูกมัดหัวใจกันไว้อย่างเหนียวแน่นทีเดียว!!



Create Date : 27 สิงหาคม 2554
Last Update : 27 สิงหาคม 2554 5:00:31 น. 0 comments
Counter : 485 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นางแก้ว ดาราพร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add นางแก้ว ดาราพร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.