นิยาย ดราม่า ดี ฮา หื่น สนุก เลิฟซีนภาษาสวย
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ

ตอนที่ 1
ฝูงนกนางแอ่นบินตามสายลมหนาวที่พัดพลิ้วจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ลมนี้ที่ชาวชนบทเรียกว่าลมว่าว
กลางทุ่งหญ้าซึ่งเริ่มมีความแห้งแล้วเข้ามาเยี่ยมกรายตามฤดูกาล บัดนี้มีกลุ่มควันลอยขึ้นจางๆ ใกล้กองเพลิงขนาดย่อม มีก้อนไฟสุมเหนือถ่านเถ้ามีหัวเผือก หัวมัน ซุกไว้หลายหัวทีเดียว
การที่ไม่นำอาหารชนิดนี้ใส่ในกองไฟโดยตรง บอกให้รู้ว่าคนเผานั้นมืออาชีพทีเดียว เพราะถ้าอุตริเผาในไฟแรงจะเกรียมนอก ข้างในดิบ กินไม่ได้ และเสียของ ได้เวลาพอดีแล้วกลิ่นมันเผาส่งกรุ่นหอม เด็กชายผมเกรียนสี่คน ซึ่งแต่ละคนใส่เสื้อสองชั้นนั่งล้อมวงกันรอบกองไฟ บ้างคุ้ยเขี่ยไฟ บ้างก็เสียบจิ้งหรีดใส่ไม้ไผ่แหลมเตรียมย่าง ดวงตาทุกคู่สุกใสอย่างมีความสุข แม้ผิวหน้าจะแห้งตึง แขนขาแตกเป็นลายขาวเพราะความหนาวเย็นของอากาศในปีนี้
“เฮ้ย” เสียงใสตะโกนนำมาก่อนตัว ทุกคนพากันไปมองเจ้าของเสียง เด็กหญิงป่านแก้วใส่เสื้อไหมพรมอย่างดี วิ่ง หางเปียกะราดมาทางกลุ่มเพื่อนในมือมีกลุ่ม ด้ายพร้อมว่าวงสีสด ติดมือมาด้วย ทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นไปหา
เด็กชายร่างสูงโย่งแม้อายุเท่ากันกับคนอื่นวิ่งถึงก่อน มือไว คว้าของเล่นไปโดยที่เจ้าของยังไม่อนุญาตแต่ส่งยิ้มแก้มยุ้ยมาให้อย่างเต็มใจยิ่ง บ่าเล็กๆยังมียามใส่สัมภาระมาด้วย
เด็กชายพันพันธุ์ ช่วยเพื่อนส่งว่าว ในขณะที่เด็กชายอมรแบมือรอรับขนมจากเพื่อนผู้อารี
“แบหาอะไร” เด็กหญิงถามห้วนถ้อยคำ เหมือนเด็กผู้ชายใช้กัน
“ก็ขนม” อมรทวง
“ได้ทุกที เอามาสิน่า เดี๋ยวให้กินจิ้งหรีดตัวหนึ่ง”
เด็กหญิงทำตาโต แดกดันเข้าให้
“เราจะกินหมดหรือมอญตั้งตัวหนึ่งตัว แหมแลกกับขนมของเราแล้วไม่บาล้านกันเล้ย” กล่าวพลางเด็กหญิงหน้าใสทรุดร่างเล็กๆลงนั่งขัดหมาดบนดิน ปลดย่ามที่สะพายมาลงวางไว้บนตัก ทำยักท่าไม่ให้เพื่อนกินซะอย่างนั้น
“บาล้านมันคืออะไรป่าน” พัน เด็กชายร่างเล็กเกาหัวแกรกด้วยความฉงนต่อภาษาต่างชาติ
“ไม่รู้ แม่เลี้ยงเราเขาชอบพูดเวลาที่ใครทำอะไรไม่เท่ากันเขาจะบอกว่ามันไม่บาล้านกัน อยากรู้ไปถามครูเอง”
พอป่านแก้วเอ่ยถึงครู พันจึงหมดความสงสัย เพราะเขาเข้าข่าย อายครูดีกว่าถูกหาว่าโง่ มันจึงกลายเป็นตัวโง่ประจำกลุ่ม คอยรอลอกการบ้านจากขิมหัวหน้าชั้นเป็นประจำ อมรรื้อขนมในย่ามของเด็กหญิง ซึ่งขี้เกียจหวงไว้ ในย่ามมีขนมหลายห่อ ซึ่งย่าปรางรู้ว่าหลานมาหาเพื่อน ท่านขนขนมใส่ย่ามมาแบ่งปัน ให้ได้กินอิ่มท้อง ท่านจึงถูกเรวดีลูกสะใภ้มองประหลับประเหลือก ด้วยความไม่พอใจ เพราะเรวดีเป็นคนใจแคบ นางเคยพูดกับแม่สามี
“ไปให้ทำไมคะคุณแม่ เจ้าเด็กพวกนั้นเหลือขอทั้งนั้น”
“ช่างฉัน” ย่าปรางขึ้นเสียงสูง“ห่อเอง ทำเองคนอื่นไม่ได้มายุ่งด้วย ใครมันดีกับเจ้าป่านชั้นให้กินไม่เสียดายหรอก”
ท่านตีกระทบเข้าใส่ไปถึงป่านแก้ว ซึ่งเป็นหลานรัก แต่เป็นลูกเลี้ยงเรวดี ท่านรู้ว่า คุณนายเรวดี ซึ่งท่านยังรู้อีกว่า ลูกสะใภ้คนนี้ดีกับลูกเลี้ยงก็ต่อหน้าสามีเท่านั้น ลับหลังเรวดี ได้ชื่อว่า เลว...อย่างที่ย่าปรางตั้งสมยาให้
เมื่อร้อยเอกประนาท ผู้เป็นลูกชายและเป็นนายทหารบกย้ายไปประจำการต่างจังหวัด เขามาขอตัวป่านแก้วไปเลี้ยง แต่ย่าปราง ไม่ยกให้ ถึงกับขู่ว่าขึ้นหากจะเอาไปให้ได้แล้วล่ะก็ไม่ต้องมาเผาผีกัน ลับหลังท่านเอ่ยกับปู่เนียมว่า
“ให้ไปเป็นขี้ข้าแม่เลี้ยงมันน่ะ’
ฝ่ายพวกเด็กๆสนุกกับการเล่นว่าว ซึ่งลอยโต้ลมหนาวบนฟ้า สัจจะกระแซะไหล่เด็กหญิง พลางเอ่ยว่า
“ปู่เนียมทำให้ใช่มั้ยล่ะ”
“ฮื่อ”ป่านแก้วพยักหน้ารับ “พอลมลง ปู่ก็บอกว่าจะทำว่าวให้ แล้วท่านก็ทำเลย”
“เดี๋ยวเราไปตัดไม้ไผ่ไปให้ปู่ช่วยสอนบ้างดีกว่า”
“ลงท้ายปู่ต้องทำให้แกล่ะสิ” ขิมโยกหัวเพื่อนอย่างรู้ทันอมร ซ้ำว่าไปอีกคน
“ยังดีนะ ที่มันบอกว่าจะตัดไม้ไปให้ปู่ ไม่งั้นหนักเราอีก”
“เออก็เรากำลังจะวานให้แกช่วยพอดีเลยมอญ” สัจจะพูดพร้อมหัวเราะเบาๆด้วยความชอบใจ แต่บรรดา เพื่อนต่างพากันเบะปาก เพราะสัจจะเป็นคนเข้าตำราว่า “ขี้เกียจช่างริ” ต้องยกให้มัน
เมื่อเพื่อนๆไม่ไว้วางใจต่อความเอาเปรียบของเด็กชายหน้าตาดี เขาจึงวางท่าเป็นเศรษฐีให้เห็นด้วยการรับปากเป็นมั่นเหมาะว่า
“เอาน่า วันจันทร์เราจะเลี้ยงข้าวทุกคนก็ได้”
เมื่อมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างนี้ เพื่อนจึงพยักหน้า รับปากจะช่วยกันตัดไม้ไปให้ปู่เนียมสอนสัจจะทำว่าว
เวลาต่อมา ความร้อนเริ่มเข้ามาไล่ที่ เด็กๆ จึงพากันไปตัดไม้ไผ่บ้านอมร ได้ไม้ไผ่ลวกลำกำลังเหมาะสองลำ พลพรรคชายสี่หญิงหนึ่งจึงยกโขยงไป บ้านป่านแก้ว
บ้านย่าปราง เป็นเรือนไทยหลังใหญ่ เป็นเรือนแฝด เพราะท่านมีลูกที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่งงาน เมื่อพวกเขาแต่งงานยังไม่แยกเรือนท่านต่อเรือนให้ แต่เมื่อพวกเขาไปรับราชการต่างจังหวัด เรือนนั้นจึงว่างโดยไม่มีการรื้อถอน เรือนย่าปรางตั้งอยู่กลางลานกว้าง พื้นดินไดรับการกวาดสะอาด อาณาบริเวณโดยรอบมีต้นไม้ผลปลูกล้อมฐานะของ ปู่เนียม ย่าปรางเข้าขั้น เศรษฐีของจังหวัดเลยทีเดียว
ท่านมีลูกอยู่ชายสามคน คนโตคือ ประนาท รับราชการทหาร ประณต รับราชการพลเรือน ส่วนเนื่องเป็นลูกชายคนเล็ก ซึ่งแม้เรียนจบเกษตร ขากลับมาทำไร่ทำสวนดุแลคนงาน แทนบิดามารดา แม้หน้าตาจะหล่อเหลาไม่เท่าพี่ๆ แต่ก็มีสาวยื่นไมตรีกันมาก ชนิดหัวบันไดบ้านไม่แห้ง แต่เขายังไม่คิดมีครอบครัว
ย่าปรางนั้นมีความเชื่อเหลือเกินว่ากานดา แม่ของป่านแก้ว ซึ่งเป็นเมียแรกของประนาท ตายเพราะตรอมใจเรื่องสามีเจ้าชู้ หลังจากกานดาตาย ศพไม่ทันทำบุญร้อยวัน ประนาทก็พาภรรยาใหม่มาไหว้มารดา ในขณะที่ป่านแก้วมองบิดาด้วยสายตาน้อยใจนัก
ย่าปรางและปู่เนียมเห็นแล้วพวกท่านสงสารหลานคนนี้จับหัวใจ แม้ว่าต่อมาจะมีหลานคนอื่น พวกท่านก็รักได้ไม่เท่าป่านแก้ว ซึ่งลูกๆทุกคนต่างรู้ดีเพราะปู่และย่าแบ่งสมบัติให้ป่านแก้วเท่ากับลูกชายทั้งสามคน
ปู่เนียมนั่งจักสานของใช้จากไม้ไผ่อยู่บนแคร่ไม้ขัดเรียบ เนื่องลงจากรถยนต์มาสดาร์รุ่นเก่าสีเขียว ปี2523 หากใครมีในละแวกนั้นต้องถือว่ามีฐานะมากแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาว แต่กรำแดด เดินเข้าไปหาบิดา มือเรียวจับดูเรียวไม้ไผ่ซึ่งเหลาจนได้รูป เขาทำโค้งเป็นโครงก่อนถามบิดาท่าทีสุภาพเกินชาวบ้านธรรมดา
“ทำอะไรครับพ่อ”
“เหลาไม้เล็กไปเรื่อย ไปดูนามาหรือข้าวกล้าดีมั้ยทิดเนื่อง”
“ผมแค่ไปดูๆเท่านั้นเอง คนเช่านา บ่นๆกันว่าข้าวไม่ค่อยดี สงสัยกลัวผมไปขูดรีด ทวงค่าเช่าเก่า” เขาตอบปนหัวเราะเบาๆ พร้อมปู่เนียม
“ไม่เก็บเสียเลยก็ไม่ได้ เราเป็นเจ้าของที่ เท่าที่ผ่านมามีเมตตามากแล้ว คนเรานี่ก็แปลกนะ พอดีเข้าหน่อยพานจะร้องขอนั่นขอนี่ ไปเจอคนเค็มเหมือนเกลือก็ตั้งตัวไม่ได้ ถ้าคนเรารู้จักคิดเอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้างคนเราจะเป็นมิตรกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากขึ้น”
“ครับพ่อ เอ่อผมเห็นพี่ณตตัดพ้อพ่อว่า ทำไมไม่แบ่งที่ให้เจ้าป้อลูกชายเขาบ้าง พ่อว่าไงครับ”
“ไม่ให้หรอก เจ้าป่านไม่มีแม่ เจ้าป้อเขามีแม่ก็ให้ญาติข้างนั้นเขาจัดให้”
“อย่างนี้เขาเรียกลำเอียงหรือเปล่าครับ”เนื่องหยอกผู้ให้กำเนิด
“พ่อ เห็นใจเจ้าป่านมัน ว่าแต่เนื่องเถอะสักวันถ้าเนื่องมีลูก พ่อก็จะทำเหมือนกับหลานคนอื่นคือให้เนื่อง แต่ไม่ให้หลาน เนื่องจะว่าพ่อก็ว่าเสียตรงนี้นะ”
“โอ๊ะ...”เขาอุทาน “ไม่หรอกครับพ่อ ผมรู้นี่ครับว่าอะไรเป็นอะไร เจ้าป่านมันเป็นลูกของพ่ออีกคนนี่ครับ”ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มสว่าง และกว้างมากขึ้น เมื่อเหลือบไปเห็นเด็กๆแบกลำไม้ไผ่เดินตามเป็นงูกินหางมาตามทาง หลานสาวคนสำคัญทำให้เนื่องมองด้วยสายตาอ่อนโยนรักและเมตตาไม่แพ้พ่อแม่ของเขาเอง
“ถ้าไม่เห็นเปียล่ะก็ ผมคิดว่าเจ้าป่านเป็นผู้ชายเสียอีก เข้ากันเป็นทีมเลยครับ”
ปู่เนียมยิ้มให้เด็กๆ ขิมวางลำไม้ไผ่ลงกับพื้น ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองเพื่อนทำตาม โดยเฉพาะสัจจะยกมือท่วมหัว เนื่องเห็นท่าแล้วเย้าว่า
“ไหว้เหมือนท่าหนุมานถวายแหวน เลยเจ้าจ๊ะ”
“มีแต่ไม้ไผ่มาถวายครับอาเนื่อง” สัจจะ ย้อนตอบสนิทสนม
“พวกเราจะให้ปู่สอนทำว่าวครับ” อมรว่า
“งั้นผมสานแทนครับพ่อ อนุเคราะห์กลุ่มทโมนหน่อยเถอะ แต่เจ้าป่านไปอาบน้ำซะก่อน ตื่นเช้าขึ้นมาล้างหน้าหรือเปล่า”
“ล้างแล้วค่ะอาเนื่องไม่อยากปากเหม็นเหมือน จ๊ะ” เด็กหญิงแขวะเพื่อนจอมขี้เกียจของตน
“แต่ผมไม่ได้หวีล่ะสิ”
“ก็ป่านถักเปียไว้นี่คะอาเนื่อง”
“งั้นไปแก้เปีย แล้วให้ลำดวนถักให้ใหม่ไป หน้าตามอมเหมือนแมวแล้วเรา”
เด็กสาวรับคำแม้จะซุกซนอยู่บ้างแต่เธอเป็นเด็กว่าง่ายสำหรับผู้ใหญ่ ร่างเล็กๆ ขึ้นบันไดเรือน
“ล้างเท้าก่อนเจ้าป่าน” ย่าปรางเอ็ดมาจากนอกชานทันทีที่ผ่านชะโงกมาเห็น หลานคนโปรดรีบถอยปรูดลงมาปฏิบัติตามคำสั่ง ย่าสำทับมาอีกว่า
“ลำดวนไปขัดขี้ไคลให้น้องด้วย แล้วนั่น เจ้าเหวกไปเอาน้ำกระเจี๊ยบให้เด็กๆข้างล่างไป๊ อ้าวแล้วนั่นทิดเนื่องกลับมาแล้วหรือขึ้นมาหาแม่ก่อน” ท่านเรียก เนื่องวางของในมือ เช่นเดียวกับลำดวน คว้าตัวป่านไปอาบน้ำ ส่วนเสวกรีบผุดลุกจากท่านั่งเอกเขนก เข้าไปในครัว ตามคำสั่งผู้เป็นใหญ่ในบ้าน
ย่าปรางเป็นคนจริง คราวดุท่านดุ เด็ดขาดชนิดที่ทุกคนกลัว ปู่เนียมก็ยังเกรงใจ แต่กับเด็กหญิงป่านแก้วแล้วท่านอ่อนโยนเสมอ
เนื่องขึ้นเรือนมานั่งพื้นกระดานแผ่นใหญ่ ซึ่งทาชะแวววาว ชายหนุ่มนั่งที่นั่งพื้นไม้ยกสูงมือต่ำกว่ามารดา ชะโงกหน้าขึ้นไปพื้นยกระดับ มือเรียวใหญ่ควานหาหมากพลูมาเจียนให้มารดา พลางชวนมารดาคุยไปตามเรื่อง
“เลี้ยงหลานอย่างนี้ หลานคนอื่นจะว่าลำเอียงนะครับแม่” เนื่องเคยเย้า ทั้งที่เขาเองก็ลำเอียงรักป่านแก้วมากกว่าหลานคนอื่น
“สมเพชมัน แม่ก็ตายพ่อก็หลงเมียใหม่ หลานคนอื่นมันมีพ่อแม่ครบหมด เนื่องก็เหมือนกันอีกหน่อยพาเมียเข้าบ้านก็สั่งสอนเมียให้รักเจ้าป่านมันบ้าง”
“โธ่ ผมยังไม่เคยคิดเลยครับแม่”
“แต่แม่ คิดเผื่อไว้ มองคนที่จะมาเป็นสะใภ้แล้ว”
“ใครครับแม่”
“บุษยา แม่ไปเห็นเมื่อวันพระวานนี้”
“ยายบุษขี้มูกโป่งนั้นหรือครับ”
“มันเป็นสาวแล้ว สวยผิดตาไปเทียว ท่าทางขยันขันแข็งดี ถ้าเนื่องสนใจแม่จะไปขอให้”
ชายหนุ่มส่งหาหมากพลูให้มารดาไม่ตอบคำใดๆ จนย่าปรางย้ำ
“ไปเที่ยวหาทำความรู้จักกันใหม่ก็ดี เราทำแต่งานเดียว จะพานไปได้ควายเป็นเมียเสียก่อน”
“คงดีเหมือนกันครับแม่ ยอๆ หยุดๆ เถียงก็ไม่เถียง”
“ได้จริงแม่จะเชือดเสีย” ย่าปรางกระแทกเสียง แล้วสองแม่พากันหัวเราะชอบใจ
สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รองลูกชายหากันเอง ล้วนแล้วแต่เข้ากับท่านไม่ได้สักคนโดยเฉพาะ คุณนายเรวดี ย่าปรางมักเรียก ‘เลวดี’อีกฝ่าย เคยมาพักอยู่ด้วย เรวดีทำตัวเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายต่อป่านแก้ว จิกใช้ หยิกตีจนท่านทนไม่ได้ จึงได้เอ็ดอย่างทนไม่ไหว
“ฉันเห็นเธอมาหลายครั้งแล้วนะยัยเลว นิดหน่อยเป็นตีจ้าป่านมันตามใจชอบ บอกซะก่อนว่าหลังจากนี้อย่าได้มาแตะมาตีเจ้าป่านทั้งต่อหน้าหรือลับหลังฉันเด็ดขาดเชียว” นั่นเป็นครั้งแรกที่ย่าปราง ออกปากป้องกันหลานรัก
และมีอยู่อีกครั้ง ที่ท่านเห็นป่านแก้ว เอารองเท้าส้นสูงของเรวดีมาขัดถู ท่านทนไม่ได้ ถึงกับขว้างลงเรือนทันที คุณนายเรวดีลุกพรวดอย่างโมโหสุดขีด ลืมตัวเผชิญหน้าแม่ผัวที่โมโหไม่แพ้กัน ต่างคนต่างแรง เรวดีขึ้นเสียงใส่ลืมตัว
“คุณแม่ จะมากไปแล้วนะคะ ทำไมถึงกับขว้างรองเท้าข้ามหัวเรด้วย”
“รองเท้ามันของต่ำ ของใครคนนั้นก็ควรทำเอง ฉันขว้างกลับไปที่เจ้าของแล้วผิดตรงไหน”
“เรทนไม่ไหวนะคะแบบนี้”
“ไม่ต้องทนต้องเทินมันซี้ แม่เลว เอาไว้เธอมีลูกเองค่อยให้มันทำให้ก็แล้วกัน เจ้าป่านไปล้างมือ สกปรก” คำท้ายหันมากระแทกใส่หน้าลูกสะใภ้ที่ยืนเม้มปากสั่นระริกด้วยความโกรธ
และวันนั้น คุณนายเรวดีหิ้วกระเป๋ากลับบ้าน ขณธที่สามีไปราชการไปต่างจังหวัด
“ขืนอยู่ต่อมีหวังแม่ผัว ฆ่าลูกสะใภ้” เสวกว่า
“หรือไม่ก็ลูกสะใภ้วางยาแม่ผัว” ลำดวนต่อเพราะเห็นฤทธิ์เดชพอๆกัน
ส่วนประณตเป็นลูกที่ห่างเหินมากที่สุด เมื่อจบแต่งงานย้ายไปอยู่กับญาติภรรยา สุขฤทัยไหว้ท่านด้วยมือก็จริง ก็มีบางอย่างสะกิดให้ย่าปรางรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้หน้าไหว้หลังหรอก เมื่อไม่ได้สะใภ้ดังใจ คุณย่าจึงคิดหาสะใภ้เล็กด้วยตนเอง
ข้างล่างนั้นเด็กๆกำลังสนุกกับการแปะกระดาษติดกับโครงไม้ไผ่ เร็วจะหาสีมาวาดให้เกิดความสวยงาม
“เออพ่อเป็นช่างไม้ ลูกเป็นช่างเขียนเข้าท่าดีเจ้าจ๊ะ แล้วโตขึ้นพวกเจ้าจะเป็นอะไรกันล่ะ” ปู่เนียมถามเด็กชายตัวโตรูปเค้าดีกว่าเพื่อน นั่นคือขิม เด็กชายยิ้มฟันขาวตัดสีผิวคมขำ
“ยังไม่รู้เลยครับปู่”
“เป็นกำนันอย่างพ่อแกไง” อมรสะกิดขิม
เด็กตัวโตยิ้มเฉยเสีย พงศ์พันธ์เสนอหน้าบอกปู่
“ผมจะเป็นตำรวจครับปู่ ผมจะจับพวกลักวัว-ควาย ผมจะจับตายมันด้วยครับ” เขาพูดตามความรู้สึกที่แท้จริง
เพราะบ้านของเขาทำนา ควายเป็นแรงงานที่ต้องพึ่งพาอาศัยมาก เมื่อมันหายไปจากคอก แม่ร้องไห้แทบขาดใจ ในขณะที่พ่อยืนน้ำตาซึม ความรู้สึกของเด็กชายร่างเล็กในเวลานั้น เขาคิดว่า ถ้าเขาเป็นควายได้จะเป็นเดี๋ยวนั้น เพราะเขาไม่อยากเห็นน้ำตาของพ่อแม้ไหลรินดั่งสายน้ำทะลักอย่างนั้นเลย
ปู่เนียม และย่าปรางซื้อควายให้ครอบครัวเขาได้ทำนา พ่อแม่มากราบเท้าย่าด้วยความสำนึกบุญคุณ
“เอาไปก่อน ตกลูกแล้วค่อยเอามาคืน”ย่าว่า
พันนอนเฝ้าคอกควายทุกคืน บางคืนสัจจะ และขิมมานอนเป็นเพื่อนที่กองฟางใกล้คอก
“พ่อแกจะมีเงินส่งเสียให้เรียนต่อเป็นตำรวจได้หรือพัน” อมรทักท้วงความฝันของเพื่อนต่อหน้า ปู่เนียม
พันมีฐานะยากจนมาก อาหารบางมื้อเพื่อนต้องห่อไปแบ่งปันให้ได้อิ่มท้องเมื่อเวลาไปเรียนหนังสือ หรือมาเที่ยวเล่นกันเป็นกลุ่มอย่างนี้ น้ำใจใสสะอาดอย่างนี้รินไหลสู่กันและกันราวกับว่ามีการลิขิตมาแล้วจากความรักแท้จริง
“พ่อจะส่งเราไปอยู่กับหลงอาที่จังหวัดหลังจากเราเรียนจบป.หก”
“เขาเรียกหลวงอา” อมรว่าเพื่อนที่เรียกผิดเพี้ยน “นี่ถ้าเป็นเจ๊กอย่างกะพ่อเรา พูดเพี้ยนเราจะไม่ว่าซักคำ”
“แล้วเจ้าล่ะเจ้ามอญจะเรียนอะไร เห็นพ่อเจ้าไม่คิดให้ลูกได้ร่ำได้เรียนเลย พวกพี่ๆเจ้าก็ปลูกผักทำไร่กันหลังแข็งทุกคน”
“พ่อบอกว่าผมว่าแค่คิดเลขเป็นก็ออกมาช่วยขายของได้แล้ว พ่อจะให้ผมค้าขายครับปู่ แต่ผมอยากเรียนสูงๆ อยากเป้นเจ้าคนนายคนอย่างที่ครูเขาสอนครับ”
อมรพูดปลงๆ เขาอยากเรียนหนังสือมากกว่าจะมาเป็นอาโกชงโอเลี้ยงอย่างพ่อ ส่วนพี่สาว พี่ชาย ทำไร่ผักกันหลังขดหลังแข็งอย่างปู่ว่าจริงๆ จากนั้นเด็กร่างท้วม ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ย กับปู่ว่า
“แต่ถ้าผมพ่อค้า ผมอยากมีร้านที่มันใหญ่ๆ ลูกน้องเยอะๆ เขาเรียกอะไรน้า ฝรั่งๆหน่อย ต้องถามป่านมันเก่งภาษาปะกิด”
“ซุปเปอร์มาเก็ต” ขิมไม่รอให้คนเก่งลงมาบอก เพราเขาเองใฝ่รู้ไม่น้อย เรียนติดอันดับจังหวัดเวลาสอบแข่งขัน
ปู่เนียมยิ้มรับกับความฝันของเด็กๆ แล้วหันมาทางสัจจะ ซึ่งเจ้าคนนี้คุณปู่ดูรูปเค้าแล้ว ‘เอาดียาก’เพราะขี้เกียจเอาการ ท่านมองจากขี้ไคลของอีกฝ่ายพอกหนาตั้งแต่ขายันคอ ดีแต่ว่าหน้าตาขาวสะอาด หล่อเหลาเอาการทีเดียว
“ผมอยากเป็นนักวาดรูปครับปู่ เขาเรียกว่าอะไรวะขิม”ท้ายประโยคหันไปถามเพื่อนรัก
“ศิลปิน” ขิมบอก“จ๊ะมันวาดรูปสวยร้องเพลงก็เพราะครับ”
เพื่อนๆสรรเสริญพร้อมเพียง สำหรับเด็กๆ แล้วการวาดภาพสวย ร้องเพลงเพราะ นั่นคือความสุดยอดที่น้อยคนจะทำได้
ป่านแก้ววิ่งลงเรือนมารวมพลกับพวก เวลาเดียวกันนั้น รถเก๋งสีน้ำเงินแล่นเข้ามาจอด เด็กหญิงจำได้ว่าเป็นรถของบิดา คุณประนาทมาพร้อมกับเครื่องแบบเต็มยศ ทำเหมือนกับออกจากที่ทำงานแล้วตรงมาเลย
ชายรูปงามอ้าแขนรับร่างลูกสาวซึ่งมีใบหน้าเหมือนเขาราวกับถอด ประนาทเหมือนย่าปรางมาก เขา จูบลูกซ้ายขวาแล้วจึงปล่อยก่อน ยกมือไหว้บิดา
“หวัดดีครับพ่อ โห ว่าวงู ที่นี้ได้เห็นงูเต็มฟ้าแน่”
เด็กๆยกมือไหว้ก่อนจะถือของเล่นออกมา ป่านแก้วทำท่าตามแต่บิดารั้งไว้ข้างกาย ไม่ให้ตามเด็กชายไป พวกเด็กๆหันมาทำตาละห้อยเข้าใส่กัน ก่อนแยกกันไปปู่เนียนถามเรียบๆ
“ไปไหนมาล่ะ”
“มาพักครับ คุณแม่ละครับ”
“คุยกับเนื่องอยู่ข้างบน ไปสิ พ่อก็จะไปลูบตัวเสียที”
ประนาทอุ้มลูกสาวพาขึ้นเรือน ป่านแก้วโอบรอบคอบิดา รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก ย่าปรางมองบุตรชายแล้วชะเง้อหาอีกคนซึ่งท่านเห็นไม่มาด้วย จึงกระซิบเบาๆกับลูกคนเล็กว่า
“ทหารหนีทัพ”
เนื่องยิ้ม พลางยกมือไหว้พี่ชายผู้มากวัยกว่า ประนาทยิ้มจืดเจื่อน เมื่อสานสบตาทั้งมารดาและน้องชาย ทั้งสองต่างรู้เท่าทัน ถึงการมาของเขา
...มาเยี่ยมบ้านเพราะมีปัญหาเดือดร้อนทุกที!!



Create Date : 13 สิงหาคม 2554
Last Update : 13 สิงหาคม 2554 23:24:42 น. 0 comments
Counter : 717 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นางแก้ว ดาราพร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add นางแก้ว ดาราพร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.