เมื่อพายุลมแรงเริ่มก่อตัว... มองไปข้างหน้าแล้วรู้สึก “ไม่แน่ใจ” ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? นักลงทุนผู้ปลอดภัยควรจะทำตัวอย่างไร? สำหรับผมแล้วการที่เราไม่ประมาทจะเป็นหนทางของการอยู่รอดปลอดภัยในสนามการลงทุนแห่งนี้ครับ เราประเมินสถานการณ์กันดูครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้บ้าง และเราควรทำตัวอย่างไร?

เหตุการณ์ที่ 1 “การก่อตัวของสงคราทางเศรษฐกิจการเงิน”

เหตุการณ์นี้ผมเข้าใจว่ากำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน และเกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่อเมริกาเริ่มทำ QE เมื่อหลายปีที่ผ่านมาครับ ผลจากการทำ QE นั้นทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐ “ฟองตัว” ขึ้นมากว่า 3-4 เท่าตัวในรอบหลายปีนี้ และมาตราการณ์ดังกล่าวกำลังจะถูก “ยกเลิก” เนื่องจากหากยังพิมพ์แบงก์ต่อไป ฟองสบู่ลูกนี้จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาจจะระเบิดในที่สุด! แต่แค่หยุดพิมพ์แบงก์นั้นยังไม่พอ สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ก็คือการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะหากไม่ขึ้นฟองสบู่ก็ยัง “ฟองลม” ต่อไป และเสี่ยงที่จะระเบิด! นักลงทุนผู้ปลอดภัยหากมองเห็นสถานการณ์แบบนี้ว่าดอกเบี้ยมีโอกาสเป็น “ขาขึ้น” ต้องไม่ประมาทด้วยประการทั้งปวงครับ

เหตุการณ์ที่ 2 “การปรับตัวของราคาพลังงานโลก”

เหตุการณ์นี้แม้เพิ่งจะเกิดขึ้นแต่ก็เป็นผลกระทบจากเหตุการณ์แรก บวกกับการที่อเมริกาได้ค้นพบ “เชลล์ออยล์” ที่จะนำมาใช้ทดแทนน้ำมันในอนาคต โดยบางสำนักได้ให้ข้อมูลไว้ว่าเจ้าเชลล์ออยล์นั้นมีต้นทุนเพียง 50 ดอลลล่าร์สหรัฐ ทำให้กดดันราคาน้ำมันโลกให้ “ดิ่ง” ลงอย่างรวดเร็ว และการเกิดขึ้นของเชลล์ออยล์นั้นจะทำให้ “ภาพ” ของพลังงานโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พื้นฐานของบริษัทน้ำมันจะต้องเปลี่ยนแปลง หากเรายังไม่แน่ใจว่าจะรับมือกับสภานการณ์ดังกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน ก็ควรหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มนี้ไปก่อนครับ

เหตุการณ์ที่ 3 “เกิดการก่อการร้ายรุนแรง”

เหตุการณ์นี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่จากข่าวในไม่กี่วันมานี้... ทั้งเหตุการณ์จับตัวประกันในร้ายช็อกโกแล็กคาเฟ่ชื่ดังที่ออสเตรเลีย และเหตุการณ์ยิงกราดเด็กนักเรียนในปากีสถาน สำหรับเรื่องนี้แล้วถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ “รุนแรง” และดูไม่ปกติ ด้วยสถานการณ์แบบนี้ไม่ใครอยากให้เกิดขึ้นเลยครับ ได้แต่ภาวนาให้โลกเรานั้นเกิดสันติสุข เพียงเราทุกคนไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ

"เมื่อสองสิงห์ผู้ยิ่งใหญ่กระทบกันย่อมเกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นธรรมดาครับ"

เหตุการณ์ที่ 4 “สงครามค่าเงิน”

เหตุการณ์นี้ผมเข้าใจว่าอาจส่งผลกระทบในวงกว้างได้ถ้าเกิดการรุกรามปานปลาย... เพราะเมื่อต้นสัปดาห์นี้ “รัสเซีย” ขึ้นดอกเบี้ยเกือบเท่าตัวเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ค่าเงินของตนเองอ่อนลงไป โดยธนาคารกลางรัสเซียได้ขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 17% จาก 10.50% ในวันอังคารเพื่อดัดหลังพวกเก็งกำไรค่าเงิน ความผันผวนของทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยทำให้ผู้เทรดดอลล่าร์/รูเบิ้ลเลิกให้บริการเทรดค่าเงินคู่นี้ พวกที่เล่นอนุพันธ์รูเบิ้ลจะเจ็บตัวจากมาตรการเข้มนี้ของรัสเซีย ค่าเงินที่ตกหนักไปวันเดียว20% และที่ผ่านมาตกไป57%เมื่อเทียบดอลล่าร์ไม่ได้สร้างความเสียหายให้รัสเซียมากนัก เพราะว่าบัญชีงบดุลการคลังของรัสเซียใช้เงินรูเบิ้ลที่กำลังมีค่าอ่อนตัวลง แต่รายได้จากน้ำมันได้เป็นเงินดอลล่าร์ที่มีค่าสูงขึ้น หมายความว่าราคาน้ำมันที่ตกต่ำที่มีการคาดว่าจะมีผลกระทบต่อภาระการคลังของรัสเซียจะไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะว่ารัสเซียจะได้รายได้ที่เป็นรูเบิ้ลมากขึ้น ก่อนหน้านี้ ปูตินประกาศว่ารัสเซียเตรียมพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับหายนะของราคาน้ำมันที่ตกต่ำ

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบให้ค่าเงินของอินโดนีเซียก็อ่อนตัวลงในรอบกว่า 16 ปี ทำให้เราต้อง “จับตามอง” เหตุการณ์นี้อย่างตาไม่กระพริบ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เราเข้าใจได้ไม่ยากว่าได้เกิด “สงครามค่าเงิน” ระหว่างพี่ใหญ่สองประเทศ นั่นคือ สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย เรียบร้อยแล้วครับ... เมื่อสองสิงห์ผู้ยิ่งใหญ่กระทบกันย่อมเกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นธรรมดาครับ อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็ไม่ควรตื่นตระหนกมากจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรประมาทนะครับ

เหตุการณ์ที่ 5 “เศรษฐกิจฟื้นตัว”

เหตุการณ์นี้ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าจะ “เกิดขึ้น” เนื่องจากในห้วงเวลานี้ที่ดูเหมือนจะเป็น “วิกฤต” และก็วิกฤตจริงๆ แต่หากมองในแง่ของเศรษฐกิจโลกโดยรวมแล้ว หากเกิดสงครามการเงินขึ้นคงไม่ก่อให้เกิดผลดีกับทุกฝ่ายครับ ถ้าทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงการ “ข่ม” ของมหาอำนาจทั้งหลาย และสุดท้ายแล้วมาลงเอยที่จบลงด้วยดี หากเป็นแบบที่กล่าวมาเศรษฐกิจโลกก็จะกลับดีอีกครั้ง เพราะอเมริกาเริ่มฟื้นตัว และในบ้านเราเอง (ประเทศไทย) ก็เริ่มมีการลงทุน “โครงสร้างพื้นฐาน” ขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าในเมือง และมาตรการณ์กระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะออกมาอีกมาก แบบนี้แล้วโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้น ตลาดหุ้นจะกลับมาดีอีกครั้งก็ยังมีนะครับ ขอหักมุมที่เหตุการณ์สุดท้ายนี้หน่อยนะครับ :D

แล้วนักลงทุนที่เน้นความปลอดภัย (Safety Investment) ควรทำอย่างไร?

สำหรับผมแล้วเพื่อความไม่ประมาท นักลงทุนผู้ปลอดภัยจะไม่ถือหุ้น 100% ในยามที่เกิดความไม่แน่นอนต่างๆ นาๆ เข้ามากระทบแบบนี้ แต่จะมีเงินสดไว้บ้าง เพราะ “เงินสด” ก็ถือเป็นหุ้นตัวหนึ่งเหมือนกัน แม้จะมีมูลค่าลดลงจากเงินเฟ้อ แต่ก็คงดีกว่าถือหุ้นแล้ว “ติดดอย” เป็นวีไอจำเป็นครับ โดยสัดส่วนการถือเงินสดของนักลงทุนระยะยาวไม่ควรเกิน 20-30% ซึ่งก็แล้วแต่นักลงทุนแต่ละท่านครับว่าจะมีนโยบายส่วนตัวในการถือครอง หุ้น-เงินสด อย่างไร (เข้าไปอ่านเงินสี่ก้อนเพื่อการลงทุนในภาวะวิกฤตเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ)

สำหรับผมแล้วผมไม่นิยมถือเงินสด 100% เพราะหากเกิดเหตุการณ์ที่ 5 ผมคงเสียโอกาสแย่ และโดยส่วนตัวผมเองนั้นชื่นชอบ “หุ้น” มากกว่า “เงินสด” และยังคงลงทุนหุ้นต่อไปอย่างแน่นอนครับ

(นายแว่นธรรมดา)

คำเตือน การวิเคราะห์หุ้น และเทคนิคการลงทุนในหุ้นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ผู้เขียนบทความไม่รับผิดชอบต่อความเสี่ยง หรือความเสียหายในการลงทุนของผู้รับข้อมูลนะครับ

“เปิดรับสมัครสมาชิก”

เว็บบล็อก “นายแว่นธรรมดา” เปิดรับสมัครสมาชิกรายปีครับ โดยท่านที่สมัครจะได้รับของที่ระลึกจากนายแว่นธรรมดา “พวงกุญแจ นกฮูกนำโชค” สัญญาลักษณ์แห่งภูมิปัญญา และความโชคดีร่ำรวย สนใจรายละเอียดการสมัครติดตามได้ที่นี่เลยครับ คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก

"ร้านหนังสืออีบุ๊กส์ นายแว่นธรรมดา"

มีหนังสือเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน การทำธุรกิจส่วนตัว ให้เลือกซื้อแล้วนะครับ สำหรับสมาชิก 9 ปี ดาวน์โหลดหนังสือฟรี 1 เล่มครับ...

เข้าไปดูวิธีการสั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ครับ
//naiwaenstore.com/store/how-to-order/

Create Date : 18 ธันวาคม 2557
Last Update : 18 ธันวาคม 2557 8:45:38 น.		0 comments
Counter : 895 Pageviews.
Share Tweet