การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วย DNA
นับเป็นเวลา 20 ปีเต็มแล้วที่ DNA เข้ามามีบทบาท ในการเป็นหลักฐานมัดตัวผู้ร้ายฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 15 ปี ที่ประเทศอังกฤษ ภายใต้การวิจัยและพัฒนาของศาสตราจารย์ด้านพันธุกรรม ชื่อ อเล็ก เจฟฟรีย์ ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์คงต้องยกย่องให้เกียรติว่าท่านเป็นผู้คิดลายพิมพ์นิ้วมือดีเอ็นเอ (DNA Fingerprinting) และช่วยให้ตำรวจคลี่คลายคดีโดยตรวจพบดีเอ็นเอจากเหยื่อที่ถูกฆ่าข่มขืนซึ่งตรงกับดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย ที่เป็นช่างทำขนมปัง ชื่อ โคลิน พิชท์ฟอร์ด เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1987 ผลการตรวจครั้งนั้นเป็นหลักฐานแน่นหนาพอที่จะทำให้ศาลพิพากษาจำคุกผู้ต้องหาตลอดชีวิต อีกทั้งเป็นการขยายผลไปใช้ตรวจวิเคราะห์หาสารพันธุกรรมจากเลือด, เส้นผม, น้ำลาย หรือน้ำอสุจิ จากสถานที่เกิดเหตุจนทำให้พนักงานสอบสวนทั่วโลกคลี่คลายคดีอาชญากรรมจนถึงวันนี้ได้หลายแสนราย อังกฤษ เป็นประเทศที่สร้างฐานข้อมูล DNA แห่งชาติ โดยออกกฎหมาย เมื่อปี 2001 ให้อำนาจพนักงานสอบสวนเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากผู้ต้องหา ในคดีความที่มีโทษรุนแรงถึงขั้นต้องขึ้นทะเบียนประวัติโดยไม่ต้อง ขอความเห็นชอบจากเจ้าตัว (Recordable Crimes) และถึงแม้ศาลพิพากษายกฟ้องผู้ต้องหาดังกล่าวตำรวจก็ไม่ต้องลบข้อมูลออกจากฐานข้อมูลดีเอ็นเอที่เก็บบันทึกไว้แล้ว อังกฤษจึงเป็นประเทศที่มีฐานข้อมูล DNA แห่งชาติใหญ่ที่สุดในโลก โดยเก็บข้อมูลใส่ฐานได้ 3 หมื่นชุด จนได้ถึง 4 ล้านชุด หรือ 6% ของประชากรทั้งประเทศ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาที่มีประชากรมากกว่า 5 เท่า แต่มีฐานข้อมูล DNA เพียง 5 ล้านชุด รัฐบาลประเทศอังกฤษพอใจกับฐานข้อมูลมากถึงกับคิดจะขยายโดยแก้กฎหมายให้เก็บตัวอย่าง DNA ได้ แม้ในผู้ต้องหาคดีที่มีลหุโทษ อย่างเช่น ทิ้งขยะในที่สาธารณะหรือคดีจราจร ซึ่งปกติไม่ต้องเก็บบันทึก ไว้ในทะเบียน ประวัติ (Non-Recordable Crimes) และเมื่อเดือนที่แล้วผู้พิพากษาอาวุโสท่านหนึ่งถึงกับเสนอให้สร้างฐานข้อมูลรายละเอียดทางพันธุกรรมของประชากรชาวอังกฤษและใครก็ตามที่เดินทางไปเยือนเกาะอังกฤษอันเป็นที่มาของเสียงคัดค้านจาก กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนว่าเป็นการกระทำล้ำเส้น ข้อคัดค้านมีว่าให้รัฐบาลอังกฤษยุติการขยายผลการเก็บ ข้อมูล DNA และให้ลบข้อมูลพันธุกรรมในรายที่ผู้ต้องหาบริสุทธิ์ โดยเสนอให้ตำรวจทุ่มเทกำลังความพยายามเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุแทน ซึ่งจุดนี้เองที่ตำรวจสวนกลับได้อย่างน่าฟังว่ากระบวนวิธีการสร้าง ฐานข้อมูล DNA ของอังกฤษขณะนี้เป็นไปด้วยดี ดังจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2006 ทางการเก็บ DNA ของผู้บริสุทธิ์บรรจุฐานข้อมูลเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนราย พร้อมกันนี้ตัวอย่างวัตถุพยานจากที่เกิดเหตุสามารถ ตรวจวิเคราะห์ DNA แล้วสอบเทียบว่า ตรงกับข้อมูล 2 แสนรายดังกล่าวถึง 8,000 ตัวอย่าง แสดงว่าผู้บริสุทธิ์เรือนแสนคนที่ว่านั้นจริง ๆ แล้วมีพฤติกรรมทำชั่วหลายคน และวิธีการนี้ช่วยลดขั้นตอนจนทำให้ตำรวจจับผู้กระทำผิดมาลงโทษได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สังคมโลกควรพิจารณาดูว่าการเพิ่มฐานข้อมูล DNA ของประชากรโลกทั้งหกพันกว่าล้านคนเข้าไปในทะเบียนราษฎร น่าจะเป็นประโยชน์มาก กว่าโทษ อย่างน้อยก็ในเรื่องการติดตามคนหาย, การคลี่คลายอาชญากรรมข้ามชาติ, การวิเคราะห์สายพันธุ์, การศึกษาวิจัยยารักษาโรคแบบมุ่งเป้า อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เจฟ ฟรีย์ ได้ออกมาเตือนว่าดีเอ็นเอมิใช่ดาบ กายสิทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้เชี่ยวชาญอาศัยหลักฐานจากวัตถุพยานเพียงกระจิริด เช่น การได้มาซึ่งเซลล์เพียงไมกี่เซลล์จากที่เกิดเหตุแล้วเหมาเอาว่าได้เกิดอาชญา กรรมขึ้นแล้ว ทั้ง ๆ ที่อาจจะใช่หรือไม่ก็ได้ ท่านทิ้งท้ายให้คิดว่าหน่วยพันธุกรรม (DNA) ไม่ได้บรรจุด้วยคำว่า ผิด หรือ ไม่ผิด ไว้ นั่นอาจจะจริงในระดับหนึ่งแต่อีกไม่นานเกินรอหรอก ทุกอย่างก็จะกระจ่างขึ้น เนื่องจากงานวิจัยด้านนี้มีความคืบหน้าอย่างไม่หยุดนิ่งไม่ว่าจะเป็นเทคนิคใหม่ในการค้นหาครอบครัวของอาชญากรและการค้นหาตัวบุคคลด้วย DNA
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 20:43:49 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1850 Pageviews. |
|
|