รอยสักกับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล
ในเชิงนิติเวชวิทยาแล้ว รอยสัก (Tattooing) หมายถึง แผลเป็น, รอยประทับ, เครื่องหมาย, รอยสัก หรือการประยุกต์ใช้ศิลปหัตถกรรมเพื่อ ให้เกิดร่องรอยถาวรบนพื้นผิวของร่างกายมนุษย์ เพื่อประโยชน์ในเชิงตกแต่ง, ประดับหรือเคารพบูชา แต่การสักนั้นมีมาแต่สมัยโบราณนับหลายพันปีมาแล้วเพื่อบ่งบอกเผ่าที่ตนสังกัดอยู่หรือไม่ก็เพื่อบ่งชี้สถานภาพหรือตำแหน่ง บ้างก็เพื่อสนองความเชื่อทางศาสนา, การสักเป็นเครื่องประดับเพื่อแสดงความกล้าหาญ, การสักเพื่อแสดงสัญลักษณ์แห่งการเจริญพันธุ์, การแสดงความรัก, การทำโทษ, การคุ้มครองป้องกันและที่เลวร้ายที่สุดก็คือการแสดงเครื่องหมายแห่งความเป็นทาสหรือเป็นนักโทษ ปัจจุบันนี้มนุษย์ไปรับการสักเพื่อผลทางความสวยงาม, ความเชื่อทางศาสนาและความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือเป็นสัญลักษณ์แสดงการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือชมรม เมื่อไม่นานมานี้ข่าวเนชันแนลจีโอกราฟ ฟิกสำรวจว่ามีชาวอเมริกันถึง 15% ที่ไปรับการสักมา ซึ่งคิดแล้วเป็นจำนวนมากถึง 40 ล้านคน ขณะที่การสำรวจของแฮร์ริส เมื่อปี 2003 พบว่า 36% ของชาวอเมริกันอายุ 25-29 ปี มีรอยสักมากกว่าหนึ่งจุดขึ้นไป ความนิยมเรื่องการสักได้คู่ขนานไปกับการดัดแปลงและออกแบบรอยสักที่มีความเป็นเฉพาะตัวในบริเวณพื้นผิวของร่างกายที่เปิดเผยต่อสาธารณะมากยิ่งขึ้น รอยสักได้กลายเป็นเบาะแสสำคัญทางนิติวิทยาศาสตร์เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์ ของแต่ละรอยสักสามารถประยุกต์ใช้ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล อย่างในกรณีวินาศภัยจากการก่อการร้ายที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่สหรัฐอเมริกาที่เรียกว่าเหตุร้าย 9/11 หรืออุบัติภัยสึนามิที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 ทั้งนี้ก็ด้วยคุณสมบัติพิเศษของรอยสักที่มีความถาวร เนื่องจากสีของการสักได้ประทับลึกถึงชั้นในของผิว ซึ่งแม้แต่ไฟไหม้รุนแรงก็ยังเผารอยสักไม่หมด ต่อมาเจ้าหน้าที่ ได้ใช้รอยสักในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของผู้นำอัล-เคดาคนสำคัญคือ อาบู มูซาบ อัล ซากาวี ซึ่งทหารอเมริกัน ใช้จรวดยิงจากเครื่องบินรบถล่มจนเขาเสียชีวิตที่กรุงแบกแดด เมื่อปี 2006 และในปีเดียวกันตำรวจสามารถ จับกุมนายไมเคิล มู นาโฟ ที่บุกรุกเข้าไปในรถยนต์ส่วนตัวของชาวบ้านนับร้อยคัน เพื่อขโมยของมีค่า ทั้งนี้ โดยอาศัยเบาะแสรอยสักบนแขนทั้งสองข้างของเขา นักนิติวิทยาศาสตร์ที่ริเริ่มการใช้รอยสักเป็นเบาะแสในการจับกุมคนร้ายคือ ซีซาร์ ลอมโบรโซ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง อาชญวิทยาสมัยใหม่ จากการเน้นความสำคัญของรอยสักว่าเป็น สัญลักษณ์แห่งอาชญากรรมเพราะเป็น คุณลักษณะจำเพาะของพวกอาชญากร คณะนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตท ได้พยายามจัดแบ่งรอยสักออกเป็นหมวดหมู่และสร้างฐานข้อมูลรอยสักขึ้น แล้วพยายามขยายฐานข้อมูลให้ใหญ่และกว้างขวางขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพที่มีความคมชัดสูงจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งฐานข้อมูลใหญ่ ๆ เช่นนี้จะช่วยผู้รักษากฎหมายในการเทียบเคียงและนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยหรือพิสูจน์เอกลักษณ์ของเหยื่อนิรนามได้
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 20:53:34 น. |
Counter : 6399 Pageviews. |
|
|
|
ได้อ่านข้อความของ อ.แล้วเป็นประโยชน์มากค่ะ
พอดีกำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากรอยสักอยู่เหมือนกัน
ถ้าไม่เป็นการรบกวนจะขอเรียนปรึกษา อ.โดยตรงได้หรือไม่คะ