
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
My Reviewed : SVI ( มุมมองทางพื้นฐาน )
ปล..ช่วงนี้ ขอคั่น ด้วย มุมมองของหุ้นตัวหนึ่ง บังเอิญไปเขียนไว้ในไทยวีไอ แล้ว คิดว่าน่าจะเอามาเก็บไว้ในบล็อกส่วนตัว ก็เลยมาทบทวนปรับประโยคเล็กๆน้อยๆ แต่เนื้อหายังคงเหมือนเดิมที่เขียนไว้ในกระทู้ ..
1.บริษัท svi ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป (Electronic Manufacturing Service-EMS)ให้แก่ลูกค้าที่เป็นเจ้าของ ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer:OEM)และลูกค้าที่เป็นผู้รับจ้างออกแบบผลิตภัณฑ์ (Design House) กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย : เป็นสินค้าเฉพาะทาง (อยากรู้ว่าภาพรวมผลิตอะไรบ้าง ลองดูใน //www.svi.co.th/index.php?action=market )ตย.เช่นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ผบห.เคยให้ข้อมูลว่า มีมาร์จิ้นค่อนข้างดีมากกว่า กลุ่มindustrial
จะเห็นว่า สินค้าที่ผลิตออกมา ไม่ได้เน้นเป็นสินค้านิยม/ทันสมัย ที่ผลิตเป็นลักษณะ mass product ดังนั้น ... ด้วยความที่ไม่ใช่ mass product จึงมีโอกาสเกิดความผันผวนในแง่ของการบริโภคสินค้าน้อย อาจจะถือว่าเป็นจุดเด่นก็ได้ ในแง่ของสินค้าที่มีความผันผวนต่ำ ผมจึงมองว่าเป็นธุรกิจที่ความเสี่ยงน้อยกว่ากลุ่มที่ผลิตสินค้าแนวmass product ในยามที่มีวิกฤตทางเศรษฐกิจเข้ามา... แต่ในทางตรงข้ามการเติบโตก็จะไม่ได้ก้าวกระโดด เหมือนกัน ..(ถือว่าเป็นข้อเสียเปรียบหรือเปล่าไม่แน่ใจ)
2. ในเรื่องของการขยายการผลิตนั้น ปัจจุบัน มีโรงงานสามแห่ง รวมถึงมีสาขาย่อยที่จีน ไตหวัน และ เดนมาร์ก (สแกนดิเนเวีย) จุดที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องดูคือ ... ที่ผ่านๆมา บริษัทมักประสบปัญหา การขาดแคลนวัตถุดิบ จุดที่ไม่ห่วงคือ ออร์เดอร์ ดังนั้น การขยายการผลิตให้มากขึ้นแต่ไม่มีวัตถุดิบ เพื่อแก้ปัญหานี้..บริษัทควรมีกลยุทธ์อะไรในการป้อนวัตถุดิบได้สม่ำเสมอ ..
3..ขอวก กลับมา ในเรื่องของการผลิต mass product
ในแง่ของการผลิตสินค้าประเภทอิเล็กโทรนิคส์ ผมยกตัวอย่าง บริษัทแห่งหนึ่งมีการ ผลิตชิ้นส่วนที่ทำทัชสกรีน ซึ่งเมือหนึ่งปีก่อน บริษัทก็ประสบความสำเร็จในแง่ทีเป็น new mass product ที่เป็น blue ocean แต่ว่า เมื่อมีคู่แข่งที่มากขึ้น กำไรขั้นต้นต่อชิ้นที่มีมากก็ต้องลดลงและจำเป็นต้องมีกลยุทธ์เพื่อรักษาระดับของกำไรproduct ชิ้นนี้สุดท้าย ก็จะเป็น red ocean บริษัทที่ผลิตสินค้าลักษณะนี้ จึงจำเป็นต้องหา new product ที่จะเกิด blue ocean ขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ (ในมุมมองของบัฟเฟ็ตต์ จะไม่เอาเลย เพราะถือว่า ในระยะยาวมีความเสี่ยงสูง ต้องหา new product ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เวิร์ค บริษัทก็จะไม่ได้เติบโตเท่าที่ควร )
ซึ่ง....ในกรณี ของบริษัท svi ผมลองอ่านดู ในมุมมองของผม ไม่สามารถบอกได้ว่า เป็น red blue or white oceanได้เลย (จริงๆแล้วผมอาจจะไม่ได้รู้ลึกก็ได้ ถ้าใครเก่งเรื่อง นี้ลองแชร์ความคิดด้วยนะครับ) จุดเด่นที่ผมพอจะนึกได้ของบริษัทในแง่การแข่งขันก็คือ - สินค้าที่เป็นรายได้หลักมาจาก ระบบควบคุมอุตสาหกรรม(รายได้เกินห้าสิบเปอร์)และระบบสำนักงาน(รายได้อยู่ราวๆ20-30เปอร์) ซึ่งเป็นสินค้าเฉพาะไม่ใช่ mass product ปริมาณความต้องการไม่ได้มากแต่มีมูลค่าส่วนเพิ่มสูง(ผลิตน้อยๆกำไรต่อชิ้นเยอะเนื่องจากใช้ความสามารถในการผลิตมากไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือเทคโนโลยีขั้นสูง) คู่แข่ง จึงถูกจำกัดหรือมีน้อย เพราะบริษัทใหญ่ๆ ก็ไม่อยากผลิต บริษัทเล็กๆ ก็เกรงต้นทุนที่สูง ไม่คุ้มทุน
ในมุมมองนี้ จึงเอาวงจรของอุตสาหกรรมอิเลคโทรนิค ที่บอกว่า กำลังเป็นขาขึ้นหรือขาลง มาใช้กับ svi ค่อนข้างลำบาก (อันนี้คือความเห็นส่วนตัว)
-ในแง่ของการกระจายออร์เดอร์ รายได้หลักมาจากกลุ่มประเทศสเกนดิเนเวีย(ปี52 รายได้จากกลุ่มประเทศนี้ 58 เปอร์) และกระจายไปยังกลุ่มอื่นๆอีก บริษัทได้ชี้แจ้งว่า การกระจายในลักษณะนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจ
เมื่ออ่านงบการเงินในปี50-51-52 ที่เกิดวิกฤต จะสังเกตได้ว่า รายได้จากการขายของ บริษัท svi ไม่ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนตามกระแสโลก .. เช่นกัน ในภาวะที่เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น บริษัท ผลิตสินค้าจำเพาะเช่นนี้ รายได้จากการขาย ก็อาจจะไม่ได้สูงมากมาย เหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆที่เติบโตตามเศรษฐกิจ
โดยสรุป ในมุมมองของผม บริษัทนี้จึงยากที่จะเห็นภาวะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เหมือนกับบริษัทอื่นๆ แต่ ก็ไม่ล้มลงแบบเฉียบพลัน ให้เห็น
4.downside risk จากตัวธุรกิจ..
- ปัญหาที่เจอในหลายๆปี ก็คือ การจัดหาวัตถุดิบ บริษัทได้ชี้แจ้งไว้ ได้ปรับเปลียนกลยุทธ์ โดยมีการจัดหาวัตถุดิบล่วงหน้า และได้ทำข้อตกลงกับคู่ค้าในระบบ (VMI) ทำให้ลดปัญหานี้ได้ส่วนหนึ่ง -ปัญหาจากการแลกเปลี่ยนเงินตรา บริษัททำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่เรียกว่า forward exchange contract
ในมุมมองผม แม้ว่ารายได้จะไม่ผันผวนมากจากภาวะเศรษฐกิจ แต่เมื่ออ่านงบการเงินอย่างละเอียด เราจะสังเกตว่า ปีวิกฤติ ออร์เดอร์ ที่เข้ามาก็ยังลดลงเช่นกัน ดังนั้น การที่บริษัท เพิ่มโรงงาน ก็มีส่วนในการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทให้โตมากขึ้น แต่ในทางกลับกันมุมมองที่ต้องระวังก็คือ ย่อมมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆมากขึ้น ในกรณีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจล้มลงอีกรอบ และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อธุรกิจมากกว่าแต่ก่อน
-ส่วนความเสี่ยงอีกหนึ่ง ก็คือ ความเสี่ยงของการที่มีผถห. รายใหญ๋ ก็คือ บริษัท MGF (จริงๆแล้วคุณโพธ์ ก็ถือหุ้นของบริษัทนี้แทนค่อนข้างมาก ) ความเสี่ยงนี้ ผมไม่สามารถวิเคราะห์ได้ เพราะว่า เพิ่งมาลงทุน เลยไม่ทราบความเป็นมาและรายละเอียดของบริษัทนี้ ว่าทำไมถึงถือหุ้นคอ่นข้างมาก( ณ ปัจจุบัน ถือครองหุ้นมากกว่า 50 เปอร์ ) ถ้ามีผู้รู้ มาเล่าประวัติให้ฟังจะดีมากเลยครับ ขอบคุณล่วงหน้า
หมายเหตุ : บริษัท MGF นี้เข้าซื้อหุ้น svi โดยการทำ Management Buy Out โดยซื้อจากกองทุนต่างชาติที่ถืออยู่ ที่ราคา 1.40 บาท เมื่อกลางปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็นำกำไรสะสมมาจ่ายปันผลคืน เท่ากับคุณโพธิ์ ได้ SVI ไปโดยแทบจะไม่มีต้นทุน (ข้อมูลจากเพื่อนนักลงทุน ในไทยวีไอ )
5. มุมมองเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัท
-ในภาพรวม บริษัทได้เริ่มจดทะเบียนในตลท. ตั้งแต่ปี 2532 จนมาปัจจุบัน เริ่มต้นมีเพียง svi1 (โรงงานหนึ่ง) ปี2546 เปิดโรงงานสอง 2549เปิดโรงงานที่ประเทศจีน 2553 เปิดโรงงานที่สาม -ในภาพการผลิตสินค้า รายได้จากการขายสินค้า ย้อนหลังห้าปี ก็จะพบว่า ก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปี2548 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 4457 ล้านบาท จนปัจจุบัน ปี 2552 มีรายได้จากการขาย 6466 ล้านบาท -ในแง่ของกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) เรียงไปห้าปีตั้งแต่ปี 2548 คือ 0.179 0.22 0.3 0.38 0.48 ตามลำดับ -ในแง่ของการปันผล มีการปันผลต่อเนื่องมาตลอด (ถ้าไม่นับปันผลพิเศษ) (ขอคำนวณแบบแตกพาร์ไปจะได้ไม่งง) เรียงไปห้าปีตั้งแต่ปี 2549 เท่ากับ 0.05 0.06 0.06 0.07 0.095 ตามลำดับ -ข้อมูลอัตราส่วนสำคัญทางการเงินย้อนหลังห้าปี

มุมมองของผม จากการดูอัตราส่วนสำคัญทางการเงิน
ถ้าคุณ ต้องหาค้นหา บริษัทที่มีการเติบโตเร็ว Fast growers มี net profit gross /net profit margin ยอดเยี่ยม มีมุมมองในลักษณะของ buffet theory ผมคิดว่า คุณอาจจะไม่หันมามอง svi เมื่อคุณไปศึกษางบการเงินย้อนหลังห้าปี ผมคิดว่า เมื่อลองแงะ งบการเงินออกมา แล้วอยากได้ ความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่น svi ยังอยู่ในเขต ที่เรียกว่า grey zone คือก้ำกึ่ง แต่ถ้ามองว่า มีโอกาสเป็นหุ้น Stalwarts(ศัพท์นี้ เอามาจากpeter lynch ) หรือเรียกว่า หุ้นทนน้ำทนฝน คุณอาจจะมีความหวังกับมัน..
และสุดท้าย ขอแบ่งการดูอัตราส่วนทางการเงินเป็นสามส่วน 1.ส่วนแรก ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio) -.สิงที่ต้องดูอันแรกคือ อัตรากำไรขั้นต้น จากปี 2548 จะเห็นว่าอยู่แค่เพียง 9.3 เปอร์ จนมาปัจจุบัน 12.7 อัตราการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้น จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจ ถ้าคำนวณคร่าวๆ จากห้าปี เติบโตขึ้นมาเฉลี่ยปีละเกือบสิบเปอร์ (ถ้า บัฟเฟท จะส่ายหน้า บอกว่า อยากได้ 20 เปอร์ทุกปี 555 ) - ROE ไม่พูดถึงก็คงไม่ใช่นักลงทุน ก็เติบโตจนเข้าโซน criteria ของ ดร.นิเวศ ( ROE มากกว่า 20เปอร์)
2 ประสิทธิภาพในการทำงาน โดยทั่วไปก็ดูจาก อัตราตอบแทนจากสินทรัพย์รวม ปี 52 จะอยู่เพียง15.1 เปอร์ (ถ้าบัฟเฟท อยากได้เยอะๆ ตัวอย่าง 15เปอร์เนียะ เค้ามองเป็นธุรกิจธรรมดามากๆ ) แต่ถ้าเทียบย้อนหลังไปห้าปี จะพบว่า การเติบโตของอัตราส่วนนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกว่า อย่างไรดีล่ะ ถ้าอนาคตจะหยุดอยู่แค่ 15เปอร์ หรือ ก้าวไปถึง 20 เปอร์ดี อันนี้ ตอ้งดูต่อไป
3.ส่วนสุดท้าย สภาพคลอ่งทางการเงิน - current ratio ยิ่งสูงยิ่งดี จริงไหม เค้าบอกกันว่า 2/1 ถือว่าผ่าน มีความสามารถชำระหนี้ในระยะสั้น แต่ ในมุมมองนี้ ไม่ได้วัดถึงความสามารถในการเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืน จึงไม่ควรมาพิจารณามาก มีหลายๆบริษัท ที่มีอัตราส่วนต่ำกว่าหนึ่ง แต่มีความสามารถในการทำกำไรได้มากมาย และหลายๆตัวก็เป็นหุ้นที่เติบโตอย่างดี -ในแง่ของอัตราส่วนหนี้สิน ถือว่าผ่าน ต่ำกว่า 1 เป็นรายการเดียวที่เขียนมาว่า เห็นโอกาสจากบัฟเฟท 555
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นสรุปย่อๆ สำหรับหุ้นตัวหนึ่งในมุมมองของผมจากหลักพื้นฐาน ใครมีข้อเสนอแนะ ติชม ได้เลยครับผม
Create Date : 23 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 23 ธันวาคม 2553 16:36:44 น. |
|
8 comments
|
Counter : 5988 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: kunjoja วันที่: 23 ธันวาคม 2553 เวลา:16:43:33 น. |
|
โดย: Palermo IP: 115.87.89.181 วันที่: 29 ธันวาคม 2553 เวลา:13:48:29 น. |
|
โดย: coffee4you วันที่: 15 มกราคม 2554 เวลา:8:17:31 น. |
|
โดย: coffee4you วันที่: 15 มกราคม 2554 เวลา:8:28:53 น. |
|
โดย: kunjoja วันที่: 16 มกราคม 2554 เวลา:16:32:10 น. |
|
โดย: coffee4you วันที่: 16 มกราคม 2554 เวลา:22:09:46 น. |
|
โดย: kunjoja IP: 125.27.146.158 วันที่: 17 มกราคม 2554 เวลา:10:17:34 น. |
|
โดย: ษุภณัฏฐ์ วันที่: 21 มกราคม 2554 เวลา:16:57:13 น. |
|
| |
|
kunjoja |
 |
|
 |
|
แต่เขียนไว้เป็นหลักการคิดย่อๆ
ใครสนใจหลักการคิด แบบพื้นฐาน ก็ลองอ่านดูคร่าวๆนะครับ เอาไปประยุกต์ใช้กับหุ้นตัวอื่นๆได้ เช่นกัน ครับผม