ความขัดแย้งของโลกที่เราอยู่นั้นมากน้อยไปตามจิตที่ไหวในธรรมยิ่งเห็นสัจจธรรมะ ยิ่งหนักหนาในโลกวัตถุเพราะว่า..คุณได้พบ"ความงดงามแห่งจิตใจ"ซึ่งไม่สำคัญว่าใครจะเห็นค่าหรือไม่เพราะมันยากที่จะเห็นไม่สามารถให้กันได้ต้องเห็นเองประจักษ์เองบางคน..ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีโอกาสเห็นฉันไม่เชื่อว่าคุณจะรู้สึกต่ำต้อยคนที่ต่ำต้อยคือคนที่ปฏิบัติกับคุณต่างหากเพราะว่า..เขาไม่รู้จัก"ความงดงามของจิตใจ"ธรรมสวัสดี..
บล็กวันนี้...หดหู่นะคะ...
ทำไมคิดอย่างนั้นละคะ...คุณอาจจะอยู่ท่ามกลางสังคมที่ยึดคุณค่าทางวัตถุมากกว่าคุณค่าทางจิตใจ...ถึงแม้กระนั้นก็ตามแต่...ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะทำให้ใจหดหู่เลย...ขอเพียงเราเห็นคุณค่าของตัวเราเอง...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เราดูกายใจของเราเองเท่านั้นเพื่อเป็นการปลดทุกข์ค่ะ...ที่ทุกข์ ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกู...
ยึดว่าตัวเองเป็นภาระทางความรู้สึก ทางสายตา ของคนที่ได้พบเจอในแต่ละวัน ที่มองว่าตัวเรา (ซึ่งเป็นตัวกูของกู) ต่ำต้อย ก็เลยทุกข์...
ลองหันมามองดูคุณค่าของตัวเองดูซิคะ ว่าเรามีคุณค่าอะไรบ้าง...รู้ว่ามีอะไรก็ระลึกรู้ให้เป็นกำลังใจ เพื่อก่อกุศลจิต แล้วอะไรที่ยังไม่มีคุณค่า...จะต้องทำให้มีคุณค่าได้...อย่างไร...เราเกิดมาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาทางจิตใจ...
รู้ว่ากำลังคิดอะไร กำลังทำอะไร อะไรทำใหคิด อะไรทำให้กำลังทำอยู่ ทำทำไม...ทำเพื่ออะไร...อยู่กับตัวเองและ อยู่กับปัจจุบันนะคะ...
ระลึกถึงสิ่งดีดีของเราเข้าไว้นะคะ...สิ่งไหนที่ควรปรับปรุงก็ปรับปรุงไป...และอย่าลืมรู้สึกดีดีกับสิ่งรอบข้างด้วยนะคะ...ถึงแม้เราอาจจะรู้สึกทุกข์เพราะสิ่งรอบข้างบ้าง...แต่ก็ขอใหเข้าใจว่า...คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน...เราไม่อาจทำให้เค้ายอมรับหรือคิดเห็นอย่างเราได้นะคะ....
ขอยิ้มหวานๆ นี้ ส่งผ่านความรู้สึกดีดีมอบให้คุณนะคะ...