หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย นับตั้งแต่มีประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา น่าจะได้บทสรุปว่า ระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ีผ่านมาไม่เหมาะกับสังคมไทยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยแบบพรรคการเมือง เพราะการมีพรรคการเมืองยิ่งเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มผลประโยชน์ที่รวมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองทุกพรรคก็คือกลุ่มทุนที่จะมองผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก

              (ที่ว่าไม่เหมาะสมก็เพราะไม่สามารถจะสกัดกั้นกิเลสนักการเมืองที่มุ่งแสวงหาแต่สนองกเลิสของตัวเอง จึงกลายเป็นว่ารัฐธรรมนูญไม่เหมาะสม จึงสมควรแก้ไข ครั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้ไข ก็แก้ไขให้เอื้อต่อกลุ่มของตนเอง)

                   ดังนั้น ในมุมมองของผู้เขียนคิดว่า เราอาจจะลองใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบใหม่ โดยไม่ต้องมีพรรคการเมือง แต่เป็นระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งโดยตรง ทั้ง นายกรัฐมนตรี ทั้งรัฐมนตรี โดยประชาชนทั้งประเทศเป็นคนเลือกตั้งเข้ามา ส่วน ส.ว. และส.ส. เลือกตามเขต เหมือนเดิม (แต่ไม่มีพรรคการเมือง เป็นผู้สมัครอิสระทั้งหมด) ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข  ซึ่งการเลือกตั้งอาจจะต้องใช้บัตรเลือกตั้งถึง ๓๘ ใบ โดย

               ๑. เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี  (โดยตรง)...ใชับัตรเลือกตั้ง ๑ ใบ

                ๒. เลือกตั้ง รัฐมนตรี (โดยตรง)...ใช้บัตรเลือกตั้งตามจำนวนกระทรวง (หาก ๓๕ กระทรวง ก็ใช้บัตร ๓๕ ใบ)

                ๓.เลือกตั้ง ส.ว. (โดยตรง)ใช้บัตรเลกือตั้ง ๑ ใบ (ตามเขต)

                 ๔. เลือกตั้ง ส.ส. (โดยตรง) ใช้บัตรเลือกตั้ง ๑ ใบ (ตามเขต) ในกรณี ส.ส. ให้ใช้สัดส่วนคะแนนที่ได้เพื่อกำหนด ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยใช้อัตราส่วนของคะแนนระหว่างคะแนนที่ได้กับจำนวนประชากรในแต่ละเขตเลือกตั้ง (โดยเขตเลือกตั้งให้เป็นไปตามที่เป็นอยู่หรืออาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม)    ดังนั้นใครได้คะแนนสูงสุดในแต่ละเขต ก็ยังไม่ใช่ว่าจะเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ต้องคำนวนจากอัตราส่วนของ ส.ส.ทั้งประเทศทุกเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ต้องกำหนดอัตราส่วนของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านว่าสมควรให้มีอัตราส่วนเท่าใด (อาจจะเป็น อัตราส่วน ๖๐ ต่อ ๔๐ หรือ ๕๕ ต่อ ๔๕ )

                ๕. นอกนั้นให้เป็นไปตามบทบัญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหรืออาจจะแก้ไขตามความเหมาะสม

             มันอาจจะยุ่งยากหลายขั้นตอนต่อผู้ใช้สิทธิ์ และต้องเพิ่มคูหาให้มากขึ้นหลายสิบเท่า แต่ก็ต้องทำ

            หากเป็นเช่นนี้ บางทีอาจจะแก้ปัญหาบางอย่างได้บ้างในจุดเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยของไทย

แต่ผู้เขียนไม่รู้ว่าการเขียนอย่างนี้ จะโดนข้อหาล้มล้างรัฐธรรมนูญหรือเปล่า เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แก้ไขไม่ได้ ถ้าแก้ไข อาจจะถูกข้อหาล้มล้างรัฐธรรมนูญจากผู้ที่รักและพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

Create Date : 02 ธันวาคม 2556
Last Update : 10 ธันวาคม 2556 17:22:22 น.		0 comments
Counter : 844 Pageviews.
Share Tweet