มาดูกันสิ..ว่าผมเจออะไร
มักจะเป็นเรื่องปกติ เมื่อเราต้องการจะหาของอะไรสักอย่าง เพื่อนำมาใช้งาน จะหาไม่เจอ ในทางกลับกัน ของอะไรที่ไม่ค่อยจะได้ใช้ หรือนานกว่าจะได้ใช้ มักจะเห็นกันจะจะ อยู่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน หลังอ่านข่าว "ปิดฉาก9ปี เซ็นเตอร์พอยท์" ที่เว็บไซต์มติชนออนไลน์ //www.matichon.co.th/news_detail.php?id=13652&catid=8 แล้วก็ให้นึกถึงสมัยเรียน ที่เคยทำสารคดีเกี่ยวกับเซ็นเตอร์พอยท์ร่วมกับเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในนามนิตยสาร "บ้านกล้วย" มือไม้เร็วเท่าใจ รีบค้นหานิตยสารเล่มนั้นทันที เอ..อยู่ไหนหว่า เคยจำได้ว่า เมื่อครั้งซื้อตู้หนังสือมา ก็จัดเก็บไว้แล้ว มองๆหา ซ้ายก็แล้ว ขวาก็มอง บนก็เงย ล่างก็แล แต่..ไม่มี !! หรือว่ายังไม่ได้ใส่ไว้ในตู้ ไม่หรอกมั้ง แต่ลองหาที่อื่นก็ไม่เสียหาย เดินไปค้นที่ชั้นหนังสืออีก ๒ แห่งก็ไม่มี ขึ้นไปค้นที่ห้องนอน รื้อชั้นหนังสือ ก็เหมือนเดิม ไปที่ห้องเก็บของ ไม่น่ามีนะ ของสำคัญขนาดนี้ ไม่น่าเก็บไว้ที่นี้ กลับไปค้นที่กองหนังสือข้างตู้ เผื่อจะเอาออกมาอ่านแล้วไม่ได้เก็บ ไม่เจอ ค้นอยู่ได้เกือบชั่วโมง ได้เหงื่อมาพอได้ใจ ผสมกับฝุ่นพอให้ภูมิแพ้ก่อตัวเล็กน้อย อาการคัดจมูกเริ่มมา จามซะ เหนื่อยง่ะ ไปล้างมือล้างหน้าก่อน แล้วค่อยคิด กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน เอ๊ะ !! หรือว่าเราใส่ไว้ในลิ้นชัก ไล่เปิดไปสามชั้น ไม่มี งั้นวนใหม่อีกรอบ เริ่มที่ตู้หนังสือก่อนล่ะกัน ค่อยๆไล่ใหม่ เมื่อกี้ไม่ได้ไล่ในบริเวณหนังสือที่เก็บเฉพาะ ที่มีขนาดพอดีกัน หมายถึง ต่วยตูนส์ ฉบับพิเศษไว้ข้างหนึ่ง สารคดีไว้อีกข้าง เนชัลแนลอีกข้าง ส่วนพวกหนังสือเล่มเล็กคงไม่มี เจอแล้ว..!! อยู่กับเนชัลแนล ข้างๆกองของพวกนิตยสารทั่วไปที่วางสุมกันไว้นี่เอง เล่นเอาเหนื่อย เปิดๆดูแล้วให้รำลึกถึงครั้งนั้น ช่วงนั้น เป็นปลายปี ๒๕๔๒ ตอนนั้น เซ็นเตอร์พอยท์เปิดได้ปีกว่าๆ (เซ็นเตอร์พอยท์ลงเสาเข็มก่อสร้างปี ๒๕๔๐ และเปิดประมาณปี ๒๕๔๑) ยุคนั้นยังเปิดให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ได้ จึงเป็นที่ฮือฮาในขณะนั้นว่าเป็นแหล่งมั่วสุมของเด็กวัยรุ่น พวกเราเรียนในภาควิชาวารสารศาสตร์ ต้องทำนิตยสารฝึกหัด ก็ต้องคิดว่าจะทำเรื่องอะไรกันบ้าง หนึ่งในนั้น พวกเราก็คิดกันว่าจะทำเรื่องเกี่ยวกับเซ็นเตอร์พอยท์ โดยทำเป็นรายงานพิเศษ ที่ต้องการให้เป็นรายงานที่ครอบคลุมในทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ก็แบ่งงานกันไป คนนั้นไปคุยกับเด็กวัยรุ่นที่มาเที่ยว มากันกี่วัน มาทำอะไร เป็นไง จริงไหมเขากล่าวหาว่ามามั่วสุมกัน อีกคนไปคุยกับตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คนขายของ ร้านที่ขายเครื่องดื่ม อาหาร ในเซ็นเตอร์พอยท์ โน่น อีกคนเดินทางไกลหน่อย ไปคุยกับสถาปนิกที่ออกแบบเซ็นเตอร์พอยท์ ถึงแนวคิดหรือคอนเซ็ปท์ในการออกแบบ ไปคุยกับเจ้าของสถานที่ คุยกับบริษัทที่รับสัมปทานพื้นที่มาทำเป็นเซ็นเตอร์พอยท์ อีกคนไปนั่งเฝ้าที่เซ็นเตอร์พอยท์ เพื่อหาข้อมูลมาเขียนเป็นเรื่องหลัก นั่งมันตั้งแต่บ่ายสองจนเกือบปิด นั่งอยู่เกือบ ๒ สัปดาห์ ช่างภาพประจำกอง บก. ก็ถ่ายไป บอกให้ถ่ายมาทั่วๆ แต่เน้นเหลือเกิน ถ่ายแต่หญิง จำได้ว่า ช่างภาพคนนี้ วันนี้ก็เปิดบล็อกที่โอเคเนชั่นด้วย (ฮ่าๆ เป็นใครก็ตามหาเอง หรือว่าจะมาสารภาพที่นี้ก็ได้นะ คุณช่างภาพ) ก็สนุกดี แต่ใช่ว่าการหาอะไรไม่เจอจะให้แต่ความเหนื่อยและภูมิแพ้กำเริบกลับมาเท่านั้น ยังมีส่วนดีจากการหาของไม่เจออยู่บ้าง นั่นคือ ไปเจอของบางชิ้นบางอย่างที่เคยหาไม่เจอในครั้งก่อน หนังสือชีวิตของ "เทพ 333" พล.ท.วิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ผู้นำทหารเสือพราน ตามโครงการหน่วยผสม 333 ที่ไปรบในลาว เพื่อต่อต้านเวียดนามเหนือ ซึ่งต้องปกปิดฐานะตัวเอง จึงถูกกล่าวหาว่าเป็นทหารรับจ้าง
นายทหารที่ไปร่วมรบกับเทพ 333 ส่วนใหญ่จะเป็น จปร.5-7 เช่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, พล.อ.สุจินดา คราประยูร นอกจากนี้ยังมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จปร.1 ด้วย
"สินในหมึก" โดย "ยาขอบ" หนังสือที่รวมจดหมายระหว่างยาขอบที่ขณะนั้นอายุ 32 ปี เขียนสอนวิธีการประพันธ์แก่ "พนิดา" สาวสวยวัย 20 ปี เคยพิมพ์เป็นตอนๆต่อเนื่องกันในหนังสือพิมพ์ประชามิตรรายสัปดาห์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2486 รวมเล่มโดยมีคำนำของยาขอบลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2488 เล่มที่เห็นอยู่นี้ น่าจะพิมพ์ในปี 2513 มีลายมือชื่อเจ้าของลงวันที่ "30 มค 13" ราคาเล่มละ 6 บาท ผมซื้อจากร้านหนังสือเก่า นานมาแล้วในราคา 50 บาท หนังสือ "สินในหมึก" นี้ซื้อเมื่อประมาณปี 2544 ซื้อเล่มปี 2513 นี้มาพร้อมกับเล่มที่พิมพ์ใหม่ หนากว่าเล่มนี้เยอะ แต่กลายเป็นอาหารปลวกไปแล้ว ส่วนเล่มปี 2513 นี้เก็บดีกว่าจึงรอดมาได้ โดยรู้จักและซื้อมาจากการอ่านเรื่อง "จดหมายรักของยาขอบ" ของคุณ 'ปราย พันแสง ในหนังสือ "จดหมายรัก" ที่ซื้อเมื่อเดือนตุลาคม 2544
มีตอนหนึ่งที่อ่านแล้ว ทั้งซึ้งและอึ้งไปในคราวเดียวกัน โดย 'ปราย พันแสง เขียนถึงยาขอบที่มีเมียอยู่แล้ว 4 คนไว้ว่า.. พนิดาเองทั้งรู้อยู่เต็มอก แต่ก็มีใจให้หนุ่ม 32 เมีย 4 คนนี้อยู่ดี เธอเคยฉะอ้อนถามยาขอบว่า "รู้ไหมค่ะ ทำไมดิฉันจึงรักคุณ" ยาขอบได้ยินคำถามนี้ก็เป็นอึ้งไปเหมือนกัน เขาบอกกับคนอ่านว่า "เราไม่ใช่คนรูปสวยรวยทรัพย์ หาคำตอบไม่พบว่า เหตุไฉนไยเธอจึงมารักเรา จึงตอบอย่างโง่ที่สุด แต่เป็นจริงที่สุด คือไม่ทราบ" พนิดาเอ่ยตอบมาว่า "ถ้างั้นขอให้ทราบ" แล้วเธอก็ร้องไห้โฮก่อนเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นว่า "เมียมีอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ถึง 4 คน ยังมาเกี้ยวเขาได้นะใจคอ...ฉันรักคุณเพราะฉันไม่รักตัวเอง" อ่านคำเธอแล้วอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายคาหนังสือเลยเชียว
นอกจากนี้ ยังเจอหนังสือ "ความหมายของชีวิต" เรื่องราวเกี่ยวกับนักโทษในค่ายกักกันของนาซี พิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2533 ที่มีการนำกลับมาพิมพ์ใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เจอเรื่องสั้น เรื่องแรกๆที่เคยนึกสนุกแต่งสมัยเรียน จำไม่ผิดเคยสั่งไป "มหาสนุก" หรือ "ขายหัวเราะ" นี่แหละ กะว่าถ้าได้ลงจะได้ค่าเรื่องไปกินขนม รวมไปถึงเพลงที่เคยแต่งไว้นานแล้ว น่าจะเป็นเพลงแรกในชีวิตด้วยมั้งที่ลองแต่ง เดี๋ยวต้องลองเอามาเล่นและร้องดู ก็คุ้มดีนะ เหมือนกับใช้เวลา ๑ ชั่วโมงเปิดกล่องเวลา ย้อนกลับไปกว่า ๑๐ ปี นั่งอ่าน นั่งดูจนเพลินไปเลย.. --------------------
Create Date : 15 ธันวาคม 2550 |
|
12 comments |
Last Update : 15 ธันวาคม 2550 18:24:37 น. |
Counter : 610 Pageviews. |
|
|
|
แต่เสียดายไม่รู้สึกแบบนั้นบ่อยนัก..เพราะขี้เกียจจัดห้องแนะ..อิอิ
แต่สนุกดีคะ หนังสือหลายเล่มของคุณน่าสนใจมากๆ ชอบ ปราย พันแสงคะ
ขอบคุณคะที่ทำให้ฉันพบอะไร...เหมือนกัน