ว่าด้วยเรื่องการเลี้ยงลูกของพ่อแม่สมัยนี้บ้างดีกว่า "พ่อแม่สมัยนี้เลี้ยงลูกไม่เป็น เอาแต่คอยตามใจให้ท้ายลูก เลี้ยงจนเรียนจบแล้วยังเอาตัวไม่รอดยังต้องมาแบมือขอตังค์อีก" เจนคิดว่าคงไม่มีใครไม่เคยได้ยินประโยคเหล่านี้ วันนี้เจนจะขอเขียนจากประสบการณ์ถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้ เจนไม่ได้ต้องการบอกว่าผิดหรือถูก ดีหรือไม่ และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้คุณทำตาม เพียงแต่อยากให้เข้าใจว่าพ่อแม่สมัยนี้(บางกลุ่ม)มีทัศนคติในการเลี้ยงดูลูกแบบไหน เพื่อที่ว่าคุณจะได้ "เข้าใจ" พวกเขาหรือเผื่อสักวันถ้าเด็กกลุ่มนี้ก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ อาจจะในฐานะลูกสะใภ้,ลูกน้อง,ลูกค้า หรือแม้กระทั่งก้าวกระโดดมาเป็นหัวหน้าของคุณจากการสืบทอดทางมรดก คุณจะได้ "เข้าใจ" และสามารถอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างไม่มีใครต้องเป็นทุกข์ เนื่องด้วยความไม่เข้าใจนั้นเป็นต้นเหตุแห่งความกลัว ความกลัวเป็นต้นเหตุของความเกลียด และสุดท้ายความเกลียดก็จะแสดงอานุภาพของมันโดยการทำลายล้างทุกสิ่งอย่างรวมทั้งเจ้าของความรู้สึกนั้นเองด้วย อย่างไรก็ตามต้องบอกก่อนว่าสิ่งที่นำมาเขียนมาจากกลุ่มตัวอย่างของครอบครัวฐานะปานกลางค่อนสูงขึ้นไปในการเลี้ยงดูลูกสาว ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าถ้าตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนไปผลลัพธ์ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะเปลี่ยนตามด้วย สิ่งที่เจนรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนของการเลี้ยงดูลูกสมัยนี้คือ == เลี้ยง ดูแลและควบคุมตลอดชีวิต == ย่อหน้าแรกนั้นขอบอกก่อนว่าเจนพูดตามหลักวิชาการ ถ้าคุณอ่านแล้วรู้สึกไม่ดี เจนก็ขอโทษด้วยแล้วกัน สังคมไทยสมัยก่อนเป็นสังคมเกษตรกรรม การมีลูกนั้นมาจากสาเหตุหลายอย่าง การต้องการแรงงานและการไม่มีความรู้เพียงพอในการคุมกำเนิดก็เป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น แต่สมัยนี้ไม่ใช่แล้ว พ่อแม่ส่วนใหญ่มีลูกเพราะตั้งใจมี มีลูกไม่มาก มักจะมีเมื่อพร้อม และมีตอนที่อายุมากกว่าคนสมัยก่อน เพราะฉะนั้นพวกเขามักจะมีศักยภาพที่จะให้สิ่งต่างๆกับลูกอย่างเต็มที่และเต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะให้ พ่อแม่สมัยก่อนจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกในช่วงที่ยังเป็นเด็กหรือศึกษาเล่าเรียน เมื่อลูกโตแล้วทำงานแล้วพวกเขาจะถือว่าลูกเป็นผู้ใหญ่ต้องดูแลบริหารจัดการชีวิตเอาเอง แต่สมัยนี้ไม่ใช่ เด็กหลายคนเรียนจบทำงานแล้วก็ยังขอเงินพ่อแม่อยู่ และต้องบอกว่าพ่อแม่หลายคนเต็มใจที่จะให้ เท่าที่รู้สึกเจนคิดว่าพ่อแม่สมัยนี้ไม่ได้คาดหวังว่าลูกทำงานแล้วต้องแบ่งเงินมาให้ แต่จะเปลี่ยนความคาดหวังเป็นให้คอยดูแลเสียมากกว่า เช่น พาพ่อแม่ไปธุระ ไปเที่ยว ไปกินข้าว คอยเฝ้าไข้ พวกเขาไม่แคร์ถ้าลูกจะทำงานแล้วเงินไม่พอใช้แล้วจะต้องมาขอ พ่อแม่เหล่านี้ให้ลูกได้ทุกอย่าง มัธยมก็ไอโฟน เข้ามหาลัยก็ให้รถ แต่งงานก็ซื้อคอนโดให้ มองในมุมนึงก็ต้องบอกว่าเด็กเหล่านี้โชคดีมาก แต่ถ้ามองจากอีกมุมก็ต้องยอมรับว่าพ่อแม่กลุ่มนี้ควบคุมลูกในแทบทุกด้านและหลายต่อหลายครั้งหลายสิ่งอย่างที่บอกทำเพื่อลูกนั้นมักจะควบรวมการทำเพื่อที่ตัวเองจะสามารถนำสิ่งเหล่านั้นไปอวดในสังคมของพวกเขาด้วย เมื่อลูกยังเล็กก็ต้องเรียนพิเศษอันนั้น อันนี้ เข้ามหาวิทยาลัยเรียนคณะอะไรพ่อกับแม่ก็ช่วยกันเลือกไป เจนเคยถามเด็กหลายคนว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรจบแล้วจะไปเรียนต่อที่ไหน บอกเลยว่าหลายคนตอบว่า ต้องถามที่บ้านดูก่อน แม้กระทั่งตอนทำงานก็ต้องบอกว่าพ่อแม่ก็ยังทำหน้าที่เดิมต่อไป จะเลือกบริษัทไหน ก็ต้องผ่านการอนุมัติ เพื่อนเจนอยู่ฝ่ายบุคคลบอกว่าเวลารับเด็กจบใหม่เมื่อถามว่าถ้าจะให้ไปทำงานที่นั่นที่นี่เริ่มงานได้วันไหน หลายคนตอบว่า "ต้องถามที่บ้านก่อนคะ" นอกจากนั้นถ้าคุณเห็นสาเหตุในใบลาออกของเด็กคือ "คุณพ่อไม่อนุญาตให้กลับบ้านเกินสองทุ่ม" ก็ไม่ต้องแปลกใจอะไร เจนไม่ค่อยแปลกใจเมื่อได้ยินปัญหาเรื่องลูกสะใภ้กับแม่สามี จริงๆต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าจะมีแต่ปัญหานี้หรอก ลูกเขยกับพ่อตาแม่ยายก็ไม่น้อย เพียงแต่นิสัยผู้ชายจะไม่พูดเรื่องครอบครัวออกสื่อก็เลยดูเหมือนว่าไม่มี ญาติเจนเป็นผู้ชายเคยมาบ่นว่าไม่สามาถเลี้ยงดูลูกตามแนวทางของตัวเองได้เลยเพราะพ่อตาแม่ยายเข้ามาจัดการตลอด พ่อแม่กลุ่มนี้มักจะมองว่าลูกเป็นเด็กเป็นลูกเล็กๆของพวกเขาตลอดไป มือนึงของพวกเขาก็พร้อมจะให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการแต่อีกมือก็จะเข้ามาจัดการทุกอย่างตามที่ตัวเองคิดว่าดีโดยไม่ค่อยสนใจว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่หรือมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว == ให้อิสระเสมอต้นเสมอปลาย == ถ้าพูดถึงเรื่องให้อิสระกับลูกเท่าที่เจนรู้สึกถ้าเป็นสมัยก่อนเมื่อลูกยังเด็กพ่อแม่จะให้อิสระน้อยมาก ถ้า 10 คือเข้มงวดสุดแล้ว 0 คืออยากทำอะไรก็เชิญ พ่อแม่อาจจะเริ่มที่ 9 หลังจากนั้นพอขึ้นมัธยมก็สัก 8 พอเข้ามหาลัยก็ 5 พอทำงานก็ 3 พอแต่งงานนี่ไม่ยุ่งอะไรแล้ว แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่จะเริ่มที่ 7 ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ซึ่งถ้าดูจากช่วงนี้ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างให้อิสระกับลูกมากจนออกจะมากจนเกินไป แต่ไม่ว่าลูกจะโตขึ้นอายุเท่าไหร่พวกเขาก็จะให้อิสระเท่าเดิมหรืออย่างดีก็ลดมาแค่ 6 มองภายนอกอาจจะดูว่าเด็กไม่ค่อยถูกบังคับหรือเลี้ยงดูด้วยกฎเหล็กอะไร ซึ่งจากเท่าที่สัมผัสมาก็ต้องบอกเลยว่าถ้าดูผิวเผินก็ใช่ อย่างเรื่องทำโทษ พ่อแม่สมัยนี้แทบจะไม่ตีลูกแล้ว ถ้าตีก็แค่ตอนลูกยังเล็กมากๆและส่วนใหญ่ก็เพราะฟิวส์ขาดแบบหยิบไม้แขวนเสื้อมาฟาดสักทีสองที แต่ประเภทตั้งเป็นกฏว่ากลับบ้านสายโดนตีสามที หรือมีไม้เรียวประจำบ้าน บอกตามตรงว่าถ้าจะหาเด็กที่ถูกเลี้ยงดูแบบนี้คุณหาคนที่ไม่รู้จักร้าน 7-11 ยังจะง่ายเสียกว่า แต่ในขณะเดียวพวกเขาจะเปลี่ยนการบังคับหรืองลงโทษทางกาย มาเป็นกดดันในรูปของความคาดหวังและแสดงออกในรูปคำพูดแทน แต่ลืมคำพูดประเภท "ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอก ก็อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ" หรือ "ฉันน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เด็ก" ไปได้เลย พ่อแม่สมัยนี้จิตวิทยาสูงขึ้น การบังคับจะออกมาในรูปแบบ "แค่นี้หนูทำเพื่อแม่ไม่ได้หรือลูก" ,"พ่อผิดหวังในการตัดสินใจของหนูมาก" ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาในรูปแบบเดิมคือสุดท้ายเด็กก็ทำตามความฝันของพ่อกับแม่ต่อไป == มีความสามารถพิเศษหลายอย่างแต่สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดลดลง == สมัยนี้อย่าถามเด็กว่าเรียนพิเศษหรือเปล่าแต่ต้องถามใหม่ว่าเรียนอะไรบ้าง เด็กแทบทุกคนเรียนพิเศษและไม่ใช่แค่อย่างสองอย่าง บางคนเรียนห้าหกอย่าง เรียนทุกวันก็ยังมี เคยถามเด็กว่าหนูต้องเรียนวันไหนบ้าง เด็กตอบว่า "ทุกวันที่น้ำไม่ท่วมคะ หนูได้หยุดไม่ต้องเรียนอะไรเลยก็ตอนที่น้ำท่วมนี่ละ" และเมื่อถามเด็กว่าที่เรียนนี่ความต้องการของใคร เด็กบอกว่า "ทั้งคู่" เจนเลยถามว่าหมายถึงแม่อยากให้เรียนแล้วหนูก็อยากด้วยใช่ไหม เด็กบอกว่าทั้งคู่นี่หมายถึงพ่อกับแม่ ไม่ใช่พ่อหรือแม่กับหนู แต่ก่อนเจนเชื่อมาตลอดว่าการเล่นและเรียนดนตรีเป็นการผ่อนคลาย แต่ทุกวันนี้บอกตามตรงเจนรู้สึกว่ามันเป็นงานหลักเป็นหน้าที่มากกว่างานอดิเรก เจนเคยถามเด็กที่กำลังจะจบปริญญาหลายคนว่าจบแล้วอยากทำอะไร ไม่น้อยเลยตอบว่า "อยากพักไม่ต้องทำอะไรสักปี เพราะหนูเหนื่อยมามากแล้ว" แต่ในขณะเดียวกันเด็กกลับมีความสามารถในการเอาตัวรอดต่ำลง พูดง่ายๆคือนอกจากเรียนหนังสือกับเล่นดนตรี เด็กทำงานบ้านหรืออะไรอย่างอื่นแทบไม่เป็นเลย ที่รู้สึกแบบนี้เพราะตอนพาเด็กไปเข้าค่าย เจนเห็นที่พักยังไม่ค่อยสะอาดเลยหาไม้กวาดมาให้แล้วบอกให้เด็กกวาด เด็กก็กวาดขึ้นลงแบบทาสี เห็นได้ชัดเลยว่ากวาดไม่เป็น เจนเลยทำให้ดูแล้วถามว่าหนูไม่เคยใช้หรือ เจ้าตัวแสบตัวที่หนึ่งรีบตอบทันที "สมัยนี้เขาใช้เครื่องดูดฝ่นกันหมดแล้วครู" แสบสองรีบเสริมให้ "หนูรู้จักแต่ใช้ไม่เป็นหรอก ที่รู้จักเพราะเคยเห็นในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์" ที่เด็ดกว่านั้นคือมื้อนึงให้เด็กลองประกอบอาหารกินเอง เมนูก็ง่ายสุดแล้วคือไข่เจียวหมูสับ ก็แจกวัตถุดิบให้ ไข่ หมูสับ น้ำมันพืช น้ำปลา สักพักเด็กวิ่งมาถามว่า ต้องใส่ไข่หรือน้ำมันก่อนหรือต้องใส่พร้อมกัน เจนก็บอกว่า "ใส่น้ำมันก่อนลูก รอให้น้ำมันเดือดแล้วค่อยใส่ไข่" ห้านาทีผ่านไปมองเห็นเจ้ากลุ่มที่มาถามควันขึ้นโขมง เจนเลยเดินไปดูก็เห็นหนูๆทั้งหลายนั่งกันเฉย พอถามว่าน้ำมันเดือดขนาดนี้แล้วทำไมไม่เอาไข่ใส่ พวกหนูๆก็บอก อ้าว เดือดแล้วเหรอหนูนึกว่ามันต้องเดือดปุดๆแบบน้ำเดือด พอบอกว่าเดือดแล้วเทไข่ใส่ได้แล้วก็เกี่ยงกันกลัวน้ำมันกระเด็น เจนเลยเทให้พอเสียงดังฉ่า หนูๆก็เอาแต่กรี๊ดแล้วกระโดดถอยหลังกันคนละก้าวสองก้าว สุดท้ายเจนก็ต้องทอดให้ พอเสร็จพวกเธอก็ขอบคุณกันใหญ่ เจนก็นึกในใจที่ทอดให้นี่ไม่ได้ห่วงแค่ว่าพวกเธอจะอดกินแต่ห่วงว่าถ้าปล่อยให้ทำเองคงได้ไฟไหม้ค่ายแน่ๆ และนอกจากเรื่องในตำราเรียนและแอพพลิเคชั่นในมือถือแล้ว เด็กๆก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร ตอนไปเที่ยวเจนลองซื้อมะไฟมากินแล้วส่งให้หลานบอกให้ลอง หลานกินทั้งเปลือกเพราะไม่เคยรู้จักมะไฟ พาลูกๆที่โรงเรียน ไปเข้าค่ายตอนเดินทางไกลก็แจกเข็มทิศกับแผนที่ให้ พวกเธอก็แย่งแผนที่กันแต่ไม่ใช่เพราะอยากดูเป็นแต่เป็นเพราะอยากได้ไปบังแดด เข็มทิศก็ไม่รู้จะใช้ยังไง(แต่สุดท้ายพวกหนูๆก็มาถึงจุดหมายได้ด้วย google map ในมือถือ ) จริงๆเรื่องพวกนี้ถ้าให้เขียนก็เขียนได้อีกเยอะ ทั้งเด็กกลุ่มนี้โตไปแล้วเป็นยังไง ประสบความสำเร็จในชีวิตแค่ไหน และเมื่อถึงเวลานั้นพ่อแม่รู้สึกอย่างไรกับผลลัพธ์ของการเลี้ยงดูลูกแบบนี้ หรือ ถ้าคุณเป็นนายจ้างแล้วเจอเด็กแบบนี้คุณควรจะทำเช่นไร แต่เนื่องด้วยเจนไม่อยากให้บทความแต่ละอันยาวจนเกินไป แล้วที่สำคัญคือไม่แน่ใจว่าจะมีใครสนใจหรือเปล่า บทความนี้จึงจะขอหยุดไว้ ณ แค่นี้ก่อนดีกว่า (บทความนี้เขียนจากประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัว ไม่ใช่เอกสารทางวิชาการหรืองานวิจัย คุณพ่อคุณแม่จะคิดเห็นเช่นไรนั้นขอได้โปรดใช้วิจารณญาณตัดสินด้วยตัวเอง) เจน ขอบคุณคุณเจนมากนะครับ
ที่แบ่งปันข้อมูลดีดีให้กับครูและผู้ปกครองของโรงเรียนต้นกล้าครับ แล้วผมจะกำชับเรื่องการให้เครดิตอีกครั้งครับ เรื่องเกมส์ ผมจำได้ดีครับ เพราะอ่านบล็อกที่่คุณเจนเขียนถึงการซื้อเกมส์ wii ให้น้อง อ่านแล้วเห็นด้วยเลยครับ กับวิธีเลี้ยงลูกของคุณเจน เดี๋ยวป้อนข้าวหมิงหมิงก่อนนะครับ แล้วจะกลับมาอ่านบล็อกนี้ของคุณเจนด้วยครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:18:02:01 น.
ตอนนี้เครียดกับคนสมัยใหม่ ที่เลี้ยงลูกตามใจ
แต่ป้าข้างบ้าน สอนการบ้านหลาน สอนไปตะคอกไป ด่าไป ฟังแล้วสงสารเด็กสมัยนี้...ที่ผู้ใหญ่ รังแกฉัน ...จริงๆ ชอบเพลงนี้มากกกกกกกกกกกกกกกก เมื่อคุณยิ้ม.........โลกทั้งใบ ก็ยิ้มไปพร้อม ๆ กับคุณ อยากให้คุณมีความสุขและยิ้มได้ ทุกวันทำการของหัวใจ มีใจมาให้...แทนคำขอบคุณจ๊ะ สุขสันต์วันพิเศษสุด ๆ อีกวันหนึ่่งในเดือนแห่งความรัก *~..แวะมาทักทายจ๊ะ..ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..~* วันสุดท้ายของเดือนแห่งความรัก คนโสดก็ยังโสดต่อไป เพราะครูภาษาไทย สอนแต่ สระอิ,สระอา, สระอุ, สระอู แต่ไม่ยอมสอนให้เรา .. "สละโสด" ..HappY BrightDaY.. โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:54:17 น.
เราสอนแต่ "ความรู้"
แต่ไม่เคยสอนให้เด็ก "เรียนรู้" เลยครับ และแม้เราจะเคยผ่านระบบการศึกษาที่เราไม่ชอบ ที่เราไม่มีความสุข แต่เราก็ยังเลือกระบบการศึกษาแบบนี้ ส่งมอบต่อให้กับลูกของเรา เพราะเราเชื่อไปแล้วว่าการเรียนรู้ คือ "ความรู้" ถ้ารู้เยอะ แสดงว่าเก่ง ถ้าจำเก่ง ก็จะสอบได้คะแนนสูง ถ้าคะแนนสูงก็แปลว่าเก่ง แต่คนเก่งของเรามักไม่มีความสุขในการเรียนรู้เลยครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:23:45:10 น.
หวัดดีค่ะคุณเจน อ่านๆๆๆๆ
มี๊เก๋ค่ะยินดีรู้จัก... มี๊เก๋จอมโหด..แต่ไม่สามารถโหดได้..เนื่องจาก ที่บ้านคุณตา คุณยาย ก๋ง อาม่า ตามใจมากๆ และมีกฎที่รู้กันว่า ห้าม ตี.... โดย: มี๊เก๋&ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 1 มีนาคม 2555 เวลา:16:34:54 น.
กระเช้าแบบเปิด
นั่งแล้วก็หวาดเสียวครับคุณเจน แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว ผมว่าปัจจุับันนี้คงพัฒนาไปเยอะเแล้วครับ เพราะการท่องเที่ยวของจีนบูมมากจริงๆ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มีนาคม 2555 เวลา:21:01:28 น.
พม่าเป็นประเทศที่ยังไม่ช้ำจกาการพัฒนาครับคุณเจน
วัดเค้าสวยงามมากจริงๆ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 มีนาคม 2555 เวลา:23:04:58 น.
อัพเดทข่าวสารฟรีได้ที่นี่ //wap.chickyclub.net/icw/?i=news เพื่อนๆ เข้าทางมือถือนะจ๊ะ
โดย: wee IP: 124.122.70.225 วันที่: 14 มีนาคม 2555 เวลา:15:14:51 น.
|
JanE & IK
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 44 คน [?] All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
พยายาม จะไม่เป็น ก็ไม่สามารถ ต่อต้านกระแสสังคมได้
เราจึงให้ลูกเรียนพิเศษ น้อยที่สุด คือสองอย่าง ดนตรี กับ ว่ายน้ำ
มือถือ ไอโฟน ไอพอด ไอแพด...จะพยายามให้ลูกห่างที่สุด
ตอนนี้ ป.1 ยังไม่ร่ำร้อง ได้แต่ไปแอบดู ของผู้ปกครอง/ พ่อแม่ของเพื่อนๆ เลียบๆ เคียงๆ ขอดูข้างๆ เค้า ไม่รู้ว่าจะยื้อให้ ไม่ซื้อไปถึงเมื่อไร
หนักใจ เหมือนกันคะ
ไม่รู้จะเลี้ยงลูกไปยังทิศทางไหน
ขอบคุณ ข้อมูล ของคุณเจน ที่แชร์ให้อ่านคะ...