เมื่อต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงชอบบงการชีวิตลูก
เมื่อต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงชอบบงการชีวิตลูก

มีครั้งนึงตอนที่เจนพาเด็กไปเข้าค่ายก็มีเด็กคนนึงสมมุติชื่อหนูไอซ์แล้วกันเข้ามาหามาปรึกษาเจน

หนูไอซ์บ่นให้ฟังบอกว่าพ่อกับแม่เธอวางแผน ตีกรอบ ชี้นำ (จริงๆก็คือบงการ)ชิวิตเธอแทบทุกอย่าง
พ่อกำหนดไว้หมดว่าเธอจะต้องเรียนอนุบาลประถมมัธยมที่ไหน จบแล้วต้องไปต่ออะไร แม่เธอก็คอยกำหนดว่าต้องเริ่มเรียนบัลเลต์ เรียนเปียโนตอนอายุเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็เรื่องอื่นๆอีกสารพัด

แล้วเธอก็ถามเจนว่า "ทำไมพ่อแม่ถึงชอบบงการชีวิตลูก พ่อแม่หนูปกติหรือเปล่าครู"

(หนูไอซ์นั้นเจนเคยคุยกับเธอมาก่อนหน้าก็พอทราบว่าแม้พ่อกับแม่จะบงการชีวิตเธอในหลายเรื่อง และเธอเองรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้มาก แต่ในขณะเดียวพ่อและแม่และก็ทุ่มเทความรักและใจดีกับเธอในหลายเรื่องเช่นกัน โดยรวมก็ยังถือว่าเธอเป็นเด็กที่มีความสุขไม่ถึงขั้นเป็นเด็กมีปัญหาหรือต่อต้านพ่อแม่ตัวเองจนเกินไป และที่สำคัญคือเจนเคยคุยกับพ่อของเธอและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการจะเปลี่ยนแปลงความคิดของพ่อเธอนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือพูดให้เธอยอมรับและเข้าใจในตัวพ่อและแม่ของเธอจะดีกว่า)



เจนก็บอกเธอว่า "คุณพ่อคุณแม่ท่านรักท่านหวังดีกับหนูไงละลูก ท่านก็อยากให้สิ่งที่คิดว่าดีที่สุดกับหนู"

เจนยังไม่ทันจะพูดต่อเธอก็ตัดบททันที "ใครๆก็ตอบแต่แบบนี้" น้ำเสียงเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พึงพอใจในคำตอบ

"ไอซ์ ถึงพ่อแม่จะชอบบังคับไอซ์แต่ทุกสิ่งที่พวกท่านทำลงไปสุดท้ายผลดีเหล่านั้นก็ตกกับตัวไอซ์เองไม่ใช่หรือ" เจนบอกเธอ

เธอยกมือไหว้ เจนคิดว่าเธอคงเริ่มเข้าใจแต่ที่ไหนได้ หนูไอซ์พูดต่อทันที "ขอโทษนะครูหนูไม่อยากได้คำตอบแบบอะไรๆก็เข้าข้างผู้ใหญ่ด้วยกัน แล้วหนูก็เบื่อคำตอบแบบเอะอะอะไรก็อ้างแต่รักแต่หวังดีแบบนี้เต็มทีแล้ว ด้วยเหตุนี้หนูถึงได้มาถามครูไง เพราเพื่อนๆเขาบอกว่าครูเจนสามารถอธิบายการกระทำทุกอย่างของมนุษย์ให้เข้าใจได้ถึงแม้บางทีมันฟังแล้วออกจะประหลาดๆหรือพิลึกๆก็ตาม"

(เออ ครูจะคิดว่าเป็นคำชมแล้วกันนะแล้วครูควรจะภูมิใจไหมนี่) เจนคิดในใจ

"เอาละ ก็ได้งั้นครูจะอธิบายให้ไอซ์ฟังจากสิ่งที่ครูได้ศึกษามา ก่อนอื่นครูต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุดที่พ่อแม่จะชอบให้ลูกทำตามความปรารถนาของตัวเอง เพราะจริงๆคนเรามีลูกก็เพื่อสิ่งนี้แหละ"

เธออ้าปากและมองหน้าเจน

"ถ้าไอซ์อยากจะเข้าใจพ่อแม่ ไอซ์ก็ต้องเข้าใจมนุษย์ก่อน"

"ไอซ์คิดว่าคนเราอยากมีลูกเพราะอะไร"

"อยากให้ครอบครัวสมบูรณ์ อยากมีโซ่ทองคล้องใจ อะไรทำนองนั้นมั้ง" เธอตอบ

เจนส่ายหัวแล้วบอกเธอว่า "จริงแล้วมนุษย์มีลูกเพราะแรงผลักดันจากสัญชาตญาณภายใน สัญชาตญาณที่เป็นตัวผลักดันให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยที่แม้แต่เจ้าตัวเองบางทีก็ยังไม่รู้"

"มนุษย์มีลูกเพราะแรงผลักดันจากสัญชาตญาณภายในสามอย่าง"



อย่างแรกเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ เหมือนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกนี้ ข้อนี้ไอซ์น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก ใช่ไหม

"ค่ะ" เธอตอบ


อย่างที่สอง จริงๆต้องบอกว่ามนุษย์ไม่ได้อยากมีลูกเลย สิ่งที่มนุษย์ต้องการจริงๆคืออยากเป็นอมตะแต่มนุษย์ทำไม่ได้มนุษย์เลยต้องมีลูกเพื่อชดเชยความไม่เป็นอมตะ ที่เป็นแบบนี้เพราะสัญชาตญาณภายในนั้นสอนให้มนุษย์รักตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อมนุษย์รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองลงทุน ลงแรงทำลงไป เช่น กิจการ สูตรอาหาร ความสามารถด้านดนตรี กีฬา จะต้องสลายหายไปพร้อมกับความตายของตน มนุษย์รับไม่ได้ และยิ่งทุกข์มากขึ้นเมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องถูกลืมหรือสิ่งที่ตัวเองหวงแหนนั้นต้องตกไปเป็นของคนอื่น มนุษย์เลยต้องการคนซึ่งมีความใกล้เคียงกับตนเองมากที่สุดมาสืบมาทอดสิ่งเหล่านั้นแทนซึ่งนั่นก็คือลูก



อย่างที่สาม จริงแล้วมนุษย์อยากย้อนอดีตได้แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกันมนุษย์เลยต้องมีลูกเพื่อชดเชยที่ตัวเองไม่สามารถย้อนอดีตได้

"เหตุการณ์อะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำไอซ์คิดว่าไอซ์มีความทุกข์" เจนถามเธอ

เธอคิดสักพักก่อนตอบออกมา "อกหัก มือถือหาย แล้วก็โดนแม่ตี"

"แล้วตอนนี้มีเพื่อนใหม่ มีมือถือใหม่และหายเจ็บแล้วยัง"

"มีแล้วๆก็หายเจ็บตั้งนานแล้วค่ะ"

"แล้วตอนนี้ยังเศร้ากับเรื่องพวกนั้นอยู่อีกไหม" เจนถามต่อ

"ถ้าไม่คิดก็ไม่เศร้าแต่ถ้าย้อนคิดหรือมีอะไรมาสะกิดให้ต้องคิดก็ยังเศร้าอยู่นะ" หนูไอซ์ตอบ

"มนุษย์เจ็บปวดจากความทุกข์แค่ครั้งเดียว แต่เจ็บปวดจากความคิดเป็นล้านครั้ง" เจนบอกเธอ

"คนทุกคนมีบาดแผลทางใจจากอดีตด้วยกันทั้งนั้นแม้แต่คนที่มีความสุขที่สุด และบาดแผลที่ลึกและมีผลกระทบต่อชีวิตมากที่สุดคือบาดแผลในวัยเด็ก ความสุขบางอย่างนั้นมีเงินมากเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือความทุกข์ความไม่สมหวังในวัยเด็ก"


ไอซ์ลองสมมุติว่ามีผู้หญิงคนนึงฐานะปานกลางวันดีคืนดีเธอถูกล็อตโต้ได้เงินมาพันล้าน เธอก้าวเท้าเข้าไปในพารากอนและคิดว่าจะซื้อทุกอย่างที่เธออยากได้โดยไม่สนใจราคาและเชื่อว่าวันนี้เธอจะกลับออกไปด้วยความสุขแบบสุดๆ แต่แล้วเมื่อเธอเดินผ่านแผนกของเล่นแล้วเห็นเด็กกำลังกอดขาขอให้แม่ซื้อตุ๊กตาหมีให้ สักพักแม่ก็ใจอ่อนและยอมตามใจ สุดท้ายลูกก็กอดตุ๊กตาหมีเดินออกมาด้วยแววตาที่มีความสุขอย่างที่สุด

ทันใดนั้นจิตใต้สำนึกก็ส่งสัญญาณเข้ามาในสมอง ภาพในวัยเด็กที่ตัวเธอเองเกาะตู้กระจกร้องไห้ขอให้แม่ซื้อตุ๊กตาหมีให้ก็ปรากฎตรงหน้า น่าเศร้าแม่เธอจนเกินกว่าที่จะซื้อให้ไหว สุดท้ายเธอก็ได้แต่กลับมานอนร้องไห้กับความว่างเปล่า ถามว่าตอนนี้เธอมีเงินพอซื้อตุ๊กตาหมีไหม แน่นอนอย่าว่าแค่ตัวเดียวเลยทั้งโรงงานก็ซื้อได้ แต่ปัญหาคือต่อให้มีตุ๊กตาหมีพันตัวมากองตรงหน้าแต่ความสุขที่ได้มันไม่ถึงเสี้ยวเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความสุขที่เธอเชื่อว่าเธอจะได้ถ้าเธอได้เป็นเจ้าของตุ๊กตาหมีในวันนั้น

สิ่งเดียวที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะลบความทรงจำอันเลวร้ายหรือพอจะเยียวยาได้บ้างคือมอบความสุขแบบนั้นให้กับคนที่ใกล้เคียงกับตัวเธอมากที่สุดซึ่งนั่นก็คือลูก

เพราะฉะนั้นครูก็ต้องบอกว่ามนุษย์ทุกคนนั้นคาดหวังอยากให้ลูกมาสืบทอดสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่ามีคุณค่า มาชดเชยความไม่สมหวังในวัยเด็กของตนด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเธอจะบอกว่าพ่อแม่ อย่ามาบังคับ อย่าตีกรอบ อย่าบงการ ชีวิตลูกเลยคงเป็นไปได้ยากเพราะคนที่สามารถสู้กับแรงผลักดันจากสัญชาตญาณภายในเหล่านี้หรือมีแรงผลักดันเหล่านี้น้อยกว่าคนส่วนใหญ่ พวกเขาก็มักจะไม่มีลูก เราทำได้ดีที่สุดก็แค่ลด หรือหาแนวทางประณีประนอม แต่การกำจัดไม่ให้มีเลยนั้นครูบอกเลยว่าทำได้ยากมากๆ

และถ้าไอซ์ลองพิจารณาดูดีๆจะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมีจุดกำเนิดมาจากความปรารถดี แต่ที่ปัญหามันเกิดเพราะคนเรานั้นชอบสิ่งต่างๆไม่เหมือนกันและมักคิดเอาเองว่าสิ่งที่ตัวชอบนั้นถูกนั้นดีและก็เที่ยวไปบังคับให้คนอื่นชอบตาม

ครูไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ไอซ์ทำถูกหรือครูเห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อแม่ไอซ์ทำ เพียงแต่อยากบอกให้เข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์

"แม่ชอบเล่าว่าตอนเด็กๆแม่อยากเรียนเปียโนมากแต่ตาไม่ให้เรียนบอกฟุ่มเฟือยไร้สาระ มิน่าทำไมแม่ถึงบังคับให้หนูเรียนเปียโน ที่แท้แม่บังคับหนูให้เรียนก็เพื่อความสุขของตัวแม่เอง" เธอพูดขึ้นมา

"ไอซ์จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิด แต่จะดีกว่าไหมถ้าไอซ์จะคิดว่าการที่ไอซ์เรียนเปียโนเป็นการช่วยให้แม่มีความสุข เป็นการช่วยเยียวบาดแผลทางใจในวัยเด็กของคุณแม่"

"ที่สำคัญสิ่งที่ไอซ์ทำเป็นสิ่งที่ไม่มีใครในโลกนี้ทำได้นอกจากไอซ์เพียงคนเดียว และครูถามจริงๆเถอะว่าไอซ์เองเกลียดการเล่นเปียโนจริงๆหรือว่าไอซ์ชอบเล่นเปียโนเพียงแต่พอรู้สึกว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากการถูกบังคับก็เลยพาลคิดว่าฉันจะต้องเกลียดมัน" เจนถามเธอ

เธอเงียบ ก้มหน้าและหลบตา สักพักเธอก็พูดต่อว่า

"ตั้งแต่เกิดมาหนูพึ่งเคยได้ยินอะไรแบบนี้ แต่จะว่าไปตอนที่หนูไปแข่งเปียโนแล้วได้รางวัล แม่ดีใจๆมากกว่าหนูซะอีก"

"พ่อก็เหมือนกันชอบบ่นพี่ชายหนูว่าทำงานกงสีไม่ได้เรื่อง ถ้าพ่อตายไปกิจการที่บ้านคงเจ็งเป็นแน่ พี่ชายหนูก็บอกว่าถ้าพ่อไม่อยู่แล้วก็จะขายไม่ทำต่อหรอก พอบอกแบบนั้นนะพ่อด่าใหญ่เลย พี่ก็มาถามหนูว่าป๊าแกจะเดือดร้อนอะไร(ก็ตอนนั้นป๊าไม่อยู่แล้ว) ก็อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ เดี๋ยวกลับไปหนูไปเล่าให้พี่ชายฟังดีกว่าเผื่อจะได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น"

แล้วเธอก็ขอตัวไปหาเพื่อน เจนก็ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยแววตาตอนที่เธอจากไปก็ดูอ่อนโยนไม่แข็งกร้าวมากเท่ากับตอนที่เริ่มคุยกันใหม่ๆ

(สิ่งที่เจนอธิบายให้เด็กฟังนั้นเป็นความรู้ที่มาจากการศึกษาวิชาที่เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล คุณพ่อคุณแม่จะคิดเห็นเช่นไรนั้นขอได้โปรดใช้วิจารณญาณตัดสินใจด้วยตัวเอง)


เจน



Create Date : 03 กรกฎาคม 2554
Last Update : 3 กรกฎาคม 2554 14:06:19 น.
Counter : 1539 Pageviews.

1 comments
  
ผมเคยตอบคำถามเรื่องการไม่เข้าใจพ่อแม่เอาไว้ในบล็อกครับ

ถ้าเด็กลองเปลี่ยนคำถามจาก

"ทำไมพ่อแม่ไม่เคยเข้าใจหนูเลย"

เป็น

"ทำไมหนูไม่เคยเข้าใจพ่อแม่" เลยดูบ้าง

มุมมองบางอย่างอาจจะเปลี่ยนไป


ช่องว่างของความรู้สึก
บางทีก็ต้องแลกกับความเจ็บปวด
ที่มาพร้อมกับคำว่าเติบโต


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:23:26 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

JanE & IK
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 44 คน [?]



Group Blog
กรกฏาคม 2554

 
 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
3 กรกฏาคม 2554
All Blog