"ทำโทษลูก" วิธีการยังไม่สำคัญเท่ากับการอธิบาย "ทำโทษลูก" วิธีการยังไม่สำคัญเท่ากับการอธิบาย ลูกทำผิดข้อตกลง ดื้อ พูดไม่ฟัง กลับบ้านดึก ทำยังไงดี "ตี" , "หักค่าขนม" , "ห้ามเล่นเน็ต" , "ยึดมือถือ" วิธีไหนได้ผลที่สุด หลายครั้งที่เจนถูกถามเรื่องนี้ แล้วทุกครั้งเจนก็จะตอบกลับไปว่า วิธีการไม่สำคัญเท่ากับการอธิบาย ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้ลูกทำอะไร สิ่งที่ดีสุดคืออธิบายให้ลูกรู้ว่าทำไมถึงต้องห้าม ทำไมถ้าเขาฝ่าฝืนแล้วถึงต้องถูกทำโทษ แล้วที่เราต้องทำโทษเขาเพราะอะไร "ลูกย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่ากลับบ้านดึกเป็นสิ่งที่ผิด" "นักเรียนมัธยมถ้ายังไม่รู้ว่ามาโรงเรียนสายเป็นสิ่งที่ผิดก็ปัญญาอ่อนแล้ว" เจนเดาว่าคงมีคนนึกถามในใจแบบนี้แน่ ใช่ค่ะ ลูกและนักเรียนข้างบนย่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นผิด แต่ รู้ว่าผิด กับ รู้สึกผิด สองคำนี้แตกต่างกันอย่างมาก ถ้าเด็ก รู้ว่าสิ่งนั้นผิด แต่ ไม่รู้สึกผิด เด็กจะกล้าทำเมื่อเขาคิดว่าจะไม่ถูกจับได้หรือเมื่อเขาคิดว่าความเสี่ยงที่จะถูกทำโทษคุ้มค่ากับความสุขที่เขาจะได้รับจากการฝ่าฝืนสิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าเด็ก รู้ว่าสิ่งนั้นผิด และ รู้สึกผิด เด็กจะไม่ทำไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน นอกจากจะไม่ทำแล้วเด็กจะชักชวนคนอื่นไม่ให้ทำด้วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่เห็นภาพเจนขอยกตัวอย่าง (เจนโชคดีอยู่อย่างที่นักเรียนที่เจนดูแลส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ให้การอบรมสั่งสอนเด็กมาดีพอสมควร เพราะฉะนั้นปัญหาหนักๆประเภทยาเสพติดร้ายแรง ทำร้ายร่างกาย ลักขโมยหรือตกกลางคืนแปลงร่างเป็นหนูน้อยสก็อยเกิร์ล เจนแทบไม่เจอ) ปีที่ผ่านมามีเด็กถูกทำโทษเรื่องมาสายพอสมควรจริงๆต้องเรียกว่าแทบทุกสัปดาห์แต่เรื่องลักขโมยไม่มี (มาสายเกินสามครั้งต่อเทอมทำโทษให้คุกเข่า40นาทีหรือกระโดดตบ25ที) เจนถามเด็กบางคนที่ถูกทำโทษเรื่องมาสาย ถามแบบเปิดใจบอกว่าให้พูดแบบที่รู้สึกครูสัญญาว่าจะไม่โกรธ เด็กแทบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หนูรับได้ หนูไม่โกรธครู หนูรู้ตัวว่าหนูทำผิด แต่ถ้าถามว่าหนูรู้สึกผิดไหม บางคนก็รู้สึก บางคนก็บอกแค่นิดเดียว บางคนบอกว่าไม่เลย "มาสายไม่ใช่อาชญากรรม" "พ่อบอกว่าหนูจะทำอะไรก็ได้ขอแค่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ มาสายไม่ได้ทำใครเดือดร้อนซะหน่อย" "หนูคิดว่ามาสายมันไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ไม่ได้เป็นบาปขนาดที่ต้องรู้สึกผิด" เจนถามเด็กว่าเธอเคยคิดจะขโมยของเพื่อนไหมและถ้าเธอเห็นคนกำลังขโมยของเพื่อนเธอจะทำยังไง แล้วถ้าจับได้ควรจะทำยังไงกับคนประเภทนี้ เด็กแทบทุกคนตอบคล้ายๆกันว่าหนูไม่เคยคิดที่จะขโมยของใคร แล้วถ้าหนูเห็นขโมยหนูจะแจ้งครู แจ้ง รปภ ส่วนหัวขโมยควรลงโทษให้หนัก เด็กบางคนก็บอกให้ไล่ออกเลย เพราะคนประเภทนี้เป็นคนเลวร้ายและเป็นอันตรายกับทุกๆคน มาโรงเรียนสายก็ผิด ลักขโมยก็ผิด แต่ทำไมการกระทำและความคิดของเด็กต่อสิ่งที่ผิดสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง??? เพราะเด็กรู้ว่าการมาสายผิด แต่เด็กจำนวนมากไม่รู้สึกผิด แต่เด็กทุกคนรู้ว่าการลักขโมยผิดและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องการหยุดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูก สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำให้เขารู้สึกผิดกับสิ่งนั้น รู้สึกเสียใจ รู้สึกละอายใจถ้าเขาได้ทำสิ่งนั้นไปแล้วเพราะ "ไม่มีการลงโทษวิธีไหน ทำให้คนที่ไม่คิดว่าตัวเองผิดรู้สึกผิดได้" ถ้าไม่อยากให้ลูกกลับบ้านเกินเวลาที่กำหนดสิ่งที่ควรจะทำที่สุดคืออธิบายให้ลูกเข้าใจว่า ทำไมต้องห้าม ที่ห้ามเพราะรักเพราะเป็นห่วงเพราะกลัวจะเกิดอันตราย กลัวจะถูกฉุด กลัวจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจ ถ้าไม่อธิบายลูกอาจจะเข้าใจว่าเพราะแม่กลัวไม่มีคนมาช่วยงานบ้าน เพราะยายบังคับแม่มาก่อนแม่เลยต้องมาบังคับหนู เพราะแม่อยากหาเรื่องหักค่าขนมหนูจะได้ประหยัดเงินแม่ เด็กบางคนคิดแบบนี้จริงๆ หรือตัวเจนเองเจนก็จะอธิบายกับเด็กว่าที่ครูต้องทำโทษเวลาพวกเธอมาสายเพราะว่าการมาสายนั้นจะมีผลเสียกับพวกเธอในอนาคต ถ้าเธอจองตั๋วเครื่องบินแล้วไปสนามบินสายตกเครื่อง นัดสัมภาษณ์งานสัมภาษณ์ขอทุนแล้วไปไม่ทันคนสัมภาษณ์กลับไปแล้ว ลองคิดดูจะเสียหายแค่ไหน ถ้าครูไม่สอนไม่ทำโทษเธอในวันนี้ ตอนนั้นเธอก็คงนึกในใจว่า "ทำไมไม่มีใครเคยบอก" จริงๆครูจะไม่ทำโทษเธอเลยก็ได้แต่ครูไม่อยากให้ชีวิตข้างหน้าของเธอถูกทำลายเพราะนิสัยการมาสายของเธอเอง อีกอย่างที่สำคัญคือ "การลงโทษได้แค่หยุดให้คนไม่ทำเลว แต่ไม่สามารถส่งเสริมให้คนทำดี" เราไม่สามารถสร้างเด็กดีได้โดยใช้แต่การลงโทษเพียงอย่างเดียว ถ้าคุณเลี้ยงลูกโดยใช้แต่การตั้งกฎ ใช้แต่บทลงโทษ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเชื่อว่าเขาสามารถฝ่าฝืนได้โดยไม่มีใครรู้ คุณก็จะเสี่ยงในการที่จะสูญเสียการเชื่อฟังจากเขา ถ้าคุณเลี้ยงลูกโดยใช้เงินเป็นเงื่อนไข ไม่ทำตามใจแม่หักค่าขนม ไม่เรียนคณะที่แม่ชอบเชิญหาเงินเรียนเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาหาเงินเองได้ คุณก็จะเสี่ยงในการที่จะสูญเสียการเชื่อฟังจากเขา แต่ถ้าคุณเลี้ยงลูกด้วยความรัก ด้วยการอธิบายว่าทุกสิ่งที่ห้าม ทุกอย่างที่ทำ ทุกการทำโทษ แม่ทำไปเพราะรัก คุณจะไม่มีวันที่จะสูญเสียเขา ส่วนตัวเจนเองก็โชคดีอีกอย่างคือน้องอิ๊ก(ลูกสาวเจน)พูดรู้เรื่อง เชื่อฟัง แค่อธิบายด้วยเหตุและผลก็เข้าใจ เวลาทำผิดแค่เจนดุ ก็น้ำตาร่วงแล้ว เจนเลยแทบจะไม่ต้องทำโทษอะไร แต่ถ้าถามว่าเคยตีลูกไหม เจนบอกเลยว่าเคยแต่น้อยมากๆ ทุกครั้งที่เจนคิดจะตีลูก เจนจะพูดกับตัวเองว่า ความรักความห่วงใยไม่ควรแสดงออกด้วยการทำร้ายและก็จะถามตัวเองว่าเราไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วหรือซึ่งเก้าในสิบครั้งที่เจนถามตัวเองจบลงด้วยการอบรมสั่งสอนลูกแต่เพียงอย่างเดียว แต่ที่ตีจริงๆครั้งสุดท้ายก็ตอนลูกปอสี่ ตอนนั้นลูกแอบขี่จักรยานออกไปที่ถนนใหญ่ของหมู่บ้านทั้งที่เคยห้ามไว้ วันนั้นเจนจำได้เลยว่าทั้งโกรธทั้งเสียใจแล้วก็ตัดสินใจว่าจะทำโทษด้วยการตี ก็ตีด้วยมือไม่ได้ใช้ไม้เรียวหรืออุปกรณ์อะไร (เวลาเจนตีลูก เจนจะตีด้วยมือทุกครั้งเพราะถ้าตีด้วยไม้เราไม่รู้ว่าเราตีลูกแรงแค่ไหน แต่ถ้าใช้มือถ้าเราตีแรงไปเราจะรู้เพราะเราจะเจ็บด้วยและสำหรับเจนการที่เราต้องเจ็บมือก็เป็นการเตือนสติเราด้วยว่าเป็นเพราะเราอบรมลูกไม่ดีเหมือนเป็นการลงโทษตัวเองไปในตัว และอีกอย่างคือการตีด้วยมือจะไม่ทำให้เกิดบาดแผลใดๆ)วันนั้นก็จำได้ว่าตีแรงพอสมควร ก้นลูกเปลี่ยนเป็นสีชมพูเลย พอตีเสร็จเจนก็กอดลูกแล้วอธิบายกับลูกว่าที่แม่ต้องตีเพราะแม่ต้องการให้หนูจำว่าสิ่งที่หนูทำเป็นสิ่งที่อันตรายมาก แม่ยอมให้หนูเจ็บวันนี้ดีกว่าที่จะต้องเจ็บกว่านี้อีกมากถ้าหนูยังฝืนทำสิ่งนี้อีก พอวันรุ่งขึ้นเจนถามลูกว่าหายเจ็บก้นหรือยัง ลูกบอกว่าเจ็บก้นไม่เท่าไหร่แต่เจ็บใจมากกว่า เจนก็ถามว่าหนูโกรธแม่เหรอ ลูกบอกว่า เปล่าหนูเจ็บใจตัวเองที่น่าจะห้ามใจตัวเองได้ตอนที่เพื่อนชวน หนูเสียใจที่หนูทำผิดมากจนทำให้แม่ต้องตีหนู เจนได้ยินก็ปลื้มใจว่าอย่างน้อยลูกก็เข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการสื่อ |
JanE & IK
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 44 คน [?]
All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
จริงครับ
การสอนให้เด็กรู้จักผิดถูกเป็นเรื่องยากมากเลยครับ
ขนาดบางทีเราสอนลูกไม่ให้พูดคำหยาบ
แต่เราเองก็ยังเผลอครับ แหะๆๆๆ