เปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ของเด็กไทย บางทีก็ไม่ง่ายเหมือนแค่คิดหรอก สิ่งหนี่งที่เจนได้ยินมาตลอดและคิดว่าคุณพ่อคุณแม่เองก็คงเคยได้ยินคือ ระบบการศึกษาไทยมีปัญหาและควรต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นแนวทางที่น่าสนใจคือแนวทางแบบชาติตะวันตก เราต้องสอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์,กล้าคิด กล้าแสดงออก,เรียนเอาความรู้ไม่ใช่แค่เกรด,ดูแลเด็กด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่กฎระเบียบ และควรให้เด็กประเมินครู เจนคิดว่ามีหลายท่านคิดแบบนี้ อาจจะไม่ใช่ทุกข้อ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสักข้อแน่ๆ ส่วนตัวทุกครั้งที่เจนได้ยินคำต่างๆเหล่านี้เจนก็นึกในใจทันทีว่า "อีกแล้วเหรอ" เอาละถ้าคุณอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วคิดว่า เจนกำลังจะบอกว่า เด็กไทยก็ต้องเรียนแบบไทยๆหรือแบบท่องจำสิ ,การศึกษาเพื่อปริญญาสำคัญที่สุด ,ไม้เรียวสร้างชาติ หรือจะให้เด็กประเมินครูได้ยังไงฉันรับไม่ได้หรอก เจนยืนยันอย่างหนักแน่นเลยว่าไม่ใช่อย่างนั้น แต่ที่เจนนึกใจว่า อีกแล้วเหรอ ก็เพราะเจนเห็นด้วยว่าการศึกษาแบบไทยๆควรต้องมีการปรับเปลี่ยนและเจนก็ได้พยายามปรับเปลี่ยนในส่วนที่ตัวเองทำได้มาโดยตลอด และหลายครั้งก็ต้องบอกว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใกล้เคียงอะไรกับสมมุติฐานเบื้องต้นเลย แล้วหลายหลักการที่คนนั้น คนนี้บอกว่าดีนักหนา แต่เมื่อเอามาใช้แล้วไม่มีใครพอใจและมีความสุขกับการปรับเปลี่ยนเลยสักฝ่าย เราลองมาดูตัวอย่างจะได้เห็นภาพชัดๆกันดีไหม สอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ ทุกๆคนชอบพูดว่าเราควรสอนให้เด็กไทยมีความคิดสร้างสรรค์ เจนเองก็ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนั้น และหลังจากที่ได้ทำการศึกษาและขอคำแนะนำจากผู้มีความรู้หลายท่านแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนคือ ข้อสอบ นั่นก็คือข้อสอบแบบปรนัย ซึ่งก็คือกากบาท ก ข ค ง นั้นไม่ส่งเสริมให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์แต่อย่างใด เพราะข้อสอบแบบนี้จะทำให้เด็กชินกับการหาคำตอบจากทางเลือกที่ผู้ใหญ่หามาให้ เจนจึงเสนอว่าควรต้องเปลี่ยนเป็นข้อสอบแบบให้เขียนบรรยายทั้งหมด แต่หลังจากทดลองทำแค่ในบางวิชาผลตอบรับที่ได้เยี่ยมยอดมาก นั่นก็คือเด็กไม่แฮปปี้เลยเพราะรู้สึกว่ามันยาก มั่วก็ไม่ได้ เดาก็ไม่ได้ ยิ่งเด็กประเภทเข้าห้องสอบแบบมีแต่ตัวกับหัวใจแทบจะลงไปดิ้นตาย และเมื่อคะแนนออกมาก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่คือมีเด็กได้ศูนย์ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีในตำนาน และไม่ใช่แค่เด็กแต่ครูเองก็ไม่ชอบเพราะต้องใช้เวลาในการตรวจนาน ครูบางท่านบอกว่าแค่นั่งแกะลายมือเด็กให้ออกก็หมดพาราไปเป็นกระปุกแล้ว และเมื่อเกรดออก เด็กและผู้ปกครองต่างก็ไม่พอใจมาขอดูข้อสอบมากกว่าสมัยใช้ข้อสอบแบบกากบาทหลายเท่า ตามมาด้วยข้อหาครูให้คะแนนลำเอียง หลังจากสืบสวนกันไปมาก็ได้ข้อสรุปว่า ครูไม่ได้ลำเอียงเพียงแต่ครูแต่ละคนมีแนวทางการให้คะแนนที่แตกต่างกันคือครูบางคนให้แบบฟันธงคือ ดีให้10 พอใช้ให้ 8 แย่ให้ 5 ครูบางคนยึดหลักถนอมน้ำใจ ดีให้ 9 พอใช้ให้ 8 แย่ให้ 7 ครูบางคนให้น้ำหนักกับแนวคิดมากกว่าปริมาณ ครูบางคนคิดว่าเนื้อหาเยอะๆสำคัญกว่า ยิ่งเป็นภาษาอังกฤษยิ่งไม่ต้องพูด สำนวนดี สำนวนห่วย เอาตาชั่งยี่ห้อไหนมาวัดก็ไม่มีทางให้ถูกใจทุกฝ่าย และเมื่อบทสรุปออกมาว่าไม่มีใครพอใจในการเปลี่ยนแปลงเลยสักฝ่าย เทอมต่อมาเป็นอย่างไรคุณเองก็น่าจะรู้ นอกจากข้อสอบแล้วรายงานก็พอๆกัน เมื่อไหร่ที่ให้เด็กทำรายงานแบบให้อิสระเต็มที่ เด็กหลายคนทำไม่เป็นจะมาคอยถามว่าต้องทำอย่างไร ต้องมีกี่บท กี่หน้า ต้องมีคำนำไหม พอครูบอกให้ตัดสินใจเอง หนูๆก็ไม่ค่อยพอใจบอกแต่แล้วหนูจะทำไงละเนี่ย สุดท้ายก็จบด้วยการมาอ้อนว่า ครูจะไม่บอกก็ได้แต่ขอดูตัวอย่างของเทอมที่แล้วได้ไหม ให้หนูทำเองทุกอย่างหนูทำไม่เป็นหรอก กล้าคิด กล้าแสดงออก เจนเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองว่าตอบได้ทุกคำถาม เจนชอบให้เด็กถาม ไม่ว่าจะถามอะไรหรือถามกวนแค่ไหน เจนก็ไม่เคยโกรธ แต่ปัญหาคือเด็กไทยไม่ชอบทั้งถามและตอบ เพราะเป็นโรค สหphobia ซึ่งก็คือ กลัวเด่น กลัวโดนด่า กลัวครูอธิบายยาวแล้วจะทำให้เลิกช้า กลัวว่าคำถามที่ถามจะเป็นคำถามโง่ๆไหม ให้ตอบก็ไม่ชอบตอบเหมือนกัน กลัวตอบผิด กลัวตอบมากแล้วเพื่อนหมั่นไส้ กลัวที่จะพูดกับผู้ใหญ่ กลัวอะไรก็ไม่รู้รู้แต่ว่ากลัว เพราะฉะนั้นแทบทุกครั้งที่เจนถามว่ามีใครอยากถามอะไรไหม สิ่งที่ตามมาคือความเงียบ ด้วยเหตุนี้ครูก็เลยต้องเอาคะแนนมาล่อ คราวนี้ก็มีเด็กตอบมากขึ้นอีกหน่อยแต่ถ้าสังเกตไปนานๆก็จะเห็นว่ามีแต่หน้าซ้ำๆหน้าเดิมๆ พวกที่ไม่ชอบตอบทำยังไงก็ไม่ตอบ เรื่องพูดหน้าห้องก็เหมือนกัน เด็กบางคนจะตายให้ได้พอรู้ว่าต้องมารายงานหน้าชั้น เครียดลงกระเพาะหนีไปนอน รพ เลยก็มี บางคนออกมาแล้วพูดตะกุกตะกัก เพื่อนหัวเราะก็โกรธก็งอนจากเพื่อนก็กลายไปเป็นศัตรูกันไปเลยก็ยังมี บางทีเวลามีคนบอกว่าต้องส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออก เจนอยากถามกลับว่าถ้าส่งเสริมแล้วแต่เด็กไม่ชอบแล้วจะให้ทำยังไง เจนเห็นด้วยว่าการให้เด็กกล้าแสดงออกเป็นสิ่งที่ดี แต่การบังคับให้เด็กที่ไม่กล้าแสดงออกหรือไม่ชอบแสดงออกมาแสดงออกนั่นละถูกต้องไหมและแน่ใจแค่ไหนว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เรียนเอาความรู้ไม่ใช่แค่เกรด ตอนที่ยังสอนอยู่เจนเคยบอกลูกๆว่า สิ่งที่ครูจะพูดต่อไปนี้นะจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในอนาคตต่อพวกหนูมากๆ ผลก็คือหนูๆทั้งหลายก็ยังนั่งสัปหงกท่าเดิม ตัวที่ทำหน้าเป็นพรีเซ็นเตอร์ยาหม่องตราลิงถือลูกท้อก็ยังทำหน้าเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แล้วพอตอนพูดก็เห็นได้อย่างชัดว่าไม่มีใครสนใจฟังหรือจดสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่เจนบอกว่า สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้เป็นแนวทางของข้อสอบที่จะออกนะ หนูๆทั้งหลายก็จะหูตั้งหางสั่นระริกๆ ใครหลับอยู่ก็รีบตื่นแบบตาค้าง แล้วพอบอกไปก็จดกันเต็มที่ ขออนุญาตเอามือถือมาอัดเสียงก็ยังมี บอกตามตรงเจนไม่ได้โทษเด็กนะ เพราะตราบใดที่ผู้ปกครองยังตัดสินความฉลาดของลูกตัวเองจากตัวเลขสามตัวที่มากับจุดทศนิยมอีกหนึ่งจุด เด็กไทยก็ยังมุ่งมั่นเรียนเพื่อเอาเกรดหรือเพื่อหนทางสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป ส่วนความรู้ที่ได้ก็ถือว่าเป็นของแถม อีกอย่างที่เจนได้ยินบ่อยคือต้องสอนให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ใช่ป้อนทุกอย่าง เจนก็เห็นด้วย เจนเคยบอกครูท่านหนึ่งว่าให้ลองให้การบ้านก่อนสอน อธิบายแบบง่ายๆคือให้เด็กไปอ่านมาล่วงหน้าและทำการบ้านที่ให้ไปเองในเรื่องที่ยังไม่ได้สอน ซึ่งการบ้านนั้นไม่ยากเลยถ้าเด็กไปอ่านแล้วต้องทำได้แน่ๆ แต่ปัญหาคือเด็กบางคนไม่ยอมอ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นภาษาอังกฤษและก็บอกผู้ปกครองว่าครูให้การบ้านมาทั้งๆที่ไม่เคยสอน ผลคือผู้ปกครองก็เข้าใจว่าครูขี้เกียจ ครูหาเรื่องให้เด็กไปเรียนพิเศษ แล้วผู้ปกครองก็โทรมา(คงโทรมาชื่นชมมั้ง)ครูก็อธิบายถึงแนวทางที่จะทดลองใช้ แต่ผู้ปกครองก็ไม่ยอมเข้าใจและสรุปแค่ว่า ไม่สอนแล้วเด็กจะทำได้ๆยังไง ถ้าเด็กรู้หมดทุกอย่างแล้วก็คงไม่เสียตังค์แพงๆให้มาเรียนที่นี่หรอก ดูแลเด็กด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่กฎระเบียบ วัฒนธรรมองค์กรของที่ๆเจนดูแลอยู่ คือ ให้ครูดูแลเด็กเหมือนแม่ดูแลลูก เน้นใช้ความเข้าใจมากกว่าการบังคับใช้กฏ และถ้าเด็กออกฤทธ์ออกเดชก็จะดูเป็นรายๆเป็นกรณีๆไป ซึ่งก็หมายความว่าเด็กทำผิดเหมือนกันก็อาจได้รับโทษไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับเหตุผลหลายๆอย่าง และจากหลักการนี้ทั้งเด็ก ทั้งผู้ปกครองรวมทั้งครูเองต่างก็เห็นชอบ เห็นด้วยและเชื่อมั่นว่าดีมากๆ แต่เมื่อนำมาปฏิบัติเข้าจริงๆหลายๆทีครูก็ถูกหาว่าลำเอียง เช่น หนูน้อยเอกับหนูน้อยบีแอบเล่นมือถือในเวลาเรียนหลังจากโดนยึดส่งมา พอตกเย็นหนูน้อยเอได้มือถือคืนแต่หนูน้อยบีไม่ได้ต้องให้ผู้ปกครองมารับในอีกวัน ท่านทั้งหลายก็จะสรุปแบบฟันธงว่าเพราะ หนูน้อยเอเป็นลูกรักของครูเจนและครูเจนลำเอียง ซึ่งถ้าดูจากผลลัพธ์แค่นี้ก็คงใช่ แต่เจนถามกลับว่าถ้าหนูน้อยเอเป็นเด็กที่ความประพฤติดีมาตลอด สามปีที่อยู่ด้วยกันมาก็ไม่เคยทำผิดอะไรและเมื่อมารายงานตัวหนูน้อยเอก็ยอมรับ ขอโทษ ขอโอกาส ในขณะที่หนูน้อยบีพอครูถามด้วยประโยคอย่างเป็นกลางที่สุดว่า เกิดอะไรขึ้น หนูน้อยบีก็ไม่ตอบแต่ถามย้อนว่าต้องให้ผู้ปกครองมารับถึงจะได้คืนใช่ไหม พอครูพยักหน้าหนูน้อยบีก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไปเลย เจนถามว่าผิดไหมที่ไม่คืนมือถือให้หนูน้อยบีแบบที่คืนให้หนูน้อยเอ และถ้าใครจะบอกว่าต่อไปก็ไม่ต้องไปฟังข้อแก้ตัวหรือเหตุผลอะไรของเด็ก ให้บังคับใช้กฏอย่างไม่มีข้อยกเว้น เจนถามหน่อยว่าการทำโทษเด็กในกรณีนี้มันไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อตกลงของหลักการในย่อหน้าแรกที่เมื่อประกาศออกไปทุกฝ่ายต่างก็เห็นด้วย ชื่นชอบและสนับสนุนอย่างเต็มที่หรอกหรือ และถ้าครูไม่ทำตามหลักการที่เคยประกาศไว้นี้ เปลี่ยนมาเป็นกฎต้องเป็นกฎ ครูก็จะกลายเป็นพวกทรยศต่อหลักการของตัวเอง ,ดีแต่พูด ,โกรธเด็กคนนึงแล้วพาลมาลงกับเด็กทั้งโรงเรียน เป็นจอมสร้างภาพและทำทุกอย่างเพื่อที่จะอัพเกรดให้โรงเรียนดูดี จะได้เก็บค่าเทอมแพงๆ กับเขาไปอีกคนหรอกหรือ ให้เด็กประเมินครู ระยะหลังกระแสเรื่องนี้มาแรงมาก ที่ๆเจนดูแลอยู่ก็เช่นกัน ซึ่งในที่สุดก็ได้นำมาทดลองใช้ โดยให้นักเรียนทุกคนประเมินครูทุกคนในทุกๆด้าน โดยจะนำผลประเมินมาใช้ในการประเมินศักยภาพของครูแต่ละคนในทางอ้อมอีกด้วย ผลที่ออกมาคือปัญหาเกิดกับเด็กช่วงชั้นล่างๆ นั่นคือ เด็กจะประเมินครูจากความใจดีมากกว่าความสามารถในการสอน หรือถ้าจะให้เห็นภาพก็สมมุติว่ามีครูอยู่สองคน คนแรกคือครูส้ม ครูส้มอายุน้อย ใจดี ไม่เคยทำโทษเด็ก วางตัวแบบเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งครู ในขณะที่ครูอีกคนสมมุติว่าชื่อครูมะนาวแล้วกัน ครูมะนาวเข้มงวด ดุ สอนแบบจริงจัง ออกข้อสอบกลางภาคยาก(ครูบอกว่าเพราะอยากให้เด็กขยัน) วางตัวในสถานะครูล้วนๆ ผลคือครูส้มโกยคะแนนประเมินเต็มถึงเกือบเต็มในทุกหัวข้อ ในขณะที่ครูมะนาวได้คะแนนต่ำมากอย่างโดดเด่นและตกค่าเฉลี่ยอย่างชัดเจน ถ้าดูจากผลลัพธ์ก็ต้องบอกว่าครูมะนาวไม่มีศักยภาพ และเป็นจุดอ่อน เอาละเจนไม่ได้บอกว่านี่เป็นความผิดของเด็ก เพราะเจนถือว่าครูเองก็มีหน้าที่ต้องทำให้เด็กมีความสุขกับการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน แต่ที่เจนจะบอกว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็นคือ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดในหัวข้อที่ไม่ได้เกี่ยวกับครูโดยตรง(แต่ใส่ไว้เพราะคิดเหมือนกันว่าอาจเกิดกรณีแบบนี้) ซึ่งก็คือหัวข้อเกี่ยวกับสภาพห้องเรียน และเอกสารประกอบการเรียนการสอน ครูส้มก็ยังได้มากกว่าครูมะนาวอย่างชัดเจน ซึ่งขัดแย้งในแง่ความเป็นจริง เพราะห้องเรียนที่ใช้ก็ห้องเดียวกัน เอกสารการสอนครูที่ทำก็คนๆเดียวกัน ผลที่ได้จากการประเมินเลยกลายเป็นว่า ลูกๆที่โรงเรียนสามัคคีกันดีมาก ครูคนไหนที่ใจดีกับพวกหนูๆ พวกหนูๆชอบพวกหนูๆรักจะให้แต่ห้ากับสี่(เต็มห้า)โดยไม่ใจว่าหัวข้อคืออะไร ส่วนครูคนไหนที่ดุ ชอบยึดมือถือ ออกข้อสอบยากๆ หนึ่ง สอง สาม เท่านั้นที่ครูจะได้ เอาละก่อนจะจบเจนขอย้ำอีกครั้งว่าเจนไม่ได้บอกว่าการปรับเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือควรต้องอนุรักษ์ทุกอย่างไว้เหมือนเดิม สิ่งที่อยากบอกคือหลายครั้งหลักการที่ฟังดูดีนั้นเมื่อนำมาปฎิบัติแล้วมันไม่ได้เป็นไปตามนั้น ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าหลักการมันผิดเพราะจริงๆเจนก็ยอมรับว่ามีหลายที่ๆนำสิ่งต่างๆเหล่านี้มาใช้ แล้วก็ใช้ได้ผลไม่ได้มีปัญหาอย่างที่ว่ามา ซึ่งก็อาจเป็นเพราะปัจจัยแวดล้อมแตกต่างต่างกัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะเจนไม่มีศักยภาพเพียงพอเองก็เป็นได้ เอาเป็นว่าเรื่องที่เล่ามาถือเป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวในมุมมองส่วนบุคคลก็แล้วกัน |
งานเยอะมาก จนเหนื่อยล้า ไม่ได้มาทักทาย
ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกัน...
ขอบคุณมิตรภาพดี ๆ
...ของเพื่อนบ้านใจดี...แบ่งความสุขให้กันตลอดเลย...
. . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .
. . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .
. . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . .