YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
5.. กระซิบบอกตัวเอง ณ เบอร์ลินว่า "ผ่านสามวันแรกไปให้ได้นะ"

อาจจะเพราะประสบการณ์การไปอยู่ที่สิงคโปร์มาปีกว่า รวมถึงที่เคยเข้าค่ายวงโยธวาทิตสมัยมัธยม เดือนกว่าที่ออสเตรเลีย หกเดือนที่ฮ่องกง และเกือบสองเดือนที่อินเดีย ทำให้โหมด “ห่างบ้าน” ของเราได้รับการกระตุ้นและพัฒนาให้พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งยังสอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก เราก็อยู่ได้ แรกๆ อาจจะลำบากและอยากกลับบ้าน ความไม่คุ้นกับสถานที่ ใบหน้าผู้คนที่ต่างไปจากที่เคยชิน วัฒนธรรม ภาษา อาหารการกิน สภาพอากาศ วิถีชีวิต และอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ถ้าความกระตือรือร้น อยากจะรู้ อยากจะเรียน พ่ายแพ้ต่อความอยากสบายเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราจะไม่มีความสุขทันที เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญคือ หล่อเลี้ยงแรงบันดาลใจและความอยากรู้อยากเรียนของเราไว้ให้เต็มถังตลอดเวลา เพราะมันคือน้ำมันที่ทำให้เราวิ่งไปข้างหน้าได้ ออกรถแรกๆ อาจเซไปเซมาเพราะไม่คุ้น แต่ขับมันไปเรื่อยๆ ก่อน

ผ่านสามวันแรกไปให้ได้ เดี๋ยวอยู่ได้เอง .. ประสบการณ์บอกเรามาแบบนี้

สองวันนี้เราจะไปเข้าเวิร์คชอปแล้ว เราลืมตาตื่นมาตอนตีห้า ตื่นเช้าที่สุดในชีวิต เป็นการ jet lag ที่ดีจังเลย ตัดสินใจแล้วล่ะ จะไม่ปรับนาฬิกาชีวิตละ เอามันตามเวลาเมืองไทยนี่แหละ พอมายุโรปเลยกลายเป็นว่าเข้านอนสามทุ่มตื่นนอนตอนตอนตีห้า โอ้ว สุขภาพดีสุดๆ ไปเลย ข่มตานอนต่อยังไงก็นอนไม่หลับ หรือเพราะว่าเปิดไฟทิ้งไว้แล้ว เลยนอนต่อแล้วนอนไม่หลับ แต่ช่วยไม่ได้ล่ะ ก็คนมันคืนกลัวผีนี่นา

ตื่นแล้วก็ตื่นเลยละกัน ทำอะไรดีล่ะ นั่งเล่นฆ่าเวลา หาข้อมูลเรื่องตั๋วรถไฟไปอัมสเตอร์ดัม หาโฮสเทลนอน ที่อัมสเตอร์ดัมโฮสเทลเยอะมากๆ อ่านรีวิวกันไม่หวาดไม่ไหว เผลอแปบเดียวก็ผ่านไปแล้วเป็นชั่วโมง ดีนะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ไม่งั้นอาจเลยยาวจนกลายเป็นไปสายเลยก็ได้

เลยลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปผจญโลกกว้างดีกว่า ใช้เวลาไม่นานก็แต่งกายเต็มยศพร้อมลุยหิมะ แวะดื่มกาแฟที่ common room สักแก้ว ตาจะได้โตๆ เจอกับพนักงานกะเช้าอีกคนชื่อเจอโรม คุณเธอน่ารักสุดๆ ทั้งนิสัยทั้งหน้าตา (อุ๊บส์) ทำให้กาแฟอร่อยขึ้นสิบเท่า เจอโรมแนะนำให้เราเช่าตั๋วรถไฟกับทางโฮสเทลเพราะมันจะประหยัดกว่า คือโฮสเทลซื้อตั๋วเดือนไว้ ทางโฮสเทลให้เช่าเป็นวัน ถ้าถือใบนี้ก็ขึ้นได้เป็นบุฟเฟ่ต์เลย ไม่ต้องนับเที่ยวจนกว่าจะหมดอายุ เขาคงได้กำไรนิดหน่อยแหละ แต่เราคำนวณออกมาแล้ว ยังไงก็คุ้มอยู่ดี เลยขอเช่าตั๋วนี้ไว้สามวัน

เจ็ดโมงครึ่งเราก็ออกจากโฮสเทล เล็งร้านกาแฟแถวๆ สตูดิโอไว้ร้านหนึ่งตั้งแต่เมื่อวาน กะไปนั่งชิลๆ รอเวลา จริงๆ ร้าน Grand Ma’s ข้างๆ โฮสเทลก็มีบริการบุฟเฟ่ต์อาหารเช้านะ แต่ว่าตั้ง 8 โมงแน่ะ สายไป ไม่ทันทำมาหากิน อีกอย่าง นิสัยเราเวลากินบุฟเฟ่ต์ก็ยัดทะนานเข้าไปแบบกลัวจะไม่คุ้ม ถึงมันจะถูกแสนถูกก็เถอะ (แค่ 6 ยูโร หรือประมาณ 240 บาทเท่านั้น ถือว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับค่าครองชีพโดยประมาณของยุโรป) ถ้ากินอย่างนั้นสงสัยจะเต้นไม่ไหวแน่ๆ

ข้างนอกผู้คนเริ่มเดินขวักไขว่ แต่ดูเมืองยังหลับไหล หิมะที่หนาหลายนิ้วฟ้องว่าเมื่อคืนหิมะคงตกทั้งคืน และป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีวี่แววของพระอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย นี่สินะเมืองหนาว กลางวันสั้น กลางคืนยาว เมื่อวานห้าโมงเย็นก็มืดสนิทแล้ว นี่แปดโมงแล้ว ก็ยังดูเหมือนตีห้าอยู่เลย แต่อย่างไรก็ตาม เช้านี้เบอร์ลินก็ดูจะสดใสกว่าเมื่อคืนนี้มาก แม้ว่าจะยังทึบๆ ทึมๆ อยู่ก็ตาม

เพราะซ้อมเดินทางมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เลยง่าย เริ่มขึ้นลงรถไฟได้คล่อง สี่สิบนาทีเป๊ะก็ไปถึงร้านที่เล็งไว้ Choco and Choco Cafe-Backerei

เมนูที่เข้าใจได้ไม่ยาก

เราสั่ง sandwich ขนมปังพันปีปาหัวหมาแตกมากิน ที่เราเรียกอย่างนั้นเพราะมันเป็นขนมปังที่แข็ง.. แข็งมากๆ แต่เราก็บ้า ชอบขนมปังแข็งๆ ดำๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เป็นแซนด์ชิวแฮมชีส สั่งแบบจิ้มๆ เอา อ่านหนังสือคู่มือการเอาตัวรอดมา ให้พูดว่า dat dat คือ อันนั้นๆ พร้อมกับเอานิ้วชี้ๆ ไป แล้วก็บอกว่า อาย.. (Ein) แปลว่าเอาอันเดียว จบ จ่ายตังค์ ได้แซนด์วิชอร่อยๆ มากิน กาแฟแก้วที่สองของวันที่สั่งที่ร้านนี้ก็อร่อย กาแฟกับอากาศหนาวเป็นของคู่กันจริงๆ


วันแรก กินกับคาราเมลมัคคิอาโต


วันที่สอง กินคู่กับคาปูชิโน

ตั้งใจจะค่อยๆ ละเลียดอาหารเช้า และนั่งแช่อยู่ที่นี่นานๆ เพราะเหลือเวลาบานกว่าจะถึงเวลาเวิร์คชอป ก็ตั้งใจมาเร็วๆ เองแหละ ร้านนี้อยู่ใกล้ๆ กับสตูดิโอ เดินไปแปบเดียวก็ถึง มีเวลาถมเถให้เรานั่งทำใจ ใช่, นั่งทำใจ เพราะว่าตอนนี้ทั้งกลัวและประหม่า การเป็นกะเหรี่ยงทำให้รู้สึกถูกเพ่งเล็งตลอดเวลา ยิ่งในห้องเต้นยิ่งไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง แปลกที่ชีวิตการเต้นของเรากว่ายี่สิบปีนั้น ทั้งการเรียนเต้นมา 12 ปี เป็นครูสอนเต้นมา 8 ปี และถีบตัวเองขึ้นมาเป็นนักเต้นใน company ได้ 2 ปี ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ทำให้เรามั่นใจในความเป็น Professional Dancer ของเราเลย คนเอเชียอย่างเราจะสู้เขาได้ไหม นิสัยความเป็น Perfectionist กลัวว่าตัวเองจะไม่เป๊ะ จะไม่เก่งทำให้เรากลัว กลัวเหลือเกินว่าจะห่วยที่สุด กลัวว่าจะทำอะไรให้ต้องอับอายขายหน้าเขา

อิบ้า.. ด่าตัวเองในที่สุด จะไปกลัวอะไร ก็แค่อย่าคาดหวังว่าเราจะทำได้ นึกไว้ว่าเราเป็นควาย เราเลยต้องมาเรียน มาหาความรู้เพิ่มเติมไง มาไกลซะขนาดนี้ ถ้ามาฉลาดก็เปลืองตังค์แย่สิ เราต้องเป็นควายแหละ ถูกต้องที่สุดแล้ว คิดได้อย่างนี้ก็ยิ้มออก เออเนอะ อยู่ที่นี่เราเปิ่นได้ โก๊ะได้ เพราะไม่มีใครรู้จักเรา ออกจะดี ว่าแล้วก็กินขนมปังสบายใจ

นั่งอยู่นานจนสังเกตเห็นว่าคนที่นี่เวลามาจากข้างนอก คนที่นี่เขาจะกระทืบเท้าแรงๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา ดูไปดูมาก็ อ้อ..เพื่อไล่หิมะออกจากรองเท้านี่เอง ต่อไปนี้รู้ละว่าต้องทำไง ซึ่งเราเองไม่เคยรู้มาก่อน เพราะว่าบ้านเดี๊ยนมันไม่มีหิมะนี่หว่า (ท่านผู้อ่านที่รู้แล้วอย่าขำเรานะ ว่าทำไมต้องเล่า แหะๆ) คือถ้าเป็นบ้านเราก็จะเช็ดกับผ้าเพื่อซับน้ำใช่ไหม ที่นี่บางที่เขาจะมีคล้ายๆ ฝาตะแกรงปิดท่อเอาไว้ให้เราย่ำๆ ไล่หิมะเพื่อไม่ให้หิมะละลายเข้ามาเฉอะแฉะข้างใน มิน่าล่ะ เมื่อกี้เข้ามาลื่นปื๊ดเป็นสเก็ตช์น้ำแข็ง โชคดีที่เป็นนักเต้น เลยทรงตัวไว้ได้ไม่ยาก ที่แท้ มันเป็นเพราะเราไม่ได้ย่ำๆ เท้านั่นเอง

เออ.. ดูๆ ไปเหมือนระบำคาแรคเตอร์ (ระบำพื้นบ้านรัสเซีย) ที่เคยเรียนตอนเด็กๆ นะ มันเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรบัลเล่ต์ที่ส่งตรงมาจากอังกฤษเลย อันนั้นเราต้องใส่รองเท้ามีส้นไม้สีดำ เวลาเดินก็จะมีเสียงก็อกๆ ในระบำก็มีย่ำๆ เท้าด้วย สงสัยมันมาจากวัฒนธรรมการย่ำๆ ไล่หิมะนี้แน่ๆ เลย .. อันนี้คิดเองนะ ไม่มีหลักฐานใดๆ รองรับ

ถึงเวลาเราก็มุ่งหน้าไปยังสตูดิโอ Eden หิมะลงตามเคย แต่วันนี้หิมะกลับให้ความรู้สึกดี ไม่ใช่เราไม่เคยเห็นหิมะ หลายที่ที่เราเคยไปเที่ยวก็มีหิมะ แต่มันคือการมองด้วยสายตาของนักท่องเที่ยว เราสัมผัสหิมะ แล้วเราก็ขึ้นรถ เห็นบ้านเมืองจากมุมสูงบนรถโค้ช ซึ่งก็สัมผัสอะไรไม่ได้มากหรอก แต่นี่เรากำลังเดินอยู่บนถนนเหมือนคนอื่นๆ สัมผัสความหนาวไปกับเขา กินข้าวเช้าแบบเขา ขึ้นรถไฟแบบเขา และกำลังจะได้ลองใช้ชีวิตแบบนักเต้นไปกับนักเต้นที่นี่ด้วย แว่บนั้น นึกขอบคุณตัวเอง ขอบคุณจริงๆ ที่กล้าตัดสินใจพาตัวเองมาถึงที่นี่.. ขอบคุณพ่อแม่ที่เข้าใจ (แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม)

ออกเดินทาง ย่ำหิมะต่อไป

ทางที่กำลังเดิน


มีแต่หิมะ ถ่ายทีต้องชักถุงมือออก อูย หนาว

ระหว่างมุ่งหน้าไปสตูดิโอ ก็ถ่ายเก็บภาพไปเรื่อยๆ


งานกราฟฟิตี้แบบเบอร์ลินๆ

เห็นโบสถ์อยู่ด้านหน้า


เป็นโบสถ์ที่สวยมากๆ ค่ะ อยู่เกือบกลางสี่แยกเลย


ด้านหลังที่เปิดไปสู่สตูดิโอ Eden นั้นสวยเหมือนภาพวาด เสียดายที่เราไม่ได้เอากล้องมา มีแต่ไอโฟนที่แค่พอถ่ายได้ ข้างหน้าเขาเปิดเป็นร้านกาแฟ พอเดินทะลุประตูหลังไปก็จะเห็นตึกสไตล์โมเดิร์นอีกหลัง รอบข้างคล้ายๆ จะเป็นสวนแบบไม่ตั้งใจ คือมันเป็นเพียงที่ว่างๆ ที่มีต้นไม้ขึ้น และเขาก็เก็บให้มันสะอาดสะอ้าน อีกด้านก็มีกระดานลื่นสำหรับเด็กมาตั้งไว้เก๋ๆ



Eden


ห้องแต่งตัวที่นี่ไม่ได้จัดเป็นห้องๆ เหมือนห้องลองเสื้อในห้าง แต่เป็นห้องใหญ่ห้องเดียวที่มีม้านั่งวางอยู่ชิดผนังโดยรอบ มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกกันอีกอย่างละห้อง ผู้หญิงฝั่งหนึ่ง ผู้ชายฝั่งหนึ่ง (เออ ยังดีที่แยกกัน) ผู้เข้าร่วมเวิร์คชอปที่เริ่มทยอยกันมา พอเข้ามาในห้องก็ทยอยกันถอด ไม่มีคำว่าอาย ไม่มีคำว่าเหนียม เรานั่นแหละควรจะอายถ้ามัวแต่อาย เอาวะ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เข้าห้องเขาถอดก็ต้องถอดตามเหมือนกัน เรียนรู้วัฒนธรรม ..ได้อยู่ ผ่านสามวันแรกไปให้ได้ไง -_-”

เอาล่ะ เข้าเรื่องเต้นซะหน่อยดีกว่า เวิร์คชอปที่เรามานี้ เป็นเวิร์คชอปของศิลปินที่ชื่อว่า Vicent Gisbert ซึ่งเขาได้นำเอาศิลปะป้องกันตัวมาปรับใช้ในการเต้นคอนเทมโพรารีแดนซ์ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการเต้นคอนเทมโพรารีแดนซ์นั้นกว้าง... กว้างงงงง กว้างมากๆ คำว่า Contemporary dance นั้น ในภาษาไทยมันแปลว่า ศิลปะการเต้นร่วมสมัย .. ไอ้คำว่า “ร่วมสมัย” นี่แหละ ที่ทำให้เราอธิบายการเต้นรูปแบบนี้ลำบากพิลึก เพราะในยุคสมัยที่วุ่นวายอย่างในสมัยนี้ แนวคิดหลายอย่างผุดขึ้น และก็มีแนวคิดอีกหลายอย่างผุดตามขึ้นมาแย้งแนวคิดชุดแรกมากมายและรุนแรงสูสีกัน และยังเป็นยุคที่ทุกอย่างเร็วไปหมด ข้อมูลข่าวสารถึงกันฉึบฉับๆ และในยุคเดียวกันนี้แหละก็มีคนดึงความเร็วนั้นให้ช้า เกิดกระแส slow life กระแส GREEN กระแสวิทยาศาสตร์ใหม่ กระแส New Age กระแสธรรมะ กระแส Post-modern กระแส Neo-liberalism ฯลฯ (โปรดอย่าถามว่าสองอันหลังคืออะไร บอกตรงๆ ว่าตอนเรียนรัฐศาสตร์เมื่อสมัยป.ตรีเรายังงงกับมันเลย) คือกำลังจะบอกว่าศิลปะที่เกิดขึ้นร่วมสมัยกับความงงงวยเหล่านี้ มีหรือมันจะไม่งงงวยไปด้วย แต่ทั้งนี้ตัวมันอาจจะไม่ถึงกับเป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่ามันกว้างมาก เกินกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคำพูด ในวงการเต้นบ้านเราก็เถียงกันค่อนข้างมากว่า Contemporary Dance หรือศิลปะการเต้นร่วมสมัยนั้นคืออะไร สุดท้ายก็ยังไม่มีใครตอบได้ครอบคลุม เพราะว่ามันกว้างมากนั่นเอง

(รู้สึกไอ้ย่อหน้าข้างบนนี่เป็นย่อหน้าที่เขียนได้แย่ที่สุดเลย อ่านเองแล้วก็งงเอง แต่ไม่แก้ล่ะ ปล่อยมันงงอย่างนี้แหละ ได้อารมณ์แบบงงๆ ดี ฮ่าๆๆ)

และด้วยความที่มันกว้างมากนี่เอง ทำให้มันมี “พื้นที่เชิงเทคนิค” มากกว่าสิ่งที่เป็น “แม่บท” อย่างบัลเล่ต์ หรือรำไทย และพื้นที่นั้นก็มากพอที่จะเชื้อเชิญเทคนิคต่างๆ เข้ามาผสมผสาน และสังเคราะห์จนออกมาเป็นรูปแบบเฉพาะของใครของมัน ถึงตรงนี้เราเองก็หยุดถามตัวเองเองว่า เอ๊ะ หรือว่า คำจำกัดความของศิลปะร่วมสมัย โดยจำเพาะเจาะจงในยุคสมัยแห่งปัจเจกนี้ ก็คืองานที่มี “ลายเซ็น” ของตัวเอง ที่มีรูปแบบเฉพาะ ไม่เหมือนใคร คือยุคสมัยแห่งการแหกกรอบ และมุ่งหาคำตอบอื่นที่เราเชื่อว่าดีพอๆ หรือดีกว่าสิ่งที่เขาทำตามๆ กัน

รึเปล่า?

และ Vicent เขาก็เลือกที่จะเอาศิลปะป้องกันตัวที่เขาสนใจ ซึ่งในที่นี้ก็คือไอคิโดและคาราเต้เข้ามาผสานกับเทคนิคการเต้นที่เขามีอยู่ การเอามาผสานในที่นี้ไม่ใช่การเอาท่าคาราเต้ หรือท่าไอคิโดมาใส่จังหวะเพลงแล้วทำมันต่อๆ กันเหมือนกับระบำไอคิโด หรือระบำคาราเต้ ซึ่งมันฟังดูขัดๆ ความรู้สึกพิกล แต่มันคือการเลือกเอา “แก่น” บางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในศิลปะป้องกันตัวเหล่านั้น ค้นหาเทคนิคร่วม หรือเทคนิคที่จะเสริมกัน ที่จะทำให้รูปแบบการเต้นของเขามีรูปแบบเฉพาะตัวมากขึ้น และนั่นก็คือสิ่งที่เราคาดหวังว่าเราจะได้รับจากเขา ว่าเขามองเห็น “อะไร” ในศิลปะป้องกันตัว

เราว่านี่คือเสน่ห์ของวงการเต้นในต่างประเทศ ในสังคมที่เขามองว่าการเต้นคือการเรียนรู้ คือศิลปะ นั่นคือเวลาใครมีอะไร รู้อะไร หรือสนใจเรื่องอะไร เขาก็เอามาแบ่งกัน เปิดคลาสราคาไม่แพง (ถ้าเทียบกับค่าครองชีพเขา) แล้วเอาความรู้หรือความสนใจนั้นมาแชร์กัน บางคนยังไม่แตกฉานดีด้วยซ้ำ แต่เขาถือว่าไม่เป็นไร เปิดเวิร์คชอปมาก่อน ถือเป็นการเรียนรู้ไปด้วยกัน มีสตูดิโอหลายแห่งที่เปิดพื้นที่ให้ได้มาลองมาค้นหาร่วมกัน แล้วทุกคนก็จะได้อะไรใหม่ๆ ใส่ตัวเองไป เขาถึงเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ และเราก็คิดว่าไม่ใช่แค่เรื่องเต้นเรื่องเดียวหรอก แต่มันน่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมเขาเลย

ตลอดสองในสามวันของเวิร์คชอปนี้ (วันที่ 3 เราโดด) Vicent อธิบายถึงการเคลื่อนที่เป็นวงกลมของไอคิโด และการรับและส่งพลังของคาราเต้ การเชื่อมโยงศีรษะและกระดูกก้นกบ (คือการรู้สึกว่ามันเชื่อมถึงกันและกัน คุณผู้อ่านลองดูก็ได้ เวลาจะเดินไปไหนมาไหน หรือทำอะไรก็ตาม ทั้งก้มทั้งเงย ให้เห็นภาพเชือกเส้นหนึ่งที่โยงจากศีรษะถึงก้นกบ ก็เป็นการรวมพลังของร่างกาย และเป็นการฝึกสมาธิได้ในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย ลองดูสักห้านาที สนุกดี)

ที่สนุกที่สุดก็คือการนำเอาการรับส่งพลังของคาราเต้นี้ มาปรับใช้ในการเต้นคู่ โดยเฉพาะการทำ Contact Improvisation (คือการที่คนสองคนขึ้นไปมาเต้นนัวเนียๆ กัน โดยไม่มีท่าเซ็ทตายตัว แต่ต้องรับส่งพลังงานกัน และ improvise ไปเรื่อยๆ) และที่สำคัญคือ หลับตา ใช้ความรู้สึกอย่างเดียว แค่หลับตา Improvise เองคนเดียวโดยไม่ให้ชนคนอื่นในห้องยังยาก นี่ต้องหลับตาทำ contact improvisation โดยไม่ให้ไปชนคู่อื่น และหล่อเลี้ยงพลังงานให้เกิดระหว่างเราและคู่เต้นตลอดเวลานี่มัน โอโห.. มันรู้สึกถึงพลังงานแล่นฉิวๆ ผ่านเราและคู่เต้นเลยล่ะ และแน่นอนที่ ... โคตรแห่งการใช้สมาธิเลยล่ะ

ในเวิร์คชอปนี้เราก็ถือโอกาสสังเกตระดับของนักเต้นที่นี่ไปด้วย ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยนึงว่า เรานั้นไม่หลุดจากกลุ่มเลย ความสามารถเทียบเคียงเขาไปได้ อยู่แต่ในเอเชียมาซะนาน มันก็ต้องขอวัดระดับตัวเองและสร้างความมั่นใจกันหน่อยล่ะ

เอาเป็นว่า.. ผ่าน!
ผ่านไปได้อย่างดีด้วย, ทั้งสองวันเลย เย่!

เวิร์คชอปกินเวลาทั้งวัน กว่าจะเสร็จก็ใกล้จะมืดเต็มที แต่เนื่องจากว่าเราตั้งใจจะไปเข้า Contemporary dance class ต่อในวันพรุ่งนี้เช้าที่อีกสตูดิโอหนึ่ง คือ Dock11 และแน่นอน ด้วยนิสัยแล้ว เราชอบ “ซ้อมเดินทาง” คือ ขอไปหาก่อนว่ามันอยู่ตรงไหน เลยไปจัดการหาซะในบ่ายวันนั้น อันนี้หาไม่ยากเท่าไหร่ เพราะใช้ Google Map หามาก่อน แล้ว snap ภาพแผนที่เก็บไว้แล้วใน iPhone .. คืออันนี้ ใครๆ ก็ชอบว่าเทคโนโลยีว่าทำให้คนรุ่นใหม่ขลุกอยู่กับโทรศัพท์ทั้งวัน แต่ทริปนี้พิสูจน์ชัดเจนมากว่า iPhone มีประโยชน์กับชีวิตมากๆ จริงๆ และอำนวยความสะดวกให้ทริปของเราลดความลำบากลงไปได้มากทีเดียว


บอกฉันที เพราะอะไร ทำไม เหตุไฉน เปียโนจึงอยู่ตรงนี้


เจอสตูดิโอแล้วค่ะ Dock11 ขึ้นไปข้างบนตกแต่งเป็นเหมือนเรือไททานิคชั้นกรรมกรน่ะค่ะ

ร้าน 1 ยูโร ทุกอย่างในร้าน 1 ยูโร


ตอนขึ้นรถไฟกลับบ้านค่ะ 
คนเบอร์ลินเปรียบเบอร์ลินเป็นหมี ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน


แต่การเต้นมาทั้งวัน และตะลุยเดินต่อในตอนเย็นนั้น แน่นอนว่าเหนื่อยจัดเลย มื้อเย็นเลยขอจัดอะไรดีๆ ให้ตัวเองสักหน่อย จัดมันที่ Grand Ma’s ร้านอาหารข้างๆ โฮสเทลร้านเดิมนั่นแหละ ร้านนี้อยู่ถัดออกไปจากโฮสเทลแค่ 20 เมตร ระยะทางเมตตากำลังดีสำหรับเมืองหนาว (ชิบหาย) อย่างเบอร์ลิน เพราะคืนแรกตั้งใจจะไปหาอะไรลูกทุ่งๆ กิน แล้วเดินสำรวจแถวๆ นี้สักเล็กน้อย คริส พนักงานต้อนรับ แนะนำให้เราเดินออกไปทางขวา ตรงไป ข้ามถนน แล้วเลี้ยวขวาอีกที ก็จะเจอดงของกิน มี Currywurst ร้านอร่อย คล้ายๆ พวกไส้กรอกฟาสต์ฟู้ด ของกินขึ้นชื่อของเยอรมนีเขา คริสก็อยากให้เราได้ลอง แต่ถ้าไปดูแล้วไม่อยากกิน แถวๆ นั้นก็มีอะไรหลายอย่างให้เดินดู เราก็ไปตามคำแนะนำเขา ก็ของกินแยะอยู่ แต่ให้ตายเถอะ -9 องศานี่สาวไทยสู้ไม่ไหวน่ะค่ะ ยิ่ง -9 แบบลมพัดซู่ๆๆ ตอนเดินผ่านช่องตึกนี่แทบจะอยากหายตัวเลย หาเรื่องมาตกถังน้ำแข็งแท้ๆ เรา

ประตูทางเข้าร้าน Grand Ma’s อยู่ต่ำกว่าระดับฟุตบาท คือตัวตึกในยุโรปส่วนใหญ่จะมีประตูอยู่ข้างล่าง ต้องเดินลงบันไดไป (นึกถึงตอนหิมะตกหนักๆ หนาๆ มันคงออกจากบ้านลำบากพิลึก ของบ้านเราถ้าน้ำมาจะกั้นกระสอบทราย แต่หิมะมานี่กระสอบทรายเอาอยู่ไหมหว่า) ภายในร้านตกแต่งสวย อุ่นสบาย และค่อนข้างเงียบสงสัยเพราะยังหัวค่ำอยู่และเป็นวันธรรมดา ที่ดีคือ wifi ของที่ร้านกับของที่ Hostel ใช้รหัสร่วมกันได้ด้วย

Grand Ma’s เรียกตัวเองว่าเป็นร้านอาหารเยอรมันแท้ตำหรับดั้งเดิม แต่เราไม่กล้าสั่งหรอก อาหารเยอรมันแท้พวกนั้น เพราะว่ามันเป็น main course และรู้เลยว่ามันจะใหญ่มากๆ มื้อเย็นไม่อยากกินเยอะ ยิ่งเป็นไซส์ฝรั่งด้วย เสิร์ฟหนึ่งจานอย่างกับให้กินสักสามคน ยังจำไก่ย่างทั้งตัวที่เจนีวาได้ วันนี้เราไม่พร้อมจะกินอะไรใหญ่โตขนาดนั้น เลยสั่งซีซ่าร์สลัดของโปรดมากินแทน และ..

และ,

และ... เบียร์! 

มาเยอรมนีไม่กินเบียร์ได้ยังไง เสียตั๋วเครื่องบินหมด จริงไหม เลยสั่ง Krombacher เบียร์อันดับหนึ่ง (เขาว่ากันว่านะ) มากินเท่ๆ ทั้งๆ ที่ปกติตัวเองก็ไม่ชอบกินเลยนะ คือตอนกินโอเค แต่ไม่ชอบความรู้สึกตอนที่มันเข้ามาอยู่ในตัวแล้ว เพราะมันง่วง และรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้คึก ไม่ได้สนุก ไม่ได้อะไรเลย เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่สิงคโปร์ ดื่มไวท์ไวน์ไปสองแก้ว แค่นั้นแหละ, เมาค่ะ ใครบอกเมาแล้วลืมความทุกข์ (วะ) เราเมาแล้วร้องไห้ซะงั้น ร้องเป็นวรรคเป็นเวร เรื่องบ้าบอคอแตกที่มันทุกข์ๆ สุมๆ อยู่มันออกมาเป็นน้ำตาแบบทะลักทะลายเลย หยุดตัวเองไม่ได้ด้วย ตาบวมแทบจะปิด ต้องใส่แว่นดำขึ้นรถเมล์ตอนห้าทุ่ม พื้นรถก็หมุนๆๆๆ แล้วตอนเข้านอนคืนนั้น รู้สึกหัวใจเต้นแรงแทบจะกระโดดลงมาอยู่บนพื้น ทรมานจะตาย (นอกเรื่องต่อ : ซ้ำร้าย คืนนั้นปัดขวดน้ำมันมะพร้าวขวดเบ้อเร่อลงมากลิ้งกับพื้น ผลคือน้ำมันกระจายทั่วห้อง ไอ้เสียดายน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะว่าตอนนั้นใกล้จะกลับเมืองไทยแล้ว และเราก็ตั้งใจไม่เอาน้ำมันมะพร้าวที่ใช้เหลือกลับมาอยู่แล้ว เพราะว่ามันแพ็คยาก แต่ไอ้ห้องที่มันมันไปหมดมันทำความสะอาดยากมากๆ ยิ่งสติไม่ค่อยจะเต็ม จิตใจไม่ปกติ ตาบวมบะเฮ่อขนาดนั้น มันแ_่ง ชีวิตบัดซบ!!!)

สรุปคือ ไม่อยากเมา เพราะไม่ชอบ แต่จะสั่งแบบ alcohol free ก็กลัวไม่เท่ เดี๋ยวพูดได้ไม่เต็มปากว่ามาถึงเยอรมนีแล้ว ยังอยากได้ความรู้สึกอุ่นวาบๆ จากภายใน (อะจึ๋ยส์) เลยสั่งแบบมีแอลกอฮอล์มากิน แต่ขอเป็นแค่แก้วเล็ก (33 cl) ก็คงจะเกินพอ

เบียร์มาถึงโต๊ะก่อนเป็นอันดับแรก ลองกระดกเข้าปากไปครึ่งอึก อื้ม... นุ่มดีจริงๆ (ทำกระแดะรู้สึกไปงั้นแหละ กินไม่ค่อยเป็นหรอก ฮ่าๆ) เพื่อนตุ๊ดสอนมาว่า กินเบียร์ต้องกินตอนเย็นจัด ยิ่งเย็น รสชาติจะยิ่งดี กระดกเข้าไปอีกครึ่งอึก แล้วก็อื้ม.. เย็นจัดเลย รสชาติเยี่ยมยอด (กระแดะอีกนั่นแหละ) หลงระเริงอยู่ในจินตนาการหลอกลำคอตัวเองได้แค่นี้ พนักงานเสิร์ฟ (ที่มีอยู่คนเดียว ทั้งทำ ทั้งเสิร์ฟ) ก็เอาซุปฟักทองมาให้ ..ให้ชิมนะ

มันมาในถ้วยขนาดพอๆ กะถ้วยเอสเพรสโซเลยจ้า

แต่โอ้พระเจ้า คือนี่ฉันหิวมากใช่ไหมเนี่ย มันเป็นซุปฟักทองที่อร่อยกว่าทองคำ ป้าด! ทองคำอร่อยไงวะ แต่นั่นแหละ อร่อยขนาดกินแล้วแทบจะเหาะได้เลย แล้วซีซาร์สลัดและขนมปังก็ตามมาเสิร์ฟติดๆ แบบไม่ให้เสียจังหวะ อ๊ากกกกกส์ มันเป็นสลัดที่จานใหญ่มากและน่ากินสุดๆ เมื่อลองกินดูก็พบว่ามันเป็นสลัดที่มีคุณค่าทางความรู้สึกอย่างยิ่งยวด อาหารฝรั่งควรกินเมืองฝรั่งจริงๆ เพราะส่วนประกอบ เครื่องปรุงอะไรทุกอย่างรวมไปถึงบรรยากาศ มันใช่น่ะ มื้อนี้กินแบบมีความสุขสุดๆ ไปเลย ฟาดเรียบแบบไม่มีเหลือเลย จะเหลือก็แต่เบียร์ เพราะทำเท่ไปได้แค่ครึ่งแก้วเราก็ขอยอมแพ้ เท่ไม่ไหวแหล่ว มึน!

มาถึงแล้วจ้า, เยอรมนี

ออเดิร์ฟ


เก๊กสวยก่อนจะเมา


จานหลักมาบานเท่าฝาบ้านเลย


อร่อยมาก



สุดความสามารถแล้ว ไม่หมดจริงๆ

กลับโฮสเทลขึ้นห้องนอนโดยไม่แวะ Common room เพราะตั้งใจจะอาบน้ำอาบท่าให้หายมึนก่อน แล้วจะลงมานั่งข้างล่างนานๆ พอขึ้นไปถึงก็พบว่าคืนนี้มีเพื่อนมานอนด้วยแล้ แต่เจ้าตัวไม่อยู่ อยู่แต่กระเป๋า ทั้งดีใจและเสียใจอย่างละครึ่งๆ เพราะหลังจากคืนแรกที่กลัวหัวหดจนต้องเปิดไฟทิ้งไว้ ทำให้นอนไม่ค่อยหลับเพราะไฟแยงตา มาคืนที่สองที่เหนื่อยจัดเพราะเวิร์คชอป เลยปิดไฟคลุมโปงและไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความคุ้นชินสถานที่ทำให้กลัวน้อยลงด้วย คืนนี้เลยไม่กลัวแล้ว ปิดไฟนอนได้สบายๆ แต่กลับกลายเป็นดันมีเพื่อนมานอนด้วยซะนี่ เลยผิดหวังนิดๆ นึกว่าจะได้ใช้ห้องส่วนตัวต่ออีกสักคืนสองคืน

แต่ก็นั่นแหละ จ่าย 16 ยูโรจะเอาอะไรมากมายล่ะ แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้ว เราเลยจัดการเก็บของของเราให้เป็นสัดเป็นส่วน โดนเฉพาะเสื้อผ้าที่ใส่เต้นที่เราซักตากไว้บนโต๊ะข้างๆ ฮีทเตอร์ รองเท้าบูทที่เริ่มจะเหม็น ก็ต้องรีบกำจัดกลิ่นด้วยสเปรย์ก่อนที่เพื่อนร่วมห้องจะขึ้นมาและตราหน้าเราเป็นยัยเท้าเหม็น จัดการอาบน้ำแปลงร่างพร้อมนอน ใส่เสื้อแขนยาวระบบ nano tech ของ uniqlo ที่ไม่มีไซส์ผู้หญิงเลยต้องซื้อตัวใหญ่ของผู้ชาย กลายเป็นเสื้อใส่นอนได้พอดี แล้วก็ปรับฮีทเตอร์กลับมาให้พอเหมาะ เพราะเราหมุนซะจนร้อนสุดเลย ต้องตื่นมากินน้ำตอนกลางคืนเพราะคอแห้งมากๆ แล้วแม่คุณคนนี้เลือกเตียงไหนไม่เลือก ดันเลือกเตียงตรงข้ามกับเรา เห็นแล้วฉุนนิดๆ ตั้งแต่ยังไม่เจอหน้ากัน อย่างนี้เวลาคนหนึ่งเปิดไฟ มันก็จะไปแยงตาอีกคนแบบตรงๆ น่ะสิ ไม่ค่อยเข้าใจหล่อนเลย ถึงแม้จะเป็น mixed dorm ชายหญิงรวมกัน เราก็รู้แน่ๆ ว่าเป็นหล่อน ไม่ใช่เขา ดูจากชุดชั้นในที่หล่อนซักตากไว้ก็รู้แล้ว ยกเว้นว่าจะหักมุมนั่นก็อีกเรื่องละ

อาบน้ำเสร็จออกมา เพื่อนร่วมห้องปริศนาก็ยังไม่โผล่มา เราไม่ได้สนใจต่อไปอีก ตามแพลนของเราต่อไปดีกว่า ไม่ได้เอาคอมพิวเตอร์มา ก็คว้าแค่สมุดบันทึก ปากกา และ iPhone คู่ใจลงไป Common room ช่วงนี้จะเป็นคริสนั่งประจำอยู่ ซึ่งพนักงานที่นั่งประจำเคาน์เตอร์ยังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ เป็นดีเจด้วย เราพอจะรู้สไตล์ของคริสแล้วว่าจะเป็นเพลงฮิพฮอพหนักๆ ซึ่งไม่ค่อยถูกโรคกับเรานัก เลยคว้าเอาหูฟังลงไปด้วย

จริงๆ อากาศหนาวๆ ข้างนอก แม้ในห้องจะอุ่นขึ้นมากเพราะฮีทเตอร์ แต่บรรยากาศของความเย็นที่คลุมกระจายความรู้สึก ก็ชวนให้รู้สึกอยากได้กาแฟอุ่นๆ แต่กาแฟก็มักจะกวนตีนร่างกายเราเสมอ ไอ้ตอนที่อยากจะกินกาแฟให้หายง่วง มันก็ไม่เคยจะหายง่วง ทีจะแค่กินกาแฟเล่นๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ตื่น มันกลับทำเรานอนไม่หลับซะงั้น ไม่เสี่ยงดีกว่า เปลี่ยนใจสั่งโกโก้ร้อนมากินแทน

ระหว่างนี้ก็นั่งจัดการชีวิตช่วงต่อไป การเดินทางแบบเรานี้มันจะเหนื่อยตรงที่แพลนอะไรล่วงหน้าไม่ค่อยได้ ต้องรอที่นั่นที่คอนเฟิร์ม พร้อมที่จะเปลี่ยนแพลนตลอดเวลา การทำตัวให้เบา และทำใจให้ยืดหยุ่นคือสิ่งสำคัญมากๆ

จัดการจองตั๋วเครื่องบินไปอัมสเตอร์ดัมเพื่อออดิชั่น ซึ่งจะเป็นการออดิชั่นเต็มรูปแบบครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นล่วงหน้าไปแล้วเป็นสัปดาห์เลย เรื่องที่พักก็จัดการจองเรียบร้อยแล้ว จะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้สิ ได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าคาดหวัง อย่าคาดหวัง อย่าคาดหวัง ระหว่างที่ค้นนู่นค้นนี่ในอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอ Cadance Festival เทศกาลการเต้นคอนเทมโพรารีแดนซ์ที่รอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ หมายมั่นปั้นมือไว้เลยว่าจะต้องแวะไปเข้าเวิร์คชอปและชมการแสดงให้ได้เลย นี่แหละ ถึงต้องเปิดแพลนตัวเองให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะไม่รูว่าเราจะได้เจออะไรบ้างระหว่างทาง ถ้าทำได้ จะเก็บทุกอย่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

คำถามเดิมตั้งแต่ก่อนจะเริ่มเดินทางกลับเข้ามาในหัว .. พร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 
คำตอบ .. พร้อมมากๆ เลย ณ จุดนี้ :)

คืนนั้น เพื่อนร่วมห้องปริศนากลับมาเสียดึก ได้ยินเสียงติ๊ดๆ ตอนเธอกดรหัสเข้าห้อง แต่อย่างที่บอก มันเข้ายากเข้าเย็นเสียเหลือเกิน เหมือนต้องตั้งจิตอธิษฐานควบคู่กันไปด้วย ในที่สุดเธอก็เข้าห้องมาจนได้ หลังจากติ๊ดๆ อยู่ประมาณสองนาที เราเข้านอนไปแล้ว (โดยที่ไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้) ยังไม่หลับหรอก แต่ขอแกล้งหลับดีกว่า เพราะกลัวว่าถ้าลุกขึ้นมาเซย์ฮัลโหลตอนนี้ เธอจะรู้สึกผิดว่าทำให้เราตื่น เหอะๆ พูดให้ดูดีไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ แล้วเราเองก็ขี้เกียจเสวนาด้วยแหละ ได้แต่แอบมองผ่านผ้าปิดตา (ที่คว้ามาใส่อย่างรวดเร็วตั้งแต่ตอนได้ยินเสียงติ๊ดๆ ละ) กไม่ได้ทำให้รู้อะไมากไปกว่าการที่เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง จบ

สุดท้าย เราก็ได้แค่นอนหลับตาอยู่ใต้ผ้าปิดตานั่นแหละ นอนไม่หลับ จนเธอปิดไฟเข้านอนไปแล้วนั่นแหละ ผ้าปิดตาไม่ได้ช่วยอะไรเลย เฮ้อ..

เอาวะ, ผ่านสามวันแรกไปให้ได้


ช็อคโกแลตน้องหมีจาก Lufthansa เป็นกำลังใจให้



Create Date : 10 มีนาคม 2556
Last Update : 10 มีนาคม 2556 1:00:02 น. 10 comments
Counter : 1858 Pageviews.

 
ร้าน 1 ยูโร ทุกอย่างในร้าน 1 ยูโร กรีสสสสสส อยากไปบ้าง

ปล. อยากไปชิมซุปฟักทองบ้าง


โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 10 มีนาคม 2556 เวลา:0:51:07 น.  

 
สู้ สู้ค่ะ


โดย: Schnuggy ชนุ๊กกี้ วันที่: 10 มีนาคม 2556 เวลา:1:56:11 น.  

 

มากด Like ให้เป็นคนที่ 1
สุดยอด
แวะมาโหวตหมวดไกลบ้าน ชีวิตในต่างแดนให้เลยค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 10 มีนาคม 2556 เวลา:12:40:17 น.  

 
3 วันเองเหรอ .. คุณ จขบ.เข้มแข็งจัง
ของเราเป็นอาทิตย์ บางทีเป็นเดือนๆเลยค่ะ

ต้องกัดฟันบอกตัวเองว่า เราจะไม่ถอยหลังกลับเด็ดขาด !
แย่ที่สุดคือ หยุดยืนอยู่กับที่ก็พอ

นั่นแหละ ระยะปรับตัวระยะแรกเราเลยต้องหยุดกับที่นานนิดนึงค่ะ


โดย: หมาป่าเสรี วันที่: 10 มีนาคม 2556 เวลา:13:58:03 น.  

 
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจไปให้จขบ.ครับ


โดย: **mp5** วันที่: 10 มีนาคม 2556 เวลา:20:13:36 น.  

 
แวะมาชมภาพสวยๆ
และเรื่องราวดีๆครับ


โดย: wicsir วันที่: 11 มีนาคม 2556 เวลา:13:32:27 น.  

 
สนุกดี

สู้ๆครับ

เอาใจช่วยเสมอ



โดย: หน้าม้ารับจ้าง วันที่: 12 มีนาคม 2556 เวลา:0:41:17 น.  

 
เก่งจังค่ะไปอยู่มาหลายประเทศแล้ว
ยิ่งไปอยู่อินเดียมาด้วยแล้วนี่นับถือเลย


โดย: Backlit.Iconic วันที่: 12 มีนาคม 2556 เวลา:15:59:54 น.  

 
สุดยอดเลยครับ เป็นกำลังใจให้จริงๆ คนไทยสู้ๆ
www.banblabla.com


โดย: tony101 IP: 171.4.73.84 วันที่: 17 มีนาคม 2556 เวลา:0:45:51 น.  

 
แอบเข้ามาอ่าน สนุกดีค่ะ ถ่ายรูปได้สวยมากเลยค่ะ เขียนมาอีกนะ เรารออ่าน...และเอาใจช่วยในทุกก้าว...ที่คุณกำลังเดินทางไปค่ะ


โดย: bussabongkot วันที่: 24 มีนาคม 2556 เวลา:21:54:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
10 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.