YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~

6.. เบอร์ลิน เรื่องสุข กำแพง ไส้กรอก อากาศหนาว และเป้าหมายต่อไป

เรื่องสุขมาก
“ความตั้งใจสำคัญที่สุด ถ้าเราตั้งใจจริง เราจะทำได้”
ข้อความข้างบนนี้ ถูกเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกดี เมื่อคิดไปถึงสัญญาข้อที่ 3 ที่ให้ไว้กับตัวเอง
ทำให้แต่ละวันมีเรื่อง “สุขมาก” ให้ได้อย่างน้อยวันละเรื่อง
เราทำได้ เพราะเราตั้งใจจะทำ
เราตั้งใจจะ .. สุข

สัญญาข้อนี้ทำให้เราพยายามมองหาความสุขในชีวิตให้ได้อย่างน้อยวันละเรื่อง เลยทำให้นึกขอบคุณอะไรสักอย่างอย่างน้อยวันละเรื่องเช่นเดียวกัน ก็ถ้าสังเกตดีๆ ความสุขกับคำขอบคุณมันมาคู่กันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ความสุขในแบบที่ว่านี้ถ้าจะแทนด้วยคำคำหนึ่งที่ตรงที่สุดคงต้องใช้คำว่า “ฟิน” ซึ่งจริงๆ แล้วไม่อยากใช้คำนี้ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นศัพท์ประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เก๋ๆ ไปตามยุคสมัย เป็นแฟชั่นในสังคมวัยรุ่นในแต่ละยุค และจะจางไปเมื่อวัยรุ่นในยุคนั้นเติบโตเข้าสู่เขตแดนความซีเรียสของวัยผู้ใหญ่

จึงต้องหาคำอื่นมาขยายความคำว่า “ฟิน” ซึ่งก็คงจะมีคำว่า “อิ่ม” ที่พอจะแทนกันได้ละมั้ง แต่ต้องอธิบายต่อสักหน่อยว่า เป็นความอิ่มเชิงบวก อิ่มเชิงนามธรรม อิ่มในทางอารมณ์

ความสุขที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ลั่นคำสัญญากับตัวเองมาจนถึงวันนี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องอาหารการกินที่อร่อยลิ้น บางครั้งความคิดเชิงบวกก็แว่บเข้ามาในหัวแล้วมันก็ทำให้เรารู้สึกดี และอีกบ่อยครั้งที่ความสุขมักจะเป็นเรื่องของการได้เข้าคลาสดีๆ และเกิดความรู้สึกดีๆ กับตัวเองในเวลาเต้น และที่ Dock11 ก็เป็นเวลาดีๆ อีกอันหนึ่งเช่นกัน

Dock11 คือชื่อสตูดิโอแห่งหนึ่งในเบอร์ลินที่นักเต้นซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและครูชาวเยอรมนีแนะนำมาว่านี่คือสตูดิโอเต้นที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนี ที่นี่เขาจะมีคลาส Profitraining สำหรับนักเต้นอาชีพในตอนเช้า ซึ่งมักจะเป็นคอนเทมโพรารีแดนซ์และบัลเล่ต์ คลาสพวกนี้จะพิเศษกว่าคลาสอื่นๆ คือ มันจะราคาถูกกว่าปกติ อาศัยแนวคิดที่ว่านักเต้นอาชีพที่ดีนั้นควรจะต้องเข้าคลาสทุกวันเพื่อรักษาและพัฒนาระดับฝีมือ และทำให้ความสามารถของร่างกายอยู่ตัวตลอดเวลา อีกประการหนึ่งคือความจริงที่ว่านักเต้นอาชีพจะรายได้ไม่ค่อยดีกันนักหรอก เลยมีคลาสราคาถูกพวกนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเต้นอาชีพในแต่ละเมืองซึ่งมีไม่ใช่น้อยๆ เลย

คิดๆ แล้วก็น่าอิจฉาจัง สังคมเต้นที่ยุโรปของเขาใหญ่และแข็งแรงพอที่จะมีสิ่งเหล่านี้ มีองค์ประกอบครบที่จะทำให้สังคมมันหล่อเลี้ยงตัวเองได้ มีผู้เสนองาน มีผู้สนองรับไปดูงานเหล่านี้ มันจึงมีเม็ดเงินไหลเวียนไปมาระหว่างคนสองกลุ่มนี้ และทำให้มันเดินไปข้างหน้าได้ สำหรับบ้านเรา .. ไม่รู้อีกนานแค่ไหนถึงจะไปถึง เพราะเรามีผู้เสนอ (นักเต้น) แต่ขาดผู้สนอง (ผู้ชม) สิ่งที่เราพูดและทำ ไม่ได้เป็นที่สนใจของคนในสังคม เม็ดเงินจึงฝืดเคือง ผู้เสนอก็ล้มหายตายจากไปทำอย่างอื่น การเต้นเลยกลายเป็นเพียงกิจกรรมหลังเลิกเรียนของเด็กๆ ไว้ออกกำลังกาย และเป็นกิจกรรมหลังพระอาทิตย์ตกดินสำหรับผู้ใหญ่ที่ถูกปัดไปอยู่ในสถานที่อโคจรเสียเป็นส่วนใหญ่ ประเทศนี้ไม่ถือว่าการเต้นเป็นหนึ่งแขนงของศิลปะที่ศิลปินต้องฝึกปรือแทบตายกว่าจะเติบโตขึ้นมาบนเส้นทางสายนี้ได้ คิดแล้วมันน่าน้อยใจสิ้นดี

บางครั้งเราก็สงสัย .. เราเต้นไปทำไมวะ .. มันมีหน้าที่อะไรในสังคม
ว่ากันว่าศิลปะจรรโลงและสะท้อนสังคม แต่เราก็ยังสงสัย
การส่งสารที่ไม่ผู้รับไม่เปิดรับ สารนั้นจะมีค่าแค่ไหน?


เปลี่ยนเรื่องดีกว่า เริ่มจะเครียด
กำลังพูดถึงอะไรอยู่นะ อ้อ เรื่องความสุขที่ Dock11

เราออกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ฟังเหมือนจะเช้า แต่ที่จริงแปดโมงกว่าแล้ว คนเบอร์ลินก็เหมือนกับฝรั่งส่วนใหญ่ คือ เดินเร็ว จนเราเองแปลกใจว่าฟ้าสลัวอย่างนี้ เขากระฉับกระเฉงขนาดนี้ได้ยังไง เราเองถึงจะไม่ง่วง แต่เจอกับฟ้าสีอย่างนี้ มันก็อดจะสะลึมสะลือไม่ได้ คิดถึงแดดบ้านเราขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วสิ แต่จะว่าไปมันก็สวยมากๆ เลยนะ หิมะขาว กับฟ้าสีเทาๆ น้ำเงินๆ ทำให้บ้านเมืองเขาดูมีเสน่ห์ดี เป็นเสน่ห์แบบเงียบๆ ด้วยสิ 


เบอร์ลินยามเช้า

ไม่มากก็น้อย, ภูมิอากาศคงจะมีผลต่อวิถีชีวิตของคนในสังคม ความหนาวอาจจะส่งผลให้ผู้คนที่นี่ไม่กลัวความเงียบเหมือนกับบ้านเรา ที่ใน BTS ก็ต้องมีโฆษณา เดี๋ยวนี้ขยายไปถึงรถเมล์บางสายแล้วด้วย ในศูนย์การค้าหรือร้านอาหารต้องเปิดเพลงตลอดเวลา ดีไม่ดีมีจัดงาน event เปิดไมโครโฟนแข่งกับเสียงเพลงเข้าไปอีก ส่วนคนจะคุยกันก็ต้องตะโกนให้เสียงดังกว่าทับไปอีกชั้น แต่ก็แล้วแต่จริตคนละมั้ง บางคนอยู่กับความเงียบแล้วอึดอัด แต่สำหรับจริตเรา เสียงดังๆ ต่างหากที่ทำเราเสียจริต

เรารักความเงียบมากกว่า
การอยู่ในที่เงียบๆ เรารู้สึกว่าเราได้พัก

ทางรถไฟก่อนฟ้าสว่าง

ต้องขอบคุณความเงียบบนรถไฟตลอดทางจากโฮสเทลมาถึงสตูดิโอ ที่ช่วยจัดระเบียบจิตใจเราให้เกิดสมาธิ อยู่ในร่องในรอย ไม่กระเจิดกระเจิงไปด้วยความกังวลต่อสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ในคลาสเต้น และยังช่วยเตรียมพร้อมจิตใจให้เปิดโล่ง พร้อมที่จะรู้สึกถึงความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นได้อย่างเต็มเปี่ยม โดยมีความกลัวและกังวลเข้ามาเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด

กลัวอะไรงั้นหรือ? .. กลัวจะทำได้ไม่ดี กลัวเต้นไม่ได้ กลัวเสียเซลฟ์ คือความกลัวหลักๆ แต่ในขณะที่ทำจิตให้ว่างนั้น เรากลับพบกับความว่างเปล่า เราปล่อยตัวเราให้ละลายไปกับความเงียบรอบๆ ตัวเรา เราเลยไม่มีตัวตน ไม่มีอีโก้ ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีแม้กระทั่งความเหงา และพอถึงจุดนี้เราก็ไม่กลัวแล้ว และพร้อมแล้วที่จะ .. สุข

สำหรับเรา การเต้นมันเลยจุด “เพื่อความบันเทิง” มาไกลแล้วล่ะ

ตลอดสามวันเราไปถึงสตูดิโอเป็นคนแรกๆ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เราชอบ energy ของสถานที่ในขณะที่มันยังไม่เต็มไปด้วยผู้คน คลาสที่ Dock11 นั้นเริ่มด้วย Contemporary dance ซึ่งมีคนเข้าร่วมราว 20 ชีวิตเห็นจะได้ สิ่งที่เราชอบที่สุดคือตอนเริ่มต้นคลาสด้วยการจับคู่ปลุกร่างกาย โดยเริ่มจากการนอนทับกัน (ฮึ่ย! อย่าคิดลึก) คนนึงนอนคว่ำ (แล้วก็อยู่อย่างนั้นจนจบกระบวนท่า) อีกคนนอนทับพาดกลางหลัง แล้วให้คนข้างบนกลิ้งไปกลิ้งมาบนตัวของคนข้างล่าง เป็นการนวดอย่างถึงพริกถึงขิง แล้วให้คนข้างบนลุกขึ้นยืน และเอาหัวทิ่มลงไปวางบนหลังของคนล่าง แล้วนวดด้วยหัวอย่างกับเป็นแมว คืออธิบายด้วยตัวหนังสือมันคงมองไม่เห็นภาพ แต่เอาเป็นว่ามันสนุกมาก นัวเนียกันอยู่สักพักก็เข้าสู่การจบกระบวนการด้วยการสะบัดมือตบๆๆ (คือสะบัดข้อมือไปบนตัวเพื่อน มันจะไม่เจ็บ แต่มันจะรู้สึก!) ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปจนถึงหัว แล้วใส่จุด full stop ด้วยการสะบัดมือไปที่กระหม่อมเพื่อนเต็มๆ อีกหนึ่งบ้อง ตื่นเว้ย! (ตากูมั่ง)

สนุกจะตาย อิอิ

หลังจากนั้นก็แยกย้าย Improvisation เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายขยับ เคยบอกแล้วว่าแต่ก่อนเราไม่ชอบการอิมโพรไวส์เลย มันไม่รู้จะทำอะไร รู้สึกตัวเองเคอะๆ เขินๆ กลัวทำแล้วไม่สวย แต่พอมาอยู่ที่เบอร์ลิน เพราะทำใจ (และตั้งใจ) ไว้แล้วว่าจะโง่ จะเปิ่น ก็แล้วจะอายไปทำไมล่ะ ไม่มีใครรู้จักเรา เราเลยไม่กลัว ทำ (แม่ง) ทุกอย่างเลย ผลปรากฏว่ามันสนุกจังเลย เป็นตัวของตัวเองมากมาย ความสุขจากการไม่คาดหวังนี่มันดีจริงๆ ..สุขจัง :)

“จงขยับไปหาใครก็ได้ในห้อง แล้วเต้นกับเขา” อะโห คำสั่งดูซิมเปิ้ลมาก แต่มันทำให้ความสุขที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องต้องสะดุดทันควัน เพราะเราก็ไม่ชอบ contact improvisation เช่นกัน กลัวว่าจะทำตัวเงอะๆ งะๆ แล้วจะไปลำบากคนที่เต้นกับเราแล้วพานทำให้เขาไม่ชอบเราไปด้วย คิดได้แค่นี้ก็รู้สึกว่ามีท่อนขาของใครไม่รู้พาดมาวางขวางบนลำตัว สัญชาตญาณส่วนตัวทำให้เราตอบสนองโดยการกลิ้งไปบนพื้นโดยหนีบขาคนนั้นไปด้วย ส่งผลให้ทั้งตัวของคนนั้นขึ้นมาทับตัวเรา แล้วทำอิท่าไหนก็ไม่รู้คิดไม่ทันแล้ว มันก็ไปต่อท่าอื่นเอง นัวเนียๆ กันอยู่อย่างนั้นแหละ แรกๆ ก็รู้สึกติดๆ ขัดๆ รับส่งลูกกันไม่ค่อยถูก แต่คนที่มาเต้นกับเราคงจะมีประสบการณ์มาเยอะ เขาเลยพาเราไปได้เรื่อยๆ เหมือนเต้นลีลาศที่ผู้ชายเป็นคนพาผู้หญิงไปน่ะ เราก็ตามอย่างเดียว ไม่ค่อยนำเขาเท่าไหร่หรอก เขาก็เหวี่ยงเราไปเหวี่ยงเรามา แต่พอเราจะเหวี่ยงเขามั่งกลับหาจังหวะไม่ถูก รู้ตัวอีกทีเขาก็เหวี่ยงเราต่อไปอีกทางแล้ว

แล้วจากสองคนก็เพิ่มเป็นสองคน สามคน แล้วก็สี่คน อู๊ย.. สนุก

แต่มีอยู่วันหนึ่งระหว่างคลาส เครื่องเสียงเกิดไม่ทำงานขึ้นมา ไอ้เราคนเต้นไม่อะไรหรอก เต้นได้ แต่คนสอนนี่สิ หงุดหงิดๆ บอกว่า energy มันไม่ส่ง หันซ้ายหันขวาเห็นแกรนด์เปียโนตั้งอยู่ในห้อง เขาเลยถาม

“มีใครเล่นเปียโนได้มั้ย”

เราเองคิดในใจ เรานี่แหละ แต่ถ้าไม่มีโน้ตก็จอดสนิท ไม่รู้จะเล่นอะไร อิมโพรไวส์ไม่เป็น ยังเก่งไม่ถึงขั้น อยู่เงียบๆ ไม่แสดงตัวดีกว่า

“ไม่มีเลยเหรอ” สีหน้าเขาดูผิดหวังมากๆ จนเราแอบสงสาร เลยยกมือขึ้นเหนียมๆ พร้อมกับบอกว่า เล่นได้นะถ้ามีโน้ต ตอนนี้เราจำโน้ตอะไรไม่ได้ ยิ่งถ้าให้เล่นเป็น accompany คลาสเนี่ย คงไม่เก่งพอ

“ไม่เป็นไร เล่นเลย พลีสสสสส” ดูสายตาวิงวอนของเธอสิ ดูไม่ออกเหรอเนี่ยว่าเรากำลังปฏิเสธเนี่ย แต่นะ.. ทั้งห้องก็กำลังรอคำตอบจากเรา ถึงขั้นนี้แล้ว เอาวะ! ไม่มีอะไรจะเสีย และเราควรใช้โอกาสที่ไม่มีใครรู้จักเราอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะได้เป็น accompanist สำหรับการเต้น contemporary dance มันคงจะไม่มาหาเราอีกง่ายๆ หรอก ตอนนี้มีโอกาสได้ลองทำก็ลองซะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เล่นกับมันสักตั้ง เล่นอะไรก็เล่นไปเถอะ ความรู้เปียโนและทฤษฎีดนตรีที่ติดตัวมาบ้างคงพอจะช่วยให้เราเอาตัวรอดไปจนได้แหละ ลองไว้ใจตัวเองดูสักครั้ง

อื้ม.. ไว้ใจตัวเองว่าเราจะไม่ปล่อยให้มันล่มแน่นอน

เราเลยเดินตรงไปที่เปียโน จัดการเปิดฝามันออก เลื่อนเก้าอี้ แล้วกดไปที่คีย์เหมือนจะเช็คน้ำหนักคีย์บอร์ดแบบที่เคยทำตอนซ้อมแข่งเมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เหมือนกับจะเช็คน้ำหนักความมั่นใจมากกว่า เสียงเปียโนที่ดังกังวานเหมือนจะถามว่า

ร้างเปียโนไปหลายปี กล้าดียังไงรับคำมาเช่นชั้น ฮึ?

เราเลยตอบมันด้วยการเล่นคอร์ดแปลกประหลาดที่ถ้าให้เรียกเป็นชื่อเราก็เรียกไม่ถูกเหมือนกัน กดแช้ง.. ลงไปก่อน คนสอนดีดนิ้วเปาะ เอาแบบนั้นแหละ ฮึ่ย! แย่ละ.. กดใหม่จะได้เหมือนเดิมมั้ยเนี่ยตู

แต่เมื่อตัดสินใจกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว จะย้อนกลับขึ้นไปบนนั้นมันก็ไม่ได้แล้วล่ะ มีทางเดียวคือต้องหล่อเลี้ยงสติเอาไว้ใช้ในการกระตุกร่มชูชีพเพื่อรักษาชีวิต นักเต้นพร้อมแล้ว นักดนตรีจำเป็นก็เลยจำต้องพร้อมไปด้วย สูดลมหายใจเข้าก่อนเล่น ด้วยความเคยชินที่ต้องหายใจเข้าก่อนเต้น จินตนาการตัวเองกำลังเต้นอยู่ในขณะที่เล่นให้เขาเต้น ไม่มีหลักการไหนให้ยึดทั้งนั้น อาศัยแค่ตัวเองรู้ท่า รู้จังหวะ โมเมนตัมของแต่ละท่าเป็นอย่างดี (เพราะก็เรียนมาเมื่อกี้เหมือนกัน) เสียงคอร์ดแปร่งๆ เมโลดี้ทะแม่งๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ ผ่านแล้วผ่านเลย จับจังหวะหายใจ และโมเมนตัมอันต่อไปเพื่อลงคอร์ดใหม่ให้ดีกว่าเดิมแล้วกัน

คุณเชื่อมั้ย เราเล่นเปียโนเหนื่อยกว่าไปเต้นเองอีก

แต่..
แทบไม่เชื่อตัวเองว่า เฮ้ย! เราทำได้ว่ะ เมื่อกี้เรียกอิมโพรไวซ์รึเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเราก้าวผ่านกำแพงบางๆ ที่เรียกว่าความกลัวออกมาได้แล้ว ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ เราทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ อยู่ที่ว่าเราทำได้ดีแค่ไหน และมั่นใจในสิ่งที่เราทำแค่ไหน และเอาตัวรอดทำมันให้จบได้อย่างไร

สรุป วันนั้นเราเต้นไปได้ครึ่งคลาส อีกครึ่งคลาสแปลงร่างไปเป็นนักดนตรีหน้าตาเฉยเลย บางคนอาจจะรู้สึกว่าเรากำลังโดนเอาเปรียบ เพราะจ่ายตังค์ไปเต้น กลับต้องไปเล่นเพลง (มันเป็นเพลงรึเปล่าหว่า) ให้คนอื่นเต้น แต่เรากลับรู้สึกดี ดีมากๆ ด้วย ที่ได้มีโอกาสลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เป็นประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิต และที่สำคัญ เราทำได้ซะด้วยสิ!

นี่แหละคือความสุข และความสุขแบบนี้ก็ทำให้ชีวิตเราเป็นปกติ การปลีกวิเวกช่วยรักษาจิตใจได้แบบนี้เอง การอยู่กับตัวเองในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ทำให้ความแข็งแกร่งในตัวเรากลับมา จากที่เคยจิตตก สับสนว้าวุ่นเมื่อปีก่อน ถึงตอนนี้สิ่งเหล่านั้นเหมือนเป็นฝันร้ายที่ผ่านไปแล้ว

สุขจัง :)

กำแพงเบอร์ลิน
เพราะไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยว เลยไม่ได้ศึกษาที่เที่ยวมาก่อน ถือคติ “ไปเที่ยวเอาดาบหน้า” คือว่างก็เที่ยว ไปเที่ยวที่ไหนได้ก็ไป และด้วยคอนเซ็ปต์นี้เอง ทำให้เราเก็บที่เที่ยวในเบอร์ลินได้แค่ที่เดียวคือกำแพงเบอร์ลิน นอกจากการเดินชมเมืองระหว่างหลงทาง ชอปปิ้งไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่คิดจะซื้ออะไรอยู่แล้ว เพราะลำพังแต่ของที่เอามา 17 กิโลกรัมก็หนักเกินจะพออยู่แล้ว

กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นในช่วงหลังจากที่เยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และกรุงเบอร์ลินก็ถูกแบ่งเป็นขนมเค้ก ครึ่งตะวันตกเป็นโลกทุนนิยมภายใต้สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ส่วนฝั่งตะวันออกต้องกลายเป็นคอมมิวนิสต์ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต จากที่เคยเรียนมา ชีวิตของคนฝั่งตะวันออกนั้นยากแค้นและทรมาน สังคมคอมมิวนิสต์ทำให้ผู้คนขาดความเชื่อมั่นในเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ผู้คนจำนวนมากจึงอพยพไปอยู่ฝั่งตะวันตกเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า จนกระทั่งรัฐบาลฝั่งตะวันออกทนไม่ได้จึงสร้างกำแพงขึ้นล้อมรอบเมือง..

ไม่ได้เพื่อกันไม่ให้ชาติรุกราน แต่เพื่อชังคนชนชาติของตัวเองไว้ภายใน
เศร้าชะมัด

และสำหรับเส้นทางการไปนี้ google map ช่วยท่านได้ บอกแล้ว iPhone มีประโยชน์ใหญ่หลวงจริงๆ ทริปนี้เบามาก เพราะกล้องก็ไม่ได้เอามา แล็ปท็อปก็ไม่ได้เอามา พึ่งพา iPhone ลูกเดียวเลย ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับเมืองไทยไปในคราวนี้ได้คงต้องเซ่นไหว้ iPhone ทรหดนี่สักหน่อยล่ะ

และฟรีไวไฟสถานอีกแห่งที่เราค้นพบคือ สถานีรถไฟใกล้ๆ Dock11 นี่เอง เป็นสัญญาณไวไฟของเมือง ให้ใช้ได้ฟรีเป็นเวลา 30 นาที แต่ว่าหน้า login เป็นภาษาเยอรมันล้วน เราก็เดาๆ เอาว่าต้องคลิกอะไร มั่วไม่นานก็ได้ไวไฟมาใช้จนได้ เราก็เลยนั่งอยู่ที่ม้านั่งตรงชานชาลานั่นแหละ เพื่อหาว่ากำแพงเบอร์ลินนี้ไปอย่างไรหนอ

ฟรีไวไฟสถาน

ร่องรอยของกำแพงเบอร์ลินที่เหลือให้เห็นมากที่สุดจะอู่ที่สถานีนอร์ดบาห์นฮอฟอันเป็นสถานีที่อยู่ตรงกลางระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตกพอดี และอุโมงค์ทางรถไฟถูกใช้เป็นเส้นทางหลบหนีข้ามจากตะวันออกไปยังตะวันตกอยู่เนืองๆ

อากาศหนาวราว -10 ไม่ทำให้ยั่น เพราะตัดสินใจว่าจะไปแล้วก็ต้องไปให้ได้ รถไฟไปได้ทั่วเบอร์ลิน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ไปได้ทั่วเยอรมนี แต่ความยุ่บยั่บของมันทำให้ตาลาย ชื่อเรียกของแต่ละสถานีก็ยาวๆ ยากๆ ทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้น ภาษาเยอรมันนั้น เวลาเขียนนั้นจะไม่ค่อยเป็นคำๆ อย่างภาษาอังกฤษ เวลาดูก็จะเห็นว่ามันติดกันเป็นพรืดยาวๆ กว่าจะหาสถานทีนอร์ดบาห์นฮอฟบนแผนที่เจอก็ใช้เวลานานอยู่

แล้วก็มะงุมมะงาหราขึ้นรถไฟ ต้องไปเปลี่ยนขบวนที่อีกสถานีหนึ่ง ใช้เวลาหารถไฟที่จะต้องเปลี่ยนอีกนานโขอยู่ แต่ในที่สุดก็ถึงสถานีนอร์ดบาห์นฮอฟจนได้ รวมใช้เวลาเดินทางบนรถไฟทั้งสิ้น 20 นาที บวกระยะเวลาหลงทาง เดินไปเดินมาเพื่อหารถไฟ และยืนพิจารณาแผนที่อีกราวหนึ่งชั่วโมง สรุปการเดินทางครั้งใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่ง (เจริญจริงตู) แหม คุณฝรั่งทั้งหลายที่มาเมืองไทยแล้วมาทำงงกับแผนที่รถไฟฟ้าขั้นเบบี๋ของกรุงรัตนโกสินทร์นี่มันแอ๊บโง่ชัดๆ

สถานีนอร์ดบาห์นฮอฟดูแก่และดุ ให้อารมณ์เหมือนเป็นคุณตาเจ้าอารมณ์ที่เก็บกด ภายในตัวสถานีมีนิทรรศการถาวรติดตั้งให้ได้ชมกัน แสดงถึงประวัติความเป็นมาของสถานีและสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นบริเวณนี้ในช่วงสงครามเย็น เราจึงได้รู้ว่า กำแพงเบอร์ลินนั้นไม่ได้มีแค่บนดินเท่านั้น แต่ยังขยายอาณาเขตดิ่งลึกลงมายังใต้ดินด้วย 

ที่ตั้งสถานีนอร์ดบาห์นฮอฟ

รถไฟเยอรมนีนั้นมีมาก่อนที่จะเกิดสงคราม ซึ่งนั่นหมายความว่ากำแพงเบอร์ลินถูกก่อสร้างขึ้นในขณะที่ทั่วกรุงเบอร์ลินมีอุโมงค์ทางรถไฟเชื่อมถึงกันได้โดยตลอดแล้ว ผู้คนไม่น้อยจึงคิดหาทางหลบหนีออกจากฝั่งตะวันออกโดยผ่านทางอุโมงค์รถไฟ และสถานีนี้ก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นแบ่งเขตพอดี ฝ่ายรัฐบาลตะวันออกเองก็รู้แกว จึงมีการสร้างสิ่งกีดขวาง และจัดให้มีทหารยามจำนวนมากเฝ้าระวังในสถานีแห่งนี้ แต่ถึงอย่างไร ผู้คนที่สิ้นหวังจำนวนไม่น้อยรวมเหล่าทหารยามเองก็ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยงในการพยายามหลบหนี ซึ่งโดยมากแล้วจะไม่สำเร็จ และต้องจบลงชีวิตลงแถวๆ นี้

ทางเดินบรรยากาศเกือบร้างในสถานี

เราเดินไปเดินมาอยู่ภายในสถานีที่เย็นเจี๊ยบ เพราะอากาศภายนอกเย็นจัด อ่านแผ่นป้ายนิทรรศการที่เล่าถึงบรรยากาศในยุคนั้นยิ่งอ่านก็ยิ่งเย็น มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับผู้คนจำนวนมากที่ใช้เส้นทางนี้ในการหลบหนี และความพยายามของฝั่งตะวันออกในการ “ขัง” ประชาชนไว้ด้านในกำแพง มีภาพถ่ายที่ถ่ายให้เห็นความแตกต่างระหว่างยุคนั้นกับยุคปัจจุบัน ภาพถ่ายของเส้นทางหนีที่มีผู้พยายามจะใช้ และภาพถ่ายของสิ่งกีดขวางที่รัฐบาลสรรหามากักขังประชาชน แม้กระทั่งเรื่องเล่าเรื่องชวนวังเวงที่เกิดขึ้นเมื่อกำแพงทลายลงแล้ว เมื่อเดินจนรอบ อ่านแผ่นป้ายนิทรรศการจนหมดแล้ว เราก็เดินขึ้นบันไดไปสู่โลกภายนอก บันไดที่ในยุคหนึ่งผู้คนแอบลักลอบมุ่งหน้าสู่โลกใต้ดิน เพื่อหวังว่าเมื่อโผล่ออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง จะได้พบกับอิสรภาพที่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพง 




ป้ายนิทรรศการถาวรในตัวสถานีนอร์ดบาห์นฮอฟ


บันไดเดียว บันไดเดิม

วันนี้นับว่าหนาวที่สุดตั้งแต่มาอยู่ยุโรป กัดฟันเดินก้าวผ่านประตูออกไปเพื่อข้ามถนนไปยังซากกำแพงเบอร์ลิน ภาพที่เห็นคือพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ก็ไม่ได้รกร้างว่างเปล่าเสียทีเดียว มีนักท่องเที่ยวเดินอยู่เป็นกลุ่มๆ และบริเวณโดยรอบเป็นถนนหนทางที่มีรถราวิ่งอยู่โดยตลอด แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันวังเวงชะมัด

ตัวสถานีจากภายนอก


กำแพงสองชั้น : ไม้ที่ปักอยู่คือเขตแนวเดิมของกำแพงชั้นนอกที่ถูกทำลายไป

เราย่ำหิมะเพื่อเดินไปให้ถึงซากกำแพง ที่ถูกพ่นให้สวยงานด้วยเหล่าศิลปินกราฟฟิตี้ แวะอ่านคำบรรยายที่เขาติดตั้งไว้พร้อมกดปุ่มฟังไฟล์เสียงที่แสดงถึงบรรยากาศในสมัยนั้น ซากกำแพงยังเหลือให้เห็นเป็นชั้นๆ กำแพงชั้นแรกที่แน่นหนาน้อยที่สุด กำแพงชั้นนอกสุดที่สูงที่สุด และสร้างทีหลังสุด แต่แน่นหนาที่สุด จุดติดตั้งไฟสปอร์ตไลท์สาดทั่วบริเวณ จุดติดตั้งสัญญาณเซนเซอร์ที่จะดังขึ้นทันทีที่มันจับได้ว่ามีใครเข้ามาในบริเวณนี้ จุดนี้อยู่ระหว่างกำแพงชั้นนอกกับชั้นในอันเคยเป็นเขตหวงห้าม ห้ามมีสิ่งชีวิตอยู่ในบริเวณนี้ แปลว่าใครเข้ามาคือต้องจบชีวิต


ภาพแสดงภาพถ่ายทางอากาศเพื่อให้เข้าใจลักษณะของพื้นที่มากขึ้น


จากด้านในกำแพงมองออกไป 
สมัยนั้นผู้คนหลังกำแพงก็คงจะเห็นภาพบ้านเมืองที่เจริญกว่าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง 
เป็นใครก็อยากจะข้ามไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าทั้งนั้น จริงไหม






กราฟฟิตี้บนกำแพง

เราเดินดูอย่างช้าๆ เท่าที่สภาพอากาศจะเอื้ออำนวย เสื้อผ้าที่เคยกันหนาวได้เต็มที่ ถึงตอนนี้มันชักจะเอาไม่อยู่ ถุงเท้าวูลส์ในรองเท้าบูทเริ่มอนุญาตให้ความเย็นเข้ามารังควานนิ้วตีนจนปวดราวหิมะกัด ถุงมือที่ใส่อยู่ต้องถอดเป็นพักๆ เพื่อถ่ายรูปด้วย iPhone แต่เราก็บ่ยั่น ยังคงสำรวจดูสถานที่แต่ละจุดอย่างพินิจพิจารณา ภาพที่คนภายนอกเห็นก็คงจะเป็นอิหมวยลุยเดี่ยว ใส่เสื้อหนาวแหนมตุ้ม ใส่ๆ ถอดๆ ถุงมือเป็นพักๆ แล้ววิ่งอยู่กับที่ในขณะที่กำลังมองกำแพง ภาพมันคงตลกๆ อยู่แหละ แต่ช่วยไม่ได้ มันหนาวจนยืนเฉยๆ ไม่ได้แล้ว ณ จุดนี้



Signal fence โดนเมื่อไหร่ มันจะร้อง และเตรียมตัวโดนยิงได้เลย




แนวของไฟสปอร์ตไลท์กำลังสูง และอีกสารพัดเครื่องมือที่จะใช้ดักจับผู้ที่คิดจะข้ามกำแพง


ยืนติดกำแพง มองขึ้นไป เห็นเพียงยอดไม้อยู่ลิบๆ 

สุดท้ายเลยกลายเป็นวิ่งๆ ทั้งวิ่งอยู่กับที่ และวิ่งไปดูนู่นนั่นนี่ จุดที่เรายืนดู (วิ่งอยู่กับที่ตะหาก) ด้วยความสะเทือนใจที่สุดเห็นจะเป็นบริเวณที่แสดงภาพของผู้ที่เสียชีวิตในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยหนุ่มสาว ติดออกจะยังเด็กๆ อยู่ทั้งนั้น ไม่ไกลเป็นสุสานขนาดย่อมๆ แต่เราไม่ได้เดินเข้าไปดูเพราะไม่มีใครเดินเข้าไปตรงนั้นเลย

ดูแล้วก็สะท้อนใจ
สงครามไม่เคยให้อะไรดีๆ กับชีวิตใครเลย
แปลกดี.. ที่มนุษยชาติไม่เคยเรียนรู้



แผลจากสงครามและการแบ่งแยกมนุษย์เคยสอนอะไรเราได้บ้างไหม



กำแพงที่มีรูโหว่ กำแพงที่เจ้าของประเทศตั้งใจอนุรักษ์ไว้ ไว้สอนใจใคร?

อาจเป็นเพียงกำแพงร้างๆ แห่งหนึ่ง 
ที่คงจะเหลือพื้นที่ในความรู้สึกของคนในสังคมน้อยลงไปทุกวัน

เราอยู่แถวๆ นั้นจนร่างกายร้องบอกว่าไม่ไหวแล้ว ฉันทนความอยากรู้อยากเห็นของเธอต่อไปไม่ไหวแล้ว จงกลับเข้าที่กำบังเดี๋ยวนี้ ก็นี่แหละน้า ฝรั่งเองเขายังไม่เที่ยวเบอร์ลินกันหน้าหนาวเลย เรามันคนเมืองร้อนตับแตกดันทำซ่ามาเดินเล่นกลางหิมะ เราวิ่งกลับเข้าไปในนอร์ดบาห์นฮอฟแล้วขึ้นรถไฟขบวนแรกที่มาโดยไม่ได้มองว่ามันมาจากไหน และจะไปทางไหน เหตุผลที่มีคือ มันหนาวมากจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว ต้องวิ่งเข้าหาที่อบอุ่น และที่อบอุ่นที่สุดที่คิดออกในเวลานั้นคือ ในรถไฟ ก็เลยได้นั่งรถไฟเล่น จนเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที รู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่อยหาทางกลับบ้าน เอ้ย โฮสเทล 

และบนรถไฟนั่นเองที่เราเห็นพ่อลูกคู่นั้น ลูกสาวตัวน้อยแก้มใสแจ๋ว เธอกำลังฉอเลาะคนเป็นพ่อ ช่วยไม่ได้ที่ภาพของพ่อกับลูกสาวตัวน้อยกับอากาศที่หนาวเหน็บและบรรยากาศหดหู่ที่ยังคงติดค้างอยู่ทำเอาเราคิดถึงบ้านอย่างช่วยไม่ได้ อากาศหนาว ใจคนก็หนาวบ้างเป็นธรรมดา .. น้ำตาเกือบไหลบนรถไฟแล้วซี


และอื่นๆ ณ เบอร์ลิน
ไส้กรอก .. นอกจากเบียร์แล้ว ของกินขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของเยอรมนีก็เห็นจะหนีไม่พ้นไส้กรอก ไส้กรอกบ้าอะไรทั้งยาว ทั้งใหญ่ และที่สำคัญอร่อยมากๆ นอกจากกาแฟแล้วก็ไส้กรอกนี่แหละ ที่เข้ากับอากาศหนาวๆ ได้ดี๊ดี ไส้กรอกอีกแบบที่ยืนขายอยู่หน้าห้างที่เราจำชื่อไม่ได้ แค่เดินแวะเข้าไปหลบหิมะแปบเดียว ตอนขากลับออกมาเลยได้ฮอตด็อกติดมือมาด้วยหนึ่งอัน อันนั้นก็อร่อยไม่แพ้กัน เป็น snack ราคาถูกที่เรากินได้อิ่มพอดีหนึ่งมื้อ

ไส้กรอกจริงๆ นะ

บอกลา เบอร์ลิน
ในที่สุดเราก็ได้เห้นหน้าเพื่อนร่วมห้องในคืนสุดท้ายที่เบอร์ลิน แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากอยู่ดี เพราะโลกส่วนตัวสูงทั้งคู่ อาบน้ำเสร็จเราก็ลงมาอยู่ที่ common room ตามเคย สิ่งที่ต้องทำในวันนี้คือ ใช้ google map หาเส้นทางการเดินทางจาก Schiphol airport ที่อัมสเตอร์ดัม อันเป็นเป้าหมายต่อไปเพื่อเข้าสู่โรงแรม และสอบถามวิธีการไปสนามบินในวันพรุ่งนี้ให้ประหยัดและมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะจะให้จ่ายเงินค่า taxi อีก 22 ยูโรเหมือนขามาอีกล่ะก็ไม่ไหวแน่ ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากพนักงานผู้หญิงที่เคาน์เตอร์ที่เราไม่เคยเห็นหน้า และก็ไม่ได้ถามชื่อเป็นอย่างดี

อาหมวยพร้อมเดินทางค่ะ

คำแนะนำของเธอมีประโยชน์มากจริงๆ เพราะเราเสียค่าเดินทางไม่ถึง 5 ยูโรเพื่อเดินทางไปสนามบิน ที่เบอร์ลินมีสนามบินอยู่สองแห่งคือ Tegel และ Schonefeld โดยเขากำลังจะเปิดสนามบินแห่งใหม่ล่าสุดอีกอัน แต่ยังสร้างไม่เสร็จ สำหรับสายการบินราคาประหยัดอย่าง easyjet นั้น จะไปลงที่ Schonefeld ซึ่งการเดินทางไม่ยากเลย นั่งรถไฟไปจนสุดสาย วันนี้มีนักดนตรีข้างถนนขึ้นมาเป่าแซกโซโฟนแลกเศษตังค์ให้ฟังกันถึงในรถไฟด้วย มาลำบากเอาหน่อยตรงที่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดเพื่อไปต่อรถเมล์ แต่นั่นก็ยังไม่ทรมานเท่าการยืนรอรถเมล์ท่ามกลางลมหนาวตอนหิะกำลังละลาย โอ้ พระเจ้า .. มันทรมานมาก


นักดนตรีบนรถไฟ

ถ่ายรถไฟมาไว้ดูเล่น

แอบถ่าย ณ ป้ายรถเมล์

แต่การรอรถเมล์ก็ยังโอเคกว่าการรอเข้าเครื่องบินบนบันไดตอนหิมะกำลังตก เราบิน flight ค่อนข้างดึก คือเลือกเวลาที่ประหยัดเงินที่สุดนั่นแหละ อันนี้ไม่รู้ว่าสายการบินอื่นมีอย่างนี้รึเปล่า แต่เราไม่เคยเจอ คือปกติตอนจะ boarding ที่เราเคยเจอมามันจะมีสองแบบ คือเดินผ่านทางเดินที่เขาต่อเข้าเครื่องบินเลย กับอีกอย่างคือมีรถไปส่งที่เครื่องบินแล้วเดินขึ้นบันไดเอา แต่อันนี้ที่เราว่าแปลกคือ มันไม่ได้มีรถมารับเรา แต่ผู้โดยสารต้องเดินเท้าผ่านเข้าไปในรันเวย์เพื่อไปขึ้นเครื่องบิน ที่อยู่ห่างออกไปจากอาคารผู้โดยสารประมาณ 200 เมตรเห็นจะได้ เออ ก็แปลกดีแฮะ แล้วคิดถึงตอนที่ยืนรอบนบันไดที่ประตูเครื่องบินให้ลมมันโกรกเล่นขณะที่กำลังรอให้ท่านผู้โดยสารทั้งหลายจัดการเก็บกระเป๋าและหาที่นั่งสิ นั่นแหละทรมานที่สุดแล้ว

ป้ายหน้า .. อัมสเตอร์ดัม :)

ครั้งแรกที่เดินผ่านรันเวย์เพื่อไปขึ้นเครื่องบิน

ลมจ๋า .. หยุดพัดแป๊บได้มะ

จากที่บอกตัวเองว่า ผ่านสามวันแรกไปให้ได้ ตอนนี้ขอต่อรองเป็น ผ่านสัปดาห์แรกไปให้ได้นะ เดี๋ยวอยู่ได้เอง อ๋อย..

และห้ามเกินหนึ่งสัปดาห์ด้วยนะ พรุ่งนี้ก็ครบสัปดาห์แล้ว เพราะฉะนั้น ต้องรีบปรับตัวให้ชินกับมันได้แล้ว ตลอดห้าวันที่เบอร์ลินนี้นับว่าเป็นการเตรียมความพร้อม ถือว่ามาปรับตัว ก่อนที่จะเข้าสู่สนามจริงที่อัมสเตอร์ดัม เมืองยอดนิยมแห่งเนเธอร์แลนด์ ที่เรากำลังจะเข้าร่วมการออดิชั่นครั้งแรกในชีวิต ที่เราจะงอแงไม่ได้เด็ดขาด

คืนนี้เราเดินทางเข้าอัมสเตอร์ดัม พรุ่งนี้มีเวลาพักเต็มๆ หนึ่งวัน และมาวัดใจกันอีกทีวันมะรืนนี้ ความตื่นเต้นแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ อีกแล้ว หายใจเข้าไป ความรู้โยคะที่มีอยู่เอามาใช้เสีย

หายใจเข้าลึก..
หายใจออกยาว..
หายใจเข้าลึก..

โอ๊ยยยย หนาว หายใจแล้วแสบจมูกว้อย.. แงๆ

จะรอดมั้ยตรู >_<




 

Create Date : 14 มีนาคม 2556
3 comments
Last Update : 14 มีนาคม 2556 19:08:43 น.
Counter : 1291 Pageviews.

 

Thank you very much

 

โดย: Kai (nookookai8 ) 14 มีนาคม 2556 18:48:38 น.  

 

อ่านถึงตอนที่น้องเสี้ยวเล่าถึงการเล่นเปียโน
ชอบจังเลยครับ

สนุกมากตอนที่คิดภาพตาม


 

โดย: กะว่าก๋า 14 มีนาคม 2556 19:30:14 น.  

 


มากด Like ให้เป็นคนที่ 4
อ่านเพลินเลยค่ะ

 

โดย: อุ้มสี 14 มีนาคม 2556 21:00:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.