YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~

7.. สวัสดีอัมสเตอร์ดัม ใจฉันช่างฟุ้งซ่าน

สนามบินอัมสเตอร์ดัมน่าชอปปิ้ง ตั้งใจว่าก่อนจะออกจากอัมสเตอร์ดัมจะมาเดินชอปปิ้งแถวๆ นี้ก่อน แต่ก่อนจะคิดถึงขาออก คิดถึงขาเข้าก่อนน่าจะดีกว่า ตอนนี้ต้องนั่งรถไฟจากสนามบินไปที่สถานี Sloterdijk .. เอ่อ อ่านว่า?


รับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปหาสถานีรถไฟ แล้วมาหยุดกึกอยู่ตรงหน้าตู้ขายตั๋ว .. ซื้อยังไงหว่า เอานิ้วจิ้มไปที่หน้าจอตรงรูปธงชาติอังกฤษเพื่อเลือกภาษา ... เจอคำถามว่ามี OV-chipkaart หรือไม่ .. รู้จักยังไม่รู้จักเลย เลยตอบไปว่าไม่มี ต่อมาถึงรู้ว่ามันก็คือบัตรเติมเงินรถโดยสารสาธารณะที่ใช้ได้กับทุกระบบขนส่งสาธารณะ แต่ไม่รวมรถไฟเพราะเป็นคนละบริษัททำให้เราต้องซื้อตั๋วรถไฟเพิ่มเอง ตู้ถามหาบัตรเดบิตแบบที่มี PIN number โอ้ ยากเกินไปละ (เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีแบบใช้เหรียญหยอดก็ได้ แต่เผอิญตู้นั้นไม่มี) เราเลยต้องไปที่เคาน์เตอร์ (ชาร์จค่าบริการเพิ่มอีกตะหาก)


“จะไปไหนคะ” พนักงานผู้หญิงหน้าตาเหมือนคณะลูกขุนอังกฤษถามเรา

“ไป ..” ว่าแล้วก็ค้นกระเป๋าควั่ก หาสมุดบันทึกที่จดที่อยู่โรงแรมออกมายื่นให้เธอผู้นั้นอ่านเอาเอง คือเดี๊ยนอ่านไม่ออกน่ะฮ่ะ

“Sloterdijk 3.7 ยูโร”

“อ่า... ซโล้~ ถะดีค” พยายามจะเลียนแบบให้เหมือน เผื่อไว้ใช้ตอนหลงทาง จะได้ถามทางเขาถูก พนักงานพยักหน้าให้ยิ้มๆ พิมพ์ตั๋วยื่นให้แล้วบอกกับเราว่า

“รถไฟกำลังจะออกในอีก 2 นาทีค่ะ”

“หา.. แล้วจะทันเรอะ” เราถามเสียหลง แต่คุณเธอยืนยันว่าถ้าเราวิ่งไปซะตอนนี้ ไม่ต้องถามมาก ยังไงก็ทันแน่นอน 

“วิ่งไปที่ป้ายตรงนั้นนะคะ” เธอชี้บอกทาง “ลงบันไดเลื่อนไป ชานชาลาที่ 3 อยู่ทางขวามือ” 

เธอบอกทางอย่างเข้าใจหัวอกคนต่างชาติ เรากล่าวคำขอบคุณแล้วก็วิ่งตามคำแนะนำของเธอ


เราวิ่งมาทันรถไฟออกตรงเวลาเป๊ะ ขบวนที่เราขึ้นเป็น Intercity ตามชื่อคือวิ่งระหว่างเมือง ดังนั้นมันจึงมุ่งแต่จะวิ่งข้ามเมือง มันจึงไม่จอดทุกสถานี ซึ่งจะต่างจาก Sprinter ที่เป็น local train ของเขา อันนั้นจะจอดเกือบทุกสถานี แต่ทั้งสองแบบก็จะมีบอกเวลาที่จะถึงแต่ละสถานีไว้เรียบร้อย รถไฟที่ยุโรปนี้จะแบ่งเป็นชั้นหนึ่งกับชั้นสอง โดยชั้นหนึี่งจะหรูกว่า แต่เอาเข้าจริงแล้วแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย และความจริงที่เจ็บปวดก็คือ ไม่ว่าจะชั้นอะไร มันก็คล้ายๆ กับ (ถ้าไม่ดีกว่า) ชั้น VIP ของรถไฟไทยอยู่แล้วล่ะ 



ยิ้มหวาน (มั้ย?)


เพียงสองสถานีสิบห้านาทีโดยประมาณเราก็มาถึง ..ซโล้~ ถะดีค .. โดยไม่มีพนักงานเดินมาตรวจตั๋วให้เห็นสักคน เดินออกจากรถไฟมาก็เจอลมเยือกพัดมาต้อนรับเราถึงชานชาลาราวกับจะบอกว่าขอต้อนรับแม่หนูผู้กล้าหาญสู่เมืองแห่งกังหันลม แล้วเสียงรถไฟก็เคลื่อนผ่านออกไป 


ชิ้ง~ รอบตัวมันช่างร้างไร้ผู้คนเสียจริง 


ฮ่วย! โรงแรมบอกแค่ว่าตัวเองอยู่ใกล้ติดกับสถานีนี้ แต่ไม่เห็นบอกเลยว่าลงจากรถไฟต้องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา (ใครเขาจะบอกวะ) บันไดเลื่อนลงก็หาไม่มี เลยต้องกระเตงกระเป๋าใบโตลงบันไดด๊อกๆ แต่สิ่งแรกที่เห็นเมื่อลงมาถึงชั้นล่างแล้วคือ .. ลิฟท์ 


ขอบคุณมาก


นี่ขนาดใส่คอนแทคเลนส์แล้วนะ ตายังถั่วเลย (เพิ่งจะหัดใส่ก่อนเดินทางแค่ 2 สัปดาห์ ปกติก็มัวๆ ไปไม่เดือดร้อน) เอาล่ะ ตอนนี้ก็หาประตูทางออก แต่ก่อนจะถึงประตูทางออก มันก็มีเหมือนช่องกั้นตรวจตั๋ว แล้วก็มีเครื่องสแกนตั๋วอยู่ เราก้มมองตั๋วกระดาษในมือเรา แล้วสงสัย .. เอ มันต้องไปทำอะไรกับไอ้เครื่องนั่นรึเปล่า มองซ้ายมองขวาไม่เห็นมีใครให้ถาม เราเลยเดินไปที่ช่องนั้น มันก็ไม่มีอะไรกั้นอยู่นะ จะออกก็ออกได้เลย แต่ถ้าเกิดเดินออกไปเลยแล้วมันเกิดร้อง แอด ๆ ๆ โวยวายขึ้นมาล่ะ ยิ่งเมื่อกี้บนรถไฟพนักงานก็ไม่ได้มาตรวจตั๋วด้วย แล้วพอสัญญาณดังก็จะมีเจ้าหน้าที่วิ่งมา พร้อมกับฉายไปฉายส่องมาที่เรา แล้วก็พูดภาษาที่เราไม่รู้เรื่อง รู้ตัวอีกทีก็โดนจับแล้ว ว้าก... ไม่อาวว!


(จินตนาการช่างล้ำ)


เลยลองเอาตั๋วที่มีอยู่ในมือ ไปทาบตรงช่องสแกน .. เงียบ ไอ้ช่องกั้นที่มันเปิดอยู่มันก็เงียบ แล้วหน้าตาของไอ้ตั๋วกระดาษ พอทาบกับเครื่องสแกนแล้ว สัญชาตญาณเด็กเมืองอย่างเราบอกเลยว่า .. มันไม่ใช่อ้ะ! เลยได้มองซ้ายมองขวาอีกรอบ เพื่อเช็คว่า เมื่อกี้ไม่มีใครเห็นพฤติกรรมสุดเปิ่นของเรา เออเว้ย, ไม่มีคนเลยจริงๆ ด้วย


พ้นประตูออกไปได้ก็เจอกับหิมะอีกแล้ว ควักเอาไอโฟนออกมาดูภาพแผนที่ที่แคปเอาไว้ พยายามมองหาชื่อถนนให้ตรงกับในภาพก็หาไม่เจอ มองหาป้ายโรงแรมก็ไม่เห็น เลยเดินไปในทิศที่เราคิดเองว่าใช่ พอเดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้ ประตูทางเข้าออกหลักของสถานีที่มีผู้คนขวักไขว่อยู่นี่เอง เมื่อกี้ออกผิดประตูเอง เลยเดินเข้าไปถามเคาน์เตอร์ information 


“ออกไปเลี้ยวขวาแล้วตรงไป ไม่ไกล”


เราขอบคุณแล้วเดินออกมาเลี้ยวขวาแล้วก็ตรงไป กระเป๋าที่ลากอยู่เริ่มจะเป็นปัญหา เพราะล้อไม่ได้ทำมาให้เลื่อนไปบนหิมะแบบเดียวกับรถเลื่อนลากเด็กที่เราเห็นในเบอร์ลิน เราเลยตบกระเป๋าเบาๆ แล้วบอกมันไปว่า ข้าแบกเอ็งไม่ไหวนะเว้ย ดูแลตัวเองนะ 


เราจะผ่านด่านหิมะนี้ไปด้วยกัน


กระเป๋าสีน้ำเงินล้อสีส้มคู่ทุกข์คู่ยากพาตัวมันเองลากผ่านหิะที่ปูพื้นเป็นทางสีขาวไปตลอดอย่างยากลำบากโดยไม่ปริปากบ่น จนสุดทางเดินแล้วประตูโรงแรมก็ยังไม่มาปรากฎให้เห็น ที่เห็นอยู่ตำตาตอนนี้มีแต่บันได.. เป็นบันไดขาลงทอดยาวไปเป็นความสูงประมาณเท่ากับตึกสามชั้น เราเหล่ตามองกระเป๋าที่ตอนนี้ยืนสงบนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนเหมือนจะบอกเราว่า ช่วยไม่ได้จริงๆ ว่ะ เอ็งต้องแบกข้าแล้วล่ะ


แล้วหญิงสาวในชุดกันหนาวแหนมตุ้ม ก็แบกกระเป๋าที่ก็ตุ้มไม่แพ้กันลงบันไดที่คลุมไปด้วยหิมะอย่างทุลักทุเลพอสมควร ได้แต่หวังลึกๆ ในใจว่าฉันคงมาถูกทางนะ ไม่นานคำตอบก็ปรากฎเมื่อได้เห็นประตูโรงแรมทอดตัวเป็นสง่าอยู่ที่ตีนบันได ไชโย.. ถึงแล้ว


Meininger Hotel มีทั้งห้องเดี่ยวและห้องพักรวม รวมทั้งมีส่วน guest kitchen ซึ่งมี เตาแก๊ส เตาอบ ตู้เย็น อ่างล้างจาน เครื่องชงกาแฟเอาไว้ให้พร้อมสรรพ เราจองห้องพักหกเตียงจองผ่าน bookings.com มา ตามข้อตกลงการชำระเงิน บัตรเครดิตจะถูกตัดในวันที่จองแค่ 10% ของราคาเต็ม ส่วนที่เหลือจะมาชำระเอาในวันที่เราเข้าพักจริง แต่ถ้าเราไม่เข้าพัก บัตรของเราจะถูกชาร์จเงินเท่ากับคืนแรก ยกเว้นว่าจะยกเลิกการจองสองวันก่อนถึงวันที่จอง 


แต่ปรากฏว่า ทางโรงแรมแจ้งว่าเขาได้ตัดบัตรของเราเต็มจำนวนไปเรียบร้อยแล้ว เราเลยบอกว่าอย่างนี้ไม่ได้สิ ทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าเกิดฉันเกิดมาไม่ได้ล่ะ ฉันก็จะถูกหักเงินเต็มจำนวนแทนที่จะเสียแค่ค่าห้องคืนแรกตามข้อตกลงสิ พนักงานคนนั้นเลยไปเรียกลูกพี่มาช่วยเคลียร์ ลูกพี่ก็ทำเป็นมาดผู้ดีเดินมาแล้วบอกว่า


“ขอโทษครับ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้เป็นบางครั้ง เป็นความผิดพลาดของเราครับ” ตอนแรกเรายัวะนะ แต่พอได้ยินคำขอโทษเราก็หยวนๆ แต่ว่าความประทับใจแรกพบกับโรงแรมจะเริ่มคะแนนตกไปแล้วล่ะ

“คือฉันจะใช้บัตรอีกใบหนึ่งในการชำระ เพราะบัตรที่ฉันใช้จองมันเป็นของพ่อ และฉันไม่อยากจะใช้ใบนั้น”

“งั้นเดี๋ยวกระผมขออนุญาตทำเรื่องคืนเงินบัตรใบนั้น และขอความกรุณาคุณผู้หญิงมอบบัตรอีกใบให้กระผม เพื่อตัดจากบัตรใบนั้นแทนนะครับ” แหมใช้ศัพท์เสียสูงเชียว แต่ลูกกะตากวนตีนแปลกๆ ชักจะไม่ชอบโรงแรมนี้ขึ้นมาอีกแล้ว .. เออเนอะ ใจหนอ ไปคิดหาเรื่องเขาเองแท้ๆ 

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยจัดการเลยค่ะ” เขาเลยจัดการให้แถมยังให้บัตรบุฟเฟ่ต์อาหารเช้ามูลค่าวันละ 6 ยูโรมาให้อีกห้าวันรวดเป็นการไถ่โทษ .. เป็นทางออกที่ฉลาดมาก ซื้อใจลูกค้าได้ โอเค..ผ่าน! ก่อนจะขึ้นห้องเราถามเขาอีกว่า ถ้าหากนอน dorm แล้วเกิดรู้สึกไม่ชอบ จะขอเปลี่ยนไปเป็นห้อง single ได้ไหม คำตอบแน่นอนอยู่คือ .. ได้ (แหม คุณผู้หญิงจะจ่ายตังค์เพิ่ม ใครล่ะจะไม่ชอบ) 


โรงแรมนี้ค่อนข้างใหญ่ และไม่ได้มีอยู่ที่เมืองนี้เมืองเดียว แต่เป็น chain อยู่ในหลายเมืองในยุโรปที่ราคาพอๆ กับ hostel ชั้นดี ลิฟต์พาเราขึ้นไปชั้น 8 นึกในใจว่า ไม่มีทางโชคดีเจอห้องว่างๆ เงียบๆ แบบที่เบอร์ลินแน่ๆ เดี๋ยวก็จะได้รู้กันแล้วว่า ต่อมความอดทนต่อมนุษย์ของเรามีมากแค่ไหน (อ้าว แอนตี้โซเชี่ยลซะงั้น)


เสียงเพลงดังลอดประตูออกมาให้ได้ยินถึงหน้าห้อง เราแตะคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเตียงสองชั้นสองเตียง และเตียงคู่อีกหนึ่งเตียง มีตู้ locker ไว้ให้เก็บกระเป๋าอีก 6 ตู้ ห้องตกแต่งไว้ดีทีเดียว มีห้องน้ำกับห้องอาบน้ำแยกกัน โดยมีอ่างล้างมืออยู่ด้านนอก 


ในห้อง สองสาวเอเชียกำลังเอกเขนกท่ามกลางข้าวของที่กระจายทั่วห้อง เมื่อเห็นผู้มาเยือน เธอจึงเอื้อมมือไปปิดเพลง เรากล่าวทักทายตามมารยาท และมุ่งหน้าไปยังเตียงที่ยังว่าง เราเลือกนอนเตียงชั้นล่างริมหน้าต่าง ค่อยๆ กระมิดกระเมี้ยนถอดรองเท้าบูตส์ออก เพราะไม่วางใจกลิ่นเท้าตัวเอง หนีบปากรองเท้าไว้ไม่ให้กลิ่นออกแล้วรีบซ่อนไว้ใต้เตียง สำรวจสภาพล้อกระเป๋าด้วยความเป็นห่วง มีรอยถลอกเล็กน้อยแต่ไม่มีอะไรเสียหายมากไปกว่านั้น จึงหันมาจัดการจัดข้าวของของเราให้เป็นที่เป็นทาง 


อึดอัดพอสมควรกับสองสาวเกาหลี (รู้สัญชาติจากการแนะนำตัวสั้นๆ) อีกทั้งรู้สึกหิวนิดๆ ออกไปหาอะไรกินทีสถานีดีกว่า เลยลากรองเท้าคู่เก่งที่เพิ่งยัดเข้าไปใต้เตียงออกมาใส่อีกครั้ง แล้วก็ออกจากห้องไปเงียบๆ และพอเราก้าวพ้นห้องออกไป ยังไม่ทันประตูจะปิดสนิทดี เสียงเพลงในห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นอันว่า .. พวกหล่อนก็คงจะอึดอัดกับเราเหมือนกันแหละ


สามทุ่มกว่าสถานียังคงคึกคัก ร้านรวงยังไม่ปิด มีร้าน Smuller ซึ่งเป็นร้านฟาสต์ฟู้ด ที่ให้ไปหยอดเหรียญแล้วเปิดตู้หยิบไส้กรอกที่หน้าตาเหมือนอาหารชาวดัตช์ยุคตกยากออกมากินกันตาย ดูไม่ค่อยเป็นมิตรต่อนำ้หนักตัวและสุขภาพเท่าไหร่ จึงเดินผ่านไปก่อน แต่ตั้งใจว่า ไว้จะมาลอง


เดินลึกเข้าไปหน่อยก็เจอร้าน Kebab ที่ขาย Turkse pizza และ Burger ไอ้ Turkse Pizza มันคืออะไรหว่า ราคาถูกที่สุดในเมนูอีกต่างหาก คนขายเป็นผู้ชายร่างเล็กที่มีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ชี้ไปที่รูปแทนคำอธิบาย มันคือแป้งพิซซ่าที่ดูคล้ายกับแป้งจาปาตีของอินเดีย ม้วนกลมๆ คล้ายๆ ปอเปี๊ยะอันอ้วนๆ


“จะเอา salat ด้วยไหม เพิ่มอีกแค่ 70 เซนต์เท่านั้นเอง” เขาถาม ซึ่งไม่ยากที่จะเดา salat ในที่นี้น่าจะคล้ายๆ กับ salad ผักที่เรารู้จัก ประกอบกับคุณคนขายผายมือไปยังแผงผักสดอย่างเชื้อเชิญด้วย เราจึงพยักหน้ารับคำแต่บอกว่า

“no onion please” นิสัยไม่กินหัวหอมเพราะกลัวปากเหม็นติดมาตั้งแต่สมัยเรียนเปียโนเดี่ยวตอนเด็กๆ แล้วเจอครูฝรั่งปากกลิ่นหัวหอมเน่ามาพูดอยู่ข้างๆ ใบหน้า แทบสลบ 

“จะไปเดทไหน"

“หืม..?”

“ยูน่ะ จะไปเดทไหนต่อ” คนขายยังย้ำคำถามเดิม เราก้มลงสำรวจตัวเอง เสื้อแขนยาวตัวโคร่ง  ข้างในเสื้อขนเป็ดที่ไม่ได้รูดซิป กางเกงผ้าเตรียมจะนอนที่ใส่ลองจอนหนาเตอะไว้ข้างใน กับรองเท้าบูตส์เหม็นๆ เนี่ยนะ คิดได้ไงว่าเราจะไปเดท คนขายคงเดาได้ว่าเราคิดอะไรเลยหัวเราะแล้วขยายความว่า

“ก็เห็นไม่กินหัวหอม” เป็นงั้นไป คุณเธอกำลังยืนรอแป้งพิซซ่าหน้าเหมือนจาปาตีที่ส่งเข้าไปอบในเตา เลยมีเวลาสาธยายความดีงามของหัวหอมให้เราฟังต่อ ทั้งลดท้องอืดท้องเฟ้อ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ช่วยการทำงานของตับ บลาๆๆ เราได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยนๆ พลางคิดในใจ .. รู้งี้แกล้งทำเป็นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เสียตั้งแต่แรกจะดีกว่า ตัดปัญหา เสียงเตาอบดังปิ๊ง! คุณคนขายจึงไปคีบแป้งออกมาแผ่หราราดซอสตามสูตร แล้วคีบผักใส่ 

“ไม่ต้องกลัวว่าไอจะใส่หัวหอมให้หรอก ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน ที่พูดไปนั่นน่ะ เพราะว่าวันนี้หัวหอมมันเหลือเยอะ!” พูดเสร็จก็หัวเราะฮาอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ส่งห่อพิซซ่าให้เรา 



จนปัญญาจะถ่ายให้น่ากิน คือว่ากลัวมันทะลักออกมาน่ะ เอาเป็นว่าอร่อยมากละกัน


“ต๊ดซีน” คนขายพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แปลว่าอะไรเราถาม

“แปลว่า ซียูอะเกน” 

“อ๋อ ไอซี” เรายิ้มให้คนขาย “ต๊ดซีน”


เป็นศัพท์ดัตช์คำแรกที่ได้เรียน


เมื่อรู้ทาง ระยะทางนั้นก็ไม่ไกล ใช้เวลาเดินเพียงไม่เกินสามนาทีเราก็กลับมาสู่ล็อบบี้อันอบอุ่นของโรงแรม จัดการเตอร์กิชพิซซ่าในมือให้เรียบร้อย รสชาติอร่อยใช้ได้ เดาว่าจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพน่าจะพอได้ เพราะไขมันไม่น่าจะสูง ดูจากตัวแป้งที่ดูแห้งๆ ไม่น่าจะมีส่วนผสมของเนยเยอะ และผักเยอะมากๆ ทำให้อิ่มท้อง และที่สำคัญ ประหยัดตังค์ซะด้วย


ขึ้นห้องสองสาวเกาหลีก็ยังระเกะระกะอยู่ในห้อง และทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นผู้มาเยือนที่จะต้องเกรงใจเจ้าของห้อง จากที่รู้สึกอึดอัดในตอนแรก เริ่มเปลี่ยนเป็นความไม่ชอบใจ เราเดินตัวลีบๆ ผ่านข้าวของของทั้งสองหล่อนที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น แล้วนั่งแปะอยู่บนเตียง อยากจะรื้อของออกมาจัดก็ดูจะไม่มีที่เหลือในห้อง เพราะของพวกหล่อนเยอะ เตียงก็ใหญ่ เลยไปอาบนำ้ดีกว่า


คืนนั้นที่หลับลงได้ เป็นเพราะฤทธิ์เจ็ทแล็ก ที่แล็กต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ สามทุ่มง่วงโงก สี่ทุ่มก็หลับเรียบร้อย มาตื่นเอาอีกทีตอนตีสี่กว่า เพราะสองสาวเกาหลีเปิดไฟลากกระเป๋าออกจากห้องเตรียมไปขึ้นรถไฟแบบไม่เกรงใจคนกำลังนอน เราพลิกไปพลิกมาเพราะคร้านจะตื่นเวลานี้ แต่นอนต่อก็ไม่สู้จะหลับ พลิกอยู่อย่างนั้นราวชั่วโมงกว่าๆ ก็ยอมแพ้ ตื่นก็ได้ 


เปิดไฟหัวเตียงจึงเห็นว่า มีอีกหนึ่งคนกำลังนอนอยู่ หน้าตาเป็นไงไม่รู้ เพราะเมื่อคืนเห็นแต่กระเป๋า เธอคงกลับเข้ามาตอนดึกๆ เราเลยปิดไฟเพราะกลัวจะแยงตาเขา (เพราะเพิ่งถูกแยงมาตะกี้ เข้าใจความหงุดหงิด) แล้วใช้ iPhone เปิดเป็นไฟฉายไว้แทน (เห็นไหม iPhone มีประโยชน์จริงๆ) พอได้เวลาอาหารเช้าเราก็ลงไปกินตามสิทธิที่ได้รับมา บุฟเฟ่ต์หน้าตาดี กินมีความสุขมากๆ พนักงานเดินมาเช็คการ์ดทานอาหาร แล้วก็ชวนเราคุย เธอเป็นหญิงอินโดนีเซียวัยกลางคน แต่ยังรูปร่างดี คุยกับเราอยู่นานเพราะเธอชอบคนไทย และกำลังคิดถึงบ้าน แม้ว่าบ้านเธอจะอยู่อินโดนีเซีย แต่การเห็นเพื่อนบ้านใกล้ๆ จิตใจมันก็ชุ่มชื่นแล้ว (ว่าไปนั่น)



อาหารเช้า จัดเต็ม คุ้มค่าจริงๆ (แอบห่อไปกินกลางวันอีกตะหากเรา ฮ่าๆ)


จริงๆ แล้ววันนี้เราจะว่างทั้งวัน เป็นวันพักเพื่อเตรียมออดิชั่นในวันพรุ่งนี้ แต่จะให้อยู่ในโรงแรมเฉยๆ ก็คงนั่งไม่ติดหรอก ตื่นเต้นมากมาย อย่ากระนั้นเลย ออกไปสำรวจ Het Muziektheater สถานที่ออดิชั่นสำหรับวันพรุ่งนี้ดีกว่าว่ามันอยู่ตรงไหน 


เลยขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว คุณรูมเมทเธอยังไม่ตื่น เราเลยต้องย่องเป็นแมวอีกครั้ง ย่องไปอาบน้ำ เปิดประตูคลิก เธอพลิกตัวกริ๊ก เราหยุดยืนตัวแข็งดิ๊ก ทำอย่างกับตัวเองเป็นขโมย จะหยิบจะจัดอะไรดูลำบากไปเสียหมด ตัดสินใจทันที จะย้ายไปห้อง single ละ ขอจ่ายเงินซื้อความสะดวกสบายสักสองคืน สำหรับการออดิชั่นในวันพรุ่งนี้ แล้วค่อยกลับมานอนห้อง dorm หลังจากออดิชั่นเรียบร้อยแล้วกัน


เช็คเส้นทางไป Het Muziektheater จาก Google map อีกที กะให้ถึงที่นั่นราว 9 เก้าโมงเช้าเวลานัดสำหรับวันพรุ่งนี้ รถเมล์ต่อด้วย Metro ไม่น่ายาก ไม่รู้ก็ไปถามๆ เขาเอาแล้วกัน หัวดำตาเล็กอย่างนี้ มีสิทธิในการเปิ่นเต็มร้อย ไม่มีใครว่าอยู่แล้วล่ะ 


ที่สถานี ..ซโล้~ ถะดีค นี้ นอกจากจะเป็นสถานีรถไฟแล้ว ยังเป็นสถานีต้นทางและปลายทางของรถเมล์และ tram ด้วย ขอบอกว่าพักที่นี่สะดวกในการเดินทางสุดๆ เราเดินผ่านเข้าสถานี ออกไปยังบริเวณท่ารถ ไม่แน่ใจว่าตั๋วรถเมล์ต้องซื้อที่ไหน ไม่รู้จะถามใคร เห็นแต่ละคนเดินรีบๆ กันใหญ่ เลยถามคนที่ยืนอยู่กับที่อย่างลุงที่ยืนแจกหนังสือพิมพ์แท็บเล็ตที่ตีนบันไดเลื่อนนี่แหละ คุณเธอยิ้มให้แล้วบอกเราอย่างใจดี


“ไปซื้อบนรถเลยไอ้หนูเอ๊ย” 


คนเมืองนี้น่ารักจริงๆ เลย


อย่างที่บอกว่ารถเมล์ tram และ metro ใช้ตั๋วร่วมกันได้ คนขับรถถามเราว่าเราจะเอาตั๋วขึ้นลงไปทั้งวัน 7.5 ยูโร หรือตั๋วชั่วโมง 2.8 ยูโร เราคำนวณแล้ว ไปกลับไม่น่าจะเกินหนึ่งชั่วโมง เพราะพี่กูฯ บอกมาว่าใช้เวลาเดินทางไม่ถึงยี่สิบนาทีเท่านั้น ถามคนขับว่ากี่ป้ายจะถึง Centraal Station คนขับหัวเราะตอบว่า“หลาย” แล้วชี้ไปที่เหนือที่นั่งคนขับ บอกว่าดูป้ายไฟเอาเลยจ้ะเจ๊ มีขึ้นสถานีให้ตลอดไม่มีหลงจ้ะ เออ ดีจังง่ายกว่านั่งรถเมล์กรุงเทพฯ ล้านเท่า .. ก็ถ้าเอาชีวิตรอดจากการนั่งรถเมล์ในกรุงเทพฯ ได้ ไปเจอรถเมล์ที่ไหนก็หมูๆ (ยกเว้นอินเดียวไว้ที่หนึ่งนะ) 



ขึ้นรถเมล์ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนกรุงเทพฯ 


จากความหม่นมัวของเบอร์ลินมาเจอเมืองที่สดใสอย่างอัมสเตอร์ดัม ความรู้สึกเราลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด ควันขาวจากปล่องโรงงาน เมื่อกระทบอากาศเย็นเจี๊ยบมันก็จับตัวเป็นก้อนๆ เหมือนภาพก้อนเมฆในการ์ตูน ไม่ฟุ้งกระจายเหมือนอย่างในเมืองร้อน ฟ้าใสๆ ที่เป็นฉากหลังยิ่งทำให้สวยเหมือนไม่ใชของจริง วันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่มาถึงยุโรปที่ได้เห็นพระอาทิตย์ แดดเช้าส่องลงมากระทบน้ำเป็นประกายสวยมาก 


เมืองอัมสเตอร์ดัมนั้นเป็นเมืองท่า ที่เต็มไปด้วยเขื่อน เพราะคำว่า Dam นั้นก็มาจาก Dam ที่แปลว่าเขื่อนนั่นเอง สภาพแวดล้อมของเมืองนี้น่าอยู่มากๆ ธรรมชาติสวย ตึกรามบ้านช่องก็สวยงามสมกับเป็นเมืองเก่าที่ผู้คนรู้จักอนุรักษ์รักษา เมื่อรถเมล์พาเรามาถึงกลางเมือง เราก็เห็น Centraal Station อยู่ไกลๆ 



นี่แหละ Centraal Station


“เซนตราว สเตชั่น มาดาม, เซนตราว สเตชั่น” เราหันไปมองต้นเสียง เป็นคนขับรถนั่นเองที่ปลุกเราจากฝัน พร้อมกับสายตาส่งมาเหมือนจะถามว่า จะลงมั้ยเจ๊? เราเลยยิ้มเขินๆ รีบวิ่งลงจากรถโดยไม่ลืมเช็คเอาท์ คือการเอาบัตรไปแตะที่เครื่องที่ติดไว้ตรงประตู ที่นี่เวลาจะขึ้นก็ต้องแตะบัตรเพื่อเช็คอิน ออกก็ต้องเอาไปแปะอีกทีเพื่อเช็คเอาท์


มุดใต้ดินไปลง Metro ต่อไปอีกสองสถานีก็ถึงสถานี Waterlooplein อันเป็นที่ตั้งของ Het Muziektheatre โผล่ขึ้นมาบนดินก็มองหา Artist entrance ตามที่แจ้งไว้ในอีเมล์ เดินจนรอบก็หาไม่เจอ เลยถามหนุ่ม (เดาว่าน่าจะเป็น) นักดนตรีที่ออกมาสูบบุหรี่ เขาชี้บอกทางแล้วยิ้มให้อย่างใจดี คนเมืองนี้ใจดีอีกแล้ว (โอ.. ตกหลุมรัก)



Artist Entrance แค่เห็นก็ตื่นเต้นมากแล้ว


เสร็จภารกิจการหาสถานที่ออดิชั่น ก็เหลือยี่สิบนาทีก่อนเวลาหมด อารามงกทำให้เรารีบจ้ำไปขึ้น Metro ซึ่งขากลับทำเวลาได้ดีกว่าขามา เพราะไม่ต้องมัวหาทิศทางอะไรให้วุ่นวายอย่างขาไป กลับมาถึงโรงแรมในเวลายี่สิบนาทีพอดีแบบหวุดหวิด แล้วก็จัดการย้ายห้องไป Single room 


ห้อง Single room ดูดีทีเดียวแหละ ห้องน้ำก็สะอาดสวยงามสมราคา ราคาก็หลากหลายแล้วแต่ว่าพักวันไหน เนื่องจากคืนที่เราพักเป็นคืนวันศุกร์เสาร์ ซึ่งราคาสูงกว่า แต่ก็ช่วยไม่ได้ ก็ต้องยอมจ่ายไปคืนละประมาณ 55 ยูโร ไม่ถูกเลย ฮือ.. นึกตำหนิตัวเองที่ไม่รู้จักอดทน แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรน่า ยอมจ่ายซื้อความสบายตัวสบายใจไปก่อน แล้วค่อยไปประหยัดเอาหลังจากยกภูเขาออดิชั่นนี้ออกจากอกได้


ตอนนี้อะไรก็ยอมล่ะ เครียดและตื่นเต้นจะตายแล้ว ยอมรับ ถ้านั่งเฉยๆ อย่างนี้ทั้งวันต้องบ้าตายแน่ๆ ตามข้อมูลที่เพื่อนชาวอังกฤษที่อยู่ที่รอตเตอร์ดัม (ทริปนี้จะแวะไปหาด้วย) ส่งมาให้ ที่อัมสเตอร์ดัมนี้มีสตูดิโอที่น่าไปอยู่คือ Amsterdam Dance Centre ที่มีคลาสสำหรับนักเต้นอาชีพวันละสามคลาสในราคาไม่แพง จากที่ตอนแรกกะจะพัก แต่จิตใจร้อนรุ่มอย่างนี้ ไปเต้นดีกว่า


เราไปทันคลาสที่ 3 ของวันที่เริ่มในเวลาเที่ยงครึ่ง คราวนี้ฉลาดขึ้นมาหน่อย ซื้อตั๋วรถแบบสี่วัน ราคา 21 ยูโร คุ้มกว่ากันเห็นๆ ศึกษาเส้นทางไว้พร้อมแล้ว ไม่ต้องไปต่อรถที่ไหน ขึ้น tram สาย 12 จากท่ารถไป 7 สถานีแล้วลงเดินต่อเข้าไปในถนนเล็กๆ อีกประมาณ 10 นาที หิมะบางๆ ปกคลุมถนน แดดแรงสะท้อนหิมะจนแสบตา แต่ลมพัดมาก็ยังคงความเย็นเจี๊ยบอย่างไม่ปรานี เราหดหูลงไปในเสื้อเพื่อบรรเทาความหนาว นึกสงสัยว่าประดาผู้คนที่ขี่จักรยานร่อนไปร่อนมาเต็มเมืองไปหมด เขาไม่หนาวกันจนปวดหูบ้างเหรอ ที่เมืองอัมสเตอร์ดัมนี้จักรยานเยอะมากๆ จริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการคมนาคมหลักของที่นี่เลย


ทางที่เดินเข้าไปยังปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ อากาศหนาวน่าจะทำให้จิตใจเราลดความร้อนลงได้บ้าง หรือไม่เช่นนั้นก็เพราะกำลังขบคิดกับปัญหาเฉพาะหน้าจนลืมความกังวลกับเรื่องราวที่ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน 



ไม่กลัวหลง เพราะเผื่อเวลาหลงไว้แล้ว



กาแฟแก้วนี้ได้บรรยากาศโรงเรียนเต้นดีจัง  ที่เห็นอยู่ข้างหลังนี้ เป็นชั้นเรียนแม่บ้านที่มีนักเรียนเต็มห้อง 


คลาสที่เราไปเข้าเป็นคลาสบัลเล่ต์ จุดประสงค์คือตบอารมณ์ให้เข้าที่ และตบกล้ามเนื้อต่างๆ ให้พร้อมใช้งาน สตูดิโอที่นี่ใหญ่โตมาก คนเข้าไม่มากไม่น้อยจนเกินไป คลาสนี้เราจ่ายไป 8 ยูโร (ซื้อแพ็กเกจ 10 คลาส 80 ยูโร) ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับเมืองไทย



บัตรเข้าเรียน 10 คลาส


เราเลือกยืนบาร์ริมกระจก ด้านนอกหิมะโปรยปรายลงมาจนหลังคาของตึกหลังข้างๆ เป็นสีขาว คลาสเริ่มแล้ว มีนักเปียโนมาบรรเลงให้สดๆ เพลงเพราะเหลือเกิน บรรยากาศที่นี่ช่างเป็นใจ ความกังวลหายไป เมื่อเราเริ่มเต้น เท่านั้นเอง 


จำได้ไหม .. เราบอกตัวเองว่าเราจะมีความสุข ไม่คาดหวัง จะโง่ และจะเปิ่นให้เต็มที่ ตักตวงให้มาก คาดหวังกับตัวเองให้น้อย 


และจำได้ไหม .. เราจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำและได้ทำ และละวางคำตัดสินของคนอื่นไว้นอกรั้วความรู้สึก ใส่ใจเพื่อพัฒนา แต่ไม่ใช่อ่อนไหวจนเสียจุดยืน และจุดยืนของเราคือ “เราจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ” 


บัลเล่ต์คลาสมีอิทธิพลทางความรู้สึกของเราจริงๆ เพราะสำหรับเราการเต้นมันไม่ได้เป็นไปเพื่อความสนุกสนานแล้วล่ะ และในอีกทางหนึ่ง มันก็ไม่ใช่เป็นหน้าที่แห้งๆ ที่เราจำต้องทำอีกเช่นกัน แต่มันเป็นเหมือนการทำสมาธิมากกว่า เป็นการดึงเอาเม็ดอารมณ์ที่แตกซ่านด้วยอารมณ์ตื่นเต้นให้มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน กำจัดความรู้สึกกังวลโดยใช่เหตุออกไปและเรียกความมั่นใจกลับคืนมา มันเป็นความรู้สึก “ถึงบ้าน” ที่อาจจะฟังดูแปลกประหลาดสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักเต้น แต่นั่นแหละ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ


ถ้าจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับการเต้นแล้วละก็ ขออนุญาตยกข้อความที่เคยเขียนไว้ใน facebook เมื่อตอนกลางปี 2012 มาไว้ตรงนี้


[ฉันผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมามากมายเพื่อที่จะเรียนรู้จักกับเธอ 

และตอนนี้เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริงๆ 

เธอคือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่าในยามที่อยู่ใกล้ 

คือเพื่อนที่คอยยืนยันให้ฉันฟังอยู่เสมอถึงคุณค่าที่ฉันมี

และเตือนสติฉันอยู่เสมอว่าฉันคือใคร 

คือสิ่งที่ฉุดฉันขึ้นในเวลาที่ชีวิตผลักฉันให้ล้มลง 

คือสิ่งที่ฉันหันไปหาได้เสมอในยามที่ฉันต้องการกำลังใจ 

คือสิ่งที่จะไม่มีวันทิ้งฉันไปไหนหากฉันไม่ผละหนีไปเสียเอง 

ชีวิตนี้ฉันคงหาเพื่อนที่รักและดีกับฉันมากมายเท่านี้ไม่มีแล้วจริงๆ 

ขอบคุณทุกเหงื่อและน้ำตาที่ฉันเสียให้เธอมาตลอดชีวิต 

ขอบคุณจริงๆ การเต้นของฉัน ฉันรักเธอ]


ดีใจที่วันนี้ตัดสินใจมาเต้น .. พรุ่งนี้คงไม่น่ากลัวจนเกินไป เพราะมันก็คืออีกหนึ่งวันที่ฉันจะได้ทำในสิ่งที่เรารัก 


.. และฉันก็รักที่จะเต้น ..



พร้อมไม่พร้อมก็ช่าง ยิ้มให้ตัวก่อนแล้วกัน, สู้!





 

Create Date : 23 มีนาคม 2556
1 comments
Last Update : 23 มีนาคม 2556 2:10:15 น.
Counter : 1832 Pageviews.

 

ตกใจห้องราคา 55 ยูโร ค่าเงินสูงจริงๆ

 

โดย: แฟนlinKinPark 23 มีนาคม 2556 17:56:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
23 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.