YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
12.. เขียนตามอารมณ์ บนรถไฟอัมสเตอร์ดัม-ลักเซมเบิร์ก (1)

ยอมรับนะ ผิดหวัง
ผิดหวังเพราะหวัง หวังเพราะมีคนให้ความหวัง และเราเองที่ไม่หนักแน่นกับเป้าหมายและการไม่คาดหวังของเรา



กำลังต่อสู้กับตัวเอง กำลังเรียนรู้ บทเรียนของการหวัง การพยายามไม่หวัง และการผิดหวัง
และการก้าวออกจากความหวัง ไม่หวัง และผิดหวัง เพื่อจะไปต่อให้ได้นั้น ไม่ง่ายเลย ต้องถือซะว่ามายุโรปคราวนี้ได้เรียนอะไรเยอะกว่าที่คาดไว้ ได้เรียนรู้ทักษะ และประสบการณ์ทั้งจากการปฏิบัติ และจากความรู้สึก



การผิดหวังคือเงื่อนไขแรกของชีวิตที่ต้องยอมรับมันให้ได้
และการผิดหวังก็ไม่ร้ายแรง หรือยุ่งยากต่อความรู้สึกเท่ากับการ “ผิดหวัง ซ้ำแล้วซ้ำอีก” และที่ยากๆๆๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือ จะทำอย่างไร จะจัดการกับความคิดของตัวเองอย่างไร ไม่ให้การผิดหวัง หรือการผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้น มากะรทบกับสถานภาพ คุณภาพ และปริมาณของแรงบันดาลใจที่เรามี



คำถามที่หนึ่ง : เราไม่ควรคาดหวังอะไรจากสิ่งที่เราทำจากแรงบันดาลใจใช่ไหม
    เพราะการคาดหวังนั้น มีโอกาสที่จะนำมาซึ่งความผิดหวัง และความผิดหวังก็นำไปสู่การสูญเสียแรงบันดาลใจ

คำถามที่สอง : แล้วเราควรจะคาดหวังอะไรบ้างในชีวิตนี้


วันที่แดดออก


วันที่ยิ้มแย้ม


กับอีกบางวันที่หิมะตก ไม่สนุกเลยเนอะ :)

Intercity Trein
ออกจากอัมสเตอร์ดัม มุ่งหน้าลักเซมเบิร์ก ชีวิตนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมายนัก เปลี่ยนที่ เปลี่ยนเมือง กระเตื้องแรงบันดาลใจได้ผลนัก อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เราไม่จ่อมจมอยู่กับความผิดหวังนานจนเกินไป เพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดจะทำหน้าที่ของมัน อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลาที่งกขีดสุดอย่างในเวลานี้

ตั๋วรถไฟที่ซื้อเป็นแบบตั๋วราคาถูกที่สุด ซึ่งนอกจากจะต้องนั่งชั้นสองที่สบายน้อยกว่าชั้นหนึ่ง (แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชั้น V.I.P. ของรถไฟไทยเลย) ยังต้องไปเปลี่ยนขบวนที่เมืองต่างๆ รวมทั้งหมดสี่ขบวน ซึ่งใช้เวลามากกว่า เหนื่อยกว่า และลุ้นกว่า

รถไฟขบวนแรกกำลังออกจาก Sloterdijk มุ่งหน้าออกจากอัมสเตอร์ดัม เกิดเรื่องกับโรงแรมมาเมื่อกี้ เรื่องเกี่ยวกับห้องที่เราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายคือโรงแรมย้ายเราไปอยู่ Double room แล้วพนักงานบอกเราว่ามันคือ Single room แต่สุดท้ายเก็บเงินเราเป็นห้อง Double room โกรธมากๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องจ่ายแพงกว่าที่ควร เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยที่ติดตัวออกจากอัมสเตอร์ดัม นี่ใช่ไหมอีกภาวะของอารมณ์ที่เรากำลังเรียนรู้


รถไฟที่นี่เสิร์ฟสตาร์บั๊คนะจ๊ะ

อยู่บนรถไฟก็นั่งดูความรู้สึกตัวเองไปด้วย นี่สินะเสน่ห์ของการอยู่คนเดียว อัพลงเฟสบุ๊คก็ไม่ได้ด้วย เพราะไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ ได้แต่นั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จนมันหายไปเอง ตามระยะทางที่รถไฟพาแล่นผ่านจุดเกิดเหตุมา หยิบสมุดบันทึกตั้งท่าจะเขียนบันทึก แต่ก็ยัง หยิบไอโฟนมาฟังเพลงสวดมนต์แทน .. ตึง!!!

ลุกไปเข้าห้องน้ำมา ห้องน้ำรถไฟที่นี่สะอาดกว่าบางสายการบินเสียอีก คอห่านไม่มีถังอะไรรองรับ ชักโครกทีเปิดให้เห็นรางรถไฟเลย ..ก็ตกลงไปยังพื้นเบื้องล่างตามระเบียบ บลุ๊ง... (แต่รถไฟช่วยเช็ดกระจกส่องหน้าให้หน่อยก็ดีนะ มัวจนไม่เห็นหน้าตัวเองเลย)

คนเดินทางมักรู้จักความหมายของคำว่า “บ้าน” ... คิดถึงบ้าน

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกจากบ้านมาที่คิดถึงบ้านแบบจริงๆ จังๆ น้ำตาไหลเลย การเดินทางทำให้เราได้ไปสำรวจบ้านคนอื่น แต่กลับทำให้เราเข้าใจความหมายของบ้านตัวเองมากยิ่งขึ้นด้วย เสน่ห์มันอยู่ตรงนี้สินะ

ที่อัมสเตอร์ดัมนี้เราได้กินชีวิตทุกรสเลย เรารู้สึกว่าเราโตขึ้นแค่ในเวลาแค่สัปดาห์กว่าๆ ที่อยู่ที่นี่ (แต่ใช้เวลาเขียนทั้งเดือนเลย -_-”) แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ที่หลายความรู้สึกประเดประดังเข้าใส่ ความพร้อมที่ถูกตั้งมาเกินร้อย ค่อยๆ ถูกละเลียดลงไปช้าๆ จนเหลือแค่ตัวเรากับความรู้สึกที่เรากำลังเผชิญอยู่อย่างเพียวๆ เท่านั้น

เราจ่ายค่าที่พักให้โรงแรมเจ้ากรรมนี้อย่างเกินตัว รั้นจะนอนสบายๆ ในห้อง single room ไม่ยอมนอน dorm อย่างที่ตั้งใจไว้ ทั้งหมดเป็นเพราะการรักความสบายเท่านั้น เป็นการปรับตัวที่ใช้เวลานานกว่าที่คิด และมันก็คงจะบีบให้เราไม่มีทางเลือกในวันต่อๆ จากนี้ นอกจากประหยัดๆ และประหยัดเท่านั้น

อัมสเตอร์ดัมสอนทุกๆ ช่วงเวลาของความหวัง ตั้งแต่ก่อนที่ความหวังจะเกิด ความมั่นใจว่าเราสามารถที่จะไม่หวังได้ และการผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาที่เรารับไหว สอนถึงขั้นตอนของการคาดหวังว่าตัวเองจะไม่หวัง ไปจนถึงขั้นตอนของการพยายามที่จะหยุดหวัง แต่การพยายามหยุดความหวังก็เหมือนกับการพยายามกระชากรถไฟที่ออกวิ่งไปแล้วให้หยุดนั่นแหละ แม้จะรู้ว่ามันมีสิทธิจะวิ่งชนกำแพงแต่เราก็หยุดมันไม่ได้อยู่ดี เมื่อความหวังมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ทำได้แค่เพียง เตรียมใจรอความเจ็บปวดเมื่อรถไฟเบรกแตกนั่นวิ่งชนกำแพงนั่นแหละ

อัมสเตอร์ดัมสอนถึงความกระวนกระวายของการรอคอย “อย่างมีความหวัง” มันทำให้เรารู้ตัวว่า ..เราหวังนะ.. วินาทีนั้นเราที่เริ่มสืบค้นเข้าไปในความรู้สึกตัวเองว่า .. เราต้องการอะไร?

แล้วด้านมืดของอารมณ์มันก็ปรากฎขึ้นตอนนั้นเอง ในขณะที่อะไรก็ไม่แน่นอน การไม่หวัง การไม่รู้จะไปทางไหน ก็รั้งๆ รอๆ แรงบันดาลใจมันวูบดับไปเลย ไฟมันมอด มอดอยู่กลางเมืองหนาว ความคิดถึงบ้าน ความเหนื่อย ความเซ็ง ที่มันจ่อจะบุกเข้ามาก่อนหน้านี้ มันทะลักเข้ามาเลย

ทำอะไรไม่ได้ นั่งร้องไห้

พยายามออกไปเที่ยวนะ ไปสำรวจเมือง หนาว ฝน ลม มาเถอะ ไม่กลัวแล้ว หลงทางเหรอ จะยากอะไรเล่า ถามสิ ไม่กลัวเปิ่น ไม่กลัวเชย ก็หัวดำๆ อย่างนี้ มีความชอบธรรมเต็มร้อยที่จะเปิ่น แต่นะ ก็ยอมรับล่ะว่า ชีวิตในสิงคโปร์ในปีที่แล้วสอนเรามาดี การไปใช้ชีวิตในสิงคโปร์ทำให้เราไม่กลัวภาษาอังกฤษ ไม่กลัวที่จะต้อง “ดิ้นรนหาทาง” เอาตัวรอดด้วยตัวเองให้ได้ .. อย่างไม่โง่นักด้วย

ตอนนี้รถไฟเทียบท่าเมืองที่หนึ่งแล้ว ต้องเปลี่ยนขบวนสินะ การเดินทางคนเดียวจำเป็นต้องมีสติส่วนตัวอย่างสูงสุด เอาล่ะ มีเวลาเปลี่ยนขบวนห้านาที voor นี่น่าจะแปลว่าชานชาลาสินะ การเดินทางคนเดียวจำเป็นต้องมีสติส่วนตัวอย่างสูงสุด การหาชานชาลาและเดินขึ้นลงบันไดเลื่อนพร้อมลากกระเป๋า และมาขึ้นอีกขบวนให้ทันภายในเวลา 7 นาที (ตามกำหนดการ แต่เพราะขบวนก่อนหน้านี้ล่าช้าทำให้เหลือเวลาแค่ 4 นาที) อาจไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก การเปลี่ยนเมืองทำให้สติมัน refresh ขึ้นมา หวังว่ามันจะรวมถึงแรงบันดาลใจด้วยนะ เอาล่ะ พยายามคิดถึงสิ่งดีๆ สิ เปลี่ยนเมืองทั้งที ควรจะเปลี่ยนโหมดอารมณ์ตัวเองได้ละมั้ง

ตอนนี้รถไฟกำลังวิ่งลงใต้ บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เราไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ในเขตประเทศอะไร ยังอยู่ในเนเธอร์แลนด์รึเปล่าก็ไม่รู้ ภาษาก็ไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าเดี๋ยวจะต้องผ่านเบลเยียม เพื่อไปเข้าลักเซมเบิร์ก ภูมิประเทศด้านนอกเปลี่ยนไป จากความเป็นเมืองอัมสเตอร์ดัม ออกสู่ชนบท วิ่งผ่านทุ่งหญ้าคลุมไปด้วยหิมะ เราว่าเราชอบจังหวะชีวิตบนรถไฟนะ ..ไม่ช้าไป จนไม่ทันการ, ไม่เร็วไป จนไม่เห็นอะไร..


บางที การอยู่กับตัวเองมันก็ดี ใช่, มันดีมากเลยล่ะ


บรรยากาศข้างนอกช่างดี ได้เวลาเขียนถึงสิ่งดีๆ แล้วสินะ (ต่อ blog หน้านะคะ ไม่งั้นยาวเฟื้อยเลย)


เก็บตกภาพกันต่อ ตกอยู่เยอะมากๆ เลย


สำหรับนักท่องเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวกระเป๋าแฟบอย่างเรา ถ่ายรูปอย่างเดียวพอ


KFC เดินเข้าไปเพราะมันมี Free Wifi


แต่เอาเข้าจริงแล้ว หามีไม่


shopping street


บรรยากาศการรอซื้อตั๋วรถไฟ


Centraal Station


ด้านนอก รอบๆ Centraal station


ทำไมเรานึกถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็ไม่รู้สิ ฮ่าๆๆ


ลองไปแล้วหนึ่งที หยึยๆ ตอนหลังบอกเพื่อนที่รอตเตอร์ดัม มันทำหน้าขยะแขยงมาก
.. เธอกิน "มัน" เข้าไปได้ยังไง!?! ..


รูปปั้นยังยิ้มเลย เราก็ยิ้มมั่งซิ

:)



Create Date : 13 พฤษภาคม 2556
Last Update : 13 พฤษภาคม 2556 9:51:42 น. 1 comments
Counter : 1387 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมชมและทักทายเจ้าของบ้านครับ

บ้านเมืองเค้าสวยงามน่าเที่ยวจริงๆ


โดย: 3KKK IP: 125.25.87.98 วันที่: 13 พฤษภาคม 2556 เวลา:11:33:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.