YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
4.. บ...บ..บะ เบอะ เบอร์ลิน!

จ..จะ เจ้าข้าเอ๊ย หนะ..หนาวสุดยอด! เดินออกจากสนามบินก็ได้แต่หดคอเข้าไปในเสื้อเหลือแต่ลูกกะตามองซ้ายขวาหาแท็กซี่ แท็กซี่ที่นี่รถเบนซ์นะจ๊ะ สีเหลืองอ่อนหรูหรางดงาม จอดเรียงรายเป็นแถวอยู่ไกลๆ อย่างเป็นระเบียบ สาวสวยหมวยไทยอย่างเราเดินดุ่มๆ ไปหาอย่างรวดเร็ว ลมพัดมาทีเยือกถึงถุงน้ำดีแทบจะเงยหน้าขึ้นมามองทางไม่ไหว หนาวขนาดนี้คนเขามีชีวิตอยู่กันยังไงเนี่ย

มาถึงรถแท็กซี่ก็บอกจุดหมายปลายทางคนขับแท็กซี่ไป เขาทำหน้างงเล็กน้อย เลยยอมเอามือออกจากกระเป๋าเพื่อหยิบแผนที่และที่อยู่ที่พิมพ์เตรียมไว้เรียบร้อยจากอินเตอร์เน็ตยื่นส่งให้ พี่โชเฟอร์ดีดนิ้วดังเป๊าะ หิ้วกระเป๋าเราใส่หลังรถแล้วบอกให้เราขึ้นรถได้

ใจเรามันนึกไปถึงเรื่องที่คุณ ธฑ. เพื่อนพ่อที่เล่าให้พ่อฟังว่า ตอนที่เขาไปเยอรมนีเขามีกระเป๋าสองใบ คนขับรถแท็กซี่ก็ยกกระเป๋าขึ้นรถให้เขาอย่างนี้แหละ แล้วเขาและคนขับรถก็ขึ้นรถ ก่อนที่รถจะออกแป๊บเดียว เขาก็ได้ยินเสียงกึกกักๆ หลังรถเลยหันไปดู พบว่ามีวัยรุ่นได้เอากระเป๋าใบหนึ่งออกไปจากรถและคนขับรถก็ออกรถพอดี เขาเลยโวยวายขึ้นมา คนขับรถหยุดรถอย่างงงๆ เขาเลยหันออกไปตะโกนด่าพวกวัยรุ่นพวกนั้น สุดท้ายเลยตามเอากระเป๋ากลับมาได้ อันนี้แม่วิเคราะห์ว่าคนขับรถมีส่วนรู้เห็นด้วยแน่นอน ตอนนี้เลยระวังสุดตัว นั่งแทบจะไม่ติดเบาะ หันซ้ายหันขวา ระแวงซะจนจะบ้า จนโชเฟอร์ถามยิ้มๆ

“ยูเพิ่งมาครั้งแรกใช่มั้ย เพิ่งเคยเห็นหิมะล่ะสิ”

อ้าว ซะงั้นน่ะ เกือบค้อนให้แต่เพราะคุณเธอออกรถพอดี เลยแวบไปดูด้านหลังอีกครั้งด้วยความห่วงกระเป๋า แต่ก็ดูเหมือนรอบๆ ข้างจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ใกล้ภายในระยะยี่สิบเมตรเลย นอกจากคนขับแท็กซี่คันข้างหลังที่จอดต่อแถวอยู่ คงเพราะความหนาวนั่นเองและหิมะก็ลงอีกต่างหาก เมื่อมั่นใจว่ากระเป๋ายังเรียบร้อยปลอดภัยอยู่ข้างหลัง ก็หันกลับมาจะตอบคำถามพี่แท็กซี่ว่า เปล่าย่ะ ชั้นแค่ดูนั่นดูนี่ แต่ดูจะไม่จำเป็นเพราะเธองุ้งงิ้งๆ ร้องเพลงอยู่ในโลกส่วนตัวไปละ เลยช่างมัน จะเข้าใจยังไงก็เอาเถอะ

เบอร์ลินดูเงียบและเป็นสีเทา หรือเพราะไอ้ที่เรียนมาจากรั้วจุฬาฯ ยังคงฝังเแน่นอยู่ในหัว เมื่อครั้งยังสวมชุดเด็กรัฐศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อินเหลือเกินกับเรื่องราวของสงคราม ของพรรคนาซี ของฮิตเลอร์ ของสงครามเย็น ของทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ รวมไปถึงเรื่องราวของกำแพงเบอร์ลิน สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นแว่นที่คาดลูกกะตาเราอยู่ เลยทำให้เรามองเบอร์ลินหดหู่อย่างไรพิกล ฟ้าสีเทา เหมือนจะเป็นสีเทาอยู่ชั่วนาตาปี หิมะที่ลงหนักทำให้เมืองดูไร้ชีวิต และเพลงป๊อบจากอเมริกาที่คนขับรถเปิดอยู่มันก็ดูจะไม่สามารถแทรกเอาความทันสมัยเข้ามาในบรรยากาศคร่ำคร่าๆ อย่างที่เบอร์ลินเป็นได้เลย

กว่าจะถึง Grand Hostel Berlin ก็ปาเข้าไปเกือบยี่สิบนาที นับว่าไกลจากสนามบินมากทีเดียว เสียค่าแท็กซี่ไป 22 ยูโร แพงกว่าค่าห้องหนึ่งคืนซะอีก เสียดายเงินมาก เพราะจริงๆ จะนั่งรถไฟไปก็ได้ แต่ขี้เกียจเอง ก็ออกมาเจออากาศหนาวซะอย่างนั้น สมองก็คิดอะไรไม่ออกแล้วล่ะ

แท็กซี่ปล่อยลงตรงหน้าประตูโฮสเทล มีป้ายหนังสือเขียนไว้ที่ช่องแสงเหนือประตูว่า Grand Hostel Berlin บอกให้รู้ว่าไม่ผิดที่แน่นอน เลยลากกระเป๋าตรงไปยังประตูที่ปิดเงียบ ผิดจากที่คิดภาพไว้ว่าจะต้องมีเคาน์เตอร์ มีประชาสัมพันธ์ แต่ตอนนี้กลับเจอตัวเองยืนอยู่หน้าประตูคนเดียว รอบข้างเงียบ มีแต่เสียง bahn (รถไฟ) วิ่งผ่านรางที่อยู่ไม่ไกลจากโฮสเทลนัก

เห็นกริ่งประตูเลยเอื้อมมือไปกด เงียบ.. ไม่มีเสียงตอบรับ ลองดูอีกที ก็ยังเงียบอยู่ ไม่มีเสียงประตูแกร๊กเป็นเชิงว่าเปิดล็อคให้แล้ว แย่แล้ว ถ้าเกิดมันเกิดหลอกเราขึ้นมา ถ้าเกิดมันเป็นองค์กรที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง หรือถ้าเกิดมันเจ๊งไปแล้ว แล้วคืนนี้เราจะนอนที่ไหน จะอยู่ยังไง หนาวก็หนาว กระเป๋าก็หนัก พูดภาษาเขาก็ไม่เป็นอีก บลาๆๆ คิดไปมากมายจนแทบจะแต่งนิยายสยองขวัญในหัวอยู่รอมร่อ ..เอ๊ะ หรือว่ามันไม่ได้ล็อค เลยเอื้อมมือไปผลัก เออ ไม่ได้ล็อคจริงๆ อิบ้า!

แอ๊ด.. ประตูหนาหนักค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นด้านในที่ค่อนข้างมืด แต่ก็พอมองเห็นว่าเป็นโถงทางเดินพื้นทำจากหิน เพดานค่อนข้างสูง เราก้าวเท้าเข้าไป เสียงประตูปิดตามดังก้อง แล้วก็มีแต่ความเงียบ






..อะไรวะเนี่ย..

ลากกระเป๋าเดินเข้ามาตามทางจนเจอบันไดเลี้ยวขึ้นทางขวา มีไฟสลัวๆ อยู่ด้านบน แล้วก็แทบจะถอนใจเฮือกเมื่อเห็นป้ายแปะไว้ว่า Reception พร้อมลูกศรชี้ขึ้นด้านบน ..ค่อยยังชั่ว






แบกกระเป๋าขึ้นบันไดไปสามสี่ขั้นก็ถึงประตูที่คาดว่าน่าจะเป็น Reception จึงผลักประตูเข้าไป แล้วเสียงเพลง Hip Hop ก็ดังสวนออกมาทันที ..ไอ้ย่ะ ปรับอารมณ์ไม่ถูกเลย มันช่างแตกต่างกับโลกภายนอกเสียจริง






คริสพนักงานหนุ่มหัวทองเชื้อสายเนเธอร์แลนด์ต้อนรับเราอย่างดีด้วย welcome drink ซึ่งแม้อากาศจะหนาวจับใจ แต่วันนั้นเรากลับอยากดื่มน้ำเย็นๆ เลยร้องขอชามะนาวเย็น เขาเชิญเรานั่งที่โต๊ะในบริเวณ common room ของโฮสเทล ซึ่งจัดไว้คล้ายๆ ห้องสมุด บรรยากาศดีทีเดียว แล้วจัดการเรื่องเช็คอินให้เรา






ห้องนอนที่นี่ไม่แพงเลย ไม่ใช่ห้องสิ เตียงนอนที่นี่ไม่แพงเลย ยิ่งช่วงหน้าหนาวซึ่งเป็นโลว์ซีซั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรานอนคืนละ 16 ยูโรคือตกประมาณ 640 บาทต่อคืนเท่านั้นเอง (พ่อถึงห่วงนักห่วงหนาไง) ว่าแล้วก็ ยังไม่ได้รายงานตัวพ่อเลย เดี๋ยวจัดการเช็คอินเรียบร้อยต้องรีบรายงานตัวแล้ว

ที่นี่มีห้องหลายแบบ ทั้งแบบนอนคนเดียว และนอนหลายคน ห้องน้ำรวม และห้องน้ำในตัว เราเลือกห้องหกคน ห้องน้ำในตัว เพราะกลัวว่าถ้านอนคนน้อยๆ แล้วเราต้องนั่งคุยกับเพื่อนร่วมห้อง เด๋อๆ ด๋าๆ ขี้เกียจยิ้มเหมือนกันในบางที ถ้านอนคนเยอะๆ บางทีมันก็แบ่งเบาความรับผิดชอบในการคุยกันไปได้

เมื่อจัดการเรื่องเช็คอินเรียบร้อยแล้ว คริสก็ถามเราว่าเราอยากจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง แล้วกางแผนที่นั่งดูกับเรา แต่เราไม่ได้มีที่เที่ยวที่ไหนในใจเลยแม้แต่น้อย ใจคิดถึงแต่สตูดิโอสองที่ที่เราต้องไปเท่านั้น ซึ่งก็ปรากฏว่ามันอยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร ยูต้องใช้เวลาเดินทางราวๆ 45 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง คริสบอกเราด้วยสายตาเป็นห่วงเล็กๆ แต่มีหรือสาวกรุงเทพฯ จะกลัว คิดในใจ ลองมาเจอรถติดบ้านชั้นก่อนมา เดินทาง 45 นาทีน่ะ เด็กๆ เลย

“แล้วมี bahn ไปรึเปล่าล่ะ” เอ่ยปากถามเขาไป ลองมีรถไฟไป อะไรชั้นก็ไม่กลัว เชอะ! (เหวี่ยงเพื่อ?)

“อ๋อ มีแน่นอน” เออเนอะ เยอรมนีเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อมากเรื่องรถไฟนี่นา คริสหยิบแผนที่เส้นทางเดินรถไฟที่เขาเรียกว่า S-bahn และ U-bahn ออกมา แล้วจัดการวงกลมสถานีที่เราต้องไปบนแผนที่ พร้อมบอกสถานีที่เราต้องไปเปลี่ยนขบวนรถไฟให้อย่างเรียบร้อย “แล้วหลังจากนี้ ยูก็ต้องเดินเอา แต่ว่ามันไกลออกไปนอกแผนที่เมืองที่เรามีอยู่น่ะ ซอรี่จริงๆ” แต่คริสก็บอกเราว่าหาไม่ยากหรอก เลขที่บ้านมันเรียงกันอยู่แล้ว ยูเดินไปให้ถึงถนนเส้นนี้แล้วก็หาเลขที่เอายังไงก็เจอ เราเองก็คิดว่าไม่น่ายากหรอก เหลือบดูนาฬิกาเพิ่งจะบ่ายสองโมง แต่ฟ้าข้างนอกดูราวกับห้าโมงเย็นเมืองไทย จริงๆ ก็น่าจะพอมีเวลาเหลือก่อนฟ้าจะมืด ออกไปหาวันนี้เลยดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ workshop เริ่มตั้งแต่เช้า

โฮสเทลนี้ไม่มีลิฟท์ เราต้องแบกกระเป๋า 17 กิโลขึ้นไปอีกสองชั้น กุญแจห้องก็ไม่มีให้ แต่เป็นรหัสเข้าห้อง (ซึ่งกดเข้ายากมากๆ ถ้าเมากลับมาอาจเข้าห้องไม่ได้ อะไรจะระบบ security ดีขนาดนั้น) เราเองตื่นเต้นนะ เพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอเพื่อนร่วมห้องแบบไหน ไอ้ผ้าปิดตากับที่อุดหูน่ะ เตรียมไว้พร้อมแล้วในกระเป๋า เกิดมาไม่เคยใช้หรอก คงจะได้ใช้ครั้งแรกก็ที่นี่แหละ ก็เรามันคนหลับยาก ใจมันเลยแอบลุ้นตอนเปิดเข้าไปในห้อง กดรหัส (กว่าจะ) ผ่านแล้วก็ดันประตูเข้าไป






แว้บ...

สิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้าคือห้องกว้าง เพดานสูง ตกแต่งเรียบง่ายแต่คงสไตล์ความเป็นคลาสสิคแบบยุโรป ดูหยิ่งแบบเงียบๆ หรูแบบมีชั้นเชิง ไม่วี้ดว้ายหวือหวา (เอ่อ มันบรรยายห้องนะเนี่ย) มีโต๊ะเขียนหนังสือสี่เหลี่ยมและเก้าอี้กสองตัว พร้อมเตียง 6 เตียงและตู้ล็อคเกอร์ทรงสูง 6 ตู้วางเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ และไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้เห็นเลย

กริบ!






เออดีเว้ย, จ่ายห้องหกเตียง แต่ได้นอนคนเดียว จ่ายถูกสุดแต่ได้้ห้องใหญ่สุดแถมได้ห้องน้ำในตัวด้วย มี 6 เตียงให้เลือก เอาเตียงไหนดี เอาเตียงริมหน้าต่างละกัน ได้บรรยากาศดี และเป็นส่วนตัวดีด้วยเผื่อมีเพื่อนร่วมห้องเช็คอินเข้ามา คิดแล้วก็จัดการปูผ้าปูที่นอน ใส่ปลอกหมอน ที่ได้รับมาจากคริส รายงานตัวเจ้าคุณพ่อหนึ่งจึ้ก (ที่นี่ free wifi จ้ะ) แล้วรีบแล่นออกไปหาสตูดิโอที่มีชื่อไพเราะเพราะพริ้งว่า Eden ก่อนที่ฟ้าจะมืด






รถไฟที่นี่เป็นแบบระบบเชื่อใจเช่นกัน คือเราต้องไปซื้อตั๋วก่อน ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบแล้วแต่ระยะเวลาที่ตั๋วใช้งานได้ และก็แล้วแต่ระยะทาง แต่พิเศษหน่อยตรงที่เราต้องไป “แง็บ” ตั๋วก่อน คือเขาจะมีเครื่อง “แง็บ” นี้ อยู่ที่ทุกสถานี ก่อนเราจะใช้งานตั๋วเราก็ต้องเอาบัตรสอดเข้าไปในเครื่อง แล้วก็สามารถใช้งานได้ไปจนถึงระยะเวลาที่กำหนดตามที่เราซื้อ และตลอดการเดินทางก็ต้องพกตั๋วนี้ติดตัวตลอดเวลาเพราะจะมีเจ้าหน้าที่มาสุ่มเดินตรวจเป็นครั้งคราว

และสิ่งที่เราทำการบ้านไปก่อนก็คือ การเปิดประตูรถไฟ เพราะว่าเขาหนาวด้วย และอยากจะประหยัดพลังงานด้วย ประตูรถไฟเขาจึงไม่เปิดปิดอัตโนมัติเหมือนบ้านเรา แต่จะปุ่มให้กด หรือไม่ก็เป็นคันโยกให้เราสับถ้าเราต้องการจะเข้าหรือจะออก

และอย่าคิดว่ารถไฟเบอร์ลินจะหรูหรานะ ต้องใช้คำว่าคลาสสิคถึงจะถูก คือมันคร่ำคร่ามาก แต่คร่ำคร่าในสภาพที่ใช้การได้ดี แต่ก็ยังไม่พ้นบรรยากาศทึบๆ ทึมๆ ผู้คนก็ดูทะมึนๆ ไปด้วย ขึ้นมาถึงก็หดหน้าตึงๆ จุมปุ๊กหายลงไปในกองเสื้อหนาวแล้วก็มีแต่เสียงกึงๆ ของรถไฟบดกับรางเท่านั้น

ราวๆ สี่สิบห้านาที ตามที่คริสบอกเป๊ะ เราก็ไปถึงสถานีปลายทาง ความมืดก็เริ่มโรยตัวเข้ามาทั้งที่เพิ่งจะสี่โมงเท่านั้น หิมะยังตกไม่หยุด ลมหนาวพัดเยือกเข้ามาในสถานีตลอดเวลา และเราก็ยังไม่รู้ว่าถนนที่เราจะไปนั้น ต้องออกประตูไหน พยายามจะเปิดโรมมิ่งแว่บดูแผนที่สักเล็กน้อยเพื่อหาถนนที่ว่านั่นแต่สัญญาณไม่เป็นใจเอาเสียเลย จะหา free wifi ก็หามีไม่ เดินออกไปนอกสถานีหาชื่อถนนเผื่อจะมีป้ายอะไรมั่งก็พบว่ามันมืดสนิทแล้วทั้งที่เพิ่งจะห้าโมงเท่านั้น และที่สำคัญ มันหนาวมากๆ

ไม่ไหวแล้ว กลับเข้ามาตั้งหลักในสถานีก่อนดีกว่า หนาวอย่างนี้ออกไปเดินหลงไม่ไหวแน่ ดีนะมาก่อนวันนี้ ให้มาหลงพรุ่งนี้เช้ารับรองไปไม่ทัน ยังไงวันนี้ก็ต้องหาให้เจอล่ะ ตัดสินใจเดินเข้าไปถามร้านขายของจำพวกหนังสือพิมพ์ บุหรี่ ลูกอมว่าเขารู้จักถนนนี้มั้ย เขาก็พยายามจะช่วยเราอย่างเต็มที่ ..ยูเดินออกไปตรงนี้นะ แล้วเลี้ยวนะ แล้วเดินไปจนสุดเลย ไม่ไกลๆ ประมาณห้านาที.. ในหัวเราก็พยายามนึกภาพตามเต็มที่ หน้ามันคงจะเอ๋อๆ พิกล เพราะเขาคงเกิดสงสารแม่หนูน้อยคนนี้ขึ้นมา เลยหัวเราะนิดๆ แล้วบอกว่า เดี๋ยวพาไปส่งที่ประตูแล้วจะชี้ให้ดู ตอนนั้นมีลูกค้าเข้ามาในร้านพอดี หนุ่มเยอรมันแสนใจดีคนนี้ร้องบอกอะไรสักอย่างกับคุณลูกค้า เราเดาว่าคงบอกว่าเดี๋ยวมา เพราะลูกค้าคนนั้นแค่พยักหน้าแล้วก็หยิบแมกกาซีนขึ้นมาพลิกๆ ดู เราก็เฮ้ย .. ยูทิ้งร้านไว้แบบนี้เลยเรอะ เขาก็โบกมือยิ้มๆ ทำนองว่า เอาน่า..

ออกมาจากสถานีได้ และคุณคนขายผู้ใจดีช่วยจับหันหน้าให้ถูกทิศแล้ว เราก็ขอบคุณเป็นการใหญ่ ดึงฮูทขึ้นมาสวมหัว แล้วออกเดินทางต่อไป เขาบอกให้ตรงไปเรื่อยๆ จนสุด ไอ้ถนนที่เราหานี้จะตัดขวางถนนเส้นที่เราเดินอยูนี้เป็นรูปตัวที เราก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ แต่พอเดินไปๆ ก็เริ่มกังวล เฮ้ย! ทำไมมันไม่สุดถนนสักที ก็ทั้งคริสและทั้งคนขายบอกว่าไม่ไกลๆ แต่ที่เราเดินออกมานี่ก็ไกลแล้วนะ เห็นท่าไม่ดีหาคนถามดีกว่า

เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินอยู่ข้างหน้า เราเลยเร่งฝีเท้าเข้าไปเพื่อจะถาม แต่พอจังหวะจะเอ่ย Excuse me กลับพบว่าหน้าตัวเองขยับไม่ได้ ขยับปากลำบากมากเลย คือรู้เลยว่าทำไมฝรั่งมันยิ้มยาก คือแก้มมันแข็งเพราะความเย็นจัด แล้วหนุ่มสาวคู่นั้นก็ข้ามถนนไป เราเลยต้องวิ่งตามไปด้วย พร้อมกับนวดแก้มตัวเองไปด้วยให้พร้อมใช้งาน มาเจอะกันอีกทีที่เกาะกลางถนนเพื่อรอไฟแดงของคนข้ามอีกหนึ่งต่อ เลยสบโอกาสได้ถาม เมื่อคู่หนุ่มสาวหันมาจึงพบกับความจริงว่า ที่แท้แล้ว พวกเขาคือคุณลุงและคุณป้าต่างหากเล่า ความมืดเป็นเหตุสินะ

ตอนนั้นหน้าก็ยังแข็งอยู่ รู้สึกพูดไม่ชัดปากขยับไม่ได้ กลายเป็นคนพม่าพูดอังกฤษเลย คือพู่แบ่ม่ามีโตซาโก่หน่า แต่ก็สื่อสารกันจนได้นั่นแหละ ได้ความมาว่า

“ไม่รู้จ้ะ” (ตึง!) คุณป้าตอบพร้อมรอยยิ้ม คุณลุงเสริมต่ออีกว่า

“แต่เดี๋ยวเราจะไปซื้อขนมปังร้านนั้น มันอร่อยมาก (ชี้นิ้วบอกด้วย) ไปด้วยกันสิ แล้วหลังจากนั้นค่อยไปเดินหาด้วยกัน”

โห.. ลุง ซึ้งมาก น้ำตาจะไหล (จะไหลจริง คิดถึงอารมณ์เด็กหลงทางสิ อยู่ๆ ก็มีผู้ใหญ่ใจดียื่นมือมาช่วยเหลือ) ไฟเขียวพอดี เราเลยเดินตามลุงกับป้าไปด้วย ผ่านป้ายหนึ่งอัน คุณลุงชี้ให้ดูพร้อมบอกว่า “อ้อ..นี่ไงถนนที่หนูหา แต่ตัวเลขมันไม่ค่อยเรียงกันต้องค่อยๆ ดู”

แว่บนั้นเกิดเกรงใจลุงกับป้าขึ้นมา ปล่อยแกไปซื้อขนมปังให้สบายใจเต๊อะ เจอชื่อถนนแล้ว หลังจากนี้ไม่ยากแล้วล่ะ เลยยกมือไหว้พร้อมเซย์แต๊งกิ้วมารยาทงามตามวิถีไทย แล้วก็แยกไปทางใครทางมัน หาต่อไม่นานก็หาเจอ เอาล่ะ รู้ที่หมายแล้ว ตอนนี้ต้องจับเวลาว่าจากตรงนี้ถึงสถานีรถไฟใช้เวลาเดินกี่นาที พรุ่งนี้จะได้กะเวลาออกจากบ้าน เอ้ย โฮสเทลได้ถูก

แต่ตอนขากลับนี้ รู้สึกว่าไม่ไกลเลย ทั้งๆ ที่ตอนเดินไปรู้สึกเดินอยู่นานมาก จริงๆ มันก็เหมือนกับชีวิตเราละมั้ง การดุ่มเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายปลายทาง หลายครั้งเราก็เกิดท้อขึ้นมาได้ง่ายๆ และบ่อยครั้งที่เราหันกลับโดยที่ไม่รู้ว่าอีกเพียงนิดเดียวเราก็จะถึงจุดหมายแล้ว

..ชีวิตคงกำลังบอกเราอย่างนี้แหละ

บนรถไฟเที่ยวขากลับก็แผกไปจากขามา รังสีทึบทะมึนที่แผ่ออกจากตัวผู้คนดูจางลงไปมาก เรารู้สึกเหมือนจะเห็นรอยยิ้มจากบางคนส่งมาถึงเราด้วยซ้ำ คงเพราะคนเยอรมันสามคนนั้นที่ให้ความช่วยเหลือเราอย่างดีเกินคาดเมื่อเราเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ มันเข้ามาช่วยลบภาพที่ฝังลึกในจินตนาการถึงความโหดร้ายของชนชาติเยอรมัน ของลัทธิฟาสซิสต์ ของทหารนาซี และที่ใครหลายคนพูดกันว่าคนเยอรมันนั้นไม่น่าคบให้หายไปจนเกือบหมด นึกถึงหนังสือของกฤษณมูรติเล่มนั้นขึ้นมาทันที .. เธอคือโลก

“..สังคมคือตัวเราเอง โลกคือตัวเรา โลกไม่ได้ต่างจากเรา เราเป็นอย่างไร เราก็สร้างโลกอย่างนั้น..”

เข้าใจทันทีว่าทั้งหมดคือตัวเราเองนั่นแหละที่มองโลก ที่มองคนอื่น โลกที่เราเห็นคือเราสร้างเอง ถ้าเรามองเห็นส่วนดีของทุกสิ่ง โลกเราก็น่าอยู่ แต่ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่เขาบอกมาว่าสิ่งนั้นแย่สิ่งนี้ไม่ดี ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เราก็จะเห็นแต่แบบนั้น โลกเราก็ไม่น่าอยู่ ขอบคุณเยอรมนีที่ทำให้เราเข้าใจหนังสือที่เราอ่านมันมานานแล้วมากขึ้น และทำให้เราเข้าใจชีวิตได้อีกนิด .. นี่สินะ เรื่อง “สุขมาก” ของวันนี้

จบการผจญภัยของวัน กลับถึงโฮสเทล นั่งเล่นอยู่ใน Common Room สักพัก เสียง What’s app ดังขึ้น พ่อทักเข้ามา

“นี่เธออยู่ไหน ตอนนี้เธออยู่ไหน”
“อยู่ที่โฮสเทล”
“จริงเหรอ” พ่อคาดคั้น
“อ้าวจริงสิ ทำไมเหรอ” คนเป็นลูกสาวงง ทำไมพ่อไม่เชื่อล่ะ
“นี่มันขึ้นว่าเธออยู่ที่ Tempelhoger Ufer 14 เธอไปทำอะไรที่นั่น”
นั่นไง พ่อเริ่มตามตัวลูกสาวด้วยสัญญาณไอโฟนแล้ว
“ตกลงเธออยู่ที่ไหน” พ่อถามรัวมาอีกเมื่อเราตอบช้า
“เอ่อ พ่อจ๊ะ หนูก็อยู่ที่โฮสเทลนี่แหละ ไอ้ Tempelhoger อะไรนั่นน่ะ มันชื่อถนน แล้ว 14 มันก็เลขที่บ้านของโฮสเทลนี่ไงจ๊ะ” ลูกสาวตอบ นึกตกใจในความแม่นของระบบไอโฟน นี่กลับบ้านไปถ้าลืมเปลี่ยน password ละแย่เลย พ่อตามได้ตลอดเลยนะเนี่ย
“อ้อ งั้นก็แล้วไป”
“ทำไม ป๊ามีอะไร” คนเป็นลูกสาวก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าพ่อตกใจอะไร
“เปล่าๆ ไมมีอะไร ช่างมันเถอะ” โดนตัดบทซะงั้นน่ะ
เป็นอันว่าพ่อคงห่วงจัดนั่นเอง พอเห็นสถานที่ที่ขึ้นไม่ตรงกับชื่อสถานที่ที่บอกไว้เลยตกใจขึ้นมา เป็นพ่อที่มีลูกสาวดื้อๆ อย่างเรานี่น่ากลุ้มใจเนอะ ^^"

ก่อนจะขึ้นห้องลุ้นนิดๆ ว่าจะมีเพื่อนร่วมห้องเข้ามาอยู่ไหม .. ไม่มี ดีจัง ยิ้มกว้างออกมาหนึ่งที อาบน้ำสบายใจแล้วก็มานั่งบนเตียงริมหน้าต่าง สักพักหนาว .. สงสัยเพราะอยู่ริมหน้าต่างแน่ๆ เลย ไม่ไหวแน่ ย้ายเตียงดีกว่า เลยย้ายมาเตียงใกล้ๆ ฮีทเตอร์ดีกว่า นั่งเล่นบนเตียง จดบันทึกอะไรไปเรื่อย แล้วก็ง่วงโงกตั้งแต่สองทุ่ม เพราะเวลาเมืองไทยมันตีสองแล้ว และบรรยากาศมันก็เงียบได้ใจ ใช่มันเงียบสุดๆ ไปเลย

เออเนอะ เงียบมาก..

ไฟหัวเตียงที่เปิดไว้เพียงดวงเดียวทำให้ห้องมืด สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาของตัวเองตกกระทบไปที่ผนังห้องฝั่งตรงข้าม ตรงที่มีเตียงว่างๆ อยู่ ถึงตอนนี้นึกอยากมีเพื่อนร่วมห้องสักคนก็ยังดี ก็ถ้าเกิดคืนนี้ดึกๆ เราสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเตียงที่มันควรจะว่างมันเกิดไม่ว่างขึ้นมาล่ะ แล้วยังหน้าต่างห้องที่มีต้นไม้โบกๆ อยู่ข้างนอกอีกล่ะ โอย.. แย่ละ คิดบ้าอะไรขึ้นมาตอนนี้เนี่ย

ว่าแล้วก็จัดแจงเปิดไฟหัวเตียงเพิ่มอีกสองดวง พยายามเลือกดวงที่แยงตาน้อยที่สุด เปิดม่านไว้ด้วยจะได้สว่างขึ้น แล้วก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นกิ่งไม้ต้องลมด้านนอก บรื๋อว์..น่ากลัวกว่าเดิมอีก เลยปิดม่านทันควัน เอื้อมมือปิดไฟที่หัวเตียงตัวเอง หยิบผ้าปิดตาขึ้นมาใส่แล้วคลุมโปงทันควัน

แง! กลัวผี (ซะงั้น)




เก็บตกจาก Lufthansa



จากหิมะ สู่หิมะ



เที่ยวบินที่คนน้อยที่สุดที่เพิ่งเคยเจอตั้งแต่เกิดมา



มีเสิร์ฟ snack ด้วย



ในถุงมีอะไรให้มั่ง มัฟฟินมั้ง



ไอ้นี่ฟังตั้งนาน เขาให้เลือกระหว่าง cheese กับอันนี้
ฟังไม่ออก ไม่รู้เขาพูดว่าอะไร coke ham, cold ham
อ๋อ cooked ham สามรอบกว่าจะรู้เรื่อง



ชอคโกแลตหมีเบอร์ลิน น่ารักไม่กล้ากิน


^_^


ชีวิตผจญเพี้ยนของข้าพเจ้าเริ่มต้นขึ้นแล้ว โปรดติดตามตอนต่อไปเจ้าข้าเอ๊ย



Create Date : 06 มีนาคม 2556
Last Update : 6 มีนาคม 2556 10:13:57 น. 7 comments
Counter : 1342 Pageviews.

 
ยังได้กลิ่นไอของความเป็นแม่เสี้ยวอยู่เหมือนเดิม ไม่ห่างหายไปเลย ตั้งแต่ผมอยู่ 17 ปี และตอนนี้จวนจะ 30 แล้วความเป็นตัวตนของผู้หญิงที่มีรอยเท้าเป็นของตัวเองและเอกลักษณ์ยังทำให้ผมหลงไหลในความเป็นเธอเสมอ ก้าวเดินต่อไปสู้ความฝันที่สูงสุดของตัวเอง เป็นกำลังใจให้ครับ


โดย: ตอ เต่า ตัวเดิม IP: 124.121.36.48 วันที่: 6 มีนาคม 2556 เวลา:10:22:45 น.  

 

แวะมากด Like ให้เป็นคนที่ 4
อ่านแล้วได้บรรยากาศของการท่องเที่ยว
สนุกและตื่นเต้นดีจังค่ะ



โดย: อุ้มสี วันที่: 6 มีนาคม 2556 เวลา:10:33:26 น.  

 
ต่อ.. ขอบคุณนะจ๊ะ ขอบคุณจริงๆ :)

คุณอุ้ม.. บรรยากาศท่องเที่ยวคราวนี้ ยาจกมากๆ ค่ะ โปรดติดตาม


โดย: gluhp วันที่: 6 มีนาคม 2556 เวลา:23:38:36 น.  

 
โฮสเทลราคาถูกมาก น่าสนใจไปพักบ้าง :)


สู้ๆนะคะ




โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 7 มีนาคม 2556 เวลา:1:04:12 น.  

 
เขียนสนุกมาค่ะพอดีผ่านมาอ่าน ^^ (เป็นประเทศที่ต้องไปให้ได้): D


โดย: น้ำ IP: 110.77.197.210 วันที่: 12 มีนาคม 2556 เวลา:10:15:12 น.  

 
บรรยายได้ดีมากๆจ๊ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ


โดย: Miss.KERO วันที่: 18 มีนาคม 2556 เวลา:5:46:09 น.  

 
อยู่ๆ ก็เสียน้ำตาให้กับประโยคที่ว่า
'จริงๆ มันก็เหมือนกับชีวิตเราละมั้ง การดุ่มเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายปลายทาง หลายครั้งเราก็เกิดท้อขึ้นมาได้ง่ายๆ'

ขอบคุณนะคะที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ


โดย: ปลายสี (enterstep ) วันที่: 24 มีนาคม 2556 เวลา:1:41:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
6 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.