|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
จากฟากฟ้าสุราลัย...สู่แดนดิน บทที่ 4 - 5 "อุปริยา"
จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน "อุปริยา"
....ฉันจะตามไปทั่วฟ้า ทั่วจักรวาลผ่านพื้นผิวแห่งทุกดวงดาว สุดฟ้าสุราลัย สุดขอบแห่งห้วงมหรรณพ ขอเพียงแต่ให้เธอรอฉันอยู่ เพื่อพบพาน.......
**************************************************
บทที่ 4
ประหนึ่งราวกับว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ที่เงียบที่สุดในจักรวาล เงียบในความเงียบทั้งมวล มันเป็นความเงียบแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีแม้แต่สรรพเสียงใดๆ ลอดเข้ามาให้ได้ยินในโสตประสาท เสมือนความว่างเปล่าแห่งสุญญากาศ... แม้จะมีสรรพสิ่งให้เห็นได้ด้วยจักษุอยู่โดยรอบก็ตาม...
ท้องฟ้า และทุกสิ่งรอบๆ ทั่วทั้งบริเวณปรากฏเป็นสีส้มแดงฉานประหนึ่งว่าจะร้อนแรง แม้แต่หินผาภูเขาที่รายล้อมก็เป็นสีส้มแดง ไม่ต่างไปจากถ่านหินที่กำลังติดไฟโดนไม่มีเปลวไฟลุกโพลงให้เห็น มีเพียงแต่ควันไอสีขาวพวยพุ่งอวลไปทั่ว...
ร่างหนึ่งเดียวดายเพียงลำพังท่ามกลางผาหินสีส้มแดง ร่างนั้นยืนพนมมือสงบนิ่งราวกับรูปปั้นหินสลักปราศจากจิตวิญญาณใดๆ ...
เบื้องหน้าสิ่งที่เห็นทอดตัวยาวห่างออกไปไกลๆ เป็นสายธารสีแดงไหลเรื่อยคดเคี้ยวผ่านลงมาจากทิวเขาที่สูงเสียดฟ้า และไม่เห็นว่าจุดสิ้นสุดของสารธารอยู่ ณ ที่แห่งใด
แม้จะเป็นธาราสีแดงเหนียวหนืดประหนึ่งหินหลอมเหลวจากภูเขาไฟ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนแต่อย่างใด มันกลับเป็นความหนาวเย็นเยียบ ที่แสนจะแปลกประหลาด และก่อนที่จะสัมผัสถึงความเย็นนั้นมากขึ้น เสียงเรียกของหญิงสาวแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของสายลม ที่ขาดหายสะท้อนสลับไปมาเป็นช่วงๆ ก็แว่วผ่านเข้ามา...
“วิษุวัต...ท่านวิษุวัต...”
วิษุวัตสะดุ้งสุดตัวผวาลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหล รู้สึกเหมือนว่าเป็นการหลับไปอย่างยาวนานจาการเดินทางอันแสนไกล...
ชายหนุ่มขยับตัวไปมาพยายามทบทวนความฝันอันแปลกประหลาดนั้น แม้จะลางเลือนไม่มีที่มาที่ไป แต่ก็เสมือนเป็นความรู้สึกจริง แทบจะไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด... เสมือนเขาเห็นร่างของตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางสถานที่แปลกประหลาดนั้นจริงๆ ความเย็นยังคงสะท้านอยู่ในความรู้สึก เป็นความเย็นอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเย็นเฉียบลึกเข้าไปในความรู้สึกแล้วแผ่กระจายไปทั่วร่าง
เฉกเช่นเดียวกับเสียงเรียกกระซิบแผ่วเบาของหญิงสาว ยังคงติดค้างมาจากห้วงแห่งความฝัน เสียงเรียกนั้นไม่ใช่เสียงของลิเดีย หรือเสียงของใครที่เขาเคยรู้จักมาก่อน หากเป็นเสียงของคนที่คุ้นเคย ควรจะเรียกเขาว่า “วิษ” เสียมากกว่า แต่เสียงจากภาพแห่งความฝันนั้น กลับเรียกชื่อเต็มของเขา ซึ่งหากเป็นคนรู้จักแทบจะไม่มีใครเรียกเขาเช่นนี้มาก่อนด้วยซ้ำ แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่สอน เพื่อนในกลุ่มตอนเรียนหนังสือ หรือแม้แต่ลุง และป้าที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กก็ตาม
ทุกๆ คนต่างก็เรียกเขาว่า “นายวิษ” มากกว่าวิษุวัตที่ทุกๆ คนพร้อมใจกันไม่เรียก ด้วยเหตุผลง่ายๆ และติดตลก เพราะชื่อของเขาช่างเป็นชื่อไทยที่ออกเสียงได้อย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน...
เสียงอันไพเราะออกเสียงตามอักขระไทยได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง งดงาม หวานพลิ้วแผ่วกระซิบบางเบาไม่ต่างกับเสียงเรียกแห่งสายลม ราวกับคนที่คุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน
ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะไม่เพียงแค่ตกค้างอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึก และความคิดคำนึงเท่านั้น แต่เสียงหวานไพเราะจับใจนั้นก็ยังคงก้องตามเขาอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะตื่นแล้วก็ตาม...
เหมือนเสียงกระซิบแผ่วหวานๆ ข้างๆ หู นั้นช่างเหมือนเสียงเรียกจริงของใครบางคน ที่ทำให้เขาต้องหันหาเสียงเรียกอยู่ตลอดเวลา...
ชายหนุ่มนึกทบวนหลายต่อหลายครั้งที่รู้สึกเช่นนี้ จนเกือบทำให้เขาต้องเผลอขานรับกับเสียงเรียกนั้นออกไปอย่างลืมตัว...
ห้องพักของวิษุวัตยังคงเป็นห้องพักเดิมตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ บนคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ซึ่งสะดวกกับการเดินทาง อย่างน้อยที่พักแห่งนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่คุณลุงคุณป้าของเขาซื้อทิ้งไว้ให้ ก่อนจะย้ายรกรากไปเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ออสเตรเลีย
ซึ่งตามจริงแล้ว คุณลุงคุณป้านั้นถือเป็นเพียงญาติห่างๆ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปกครอง หลังจากที่พ่อของแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเล็กๆ อยู่ ท่านทั้งสองต่างก็ดูแลเลี้ยงดูเกื้อกูลมาเป็นอย่างดี จนเมื่อเห็นว่าตัวเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ท่านทั้งสองจึงอพยพไปมีชีวิตตามเส้นทางที่ท่านต้องการ...
เส้นทางที่ต้องการรึ...
วิษุวัตยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเส้นทางต่อไปข้างหน้า ในระหว่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ความรู้สึกบางอย่างก็กระซิบบอกว่า คงเป็นเส้นทางที่ยิ่งใหญ่มากๆ มิฉะนั้นแล้วคงไม่ทำให้ชีวิตเขาหักเหอย่างรวดเร็วมากมายเช่นนี้
และเขายังเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า การทำงานให้กับอาจารย์ภาณุ ไม่แต่จะเป็นเพียงวิทยานิพนธ์ชิ้นเยี่ยมแล้ว แต่จะยังเป็นประสบการณ์งานที่ยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับตัวเขาอีกด้วย
สิ่งแรกที่เขาทำสำหรับวันแรกที่มาถึง วิษุวัตรีบโทรไปแจ้งยืนยันการกลับมาถึงเมืองไทยของเขา กับเลขานุการของอาจารย์ภาณุ และเธอนัดให้เขาเข้าพบกับอาจารย์ภาณุที่สำนักงานในช่วงบ่ายของวันนี้ เขาจึงใช้เวลาช่วงเช้าของวันอยู่กับหนังสือบางเล่มที่หอบมาจากอังกฤษ สระว่ายน้ำ และห้องอาหารของคอนโดมิเนียม
เขากลับมาอย่างกะทันหัน ด้วยเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว อย่างโน้ตบุ้ค และหนังสือสองสามเล่ม ทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาจัดข้าวของมากมาย เขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับงานของอาจารย์ภาณุนั่นเอง
การออกสำรวจงานโบราณคดีในมาตุภูมิแผ่นดินเกิด อาจเป็นชิ้นงานวิทยานิพนธ์ของเขาได้ดีกว่า การตามรอยครูเสดของลิเดีย และเขาใช้มันอ้างเหตุผลกับอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ยินยอมให้เขาเปลี่ยนหัวข้อ และใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการทำวิทยานิพนธ์ งานสำรวจโบราณคดีในแหลมสุวรรณภูมิ ยังมีข้อมูลอยู่น้อยมาก และการลงพื้นที่จริงของเขา คงจะเปิดกว้างเพิ่มความรู้ให้กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทางโบราณคดีของโลก เพราะพื้นที่ราบลุ่มแห่งนี้เคยมีประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน...
ชายหนุ่มหลับตาลง เมื่อความรู้สึกของหญิงสาวคนที่เคยรักย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึก เขากำลังคิดถึงเธอ ป่านนี้เธอคงตื่นเต้นดีใจกับเส้นทางการเดินทาง แม้จะรู้สึกเสียใจบ้างที่เขาไม่ได้ทำงานร่วมกับเธอ แต่ขณะนี้เส้นทางของเขา และเธอก็แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ความทรงจำในมิตรภาพของครั้งก่อน
และก่อนที่เขาจะรู้สึกเจ็บกับความรู้สึกที่คิดคำนึงถึงลิเดียมากไปกว่านี้ เสียงของหญิงสาวหวานไพเราะก็แทรกคลื่นผ่านเข้ามาให้เขาได้ยินอีกครั้ง และลบเลือนภาพของลิเดียในห้วงความคิดให้จางหายไปอย่างรวดเร็ว...
ราวกับว่าเสียงนั้นจะช่วยเกลื่อนความเจ็บปวด ความโหยหาในความสุข ความทรงจำกับลิเดีย และช่วงเวลาบนพื้นแผ่นดินอังกฤษ เสียงนั้นช่วยสมานความรู้สึกได้อย่างประหลาด อีกทั้งยังช่วยฟื้นความอบอุ่นแห่งบ้านเกิดของเขา ราวกับคืนความทรงจำในวัยเยาว์ที่คุ้นเคยบนพื้นแผ่นดินแม่แห่งนี้เข้ามาแทน...
กรุงเทพฯ ก็ยังคงเป็นกรุงเทพฯ กับชื่อเสียงที่เป็นหนึ่งเมืองหลวงของโลกที่ติดอันดับการจราจรอันติดขัด คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ กว่าวิษุวัตจะคุ้นเคยกับการจราจรในกรุงเทพฯ ที่แสนจะสับสนอลหม่าน โดยเฉพาะในยามบ่ายเช่นนี้
สำนักงานของอาจารย์ภาณุ เป็นมูลนิธิร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศหลายประเทศ อยู่บนตึกสำนักงานย่านถนนสาธร ซึ่งก็นับว่าไม่ห่างจากคอนโดมิเนียมที่เขาพักในย่านฝั่งธนเท่าไรนัก แค่ข้ามสะพานมายังฝั่งกรุงเทพฯ แม้จะเพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่รถก็กลับติดอยู่บนสะพานข้ามฝั่งอย่างยาวนาน
ความที่คุ้นเคยกับอากาศสบายๆ โล่งๆ ในเมืองชนบทของอังกฤษอยู่หลายปี ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า กรุงเทพฯ แทบจะไม่เหมาะอีกแล้วสำหรับเขา ตึกสูงๆ เบื้องหน้า สถาปัตยกรรมทันสมัย เรียงรายอยู่มากมาย ถนนหลายสายที่ตัดพาดผ่าน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย สำหรับเขากรุงเทพฯ ช่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
หากจะดีไม่น้อย ถ้าเส้นทางการสำรวจงานของอาจารย์ภาณุ จะเป็นการเดินทางออกนอกเมืองหลวง ที่ไม่ให้เขาต้องมาใช้ชีวิตแบบกดดันอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้...
“น่าเบื่อนะพี่ นี่ๆ เห็นตึกอยู่แค่เอื้อม ไม่รู้จะติดอะไรหนักหนา เขาน่าจะเอาไฟเขียวไฟแดงออกไปให้หมดได้แล้ว...ติดขึ้นมาถึงบนสะพาน” เสียงคนขับแท็กซี่ข้างๆ บ่นอย่างเบื่อหน่าย
วิษุวัติมองท้องฟ้าใสๆ ข้างหน้า หากตึกไม่ไกลอย่างที่คนขับว่า บางทีเขาควรจะลงไปเดินบนถนนอาจเร็วยิ่งกว่า "ตึกไหน อีกไกลไหม"
“ข้างหน้านั่นแหละ ตึกสีขาวๆ สูงๆ นั่นละ เห็นมั้ยครับ ตึกที่คุณจะไป”
วิษุวัตมองตามนิ้วที่คนขับรถชี้ไปข้างหน้า ตึกสีขาวนวลราวกับหินอ่อนอยู่ไม่ไกลนัก แต่ที่น่าประหลาด กลับเป็นดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงอยู่ข้างๆ ขนาบกับตัวตึก วิษุวัตเผลอกลืนน้ำลายลงคอกับภาพที่ตัวเองมองเห็น...
ดวงอาทิตย์สีส้มแดงยามบ่าย ทอแสงทรงกลดเจิดจรัส ซ้อนรัศมีให้เห็นอยู่เบื้องหน้า เคียงข้างปรากฏขึ้นเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่สองดวง...
ราวกับมีพลังแห่งมวลอันมหาศาล สะกดบังคับให้เขานิ่งไปอย่างฉับพลัน จับจ้องอยู่เพียงแต่ภาพดวงอาทิตย์เบื้องหน้านั้น โดยขัดกับหลัก และกฎแห่งวิทยาศาสตร์ทั้งมวล...
บทที่ 5
กว่าวิษุวัตจะมาถึงตึกสำนักงานเพื่อมาพบกับอาจารย์ภาณุก็เป็นช่วงเวลาบ่ายคล้อย โถงชั้นล่างของตึกสำนักงานผู้คนเข้าออกจึงดูบางตา ความไม่คุ้นเคยในสถานที่ ทำให้เขาต้องเดินหาตำแหน่งที่ตั้งของลิฟต์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมากดปุ่มเรียก และก้าวเท้าเข้าไปเมื่อบานประตูเปิดออกในทันที ซึ่งถือเป็นจังหวะดีไม่น้อย ที่ไม่ต้องเสียเวลาคอยนานเกินไป เสียงฝีเท้ากำลังวิ่งของใครคนหนึ่งไล่ตามหลังเข้ามาอย่างเร่งรีบ ก่อนที่บานประตูลิฟต์จะปิดลง เขากดตัวเลขบอกชั้นบนแผงสัญญาณ เช่นเดียวกับหญิงสาว ถึงแม้ว่าจะคนละชั้นกัน แต่จังหวะที่กดเสร็จ ขณะที่กำลังจะถอนมือออกมานั้น มือของเขาและเธอสัมผัสกันโดยบังเอิญ จนวิษุวัตต้องหันไปขอโทษเธอเบาๆ ... ฉับพลันเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน ทั่วท้องจักรวาลสงบนิ่ง ทุกๆ สิ่งแห่งบรรณพิภพหยุดการเคลื่อนไหว ภาพในฝันแห่งความทรงจำถูกกระตุ้นด้วยประสาทสัมผัสทั้งปวง...
มิติที่ต่างด้วยห้วงเวลา เหลื่อมพาดซ้อนทับกันอีกครา...
“ท่านวิษุวัต...” เสียงอ่อนหวานแผ่วพลิ้วมาตามสายลมอีกครั้ง สภาพสถานที่สีแดงส้มแห่งความร้อนปรากฏอยู่เบื้องหน้า ร่างนั้นยังคงหลับตานิ่ง จิตภายในแห่งร่างนั้นเอ่ยขึ้น...
“เจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว...ชนิกรรดา เจ้ารู้ดีว่ายังไม่ถึงกำหนดแห่งเวลา” “ข้าเพียงส่งความคิดถึงมาทักทายท่าน” “เจ้ารู้ดีว่าข้ากำลังพูดถึงสิ่งใด” น้ำเสียงในจิตของร่างนั้นเหมือนแฝงไปด้วยขบขัน มากกว่าเป็นน้ำเสียงแห่งการตำหนิติติง “ก็ข้าคิดถึงท่านนี่นา...” เสียงหวานแผ่วพลิ้ว อ่อนหวานขึ้นมากกว่าเดิม “เจ้าขี้โกงองค์เทวะทุกครั้งที่มีภารกิจ และทุกครั้งข้าก็ต้องถูกส่งมารับโทษ ณ สถานที่เดียวดายแห่งนี้” “ข้าทูลองค์เทวะนับอสงไขยครั้ง แต่สภาเทวาก็ไม่เคยอนุมัติ ให้ข้ารับโทษทัณฑ์เสียเอง อีกทั้งก็เป็นความประสงค์ของท่าน... ข้ารู้ดีว่าท่านตั้งสัตย์จะหลบรี้หนีหน้าข้า!” น้ำเสียงที่ลงท้าย บ่งบอกถึงความกระเง้ากระงอดเต็มที่ “เจ้าช่างเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยเปลี่ยนแปลง... เมื่อไหร่เจ้าถึงจะยอมเข้าใจ...การที่เจ้าเอาแต่ใจเช่นนี้ เจ้าก็รู้ดีว่าจะส่งผลตามมาเช่นใด”
เสียงหวานพลิ้วเงียบหายไป ราวกับคลื่นการติดต่อถูกรบกวน ทำให้ร่างนั้นต้องหลุดพร่ำเรียกชื่อออกมาในทันที “ชนิกรรดา...!”
คลื่นสัญญาณเสียงจากหญิงสาวสะท้อนกลับมาอย่างแผ่วเบา ขาดหายเป็นช่วงๆ ร่างนั้นเริ่มรู้สึกถึงความร้อนของสถานที่แห่งนั้นแผดเผา รอบด้านกลายเป็นเปลวเพลิงขึ้นมาในฉับพลัน “เมื่อวันนั้น.......ข้ายังคงรอท่านเสมอ...ที่บ่อน้ำแห่ง......ในสวน...........ไรข้าจะพยายามตาม....องค์เทวะไม่อาจซ่อน...พราง...ท่านได้นาน...ข้ายอม...ปวด...ท่านวิษุว...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน...” “ชนิกรรดา…เมื่อถึงเวลา เมื่อถึงเวลา” เทพหนุ่มถอนลมหายใจ กำหนดจิตเจริญองค์สมาธิใหม่อีกครั้ง เพื่อดับกองไฟรอบๆ ตัว รวมถึงความรุ่มร้อนจากสถานที่ลงทัณฑ์ตามบัญชาแห่งองค์เทวะเจ้า...
ประตูลิฟต์เปิดเมื่อถึงชั้น 11 ชนิกรรดาก้าวออกมา ก่อนจะเดินตรงไปรูดบัตรเพื่อเปิดประตูกระจกของสำนักพิมพ์ ซึ่งมีอยู่เพียงสำนักงานเดียวบนชั้นนี้ เธอยิ้มอย่างสดใสให้กับพนักงานต้อนรับด้านหน้า พร้อมกับรีบสาวเท้าเดินกลับไป ที่ห้องของกองบรรณาธิการ เธอมองเห็นอธิปแต่ไกล ซึ่งกำลังทำหน้าเมื่อยๆ ยืนเท้าแขน พิงฉากกั้นแบ่งส่วนโต๊ะทำงานของเธอ “ไหนว่าจะลงไปซื้อแซนด์วิช?...กินหมดแล้วสิท่า หรือว่าลืมซื้อเผื่ออีกต่างหาก” “ใครเหรอ? ชนิเหรอ...ใครจะกินแซนด์วิช?” หญิงสาวหน้าตื่นๆ กับคำถามของเพื่อน เธอเริ่มรู้สึกตัว ได้สติว่าตัวเองยืนอยู่ตรงทางเดินระหว่างโต๊ะทำงาน “ชนิไม่ได้นั่งทำงานอยู่เหรอ เอ๋! แปลกๆ แล้วชนิไปไหนมาละนี่...อึมม์ สงสัยจะไปห้องน้ำ...” ชนิกรรดาทำหน้างงๆ มองกลับไปยังทางเข้าที่เพิ่งเดินผ่านมา ก่อนเดินอ้อมอธิปเข้าไปในบริเวณส่วนที่นั่งทำงานของตนเอง “คุณหญิงชนิ...ก็เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ตัวเองเป็นคนโทรมาบอกว่าจะลงไปชั้นล่างซื้อแซนด์วิช ไอ้เราก็ยังสงสัย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหิวตอนนี้...และนี่ดูกลับมามือเปล่า”
หญิงสาวหันมายิ้มหวานล้อเล่นด้วยหน้าเป็น พร้อมเปลี่ยนเรื่องอีกเช่นเคย “รีบกลับไปที่ห้องเหอะ... เดี๋ยวเลิกงานแล้วค่อยไปกินกันนะ นี่ก็อีกไม่กี่ชั่วโมงเอง”
อธิปส่ายหน้ากับความแปลกประหลาดของเธอ อีกครั้งแล้วสินะ...กับอาการแปลกๆ ของเธอ
เขามั่นใจว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เธอกดโทรศัพท์สายภายใน พร้อมกับบอกเขาว่า จะลงไปชั้นล่างซื้อแซนด์วิช และยังถามเขาว่าจะเอาอะไรด้วยมั้ย
ทีแรกเขาก็รู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ เธอรู้สึกหิวในช่วงเวลาบ่ายๆ แบบนี้ ซึ่งก็ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งยังมีความคิดที่จะลงไปซื้อด้วยตัวเอง ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เธอสามารถบอกแม่บ้านให้ลงไปซื้อให้เธอได้เสียด้วยซ้ำ เขาเองยังคิดว่าเธออาจจะเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งทำงานอยู่นานๆ โดยไม่คิดว่าจะเรื่องมีแปลกๆ เกิดขึ้นได้
แต่การกลับมามือเปล่า และเหมือนไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น มันแทบทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงเธอมากมาย...
นี่คือการละเมอที่เธอเคยพูดถึงหรือเปล่านะ ปกติคนละเมอจะเกิดอาการในช่วงหลับ การละเมอแบบที่ไม่ได้นอนหลับจะเป็นไปได้หรือ หรือว่าเธอเจ็บไข้ได้ป่วย อาการหลงลืม อาจเป็นอาการเบื้องต้นของโรคบางอย่างในสมอง อธิปรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง เขาบอกกับตัวเองว่า จะต้องพาเธอไปให้พ่อเขาตรวจเช็คร่างกายในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
นับวันชนิกรรดาก็ยิ่งมีอะไรแปลกมากขึ้นทุกที...
แต่ไม่ทันที่จะคิดอะไรได้มากไปกว่านั้น เสียงเจื้อยๆ นุ่มหูก็ดังขึ้น โดยที่ชนิกรรดาไม่ได้หันหน้ามามองอธิปเสียด้วยซ้ำ เธอยังคงจ้องอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดหาข้อมูลทำงานตามปกติ “อธิป...ชนิไม่ได้เป็นอะไรนะ เชื่อสิ รีบกลับห้องเถอะ พี่ฉายฉานกำลังหาตัวอธิปอยู่นะ”
อธิปขมวดคิ้ว จะเอ่ยปากถามคำถามต่อ เสียงแม่บ้านในสำนักงานก็เรียกเขาดังมาจากประตูหน้าห้องกองบรรณาธิการ “ว่าแล้วว่าคุณอธิปอยู่ที่นี่เอง คุณฉายฉานตามหาคุณอธิปอยู่แนะค่ะ เธอรออยู่ที่ห้องคุณอธิปนะคะ “
อธิปรู้สึกประหลาดใจและงุนงง เขาหันกลับไปที่ร่างที่นั่งทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ชนิกรรดาอมยิ้มหวานคอยอยู่แล้ว “เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปกินแซนด์วิชกันนะ”
วิษุวัตยังคงนั่งรออยู่ในสำนักงานของอาจารย์ภาณุ เขาอ่านนิตยสารฆ่าเวลาจบไปหลายฉบับ แต่ไม่มีท่าทีของอาจารย์ภาณุจะกลับเข้ามาตามเวลาที่ได้นัดหมายเอาไว้ เขามาตรงเวลา ออกจะเร็วกว่าเวลานัดจริงเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ วิษุวัตเดินไปเดินมาในบริเวณที่จัดไว้สำหรับรับรองแขก ภาพถ่ายหลายๆ ภาพบนผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นภาพเบื้องหลังการทำงานของอาจารย์ภาณุ วิษุวัตมองอย่างชื่นชม สภาพซากเมืองโบราณ นครแห่งกิลังปุระ เมืองในตำนานเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในสมัยทวารวดี ศิลปะ รูปปั้น เครื่องประดับ และของใช้ต่างๆ ที่ทีมงานของอาจารย์ภาณุ ค้นพบ เป็นการพลิกอีกหน้าของประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองบนแหลมสุวรรณภูมิ แต่วิษุวัตก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ความรู้ ความสามารถของเขาในแง่สถาปัตยกรรมส่วนใดที่จะทำให้เขาได้ร่วมงานกับอาจารย์ภาณุ นอกเหนือไปจากความชื่มชม หลงใหลในประวัติศาสตร์ และความศรัทธาในตัวอาจารย์ภาณุ ไม่ว่าจะเป็นงานยากลำบากเพียงใด เขาก็ภูมิใจแล้วที่ได้เป็นส่วนร่วมในทีมงานของท่าน “คุณวิทวัสคะ คงต้องให้คุณกลับไปก่อนเสียแล้ว พอดีท่านอาจารย์ภาณุต้องเดินทางไปที่บุรีรัมย์ด่วน แล้วดิฉันจะนัดไปใหม่นะคะ...ต้องขอโทษที่ให้มาคอยเสียเวลา” เลขานุการของอาจารย์ภาณุ เปิดประตูห้องออกมาแจ้งข่าวให้เขาทราบ ความตื่นเต้นลดหายไปเล็กน้อย เขาได้แต่เพียงตอบรับสั้นๆ อยากจะบอกเธอว่า เธอเรียกชื่อเขาผิดเสียด้วยซ้ำ...
แต่วิษุวัตก็ออกจากสำนักงานของอาจารย์ภาณุอย่างเงียบๆ เสียดายเวลาเล็กน้อย เขาพยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อน อาจารย์ภาณุคงติดงานด่วนจริงๆ คงไม่ได้เลี่ยงการพบปะกับเขา เขาอาจจะแวะหาอะไรทานตอนเย็นก่อนกลับที่พัก บางความรู้สึก เหมือนกำลังเลื่อนลอย อ่อนล้า... บางทีคงเป็นเพราะการเดินทางในเมืองหลวง ที่แทรกเข้ามาให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า จนเลื่อนลอยหรือเปล่านะ เหมือนช่วงเวลาถูกดึงให้ยืด นาน ห่างออกไป...
เสียงแผ่วพลิ้วอ่อนหวานนุ่มนวลแว่วผ่านมากับสายลมอีกครั้ง คราวนี้เสียงนั้นปนด้วยความรู้สึกแสนเศร้าสร้อย และสำนึกผิดมากมาย... “วิษุวัต...ท่านวิษุวัต.............ข้าขออภัย...”
***โปรดติดตามอ่านบทต่อไป***
Create Date : 14 มกราคม 2555 |
|
10 comments |
Last Update : 17 มกราคม 2555 0:11:55 น. |
Counter : 643 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ลุงทอม IP: 124.120.184.179 15 มกราคม 2555 18:50:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรายทราย 15 มกราคม 2555 19:12:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: วรบรรณ 16 มกราคม 2555 10:35:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรายทราย 16 มกราคม 2555 12:28:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: วรบรรณ 16 มกราคม 2555 15:58:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรายทราย 16 มกราคม 2555 16:41:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรายทราย 16 มกราคม 2555 17:53:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 17 มกราคม 2555 4:49:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรายทราย 17 มกราคม 2555 10:02:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
** ภาพสวยๆ เล็กตรงนี้ Tuscan Terrace ผลงานของ Sung Kim
เคยมั้ยนั่งอยู่ในสวนสวย พร้อมกับจิบกาแฟนั่งมองเกลียวคลื่นซึมซับเข้าหาทราย มันเป็นมุมพักผ่อนที่แสนจะเป็นสุขของเรา...
ขอยืมภาพวาดสวยๆ มาใช้ประดับบ้านเฉพาะกิจก่อน เก็บไว้นานแล้ว ของใครบ้างหนอ...
**สำหรับคนชอบลอก แอบโกปี้ และตัดปะ**
คิดเอง เขียนเองเถอะค่ะ ...
ความสนุกของการเป็นนักเขียนเรื่องสั้น นิยาย มันอยู่ตรงนี้ แม้มันจะเหนื่อย ล้า เปลี้ย หมดพลัง แค่ไหนเราก็ยังพอใจ ที่ได้สนุกสนาน ได้ร่วมโลดลิ่ว..
ได้รัก ได้เกลียด ได้กินข้าว ได้เต้นระบำ ได้ตบตี ได้เจ็บช้ำ ไม่สบาย ร้องไห้ หัวเราะ ได้ร่วมไปในทุกๆ อารมณ์ กับตัวละคร
ที่พวกชอบลอกนี่จะไม่มีวันได้รู้แน่ๆ ว่าอารมณ์อย่างนั้นมันเป็นอย่างไร...
**และคุณก็ไม่มีวันเป็นคนเขียน เป็นนักเขียนได้เลย
******************************
Friends' Blogs
นิตยสารออนไลน์รายสัปดาห์ อ่านสนุก
|
|
|
|
|
|
|