+ - + - ชีวิตเป็นของเรา ตราบที่เราใฝ่ฝัน + - + -

ศพพลัดถิ่น : การดูแลกันและกันด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์

เมื่อวานได้ไปร่วมงานคอนเสิร์ตการกุศล จัดตั้งกองทุนเพื่อนไร้พรมแดน จ.น่าน

จุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตครั้งนี้เกิดที่ รพ. ที่ผมทำงานอยู่



ขออนุญาต ตัดเอาบทความที่พี่พยาบาลตึก ICU เขียนไว้ในบอร์ดแห่งหนึ่งมาเผยแพร่ที่นี่ เรื่องมีอยู่ว่า........

ผู้ป่วยหญิงจากประเทศลาวได้ถูกส่งตัวมารับการรักษาที่โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติฝั่งชายแดนไทยติดกันกับประเทศลาว และได้รับการส่งตัวมายังโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวของฉันซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอเพื่อมารับการรักษาต่อ มาพร้อมกับลูกชายหนึ่งคน แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างรุนแรง เมื่อผู้ป่วยมาถึงที่ตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินมีการหยุดหายใจ(cardiac arrest) แพทย์เวรได้ทำการใส่ท่อช่วยหายใจและช่วยชีวิตด้วยการช่วยฟื้นคืนชีพโดยให้ยาช่วย ผู้ป่วยฟื้นขึ้นมารู้สึกตัวพอสื่อสารกับลูกที่มาด้วยได้แต่ความดันโลหิตต่ำมาก 50/40 มิลลิเมตรปรอทและ ชีพจรเต้นเร็วมาก 140 ครั้งต่อนาที ฉันเป็นพยาบาลประจำหอผู้ป่วยหนักในเวรบ่ายวันนั้นได้รับการส่งต่อ case มาจากตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินว่าจะมีผู้ป่วยมาจากประเทศลาวแต่หมอไม่ทำอะไรแล้วคุยกับญาติแล้วว่า NR (non resuscitate) ซึ่งหมายความว่าจะไม่ช่วยในการฟื้นคืนชีพอีกแล้ว

รับโทรศัพท์เพียงเท่านั้นฉันกับทีมที่อยู่ในเวรก็จัดแจงช่วยกันเตรียมอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจ และเตรียมเตียงสำหรับผู้ป่วย จากนั้นอีกสักพักฉันก็ได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้โฮอย่างเสียงดังมาจากประตูทางเข้าซึ่งมาพร้อมกับผู้ป่วยรายนี้เป็นคุณตาแก่ๆคนหนึ่ง ฉันรับcase จากพยาบาลตึกอุบัติเหตุแล้วถามว่าหมอ NR แล้วทำไมดูเหมือนคุณตาซึ่งเป็นลูกชายของผู้ป่วยยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด ได้รับคำตอบว่าไม่รู้หมอเป็นคนคุย แต่ก็จ่างมันเต๊อะ (ช่างมันเถอะ) ยังไงหมอก็ NR แล้ว ขณะที่เอาผู้ป่วยขึ้นเตียงผู้ป่วยหยุดหายใจอีกครั้ง ฉันอธิบายให้ลูกซึ่งเป็นตาแก่ๆให้เข้าใจปรากฏว่าลูกชายร้องไห้และกุมมือแม่ของเค้าไว้ตลอด พร้อมกับคำพูดที่ลูกชายพูดว่า

“แม่เลี้ยงจ่วยแม่เฮาจิ่มเต๊อะมากั๋น 2 คนตะอี้ละ” คนไข้ไม่เข้าใจว่า NR คืออะไร

“หมอที่ตึกข้างหน้าไม่ได้บอก เฮาฟังบ่เข้าใจ๋ ”

ฉันและทีมจึงได้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพอีกครั้ง สักพักฉันประเมินอาการผู้ป่วยซ้ำ การช่วยได้ผลผู้ป่วยรู้สึกตัว ผู้ป่วยยังรู้เรื่องพยายามที่จะพูดคุยกับลูกที่มาด้วยเพียงคนเดียวซึ่งร้องไห้ ฉันคิดและได้แต่คิดฉันถูกปลูกฝังมาตลอดว่า ให้การดูแลโดยไม่แบ่งชั้น วรรณะ ให้การดูแลไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด ภาษาใด ให้เราเป็นเสมือนดวงตาของผู้ที่นัยน์ตาบอด เป็นแขนขาให้สำหรับผู้พิการแขนขาขาด และเป็นปากเป็นเสียงให้กับผู้ที่บอกความต้องการไม่ได้ ฉันจึงได้ทำหน้าที่ของฉัน เป็นปากเป็นเสียงแทนผู้ป่วย ฉันจึงได้โทรศัพท์กลับไปถามแพทย์เวรอีกครั้งว่าตกลงหมอจะ NR จริงๆเหรอ ผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ถามตอบพอรู้เรื่อง สื่อสารได้ หมอจะไม่ให้ให้การรักษาอย่างอื่นเพิ่มเหรอคะได้รับคำตอบจากหมอว่า สภาพยังงั้นจะเอาอะไรไหว เป็นคนลาวด้วย เออๆ งั้นก็ให้ DOPA เลี้ยงเส้นไปละกัน ไม่ขึ้นไปดูคนไข้ที่ ICU ละนะพี่ พี่จัดการไปได้เลย

ฉันจบการสนทนากับหมอทางโทรศัพท์เพียงเท่านั้น คิดอยู่ในในว่าอะไรหนอคือการนำเอามาตัดสินชีวิตของความเป็นมนุษย์ ผู้ป่วยไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตต่อหรือว่าตายเพียงเพราะเป็นคนลาวมาจากประเทศลาวงั้นหรือ ฉันจัดแจงให้ยา DOPA เพื่อกระตุ้นความดันโลหิต ผู้ป่วยรู้สึกตัว และพยายามที่จะสื่อสารกับลูกเหมือนพยายามจะบอกลาครั้งสุดท้าย สิ่งที่ฉันจะแบ่งเบาความทุกข์ได้คือให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบและสมศักดิ์ศรี ฉันเดินเข้าไปคุยกับคุณตาซึ่งเป็นลูกของผู้ป่วย อธิบายเรื่องโรคของผู้ป่วยให้ลูกเข้าใจ อธิบายถึงการรักษาและยาที่ให้ และบอกความจริงกับลูกว่าแม่เขาอาจจะไม่ไหว ลูกชายก็ร้องไห้ฉันได้แต่จับมือเบาๆเพื่อส่งผ่านความรู้สึกถึงว่าฉันรับรู้ ฉันจัดหาเก้าอี้ให้เค้านั่งใกล้ๆแม่ เค้ายกมือไหว้ จนฉันตกใจ ฉันรีบบอกว่า เก้าอี้ตัวเดียวไม่ต้องไหว้ก็ได้ เค้าบอกว่าขอบคุณที่ให้ได้อยู่กับแม่และพูดคุยเป็นเพื่อนเค้าให้กำลังใจ ฉันและทีมเจ้าหน้าที่หอผู้ป่วยหนักจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ทาแป้งให้ผู้ป่วยได้นอนอย่างสุขสบาย

อีก 3 ชั่วโมงต่อมาผู้ป่วยก็สิ้นใจอย่างสงบ

ลูกชายร้องไห้กอดแม่ของเค้าพูดว่า

“แม่ แม่ทำไมทิ้งเฮา มารักษามากัน 2 คนทำไมถึงทิ้งเฮากลับบ้านคนเดียวแล้วเฮาจะกลับไปบอกน้องๆที่บ้านว่ายังไง”

ฉันปล่อยให้ผู้ป่วยได้อยู่กับแม่ของเขาและคุณตาก็ยื่นมือไปปิดเปลือกตาแม่และบอกกับแม่ของเขาว่า

“แม่หลับให้สบายนะแม่ จะดูแลน้องๆคนอื่นๆเอง”

เมื่อญาติสงบฉันและทีมได้ทำการคารวะศพโดยนำดอกไม้ธูปเทียน กล่าวแสดงความเสียใจกับญาติ และนำส่งดวงวิญญาณให้ไปสู่สุคติ ให้เขาตายอย่างสุขสงบ ญาติร้องไห้ พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณด้วยน้ำตา หลังจากคารวะศพเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ได้ดำเนินการต่อเกี่ยวกับการฌาปนกิจศพ เพราะตามระบบประกันสุขภาพแล้ว ถ้าเป็นคนต่างด้าวต้องออกค่าใช้จ่ายในค่ารักษา ค่าจัดการทำศพเองทั้งหมด ญาติคุกเข่าลงแล้วร้องไห้อีกครั้งพร้อมกับยื่นมืออันชราของเขามาเกาะขอบกางเกงพยาบาลของฉันแล้วบอกฉันว่า

“แม่เลี้ยง (คำที่ผู้ป่วยใช้เรียกพยาบาล) ช่วยเฮาด้วย ไม่มีเงินแม้สักบาทเดียว แม้แต่เงินค่าจะทำศพแม่เป็นครั้งสุดท้ายเฮาก็บ่มี เงินจะกลับบ้านที่ลาว เฮาก็บ่ฮู้ว่าจะเอาที่ไหน”

ฉันรู้สึกเหมือนแน่นในอกขึ้นมาทันที ฉันคิดว่าฉันเคยเป็นคนเข้มแข็งแต่ ณ วันนี้ หัวใจของฉันกำลังรับรู้ถึงความรู้สึกทุกข์นั้นได้ ฉันเศร้า ฉันได้แต่น้ำตาซึม ฉันอยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้า ฉันทำงานมา 8 ปีไม่เคยมีวันไหน หรือมีสิ่งไหนจากการทำงานมากระทบหัวใจของฉันเท่าวันนี้ สภาพของชายชราแก่ๆคนหนึ่ง ทรุดนั่งคุกเข่าต่อหน้า และร้องไห้ มันทำให้ฉันเศร้าไปด้วย ฉันประคองคุณตาลุกขึ้นและบอกกับตัวเองว่าฉันอ่อนแอไม่ได้แล้ว ต้องเป็นหลักให้กับคุณตาในการจัดการทำศพให้แม่เขาอย่างสมศักด์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าที่ฉันทำได้ แต่ฉันก็แค่พยาบาลตัวเล็กๆ คงไม่สามารถช่วยในเรื่องการเงินได้มากขนากนั้น สิ่งที่ฉันทำได้ของฉันได้ ณ ตอนนี้ คือทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับ สัปเหร่อ ถามเรื่องค่าใช้จ่ายในการทำศพ เพราะว่าถ้าคนลาวซึงเป็นคนต่างด้าวมาตายที่ประเทศไทย ประเทศลาวห้ามเอาศพกลับเข้าประเทศให้เผาที่บริเวณชายแดนไทยให้หมด ฉันติดต่อกับสัปเหร่อ ซึ่งเป็นคนงานในโรงพยาบาลถามถึงค่าใช้จ่าย สัปเหร่อบอกว่าอย่างต่ำ 4 พันบาท ค่าฟืนและค่าทำกับคนตายและเป็นคนลาวด้วย ฉันต่อรองราคาเหลือแค่ 2 พันบาทบอกกับสัปเหร่อว่าๆ ช่วยๆกันหน่อยเถอะ ถึงเขาจะเป็นคนลาวไม่มีเงิน แต่เขาก็เป็นมนุษย์ เหมือนกับเรา มีหัวใจ พาแม่มารักษาแต่มาตายยังต่างประเทศไม่มีแม้โอกาสที่จะกลับบ้านเกิดของตนเอง แล้วคนที่รอคอยการกลับไปของเค้าที่ลาวล่ะ อยู่คอยด้วยความหวังว่าแม่ผู้บังเกิดเกล้าจะหายกลับไป ญาติพี่น้องไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ของพวกเขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว ฉันวิงวอนให้สัปเหร่อลดราคาให้ ฉันได้รับคำตอบว่า ไม่ จากสัปเหร่อ ฉันยังไม่ละความพยายามเพียงเท่านั้น ขอรับบริจาคเงินจากเจ้าหน้าที่พยาบาล แพทย์ รวบรวมเงินทั้งหมดได้ 2 พัน ขาดอีก 2 พัน ฉันทำหน้าที่ได้ดีที่สุดเท่านี้ สุดท้ายก่อนที่ฉันจะลงเวร หมดสิ้นภาระหน้าที่ในเวรของฉัน แต่ภาระในหัวใจของฉันมันยังไม่จบสิ้น ก่อนฉันลงเวรฉันติดต่อประสานงานกับทีมเวรเช้าต่อเพื่อนำเรื่องปรึกษากับผู้บริหาร

ตลอดระยะเวลาของการติดต่อประสานงาน ญาติร้องไห้กอดศพแม่ตลอดเวลา เป็นภาพที่หดหู่หัวใจอย่างยิ่ง สุดท้าย ด้วยความกรุณาของผู้อำนวยการ นพ. กิติศักดิ์ เกษตรสินสมบัติ ผู้ที่ทำงานด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ ท่านได้อนุเคราะห์เงินบำรุงจากทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวในการจัดการค่าทำศพ ฉันก็ลงเวรกลับบ้านไปด้วยความเศร้าเหมือนกัน แต่อย่างน้อยถึงแม้ฉันจะได้ได้ช่วยเหลือด้วยกำลังทรัพย์ แต่ฉันช่วยเหลือด้วยกำลังกาย กำลังใจทั้งหมดที่ฉันมี ทราบข่าวตอนหลังว่า จากพี่ที่รับเวรเช้าต่อว่าหลังจากเผาศพเรียบร้อยแล้ว ญาติกลับมา ญาติร้องไห้ และไหว้ขอบคุณทั้งน้ำตา พร้อมทั้งบอกว่า

“ขอขอบคุณทุกๆคนสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้ จะไม่ลืมเลยตลอดชั่วชีวิตที่ช่วยจัดการทำศพแม่ผู้บังเกิดเกล้าให้ได้ไปสู่สุคติ ไปอยู่ในที่ที่ดีๆ กระดูกของแม่ไม่ได้เอากลับบ้านเกิดประเทศลาว ฝังไว้ที่ผืนแผ่นดินไทย อยู่เมืองลาวทุกข์มาก ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นคนไทย จะได้รับการรักษาที่ดีๆ ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต จะกลับไปบอกน้องๆที่บ้านว่าทำไมถึงไม่เอากระดูกแม่กลับบ้าน”

ฉันฟังแล้วเหมือนมีอะไรแน่นอยู่ในอก สิ่งที่เราเห็นว่าเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในคุณค่าของผู้อื่น หลังจากนั้นพี่ๆที่ตึกช่วยกันบริจาคเงินให้เป็นค่าเดินทางกลับบ้านอีก 200 บาท ในการเดินทางกลับลาวเพียงคนเดียว ซึ่งปราศจากแม่ผู้บังเกิดเกล้า พร้อมกับภาระที่หนักอึ้งสำหรับตาแก่ๆคนหนึ่ง ต่อไปที่จะกลับไปบอกคนที่บ้านเกิดที่ลาว บอกพี่ บอกน้อง ว่าแม่ของพวกเขาได้ลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว ณ วินาทีนี้

คอนเสิร์ตเมื่อวาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกองทุนเพื่อนไร้พรมแดน

เป็นการระดมทุนจัดตั้งกองทุนค่ารักษาพยาบาลและค่าจัดการศพให้กับผู้ป่วยที่ยากจนตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศ คือ ประเทศไทยและประเทศลาว ในเขตพื้นที่ จ.น่าน โดย “กลุ่มเพื่อนปันไท” เป็นผู้ประสานงานหลัก และมีน้าหมู พงษ์เทพ เป็นศิลปินในค่ำคืนนั้น สำหรับใครที่อยากสมทบทุนในโครงการนี้เพิ่มเติม

อ่านรายละเอียดได้ที่

//www.nan2day.com/forum/index.php?topic=1826.0





 

Create Date : 01 มีนาคม 2552
11 comments
Last Update : 3 มีนาคม 2552 17:15:37 น.
Counter : 2383 Pageviews.

 

So sad story but u have done a lots of good thing for them so one day u will get pay back.xxx

 

โดย: Kiky Dee IP: 81.109.93.160 1 มีนาคม 2552 22:48:28 น.  

 

น่าสนใจมาก โครงการนี้

วันหลังมีคอนเสิร์ตอีก บอกด้วยเด้อ

 

โดย: ฟ้าดิน IP: 114.128.176.163 1 มีนาคม 2552 22:52:08 น.  

 

น้ำตาไหลเลยค่ะ เศร้าผสมความนับถือในตัวคุณพยาบาล .. โอ้หนอ มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่มีสิ่งไหนมาแบ่งแยกว่าอะไรคือความเป็นมนุษย์ชั้นต่ำหรือชั้นสูง มีปาก มี ขา มีแขน มีหัวสมองเหมือนๆกัน ถ้าดิฉันได้กลับน่านอีกที และมีโอกาสเล็กๆ อยากจะช่วยเหลือเท่าที่พอทำได้ค่ะ อยู่ รพ.ปัวใช่ไหมคะ จะได้ไปถูกค่ะ ..

 

โดย: Lavender IP: 76.109.76.192 1 มีนาคม 2552 23:17:45 น.  

 

your story make me crying. you are compleatly wonderful person

 

โดย: rattana IP: 90.211.194.118 1 มีนาคม 2552 23:20:06 น.  

 

+ มันเป็นความจริงที่แสนจะอึ้ง อ่านแล้วจุกในคอหอยเลยครับ ... "ชีวิตคน" ตัดสินกันด้วยอะไรหนอ แต่สุดท้าย ทุกคนก็ต้องเดินทางไปในที่ๆ เดียวกันอยู่ดี ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแก่ตัวเองและผู้คนรอบข้างก็แล้วกันเนาะครับผม

 

โดย: บลูยอชท์ 4 มีนาคม 2552 14:46:31 น.  

 

เราขอชื่นชมในหัวใจของคุณ

เราอยากให้มีคนอย่างคุณเยอะๆในโลกใบนี้

เราอยากให้คุณเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

เป็นตำแหน่งใหญ่ที่ตัดสินใจช่วยคนได้

ขอบคุณมากๆที่มีคนดีอย่างคุณนะครับ

 

โดย: ตะวันออกไม่แพ้ 16 มีนาคม 2552 10:18:32 น.  

 

ขออนุญาตแท็ก (อีกแล้ว)

รายละเอียดไปดูได้ที่บล็อกของข้าพเจ้า

 

โดย: ฟ้าดิน 23 มีนาคม 2552 4:02:26 น.  

 

ขออนุญาตแท็ก (อีกแล้ว)

รายละเอียดไปดูได้ที่บล็อกของข้าพเจ้า

 

โดย: ฟ้าดิน 23 มีนาคม 2552 4:03:44 น.  

 

ขอบคุณนะคะ ที่นำเรื่องราวดีๆมาบอกต่อเป็นกำลังใจให้คนทำงานได้ทำงานต่อไปค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

โดย: วิไลรัตน์ IP: 119.42.78.64 24 มีนาคม 2552 21:16:45 น.  

 

มีเรื่องเล่ามาแชร์กันค่ะ
Humunized Care
( การดูแลผู้ป่วยด้วยใจเป็นมนุษย์ )
ชีวิตคนเราเกิดมาต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เรามีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นนั้นเป็นนี่ได้ตามที่เราอยากจะเป็น แม้เราจะเกิดเป็นชายแต่เราก็เลือกจะเป็นหญิงหรือเราเกิดเป็นหญิงแต่เราจะเป็นชาย ตามที่จิตใจเราเรียกร้องที่จะเป็นตามที่มุ่งหวัง
ปัจจุบันนี้ประเทศไทยให้การยอมรับให้บุคคลประเภทนี้ได้แสดงออกมีสิทธิเสรีมากขึ้น ดังจะเห็นได้ในสื่อต่างๆ จากรายการโทรทัศน์ การประกวดต่างๆเป็นต้น ยังมีคนส่วนมากมองว่าเป็นเรื่องแปลกตลก หรือน่ารังเกียจและไม่ยอมรับในสิ่งที่บุคคลพวกนี้เป็น แต่ก็มีไม่น้อยที่ชื่นชมและยอมรับในความสามารถที่โดดเด่น เราในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างก็คือมนุษย์คนหนึ่งมีชีวิต มีจิตใจ เช่น เดียวกันกับคนอื่น
ริสซี่เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่างกายเป็นชายแต่จิตใจของเธอเป็นหญิง เธอรักที่จะเป็นเพศหญิง ริสซี่เป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวาน กิริยามารยาทเหมือนผู้หญิง เธอชอบงานฝีมือ ชอบแต่งตัวประกวดงานต่างๆ แต่ชีวิตของเธอต้องพลิกผันเมื่อเธอเข้าสู่วงการสาวประเภทสองและไปทำงานที่พัทยา ทำให้เธอต้องติดเชื้อ HIV กลับมา เธอมีผื่นขึ้นตามร่างกาย ต่อมาร่างกายเริ่มอ่อนแอทำมาหากินไม่ได้เธอจึงต้องทิ้งชีวิตอันรุ่งโรจน์กลับมาอยู่ที่บ้านกับแม่และครอบครัวของเธอ
เธอเริ่มติดเชื้อแทรกซ้อนรุนแรงมากขึ้น ไอบ่อย และได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วแพทย์สงสัย ไข้หวัดใหญ่ เธอจึงได้มา Admit ในห้องแยกโรค เธอกังวลมากกลัวไม่หายหรือแย่กว่าเดิม ในครั้งแรกที่พยาบาลรับเธอเข้ามานอนในตึก เธอดูท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป พยาบาลได้เข้าไปพูดคุยปลอบใจให้กำลังใจให้เธอได้มีแรงที่จะสู้ต่อไป ในตอนแรกเธอดูไม่ค่อยสนใจทำหน้านิ่งๆไม่ค่อยพูดคุยเมื่อถามจะตอบสั้นๆ หรือไม่ตอบและชอบคลุมผ้าห่มปิดหน้าปิดตา ไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าว ปล่อยผมยาวรุงรัง หนวดยาว ทำตัวสกปรก พยาบาลได้เข้าไปสร้างสัมพันธภาพบ่อยๆ ปลอบใจและให้กำลังใจ กระตุ้นให้ทำกิจกรรมเอง และสัมผัสร่างกายผู้ป่วยด้วยความเอื้ออาทรไม่รังเกียจ พยาบาลได้ทำแบบนี้ซ้ำๆบ่อยๆ จนกระทั่งผู้ป่วยเปิดใจและคุ้นเคยยอมที่จะคุยด้วยอย่างเปิดเผย และยอมทำกิจกรรมด้วยตนเองบนเตียง พยาบาลได้กระตุ้นให้ริสซี่เดินทำกิจกรรมเองและ ให้เข้าห้องน้ำเอง อาบน้ำเองทุกวัน จนในที่สุด ริสซี่สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้เอง ต่อมาแพทย์ได้ตรวจผู้ป่วยแล้วพบว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็น ไข้หวัดใหญ่ พยาบาลจึงได้ย้ายผู้ป่วยออกจากห้องแยกโรคมาอยู่ห้องผู้ป่วยสามัญ แต่ริสซี่เธอยังอายที่จะพบผู้อื่น เมื่อย้ายมาอยู่ใหม่ๆจึงคลุมโปรงปิดหน้าตลอด พยาบาลได้ถามว่า “ไม่ร้อนหรือ” เธอบอกว่า “ร้อนก็ต้องทนกลัวคนที่รู้จักเห็น” พยาบาลได้ปลอบใจและให้กำลังใจSupportive จิตใจ จนริสซี่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับผู้ป่วยอื่นๆ พยาบาลได้ช่วยดูแลความสะอาดร่างกาย ตัดผม โกนหนวด ตัดเล็บ แต่งเล็บ และปลอบใจให้เธอได้ยอมรับในโรคที่เธอเป็น จนเธอสามารถยอมรับได้ในที่สุด
เมื่อเธอยอมรับโรคที่เธอเป็นได้และกล้าที่จะอยู่ในสังคม เธอเริ่มกลับมาดูแลตัวเอง แต่งหน้า ทาปาก ดูสีหน้าสดชื่นมากขึ้น เธอบอกว่าทำแล้วมีความสุข พยาบาลรับรู้และเข้าใจดีถึงสภาพจิตใจของเธอที่เป็นเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความต้องการให้ตนเองมีความสวยงามดูดีในสายตาผู้อื่นเสมอและพยาบาลเห็นเธอมีความสุขดูสดชื่นดีขึ้น จึงไม่ได้ห้ามหรือว่ากล่าวใดๆ เพราะเธอทำแล้วมีความสุข กลับมามีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์คนหนึ่งได้ ก็ให้เธอทำต่อไปเพื่อให้เธอสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ในสังคม
ริสซี่เธอนับถือเจ้าแม่กวนอิม เธอบอกว่า “อยากสวดมนต์เหลือเกินคุณพยาบาล แต่จำบทสวดมนต์ไม่ได้ ได้แต่นอนนึกถึงเจ้าแม่กวนอิม” ดังนั้นพยาบาลจึงได้เข้าไปค้นบทสวดมนต์ในInternet มาให้ริสซี่ในตอนแรกๆ ริสซี่เขินอายที่จะสวดให้ผู้อื่นเห็น พยาบาลได้ร่วมสวดมนต์เป็นเพื่อนจนเธอสามารถสวดเองได้ ริสซี่ขอบคุณเรามากที่ได้สวดมนต์ก่อนนอนและมีพยาบาลสวดเป็นเพื่อนในบางวัน พยาบาลได้เห็นริสซี่สวดมนต์เสร็จแล้วนอนหลับมีความสุขได้พยาบาลก็รู้สึกภาคภูมิใจในการได้ช่วยเหลือคนคนหนึ่งให้เป็นสุข ริสซี่ดูสดชื่นมากขึ้น จนวันจำหน่ายกลับบ้าน แม่ของริสซี่มารับกลับบ้าน เธอยิ้มแก้มปริบอกขอบคุณพยาบาลทุกคนที่ทำให้หายและได้กลับไปอยู่กับครอบครัว
ในขณะอยู่ที่บ้านพยาบาลได้โทรศัพท์เยี่ยมผู้ป่วยมารดาผู้ป่วยบอกว่าผู้ป่วยสบายดี ไม่เหนื่อย ไม่ไอ ดูมีความสุขดี แต่พอครั้งที่ 2 พยาบาลได้โทรศัพท์เยี่ยมอีกในสัปดาห์ต่อมา มารดาผู้ป่วยบอกว่า ตอนนี้ไอบ่อย ดูเหนื่อยมากขึ้น พยาบาลบอกว่า ถ้าผู้ป่วยเหนื่อยมากขึ้นหรือไม่ไหวก็ให้รีบพามาโรงพยาบาลนะค่ะ มารดาผู้ป่วยรับทราบ
ต่อมาริสซี่ได้กลับมา Admit อีกครั้ง ร่างกายเธอดูซูบผอมไปมาก ด้วยพยาธิสภาพของโรคAIDS ในระยะสุดท้าย พยาบาลได้คุย Prognosis กับแม่ของเธอเกี่ยวกับพยาธิสภาพของโรคในระยะสุดท้ายและการรักษาของแพทย์ การดูแลแบบ end of life care มารดาของริสซี่รับทราบ เข้าใจยินดีที่จะดูแลแบบประคับประคองอาการเช่นนี้ต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตของบุตรอันเป็นที่รัก
ริสซี่เธอรักแม่เธอมากและเริ่มเรียกร้องความสนใจที่จะอยู่กับแม่ตลอดเวลาเธอเรียกหาแม่ตลอด แม้จะมีน้องชายเป็นคนเฝ้าดูแลอยู่ก็ตาม ด้วยภาระหน้าที่การงานของมารดา ทำให้ไม่สามารถจะอยู่เฝ้าดูแลลูกได้ตลอดเวลา ริสซี่เรียกร้องความสนใจจะให้มารดาเฝ้าให้ได้เธอร้องเอะอะเสียงดังบ่อยๆ พยาบาลจึงได้ช่วยพูดคุยบอกริสซี่ให้ทราบจนริสซี่เข้าใจ ไม่เรียกร้องความสนใจอีก พยาบาลได้เข้าไปดูแลจนริสซี่รู้สึกว่าตัวเองไม่ถูกทอดทิ้งและพยาบาลได้อยู่เป็นเพื่อนให้การดูแลอย่างเอื้ออาทรดุจญาติมิตร รวมทั้งสวดมนต์ให้ผู้ป่วยฟัง และฝึกให้ริสซี่ทำใจให้เป็นสมาธิ จนริสซี่สงบลงนอนหลับอย่างมีความสุข
แต่ชีวิตคนเรานั้นมีเกิดก็ต้องดับ ร่างกายริสซี่ที่อ่อนแอลงมากยิ่งทรุดหนักมากขึ้นจนทนไม่ได้ ริสซี่เริ่มหายใจ Air hunger แต่สติยังรับรู้อยู่ในวันสุดท้ายของชีวิตริสซี่ เธอขอพบพยาบาลชื่อโม และเมื่อพยาบาลโม ได้เข้าไปพบริสซี่ พยาบาลได้กระซิบเบาๆที่ข้างหูบอกให้ริสซี่หลับตาไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลสิ่งใดๆทั้งสิ้นอีกต่อไปแล้ว ทำใจให้สบายเป็นสมาธินึกถึงพระแม่กวนอิมที่เธอศรัทธาเอาไว้ให้มั่น และนึกถึงบุญที่ได้ทำมาและพยาบาลได้สวดมนต์ให้ผู้ป่วยฟังเบาๆ ริสซี่ดูสงบลงมากขึ้น หายใจแผ่วลง แผ่วลง ไม่ค่อยกระวนกระวายอีกแล้ว พยาบาลใช้มือสัมผัสเบาๆที่หน้าผาก และลูบศีรษะอย่างนุ่มนวลเบาๆ...จนในที่สุด ริสซี่ได้หยุดหายใจและจากไปอย่างสงบโดยมีแม่และพี่ชายที่เธอรักนั่งจับมืออยู่ตลอดเวลา

“ หากฟากฟ้าอันไกลโพ้น...คือสวรรค์
ดาวนับพันระยิบตาอยู่อาศัย
เมื่อแหงนมองท้องฟ้าทุกคราไป
ฉันหวังให้เธอเป็นดาวพราวนิรันดร์ ”

นางสาวณาฏนินพัทต์ จังนพพานิช
ตึกอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลกบินทร์บุรี ปราจีนบุรี

 

โดย: ณาฏนินพัทต์ IP: 192.168.1.70, 182.52.220.205 21 ธันวาคม 2553 22:08:19 น.  

 

เป็นเรื่องจริงหรือคะ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ขอแสดงความชื่นชมคุณพยาบาลอย่างยิ่ง ชาตินี้ไม่ต้องไปทำบุญที่ไหนอีกแล้วเพราะคุณได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ในงานของคุณแล้วคะ

 

โดย: SARA IP: 118.172.131.29 4 มีนาคม 2554 20:44:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


calcium_kid
Location :
น่าน Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง
ทำงานสร้างสรรค์
ปราศจากความทะเยอทะยาน
รักใครสักคน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
1 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add calcium_kid's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.