|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
มายากับของจริง--พุทธทาสภิกขุ(2)
ทีนี้ คำว่าผี เมื่อกล่าวอย่างปุคคลาธิศฐานก็เรียกว่าเป็นผี; แต่ถ้ากล่าวอย่างธรรมาธิษฐาน มันก็คือกิเลสตัณหาหรืออวิชชา คือมีอวิชชาเป็นมูล เป็นรากเหง้ากิเลสตัญหานานาชนิด ที่เรียกว่าเป็นผี; แต่ก่อนนี้มันไม่ปรากฏออกมาสู่ความสำนึก หรือว่ามีพิษมีสงอะไร จนกว่าความดื้อนั้นจะไปดึงเอามันขึ้นมา ฉะนั้นหัวใจที่เคยบริสุทธิ์สะอาดนั้นมันก็กลายเป็นสกปรกไป มันจึงทำอะไรที่ไม่ควรทำได้ ถ้าพูดกันตรง ๆ เรื่องความดื้อ,เรื่องความโง่,เรื่องความไม่บังคับตนเองอย่างนี้มันก็ไม่สนุก ฟังก็ง่วงนอน เดี๋ยวก็ลืม เสร็จแล้วก็ลืม การกล่าวอย่างธรรมาธิษฐานนั้น ไม่สำเร็จประโยชน์ในตอนนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นคำพูดจริง เขาเลยต้องกล่าวอย่างปุคคลาธิษฐานให้มียายกะตา ให้มีผีอะไรต่าง ๆ ขึ้นมา เขาจำเป็นจะต้องเล่าเป็นนิทาน คือเป็นเรื่องสมมุติหรือนิยายสมมุติขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างปุคคลาธิษฐาน เราต้องถอดมันออกมาอีกทีหนึ่ง เป็นธรรมาธิฐาน จึงจะรู้ว่า อ๋อ..คนเราคนหนึ่งนี้ก่อนแรกเกิดมาเด็ก ๆ นี้มัน อินโนเซ้น(Innocent); มันไม่มีคดโกง มันไม่มีดื้อดึง ไม่มีอะไร แล้วต่อเมื่อมันได้เหยื่อในทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไปหลงเหยื่อเหล่านั้นเข้ามันจึงเกิดดื้อดึงขึ้นมา มันตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้วมันจึงทำชั่วทั้ง ๆ ที่ทีแรกไม่อยากจะทำ นี้เรียกว่าธรรมาธิษฐาน ฉะนั้นเราควรจะเห็นใจเขาที่ว่าจะต้องมีเรื่องสมมุติ แล้วก็มีการกล่าวอย่างปุคคลาธิษฐาน
เมื่อท่านได้ยินได้ฟังคำสอนที่จะเป็นเรื่องประวัติหรือเรื่องธรรมะก็ตาม ในทางพระพุทธศาสนานั้น จะต้องจับให้ได้ว่ามันเป็นเรื่องสมมุติขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างนี้หรือเปล่า แล้วก็ดูว่าคำกล่าวนั้นจำเป็นจะต้องกล่าวอย่างปุคคลาธิษฐานเพราะเหตุใด นี้เราก็ไม่สนใจเรื่องว่า นี่คนพูดหรือสัตว์พูดได้ ต้นไม้พูดได้อะไรอย่างนี้ หรือว่ายายกะตาผีหรืออะไรอย่างนี้ไม่ต้องสนใจ ก็ไปสนใจตัวเรื่องว่ามันหมายความว่าอย่างไร อย่างนี้อาตมาเอามารวมไว้ กล่าวไว้เสียในวันนี้ด้วย ก็เพื่อให้รู้ว่าแม้แต่วิธีสอนศาสนาเอง ก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้สมมุติ หรือมายาบางอย่างนี้ เพื่อประโยชน์แก่การสอนนั่นเอง คือเอามายานี้มาแก้มายากันอีกที เอาสมมุติมาแก้สมมุติทำนองนี้ นี่ขอให้จำไว้ขั้นหนึ่งก่อน เพื่อไม่ตู่เอาพระคัมภีร์ต่าง ๆ ว่าโกหกเหลวไหลสำหรับคนโง่หรืออะไรทำนองนี้, แต่ที่จริงเขาฉลาดกว่าเราโดยที่เขาจะใช้มายาหรือสมมุตินี้ มาแก้มายาหรือสมมุติของเราอีกทีหนึ่ง โดยให้เรารับดื่มเข้าไปโดยไม่รู้สึกตัวได้
ทีนี้อาตมาจะกล่าวถึงคำว่าสมมุติโดยตรงหรือเต็มตามความหมาย ซึ่งมาในลำดับเดียวกับคำว่า สมมุติ,บัญญัติ,ปรมัตถ์ เราเปรียบเทียบกันโดยคร่าว ๆ ก่อน; สมมุติ บัญญัติ, ปรมัตถ์ 3 คำนี้ถ้าเข้าใจดีแล้วจะง่ายที่สุดที่จะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ต่อไปข้างหน้าเมื่อไรก็ตาม สมมุตินั้นมันเป็นมายาชั้นนอกที่สุดเลย ตามทางธรรมะถือว่าอย่างนั้น แต่ชาวบ้านแล้วจะถือว่าเป็นของจริงไปเลย ไม่ใช่มายา เช่นการที่คนนั้นคนนี้มีชื่อเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย ง. หรืออันนั้นอันนี้มีชื่อว่าเงิน ทอง เพชร พลอย หรือสมมุติ ว่าเป็นขุนนั่น หลวงนี่ พระนั่น พระยานี่ เป็นเศรษฐีเป็นขอทานหรือว่าเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นมาร เป็นพรหม เป็นยักษ์ หรือว่าเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกายอย่างนี้เป็นต้น ก็ล้วนแต่เรียกว่าสมมุติทั้งนั้น แต่ว่ามันสูงต่ำกว่ากันเป็นชั้น ๆ ; หรือแม้ที่สุดแต่จะพูดว่า คนนี้เป็นผู้พิพากษา คนนี้เป็นโจทก์ คนนี้เป็นจำเลย อย่างนีเรียกว่าเป็นสมมุติด้วยชั้นหนึ่งด้วยเหมือนกัน ท่านลองคิดดูว่าคนที่เป็นโจทก์นั้น หรือเป็นจำเลยก็ตามเถอะ บางทีเขาไม่ได้ทำผิด แต่เมื่อเขาถูกกล่าวหาเขาก็ต้องเป็นจำเลย เขาทำผิดจริงเขาถูกกล่าวหาก็ต้องมีชื่อเป็นจำเลย อย่างนี้ก็เรียกว่า สมมุติด้วยเหมือนกัน หรือว่าระเบียบ วินัย กฏ กฏหมาย กฎเกณฑ์ พระบรมราชโองการอะไรต่าง ๆ ก็ตาม ยังต้องถูกจัดไว้ในเรื่องที่สมมุติแต่งตั้งขึ้นทั้งนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเป็นชั้นสูงขึ้นมา นี่พูดตามทางธรรม แต่ถ้าพูดทางโลก ก็จะต้องถือเป็นของจริงไปหมด เพราะ นาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย ง. นี้ แกก็เป็น นาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย ง. จริง ๆ ใช้ได้ตามกฏหมาย ชาวบ้านก็ต้องเรียกกันอย่างนั้น แล้วดำเนินอะไรไปได้ในนาม นาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย ง. นี้มันเป็นชื่อสมมุติ เท่าที่เนื้อหนังร่างกายจิตใจกลุ่มหนึ่งเท่านั้น มันก็เลยมองดูเป็นเนื้อหนังร่างกายจิตใจ เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ ที่กล่าวแล้ววันก่อนว่า ธาตุหกประกอบขึ้นมาเป็นคน อย่างนี้ นาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย ง. ชื่อนั้นชื่อนี้มันก็หายไป มันเหลืออยู่แต่กลุ่มหนึ่ง กลุ่ม ๆ หนึ่งของธาตุ ของขันธ์ ของอายตนะ แล้วแต่จะเรียกชื่อ อย่างนี้ก็เรียกว่าสมมุติหายไป ที่เหลืออยู่นั้นเป็นเพียงบัญญัติ ถ้าแยกก็จะเห็นว่าส่วนนี้เป็นกาย ส่วนนี้เป็นใจ ส่วนนี้เป็นธาตุดิน ส่วนนี้เป็นธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อย่างนี้เรียกว่าสมมุติหายไปเหลืออยู่แต่สิ่งที่บัญญัติ
Create Date : 19 ธันวาคม 2548 |
Last Update : 23 ธันวาคม 2548 13:42:10 น. |
|
9 comments
|
Counter : 506 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:16:21:42 น. |
|
|
|
โดย: ประกายดาว วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:6:26:42 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:6:50:16 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:6:53:04 น. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน IP: 203.170.231.230 วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:15:42:40 น. |
|
|
|
โดย: erol วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:16:20:53 น. |
|
|
|
โดย: ป่ามืด วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:2:50:04 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:7:54:46 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ยังคงลงบทเทศนาของท่านพุทธทาสต่อเป็นตอนที่สอง หวังว่าคงมีประโยชน์ในการเรียนรู้เรื่องราวของชีวิตในเชิงลึกมากขึ้นนะครับ