|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
มายากับของจริง--พุทธทาสภกขุ (3)
เรื่อง มายากับของจริง
ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญ
บรรยายอบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา ณ กระทรวงยุติธรรม 2 มกราคม 2504
(ต่อ) หรือว่าเงิน ทอง เพชร พลอยอย่างนี้ ที่ได้ถูกสมมุติว่าเงินว่าทอง ว่าเพชร ว่าพลอยนั้น มันเป็นเรื่องสมมุติภายนอก แท้จริงมันก็เป็นแร่ธาตุ เรียกอย่างนี้ง่ายกว่า เป็นแร่ธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอกัน มันไม่มีความแตกต่างกันโดยความที่ว่ามันเป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติ เราไม่มองดูเป็นเงิน เป็นทอง แต่ทีนี้มันมาเกิดเป็นเงินเป็นทอง เป็นเพชรขึ้นมาได้เพราะหลังจากถูกสมมุติ ที่นี้มันมีอะไรเสมอกันอีกอย่างหนึ่งก็คือค่า ความที่เป็นของมีค่าในทางใช้สอยตามที่สมมุตินั่นเอง คือว่ามีค่าในทางซื้อขาย ในทางเศรษฐกิจนี่ ถ้ามองดูในแง่ของทางเศรษฐกิจ นี่เราเห็นว่าเงินก็มีค่าอยู่ระดับหนึ่ง ทองก็มีค่าระดับหนึ่ง เพชรก็มีค่าอยู่ระดับหนึ่ง มันมีความเป็นของมีค่าเสมอกัน ถ้าไปมองดูที่ค่านี้แล้ว ก็จะเห็นแต่เพียงว่ามันมีค่าทั้งนั้น มีแต่ค่าเว้นแต่ว่ามากน้อยกว่ากัน เงิน ทอง เพชร พลอย ก็ไม่ต้องมี ชื่อว่าเงิน ทอง เพชร พลอย ก็หายไปอย่างนั้น เหลืออยู่แต่ความที่มันมีค่าหรือมีอำนาจในทางซื้อขายมากน้อยสูงต่ำกว่ากัน อย่างนี้เรียกว่าเรามองทะลุสิ่งที่สมมุติว่าเงินว่าทองว่าเพชรว่าพลอย ไปอยู่ที่ความเป็นธาตุอย่างหนึ่งบ้าง หรือไปอยู่ที่ความเป็นของมีค่าระดับใดระดับหนึ่งบ้างเท่านั้น นี้เรียกว่ามองทะลุสมมุติไปได้
ที่นี้เรื่องที่ว่ามียศมีศักดิ์ เป็นขุน เป็นหลวง เป็นพระ เป็นพระยา นั่นนี่ เป็นเศรษฐีเป็นขอทานหรืออะไร นี้ก็ทำนองเดียวกันอีก มันอยู่ตรงความสมมุติ การสมมุติที่ยึดถือว่าเป็นอย่างนั้นตามระเบียบของการสมมุติ; ถ้ามองดูโดยความเป็นคนก็เสมอกันโดยความเป็นคน, ถ้ามองดูโยความเป็นธาตุ ส่วนประกอบธาตุหนึ่ง ๆ ก็เสมอกันโดยความเป็นธาตุ
ทีนี้มนุษย์เทวดา มาร พรหม สูงสุดขึ้นไปอะไรก็เหมือนกันอีก เลยทำให้มนุษย์ เทวดา มาร พรหม นี้ไม่แปลกกัน เพราะว่าเป็นสัตว์ที่ตกอยู่ใต้กองทุกข์เสมอกัน มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างเดียวกัน, ถูกแผดเผาอยู่ด้วยกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียวกัน, แล้วก็ทนทุกข์อยู่ด้วยกัน แม้จะมองในทางต่ำเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อย่างนี้ก็ล้วนแต่เรื่องสมมุติ ความจริงมันก็เป็นสัตว์ที่ประกอบอยู่ด้วยขันธ์ ธาตุ อายตนะ แล้วก็กำลังอยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ถูกสมมุติอย่างนั้น แต่ถ้าว่าโดยที่แท้แล้วมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอกันหมด เหมือนอย่างสัตว์นรกก็หมายถึงคนที่กำลังถูกทรมานได้รับการทนทรมานไม่เป็นอิสระ เพราะฉะนั้นรสชาติที่เป็นความหมายนั้นเอง ทำให้ได้ชื่อว่านรก จะเป็นนรกในชาตินี้ ในเรือนจำหรือในอะไรก็ได้ หรือจะเป็นนรกต่อเมื่อตายแล้วชาติหน้าก็ได้ถ้าหากมันจะมี แต่ว่าความหมายอันแท้จริงนั้น มันอยู่ตรงที่ว่าไม่เป็นอิสระและกำลังถูกทรมาน หรือถูกลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทีนี้เปรต คำว่าเปรตอย่างนี้ เขาก็หมายถึงคนที่มีอิสระปล่อยให้เป็นไปตามอิสระ แต่ว่ามันมีโรคภัยไข้เจ็บ มีความอดอยาก มีเหตุการณ์อย่างอื่น ทั้ง ๆ ที่เขาปล่อยให้เป็นอิสระนั้นมันยังเป็นทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง เพราะความเป็นโรคเพราะความมีข้อผูกพันอย่างอื่น ทั้ง ๆ ที่เขาปล่อยไม่ได้กักขัง เป็นอิสระ
อย่างอสุรกาย ก็คือพวกที่ไม่แสดงตัวให้ปรากฏมีอาการที่เรียกว่า ผี อย่างนี้เพราะมีตัวไม่ปรากฏ แต่ก็เป็นสัตว์ต่ำกว่ามนุษย์มาก มีความลำบากอยู่ตามประสาของสัตว์ประเภทนั้น
ที่นี้ สัตว์เดรัจฉาน ก็หมายความว่า มันยังเป็นสัตว์ที่ต่ำกว่ามนุษย์มาก ทั้ง ๆ ที่หลักเกณฑ์ในการมีชีวิตหรือความคิดความนึกอะไรต่าง ๆ นี้เป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่ามันต่ำกว่ากันมาก ความแตกต่างเหล่านี้เท่านั้น ที่เป็นเหตุให้ถูกบัญญัติ หรือถูกสมมุติว่า เป็นสัตว์มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
ทีนี้ในทางสูงก็เหมือนกัน เป็นมนุษย์ตรงกลางแล้ว เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นมาร เป็นอะไรอย่างนี้สูงขึ้นไปอีก ขอให้เข้าใจคำว่ามารด้วย คำว่า "มาร" นั้นเป็นชื่อของเทวดาประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ต่ำมาอยู่ในกลุ่มนรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกายนี้ไม่ใช่ คำว่ามารนี่เป็นชื่อของเทวดาชั้นสูงสุดในพวกที่เสวยกามคุณ เช่นเทวดาพวกที่เสวยกามคุณนี้แบ่งเป็น 6 ชั้น แล้วพวกที่เรียกว่ามารนั้น อยู่ชั้นสูงสุดเลย ชั้นเหนือสุดเลย เหนือขึ้นไปจากนั้นอีกเป็นพรหมไปแล้ว ไม่ใช่เป็นเทวดาแล้วอย่างนี้เป็นต้น นี่บัญญัติมารเท่าที่ความเป็นเทวดาชั้นสูงสุดนั้น เพราะว่าความอิ่มเอิบด้วยกามคุณในขั้นนั้นมันผูกพันจิตใจมากที่สุด คือเล่าให้ฟังย่อ ๆ อย่างนี้ก็แล้วกันว่า ที่ว่าเทวดาเสวยกามคุณมี 6 ชั้น มันเป็นชั้นสูงสุดของเรื่องเสวยกามคุณ และเทวดาพวกนี้ถูกจัดเป็นพวกมาร ที่เราได้ยินในพุทธประวัติว่า มารมารังควานพระพุทธเจ้าเมื่อวันจะตรัสรู้ หรือหลังจากตรัสรู้แลเวก็ยังมาบ่อย ๆ นี่...คำว่ามารหมายอย่างนั้น มันก็หมายถึงความรู้สึกอย่างรุนแรงในทางเสวยความสุขอย่างโลกนั้น..คือมาร แต่มาถูกบัญญัติให้ว่าเป็นเทวดามีรูปร่างสวยงามอยู่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีทำนองนี้ ถ้าเราเข้าใจคำเหล่านี้ให้ถูกแล้วจะช่วยได้มาก ไม่ใช่ว่ามารแล้วก็จะเป็นสัตว์ หน้าตาอย่างกับยักษ์ดุร้ายกินคน เหมือนอย่างที่เราได้ยินในเรื่องนิยายอย่างเก่า ๆ อย่างนั้น คำว่ามารในทางพุทธศาสนานั้น ถ้าพูดเป็น "ปุคคลาธิษฐาน" ก็จะหมายถึงคนที่สวยที่สุด ที่จะสนุกสนานเพลิดเพลินในทางกามคุณที่สุด แม้แต่รูปร่างก็สวย แม้แต่วาจาก็ไพเราะอะไรอย่างนี้ คือว่ายั่วยวนไปทั้งหมดเลย อย่างนี้เรียกว่ามาร นี่อย่างปุคคลาธิษฐาน ถ้าพูดอย่างธรรมาธิษฐาน คำว่ามารหมายถึงกิเลส คือความติดพันอยู่ในกามสุขอย่างยิ่ง อย่างชั้นสูงสุด ยอดสุดของกามสุข อยากจะให้นึกเปรียบเทียบกว้างออกไปอีกนิดหนึ่งว่า อย่างพวกซาตานของคริสเตียนอย่างนี้บางคนมาเขียนรูปซาตานเป็นยักษ์น่าเกลียด มีเขา,มีอาวุธ มีอะไรนั้น พวกคริสเตียนที่เขารู้เรื่องดีเขาพูดว่า ถ้าเขียนรูปของซาตานแล้ว จะต้องเขียนให้มันสวยที่สุด ให้มันฉลาดที่สุดให้มันงดงามที่สุดเก่งที่สุดอะไรทำนองนี้มากกว่าเพราะมันเป็นที่ตั้งของกาม ความติด ฉะนั้นรวมความแล้ว ให้รู้จักคำว่าสมมุติ ที่เขาใช้ครอบเข้ากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามความหมายของคนสามัญหรือสัตว์สามัญ ชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละ
(มีต่อ)
Create Date : 19 มกราคม 2549 |
|
7 comments |
Last Update : 20 มกราคม 2549 12:32:01 น. |
Counter : 825 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: erol 19 มกราคม 2549 18:39:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju (กระจ้อน ) 19 มกราคม 2549 20:13:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: erol 20 มกราคม 2549 11:09:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju (กระจ้อน ) 20 มกราคม 2549 12:47:27 น. |
|
|
|
|
|
|
|