รู้จักหรือยัง?...โรคเมลิออยโดซิส



ภัยแฝง
ในดินและน้ำ


เมลิออยโดซิส
(Melioidosis)...
เป็นโรคติดเชื้ออีกโรคหนึ่งที่เป็นปัญหาสาธารณสุข
ที่สำคัญ  ซึ่งสถานการณ์ของโรคในประเทศไทย จากการรายงานของกรมควบ
คุมโรค เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2550 มีผู้ป่วย 789 ราย เสียชีวิต 6 ราย
จาก
การพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มีอาการหลายรูปแบบ ที่อาจคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ เช่น
มาลาเรีย วัณโรค จึงได้ชื่อว่า “ยอดนักเลียนแบบ”
เมลิออยโดซิส เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Burkholderia
pseudomalliei ซึ่งพบได้ในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น แพะ แกะ
โค กระบือ โรคนี้พบได้ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  สำหรับ
ประเทศไทยมีถิ่นระบาดในภาคตะวันออก เฉียงเหนือ เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้
พบได้ทั่วไปในบริเวณระบาดโดยเฉพาะในดินและน้ำ
มักพบในฤดูฝนหลังจากที่มีฝนตกประมาณ 1-2 เดือน
ซึ่งคาดว่าเกิดจากการที่น้ำชะเอาเชื้อที่อยู่ในดินขึ้นมาอยู่ที่บริเวณผิว
ดิน ซึ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้ง่าย





การติดต่อของโรค

          
ทั่วไปสามารถติดต่อจากการสัมผัสกับดินหรือน้ำ ผ่านทางแผลที่ผิวหนัง
หรือหายใจเอาฝุ่นจากดิน หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป
เชื้อเมลิออยโดซิส สามารถอยู่ได้ในซากสัตว์ที่อยู่ในดินและน้ำ
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเมลิออยโดซิส
ส่วนใหญ่คือผู้ที่มีอาชีพที่ต้องสัมผัสดินและน้ำโดยเฉพาะ
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไตและผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอ เช่น
ติดสุราหรือทานยากดภูมิคุ้มกัน โรคนี้ก็อาจเข้าแทรกซ้อนได้
เพราะเชื้อโรคชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองโดยหลบหลีก
ระบบการตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย  ทำให้สามารถ
หลบซ่อนอยู่ในร่างกายของเราได้นาน 20-30 ปี
แต่ทั้งนี้ระยะฟักตัวอาจสั้นเพียง 2 วันหรือเป็นปี
ขึ้นอยู่กับระยะการติดเชื้อและอาการของโรค

อาการและอาการแสดง

          
เมื่อเชื้อเมลิออยโดซิสเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดการอักเสบตามอวัยวะต่างๆ
ได้ทุกระบบ อาการของโรคจะแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อและความต้านทานโรคของร่างกาย

          
อาการโดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หายใจไม่สะดวก หรือหอบเหนื่อย
ซึมแบบไม่รู้ตัว ผู้ป่วยบางรายมีอาการคล้ายโรคปอดบวมรุนแรง
บางรายมีอาการคล้ายวัณโรค
ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการและอาการแสดงได้หลายรูปแบบ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3
แบบใหญ่ๆ คือ

           1.อาการไข้นานไม่ทราบสาเหตุ
ผู้ป่วยบางรายมีไข้เป็นเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด
ต่อมาจึงเกิดอาการรุนแรงขึ้น

           2.การติดเชื้อเฉพาะที่
(Localized melioidosis) ส่วนใหญ่พบการ   ติดเชื้อที่ปอด เรียก pulmonary
melioidosis ซึ่ง จะมีอาการเหมือนปอดอักเสบ คือ มีไข้ ไอมีเสมหะเล็กน้อย
น้ำหนักลด บางรายไอมีเสมหะปนเลือด เจ็บหน้าอก
พบว่าการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเรื้อรัง
บางรายอาจมีอาการของฝีในตับ ฝีในกระดูกหรือเป็นเพียงฝีที่ผิวหนังเท่านั้น
ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้อง อาจเกิดอาการรุนแรงขึ้น

          
3.การติดเชื้อแบบแพร่กระจายเชื้อไปทั่ว / ติดเชื้อในกระแสเลือด
(Septicemic melioidosis) เชื้อจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกาย
ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่มักเสียชีวิตภายใน
2-3 วัน

ความ
รุนแรงของโรค มีสาเหตุสำคัญมาจาก


           •
การตรวจวินิจฉัยได้ช้า ไม่ทันท่วงทีต่อการรักษา
           • การ
ได้รับการรักษาช้า และการรักษาไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เช่น
ให้ยาปฏิชีวนะที่เชื้อดื้อยา จำเป็นต้องให้ยาที่รักษาโดยเฉพาะ
เนื่องจากเชื้อดื้อยาต่อยาปฏิชีวนะเกือบทุกชนิดในปัจจุบัน
           •
ปัจจัยจากตัวเชื้อเองที่ทำให้มีความรุนแรงมากกว่าเชื้อชนิดอื่นๆ
          
• ปัจจัยพื้นฐานเรื่องสภาพของผู้ป่วย
ซึ่งมีความสามารถในการต้านทานต่อเชื้อได้ต่างกัน

การวินิจฉัยโรค

          
เนื่องจากอาการของโรคคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่นหลายชนิด
อาจทำให้การวินิจฉัยผิดได้ ซึ่งจะมีผลต่อการรักษา
เพราะการรักษาโรคเมลิออยซิสมีรูปแบบจำเพาะไม่เหมือนโรคติดเชื้ออื่น
จำเป็นต้องพัฒนาวิธีการตรวจอย่างมีประสิทธิภาพ
การวินิจฉัยจึงต้องตรวจยืนยัน โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะ
ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐาน

แนว
ทางการรักษา


          
1.แยกผู้ป่วยไม่ให้ผู้อื่นสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากทางเดินหายใจและโพรงจมูก
          
2.นำสิ่งส่งตรวจ (Specimen) ของ ผู้ป่วย เช่น เลือด ปัสสาวะ
เสมหะหรือหนองมาเพาะเลี้ยง แล้วนำมาทดสอบดูว่ามีเชื้อนี้อยู่หรือไม่
ซึ่งจะใช้เวลา 3-5 วัน จึงจะรู้ผล
           3.ให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วย
โดยให้ยาฉีดในระยะแรก 2 สัปดาห์ และให้ยารับประทานต่อจนครบ 20 สัปดาห์
เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

การป้องกัน

          
1. ป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลเมื่อต้องสัมผัสดินและน้ำ
หรือรีบทำความสะอาดร่างกายหลังการทำงาน ในบุคคลที่มีอาการของโรคเบาหวาน
และแผล บาดเจ็บ รุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำ
ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้อาจต้องสวมถุงมือ รองเท้ายาง เพื่อป้องกัน
          
2.หากมีแผลถลอกหรือไหม้ ซึ่งสัมผัสกับดินหรือน้ำในพื้นที่ที่เกิดโรค
ควรทำความสะอาดทันที
           3. เมื่อมีบาดแผลและเกิดมีไข้
หรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์นอกจากนี้แล้ว การมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ และการดูแลสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้...






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:18:36 น.
Counter : 531 Pageviews.  

10 อันตรายเมื่อเข้าข่าย อ้วน



          
นับวันที่เข็มบนหน้าปัดตราชั่งน้ำหนักเบนไปทางขวามากขึ้นเรื่อย ๆ
โรคร้ายมากต่อมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ กำลังเดินตามหลังไปอย่างติด ๆ
และฆ่าคุณอย่างเลือดเย็นในที่สุด...
นี่คือเหตุผลสำคัญที่คุณต้องลดน้ำหนักเสียแต่วินาทีนี้

อ้วน ! อันตราย
เมื่อคำนวณน้ำหนักตัวและสัดส่วน
แน่ใจว่ากำลังอยู่ในข่ายน้ำหนักมากเกินพิกัด จนเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน
(obesity) ก็ได้เวลาแล้วที่คุณต้องตั้งโปรแกรมลดน้ำหนักโดยด่วน
เพื่อเป็นการต่อชีวิตคุณให้ยาวขึ้น และป้องกันปัญหาที่อาจตามมามากมาย
อย่างน้อย ๆ ก็ 10 ประการต่อไปนี้


หัวใจ
วายวอด  

           พฤติกรรมการกินผิด ๆ
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เช่น
กินอาหารที่มีปริมาณไขมันมากหรือมีคอเลสเตอรอล (ชนิดเลว: LDL) สูง ได้แก่
เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เนย พืชบางชนิด ฯลฯ
เมื่อกินเข้าไปมาก ร่างกายเผาผลาญไม่หมด
ไขมันและคอเลสเตอรอลจะถูกเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน
บางส่วนเวียนว่ายอยู่ในกระแสเลือด
ยิ่งนานวันระดับไขมันและคอเลสเตอรอลจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งหากไปตรวจเลือด แล้วพบว่าสูงเกินกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์
ถือเป็นระดับเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

          
ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง กินเวลานานและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งเป็นผลจากไขมัน และคอเลสเตอรอลในเลือดเข้าเกาะจับผนังหลอดเลือดหัวใจ
จนเกิดการอุดตัน ไม่สามารถผ่านเข้า-ออก เพื่อหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้
กระทั่งหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายในที่สุด กรณีเดียวกัน
หากเกิดที่เส้นเลือดในสมองก็จะกลายเป็นอัมพาต
เกิดที่เส้นเลือดหล่อเลี้ยงไตก็เป็นโรคไตวาย

ความดัน
เลือดสูง

           โรคนี้ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเงียบ
เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ
รู้ตัวอีกทีอาจรุนแรงถึงขั้นเส้นเลือดในสมองตีบตันและแตกได้ง่าย
กลายเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นโรคหัวใจโต เป็นโรคไต ปัสสาวะเป็นเลือด
ความรู้สึกทางเพศลดลง หรือตาบอด

          
แม้ความอ้วนไม่เชิงเป็นสาเหตุของโรคนี้เสียทีเดียว
แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความดันเลือดสูงกว่าระดับปรกติ
เนื่องจากพอน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น หัวใจจะทำงานหนักตาม
เพราะต้องส่งเลือดไปเลี้ยงให้ทั่วถึงทุกส่วนของร่างกาย ถ้าเทียบง่าย ๆ
หัวใจของคนผอมบีบตัวเพียงครั้งเดียว ก็ส่งเลือดไปเลี้ยงได้ทั่วตัวแล้ว
แต่หัวใจของคนอ้วนต้องบีบ 2 - 3 ครั้งจึงจะได้ผลเท่ากัน
การที่หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นอย่างนี้
จึงเป็นปัจจัยหนึ่งของโรคความดันเลือด สูง
ยิ่งถ้าบวกกับเป็นโรคไขมันอุดตันที่เส้นเลือดด้วยแล้ว
อาจเลวร้ายถึงกับหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้

เบา
หวาน...โรคที่ไม่เบา และไม่หวานเลย

          
โรคเบาหวานมี 2 ชนิดด้วยกัน ที่พบเห็นบ่อย ๆ คือชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
สาเหตุเกิดจากตับอ่อนของผู้ป่วยสามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้น้อย
ทำให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานได้ไม่หมด น้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้น
สถานการณ์อย่างนี้ไตต้องรับบทหนัก เพื่อกรองของเสียออกจากเลือด
นานวันเข้าไตอาจเสื่อมสภาพและเกิดโรคไตวายเรื้อรัง เท่านั้นยังไม่พอ
เบาหวานยังปัจจัยสำคัญ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันได้ในทุกส่วนของร่างกาย
(ยิ่งมีระดับไขมันและคอลเลสเตอรอลในเลือดสูงยิ่งเสี่ยงมาก) เช่น อัมพฤกษ์
อัมพาต โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ฯลฯ ต้อกระจก ตาบอดจากเบาหวานขึ้นตา
หมดความรู้สึกทางเพศ ชาหรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า
และความดันโลหิตสูงอีกด้วย

          
คนอ้วนส่วนมากชอบกินหวานเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งเอื้อต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น
แถมคนที่อ้วนมาก ๆ มักจะพบปัญหาเรื่องเหงื่อออกง่าย
เกิดความอับชื้นตามข้อพับต่าง ๆ ผิวหนังเสียดสีกันจนเกิดแผลมีเลือดออก
พุพอง ยิ่งคนอ้วนที่เดินไม่ได้ ต้องนอนอยู่ตลอดเวลาก็จะเกิดแผลกดทับได้ง่าย
หากเป็นโรคเบาหวานร่วมด้วยแล้ว แผลมักหายยากและติดเชื้อง่าย
ซึ่งอาจลุกลามจนต้องตัดอวัยวะบางส่วนทิ้งเลยทีเดียว

"มะเร็ง"
โรคไม่มีหัวนอนปลายเท้า

          
มะเร็งเกี่ยวข้องกับโรคอ้วนตรงไหน?
ก็ตรงที่คนอ้วนมีเซลล์ไขมันมากกว่าคนปรกติ
ซึ่งนอกจากเซลล์ไขมันจะเป็นแหล่งสะสมฮอร์โมนแล้ว
ไขมันเหล่านี้ยังสามารถกลายเป็นฮอร์โมนเพศได้
ดังนั้นยิ่งไขมันมากก็ยิ่งสร้างฮอร์โมนได้มาก ซึ่งจะไปกระตุ้นอวัยวะเพศ
ในผู้หญิงได้แก่ เยื่อบุโพรงมดลูก รังไข่ ต่อมและท่อน้ำนม
หรือที่ต่อมลูกหมากของผู้ชาย เมื่อถูกกระตุ้นนานเข้าอาจกลายเป็นเนื้อร้าย
โดยเฉพาะผู้หญิงอ้วน มักมีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมสูงกว่ามะเร็งชนิดอื่น ๆ

          
เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป
ผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยวิธีแมมโมแกรม
และมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
แต่ถ้าเป็นโรคอ้วนร่วมด้วยแล้วควรเพิ่มความถี่ให้มากขึ้น อย่างน้อย 6
เดือนครั้ง

ชีวิตนี้
หลับไม่เป็นสุข

          
สาเหตุที่คนอ้วนส่วนใหญ่มักนอนกรน
เพราะว่าเมื่อคนเราอ้วนขึ้นเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ก็จะขยายขนาดขึ้นรวมถึงบริเวณช่องทางเดินหายใจ
จนถึงกับไปปิดกั้นทางเดินอากาศให้แคบลง เมื่อหายใจเอาอากาศเข้าไป
ผ่านช่องแคบ ๆ ก็จะเกิดเสียงดังขณะนอนหลับ
ที่น่ากลัวคือเมื่อรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งอากาศไม่สามารถผ่านเข้า -
ออกได้เลย กลายเป็นภาวะหยุดหายใจชั่วขณะ หากร่างกายขาดออกซิเจนบ่อย ๆ
เข้าก็อาจทำให้มีอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง มึนงง อยากจะนอนอยู่ตลอดเวลา
สมองตื้อ เฉื่อยชา ความคิดความอ่านแย่ลง บางคนถึงกับหมดสติ
หรือช็อกไปเลยก็มี

           หลายคนคงนึกไม่ถึงว่า
การนอนกรนยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงต่าง ๆ มากมายด้วย
ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันเลือดสูง โรคเส้นเลือดแดงตีบตัน
ซึ่งมักพ่วงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจมาด้วย โรคเบาหวาน โรคสมองเสื่อม
และสมรรถภาพทางเพศเสื่อม

ข้อ
เสื่อม

          
คำแนะนำของหมอที่รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
มักจะลงท้ายด้วยการให้ผู้ป่วยจำกัดอาหารมันและหวาน
เพื่อมิให้น้ำหนักเกินพิกัด หรือลดน้ำหนักในรายที่อ้วน
เพราะยิ่งน้ำหนักตัวมากขึ้น ภาระทั้งหมดจะไปอยู่ที่กระดูกทันที
กระดูกต้องทำหน้าที่อย่างหนักในการพยุงน้ำหนักตัวส่วนเกิน
มันจึงเสื่อมและผุเร็วกว่าปรกติ โดยเฉพาะข้อต่าง ๆ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า
ข้อสะโพก ข้อกระดูกคอ ข้อกระดูกสันหลัง ฯลฯ ก็พลอยได้รับวิบากกรรมนี้ด้วย
ทำให้เกิดอาการปวด ข้อบวม นั่งแล้วลุกไม่ขึ้น หนัก ๆ
เข้าอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบ บางครั้งร้ายแรงจนไม่สามารถเดินได้เลย

จิตป่วน
          
ผู้หญิงบางคนไม่อ้วนเลยสักนิด แต่ก็ยังพากันบ่นว่าตัวเองอ้วน
จึงตั้งหน้าตั้งตาลดความอ้วนโดยไม่คำนึงถึงขีดจำกัดทางด้านร่างกาย
สุดท้ายต้องมาสังเวยชีวิตด้วยโรคทางจิตใจที่ชื่อว่า บูลิเมียและอนอเร็กเซีย

ผู้ป่วยบูลิเมีย
จะมีอาการอยากกินอาหารอย่างมาก จนบังคับตัวเองไม่ได้
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดและไม่สบายใจจึงต้องล้วงคอให้อาเจียน
กินยาถ่ายในทันที หรือสวนทวาร ฯลฯ คือทำทุกวิถีทางให้อาหารออกมา
แต่นานวันเข้าจะก่อให้เกิดความผิดปรกติของร่างกายอย่างมาก
ทั้งระบบขับถ่ายเสียศูนย์ ร่างกายขาดน้ำ ขาดสารอาหาร
และมีปัญหาการไหลเวียนของเลือด ซึมเศร้า มีปัญหาครอบครัว การเรียน การทำงาน
โรคนี้แม้จะรักษาให้หายโดยการบำบัดทางจิต แล้วก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

          
อีกโรคหนึ่งคืออนอเร็กเซีย
ผู้ป่วยมักรู้สึกมีปมด้อย
อับอายในรูปร่างของตนเองจึงพยายามไม่กินอะไรเลยเพื่อลดความอ้วน
ทำทุกวิธีเพื่อลดความอ้วน เช่นเดียวกับผู้ป่วยบูลิเมียเพราะมักจะคิดว่าตัว
เองอ้วนอยู่ตลอดเวลา ผลจากการกระทำนี้ส่งผลเสียต่อร่างกายคล้าย ๆ
กับผู้ป่วยบูลิเมีย รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

เตียงหัก !
          
ปรกติคนที่มีรูปร่างอ้วน เวลาทำอะไรก็เคลื่อนไหวตัวไปมาลำบากอยู่แล้ว
ยิ่งถ้าเป็นการมีเพศสัมพันธ์ก็จะทำให้เคลื่อนไหวยากลำบากมากขึ้น
ไม่สามารถทำได้ทุกท่วงท่าที่ต้องการ
นอกจากนี้ผู้ชายที่มีรูปร่างอ้วนอย่างมากจะส่งผลให้อวัยวะเพศสั้นลง
ทำให้ขณะร่วมเพศไม่มีความสุขเท่าที่ควร
และที่สำคัญเสปิร์มไม่สามารถเข้าไปถึงไข่ของผู้หญิงได้ เป็นเหตุให้มีลูกยาก
ผู้หญิงก็เช่นกันถ้าอ้วนมาก
ไขมันสะสมบริเวณปากมดลูกก็จะมากทำให้ชั้นเนื้อหนาขึ้น
อวัยวะเพศชายไม่สามารถเข้าถึงเพื่อส่งเสปิร์มไปปฏิสนธิกับไข่ได้
และอัตราการตกไข่ของผู้หญิงอ้วน
ยังน้อยกว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักในเกณฑ์พอดีอีกด้วย
อีกทั้งต้องเจอปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อม หรือหมดความรู้สึกทางเพศไปเลย
ถ้าไม่เข้าใจกัน ก็อาจถึงกับต้องแยกทางกันหรือเตียงหักรักร้าวนั่นเอง

จะวางไว้
ตรงไหนดีล่ะ ?

          
นอกจากจะต้องคิดหนักเรื่องเสื้อผ้าและการแต่งตัวแล้ว
คนอ้วนมากมายโดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยมั่นใจ
มักไม่รู้จะวางตัวอย่างไรในวงสังคมหรือหมู่เพื่อนฝูง
ปัญหานี้กัดกร่อนและทำร้ายหัวใจพวกเขาอย่างมาก
เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตัวเอง บุคลิกท่าทางต่าง ๆ ขัดเขิน ซึมเศร้า
ชอบคิดว่าไม่มีใครอยากคบด้วยจึงไม่ค่อยสมาคมกับใคร
กลายเป็นการโทษและตำหนิตัวเอง
ในที่สุดเป็นแรงกดนำไปสู่การลดความอ้วนด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง
หรือมีความผิดปรกติทางจิตใจได้

ทายาท อ้วน
          
เด็กจะซึมซับพฤติกรรมการกิน
และการใช้ชีวิตของพ่อแม่ที่เขาเคยชินมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ชอบกินหวาน
กินอาหารไขมันมาก และกินจุ เขาก็จะกินแบบเดียวกัน
พ่อแม่ไม่ส่งเสริมการออกกำลังกาย เขาก็จะไม่ชอบเล่นกีฬา
ยิ่งเด็กที่ชอบดูทีวี เล่นเกมคอมพิวเตอร์ และวีดีโอเกม
กิจกรรมการออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวของเด็กจะลดลง
สุดท้ายก็จะกลายเป็นเด็กอ้วน ซึ่งผลร้ายคือมีโรคต่าง ๆ ตามมารุมเร้า
และมีปัญหาในการเข้ากลุ่มเพื่อน ๆ บางครั้งโดนล้อเลียนเรียกชื่อไปต่าง ๆ
นานา เช่น เจ้าหมูอ้วน ตุ่มเดินได้ ฯลฯ เป็นปมด้อยฝังใจไปจนโต

 
เห็นโทษภัยมากขนาดนี้แล้วหันมาลดความอ้วนกันดีกว่าค่ะ
อย่ารอให้ฝันร้ายกลายเป็นจริงเลย แต่คนที่ไม่อ้วนคือ
น้ำหนักไม่เกินมาตรฐานก็ไม่มีเหตุผลต้องลดแต่ประการใด
เพียงควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์พอดี ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลร้ายต่อร่างกายพอ ๆ
กับความอ้วนได้



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากHealth&Cuisine






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:13:46 น.
Counter : 411 Pageviews.  

เจ็บคอจัง....ทอนซิลอักเสบ



  ต่อมทอนซิล
(tonsils)
เป็นกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลือง
มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ภายในต่อม
มีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด มีหน้าที่หลักคือ
การจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทางทางเดินอาหาร หน้าที่รองลงมาคือ
สร้างภูมิคุ้มกัน ต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่ง
ต่อมที่เราเห็นจะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า พาลาทีนทอนซิล
(palatine tonsil) นอกจากนั้น ต่อมทอนซิลยังพบได้บริเวณโคนลิ้น (lingual
tonsil) และ ช่องหลังโพรงจมูก (adenoid tonsil)

          
ทอนซิลอักเสบ (tonsillitis) เป็นภาวะอักเสบของต่อมทอนซิล ส่วน “คออักเสบ”
(pharyngitis) มัก
ใช้เรียกภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไป
บางครั้งภาวะทั้งสองอาจเกิดพร้อมกันได้
ส่วนใหญ่แล้วโรคต่อมทอนซิลพบมากที่สุดในเด็กอายุก่อน 10 ปี เพราะหลัง 10
ปีไปแล้วต่อมทอนซิลจะทำงานน้อยลง หรือไม่ทำงานเลย แต่ในผู้ใหญ่อายุน้อยกว่า
20 ปี ก็ยังเป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบได้
ส่วนใหญ่มักจะไม่พบทอนซิลอักเสบในคนไข้วัยกลางคนไปแล้ว
ผู้ป่วยที่มีทอนซิลอักเสบเฉียบพลันจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ
กลืนลำบากโดยเฉพาะเวลากลืนอาหารจะเจ็บมาก คนไข้เด็กจะมีอาการน้ำลายไหล
เพราะกลืนลำบาก และน้ำลายจะไหลลงไปไม่ได้ ก็จะไหลออกมา หรือคนไข้เจ็บคอมากๆ
อาจมีอาการอาเจียนหลังจากรับประทานอาหาร
เพราะการรับประทานอาหารจะรบกวนลำคอที่เจ็บอยู่

          
โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย
พบเชื้อรา หรือเชื้อวัณโรคได้น้อย
โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลันในเด็กก่อนวัยเรียน มักจะเกิดจากเชื้อไวรัส
และติดต่อกันได้ง่าย เพราะไม่รู้จักการป้องกัน การติดต่อเกิดจากการหายใจ ไอ
จาม หรือใช้ภาชนะที่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำรวมกัน
ส่วนโรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลันในเด็กโตและผู้ใหญ่
มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

การ
รักษาทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน

          
ปกติแพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ยาลดน้ำมูก
หรือลดไข้ ให้ยาต้านจุลชีพ หรือยาแก้อักเสบ เพื่อกำจัดเชื้อต้นเหตุ
ถ้าการอักเสบนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และควรรับประทานยาดังกล่าวให้นานพอ
เช่น 7-10 วัน ซึ่งในปัจจุบันยาในกลุ่มเพนนิซิลินยังใช้ได้ผลดี
ยกเว้นเชื้อบางกลุ่มที่พบว่าดื้อยาแล้ว แพทย์จึงจำเป็น
ต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น ในรายที่มีอาการมากๆ เช่น เจ็บคอมาก
จนรับประทานอาหารไม่ได้ และมีไข้สูง
แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้น้ำเกลือ
และยาต้านจุลชีพทางหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้อาการทุเลา ดีขึ้นเร็วกว่า
การให้ยากลับไปรับประทานที่บ้าน หากแพทย์พิจารณาว่ามีสาเหตุมาจากไวรัส
ก็จะให้ยาตามอาการเท่านั้น เพราะยาต้านจุลชีพไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา การอักเสบของต่อมทอนซิลอาจจะกระจายกว้างออกไป
จนเกิดเป็นหนองบริเวณรอบต่อมทอนซิล (peritonsillar abscess) แล้ว
อาจลุกลามผ่านช่องคอ เข้าสู่ช่องปอด และหัวใจได้ นอกจากนั้น
เชื้อแบคทีเรียอาจเข้ากระแสเลือด แล้วกระจายไปทั่วร่างกาย
ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างมาก เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส (Streptococcus)
สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของโรคหัวใจและโรคไตได้

การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วยมีส่วนทำให้อาการดีขึ้น
เร็ว

          
ถ้ามีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอร่วมด้วย ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก
หรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ด หรือรสจัด
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว ควรพยายามทำความสะอาดคอบ่อยๆ
โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ด้วยการแปรงฟัน หรือกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปาก,
น้ำ เกลืออุ่นๆ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ
เนื่องจากการที่ไม่รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี
อาจมีเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอ ทำให้ทอนซิลอักเสบมากขึ้นได้

          
น้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรียได้บ้าง (ชั่วคราว)
ในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อบริเวณคอ
น้ำยาบ้วนปากบางชนิดอาจมีส่วนผสมของยาลดการอักเสบหรือยาชา
ช่วยลดอาการเจ็บคอได้ น้ำยาบ้วนปากมีหลายชนิด
ควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือมีน้อยที่สุด
เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก
หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีส่วนผสมของกรด เพราะจะทำให้ผิวฟันกร่อน เคลือบฟันบางลง
และเกิดอาการเสียวฟันตามมาได้ ถ้าใช้แล้วรู้สึกว่ามีอาการเจ็บคอ
หรือระคายคอมากขึ้น ก็ไม่ควรใช้
ก่อนใช้ต้องศึกษาส่วนผสมและวิธีใช้ข้างขวดให้ดีก่อน ให้ใช้ในปริมาณพอเหมาะ
ระยะเวลานานพอควร ถ้าเป็นแบบเข้มข้น
ควรเจือจางเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแสบร้อนระคายคอ
เราสามารถทำน้ำยาบ้วนปากได้เองง่ายๆ
โดยใช้เกลือป่นประมาณครึ่งช้อนชาถึงหนึ่งช้อนชาละลายในน้ำอุ่นค่อนแก้ว
ใช้บ้วนปากได้ดี ประหยัดและปลอดภัย

          
หากเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันบ่อยๆ ต่อมทอนซิลจะโตขึ้น
แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นแบบเรื้อรัง และอาจมีการอักเสบอย่างเฉียบพลันเป็นๆ หายๆ
ได้ การที่ต่อมทอนซิลโตจะทำให้เกิดร่อง หรือซอก
ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปตกค้างอยู่ได้ อาจทำให้เกิดการอักเสบยืดเยื้อออกไป

โดยทั่วไปแพทย์จะพิจารณาตัดต่อมทอนซิลเมื่อ

          
1.เป็นภาวะต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล
หรือเกิดการอักเสบปีละหลายครั้ง หลายปีติดต่อกัน
ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เช่นต้องขาดงาน หรือขาดเรียนบ่อย

          
2.เมื่อต่อมทอนซิลโตมากๆ ทำให้เกิดอุดกั้นทางเดินหายใจ และมีอาการนอนกรน
และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับตามมา

          
3.ผู้ป่วยที่มีต่อมทอนซิลโต
และแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิลโดยตรง
หรือมีมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ แล้วหาตำแหน่งมะเร็งต้นเหตุไม่เจอ
แต่แพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งที่มาจากต่อมทอนซิล

          
การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก เป็นการกำจัดไม่ให้ต่อมทอนซิลติดเชื้อบ่อย
สำหรับผู้ป่วยเด็กทางเดินหายใจก็จะโล่งขึ้นด้วย
ในการตัดต่อมทอนซิลทิ้งไม่มีข้อเสีย
เมื่อตัดทิ้งตามข้อบ่งชี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม ต่อมทอนซิลที่ตัดทิ้ง
มักจะเป็นต่อมที่ไม่ทำงานแล้ว จึงไม่ฆ่าเชื้อโรค
แต่จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคแทน เนื่องจากมีต่อมน้ำเหลืองในช่องคออีกมากมาย
ที่ทำงานจับเชื้อโรคแทนต่อมทอนซิลได้
การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกจึงไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หรือของช่องปากลดลงแต่อย่างใด






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:12:22 น.
Counter : 1246 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.