ถอดรหัสน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ



ปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญ คนดื่มน้ำน้อยเลือดจะข้น
ระบบไหลเวียนของเหลวในร่างกายผิดปกติ ผิวพรรณหยาบกร้าน
รวมทั้งอาจเกิดการเจ็บป่วยต่างๆ แต่หากดื่มน้ำมากเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นผลดี
เพราะไตจะทำงานหนัก ส่งผลให้ปวดศีรษะ อาเจียน กล้ามเนื้อเป็นตะคริว
ความดันสูง น้ำหนักมากขึ้น ร่างกายบวมน้ำ รวมถึงอาจส่งผลถึงระบบสืบพันธุ์
แต่ละวันมนุษย์ควรดื่มน้ำปริมาณเท่าไร และดื่มน้ำอะไรถึงจะปลอดภัย
เราจะมาถอดรหัสกันค่ะ


สูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะกับคุณ


  
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดสูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของ
แต่ละคน ใน แต่ละวันไว้ดังนี้ น้ำหนักตัว (ก.ก.)/2 x 2.2 x30 = … C.C.
(1000 C.C. = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 5 แก้ว)


   สมมติว่ามีน้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 C.C. 1815
C.C. = 1.8 ลิตร 1.8 ลิตร = 9 แก้ว เมื่อทราบปริมาณน้ำดื่มต่อวันแล้ว
จะต้องมีเทคนิคในการดื่มน้ำให้เกิดประโยชน์กับร่างกายมากที่สุดด้วย
เทคนิคง่ายๆ ที่ว่านั้นมีอยู่ 2 ข้อคือ



  1. หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2-5 แก้ว
    เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น
    ไม่ใช่น้ำเย็น
    ที่ต้องดื่มตอนเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด

  2. ดื่มน้ำแต่น้อยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว
    หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาทีจึงค่อยดื่มน้ำตาม
    เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น
    เพราะจะไปรบกวนการย่อย


ทุกวันนี้เราดื่มน้ำอะไรกันอยู่


น้ำประปาดื่มได้
   ปัจจุบัน
น้ำประปาของการประปานครหลวงผ่านการผลิตและควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนตามมาตรฐาน
ขององค์การอนามัยโลก จึงดื่มได้อย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบเดินท่อประปาในบ้าน ท่อเหล็กมีอายุใช้งานไม่เกิน 5
ปี ที่ปลอดภัยที่สุดคือท่อพลาสติก เพราะไม่เป็นสนิม
การต้มน้ำประปาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำและลดความกระด้างไปพร้อมกัน
ทั้งยังลดกลิ่นคลอรีนได้ด้วย ส่วนน้ำประปาที่ผ่านระบบกรอง
ก็ขึ้นอยู่กับตัวกรองที่เลือกใช้ บางบ้านอาจใช้ตัวกรองถ่าน (Activated
carbon) และเรซิน (Resin) ซึ่งก็สะอาดเพียงพอใกล้เคียงน้ำบรรจุขวด
เว้นแต่ไม่ได้ผ่นขั้นตอนการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตหรือโอโซน


น้ำดื่มบรรจุขวด
   The International Bottled Water
Association หรือสมาคมน้ำบรรจุขวดนานาชาติ ได้ให้นิยามของน้ำบรรจุขวดไว้ว่า



  1. น้ำดื่ม (Drinking Water)
    น้ำดื่มในบ้านเรานั้นได้มาจากแหล่งน้ำบาดาลและน้ำประปา
    ผ่านการกรองชั้นถ่านเพื่อดูดกลิ่น
    ตามด้วยการผ่านสารเรซินเพื่อลดความกระด้าง
    ขั้นตอนสุดท้ายคือการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนในน้ำด้วยการผ่านแสง
    อุลตร้าไวโอเลตหรือก๊าซโอโซน ที่เราเรียกกันจนคุ้นเคยว่าน้ำUV
    หรือน้ำโอโซนนั่นเอง

  2. น้ำธรรมชาติ (Natural Water)
    คือ น้ำใต้ดิน รวมทั้งน้ำพุ(Spring) น้ำแร่(Mineral) น้ำบ่อ(Well)
    และน้ำพุที่เจาะขึ้นมาจากแหล่งใต้ดิน (Artesian Well)
    ไม่นับรวมแหล่งน้ำสาธารณะและน้ำประปา
    ในการผลิตน้ำธรรมชาติห้ามใช้กระบวนการอื่นใดนอกจากการกรองเศษฝุ่นละอองและ
    การฆ่าเชื้อโรค
    ด้วยวิธีการผลิตดังกล่าวจึงทำให้น้ำแร่บรรจุขวดมีความใกล้เคียงกับน้ำจาก
    แหล่งกำเนิดมาก
    และการที่น้ำแร่มีคุณสมบัติแตกต่างกันตามแหล่งน้ำธรรมชาตินี้เอง
    จึงต้องมีการกำหนดค่าปริมาณเกลือแร่
    ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและสตรีมีครรภ์ที่มีระบบย่อยอาหารไม่ดี
    เท่าคนทั่วไป เพราะน้ำแร่จะออกฤทธิ์เป็นยาระบาย หากมีปริมาณซัลเฟตมากกว่า
    600 มิลลิกรัมต่อลิตร (ยกเว้นแคลเซียมซัลเฟต)

  3. น้ำเพียวริไฟด์ (Purified Water) เรียกง่ายๆ
    ว่าน้ำกลั่น เป็นน้ำที่ผลิตด้วยการกลั่น
    คือต้มน้ำจนเดือดแล้วระเหยกลายเป็นไอ
    เมื่อไอน้ำกระทบพื้นผิวที่เย็นจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ หรืออีกวิธีคือ
    การใช้กระแสไฟฟ้าแยกเกลือแร่ (Deionization) ที่ปนอยู่ออก
    แล้วน้ำไปผ่านขั้นตอนการกรองด้วยวัสดุที่มีรูขนาดเล็ก 0.0006 ไมครอน (1
    เมตรเท่ากับ 1 ล้านไมครอน) เมื่อแร่ธาตุต่างๆ
    ถูกกรองออกหมดจะได้น้ำที่บริสุทธิ์มากจนแทบไม่เหลือความกระด้างอยู่เลย
    แต่ที่จริงแล้วร่างกายคนเราก็ไม่จำเป็นต้องได้รับน้ำบริสุทธิ์ขนาดนั้น


ขวดแบบไหนเหมาะใส่น้ำดื่ม


   ขวดที่นิยมใช้บรรจุน้ำดื่มในปัจจุบัน มี 4 ชนิด คือ ขวดแก้ว
ใส ขวดพลาสติกใสและแข็ง (Polystyrene) ขวดพลาสติกเพท (Polyethylene
terephthalate, PET)
ซึ่งมีลักษณะใสและกรอบ และสุดท้าย ขวด
พลาสติกขาวขุ่น (High-density polyethylene, HDPE)


ขวด 3
ชนิดแรกใช้บรรจุน้ำดื่มได้ดีกว่าขวดพลาสติกสีขาวขุ่น
เคยมีการทดลองนำน้ำดื่มบรรจุขวดสีขาวขุ่นไปตั้งกลางแดดนานๆ
จะมีกลิ่นของพลาสติกปนมากับน้ำ แม้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
แต่ก็ทำให้คุณภาพของน้ำลดลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งคือ
ขวดขาวขุ่นไม่เหมาะที่จะนำมารีไซเคิล
ต่างจากขวดอีกสามชนิดที่รีไซเคิลง่ายและใช้ได้ทนทานกว่า
ส่วนวันหมดอายุของน้ำดื่มบรรจุขวดนั้นคือประมาณ 2 ปี
นับจากวันผลิตที่ระบุไว้บนฉลาก


   รู้เรื่องน้ำดื่มดีขึ้นแล้ว
คุณคงดื่มน้ำได้อย่างสบายใจและปลอดภัยขึ้นนะคะ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 13:06:05 น.
Counter : 198 Pageviews.  

Hormone Therapy มือปราบมะเร็ง

เป็นที่
รู้กันดีว่า อีสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
คือฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำหน้าที่ควบคุมระบบและเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
ทำให้กระดูกแข็งแรง รักษาสมดุลผิวหนังและเส้นผม
ปรับระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพสมอง
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้การปฏิวัติวงการแพทย์ด้วยการนำฮอร์โมนมาใช้ในการรักษา


   การรักษาแบบฮอร์โมน เธอราพี มีข้อจำกัดอยู่ว่า
ต้องเป็นมะเร็งที่เกิดกับอวัยวะที่สร้างหรือเกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมน
เพศเท่านั้น เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งในเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก
เป็นต้น ที่สำคัญผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งดังกล่าวจะต้องมีตัวรับฮอร์โมน
(Receptors) ถ้าไม่มีก็รักษาไม่ได้
โดยผู้ป่วยจะได้รับการตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งว่ามีตัวรับฮอร์โมนหรือไม่
และถ้ามีแล้วเป็นชนิดไหน เพื่อเลือกฮอร์โมนที่เหมาะสมในการรักษาต่อไป
ส่วนการที่ผู้ป่วยจะมีตัวรับฮอร์โมนชนิดใด หรือไม่มีเลยนั้น
การแพทย์ปัจจุบันยังบ่งชี้ไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร


ฮอร์โมนบำบัดกับมะเร็งเต้านม


   สำหรับผู้ป่วยมะเร็งวัยหมดประจำเดือนบางราย รังไข่ไม่ทำงานแล้ว
แต่ยังมีฮอร์โมนเพศที่ผลิตจากต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) อยู่
ฮอร์โมนเทราพีถือเป็นวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมาก
โดยแพทย์จะใช้วิธียับยั้งการทำงานของอีสโตรเจนหรือเอนไซม์อโรมาเตส
(aromatase) ที่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศหญิง เมื่อมีฮอร์โมนเพศลดน้อยลง
การเติบโตของเซลล์มะเร็งก็จะลดลงตามจนฝ่อตายไปในที่สุด


   ส่วนผู้ป่วยที่ยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์
การทำให้รังไข่ซึ่งเป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนอีสโตรเจนหยุดทำงานจะให้ผลแค่ชั่ว
คราว การรักษาที่ดีที่สุดคือตัดรังไข่ทิ้ง
ซึ่งทำให้หลายคนกังวลว่าจะมีบุตรไม่ได้ ความจริงรังไข่มีสองข้าง
ตัดทิ้งหนึ่งข้างยังเหลืออีกหนึ่งข้างเพื่อผลิตไข่ได้
อย่างไรก็ตามหากคนไข้ไม่ต้องการรักษาด้วยวิธีนี้
การฉายแสงถือเป็นตัวเลือกลำดับต่อมา หรือจะใช้ฮอร์โมนฉีดเข้าใต้สะดือ
เพื่อบล๊อคต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) ไม่ให้สั่งการให้รังไข่ทำงานก็ได้
แต่วิธีนี้คนไข้จะเจ็บตัวจากการฉีดยามากหน่อย โดยเลือกได้ 2 แบบคือ
ฉีดเดือนละครั้ง หรือสามเดือนครั้ง


   มะเร็งเต้านมในผู้ชายก็รักษาเช่นเดียวกับมะเร็งเต้านมในผู้หญิง
แม้จะเกิดได้เพียง 2-5% ก็ตาม
ทั้งนี้เพราะลักษณะทางกายวิภาคเของเต้านมเพศหญิงและเพศชายที่เหมือนกันนั่น
เอง


ฮอร์โมนบำบัดกับมะเร็งต่อมลูกหมาก


   มะเร็งชนิดนี้เกิดขึ้นแต่กับเพศชาย
ที่บริเวณต่อมลูกหมากในถุงอัณฑะซึ่งเป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนเพศ
คนไข้ที่รักษามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยฮอร์โมนจะต้องมีตัวรับฮอร์โมนแอนโดรเจน
(androgen receptors) ในชิ้นเนื้อมะเร็ง
ในรายที่เริ่มเป็นอาจใช้วิธีผ่าตัดหรือฉายแสงร่วมด้วย
หรือจะฉีดฮอร์โมนเข้าไปบล๊อคการสั่งการของต่อมใต้สมองก็ได้
ส่วนรายที่เป็นมากและมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
การผ่าตัดอัณฑะออกเป็นวิธีที่ดีที่สุด
หากไม่อยากตัดจะฉีดฮอร์โมนหรือทำเคมีบำบัดร่วมด้วยก็ได้


   ผู้ป่วยเพศชายที่ตัดอัณฑะออกแล้ว
แต่การผลิตแอนโดรเจนจากต่อมหมวกไตยังคงอยู่ แพทย์อาจให้กินยาฆ่าเชื้อรา
ซึ่งนอกจากจะช่วยฆ่าเชื้อแล้ว
ยังช่วยยับยั้งการผลิตฮอร์โมนที่ต่อมหมวกไตได้ด้วย
ทำให้เซลล์มะเร็งจะยุบตัวลงในที่สุด


เหตุผลที่ควรใช้ฮอร์โมน


   การใช้ฮอร์โมนเพื่อรักษามะเร็ง แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
เพื่อการรักษา และเพื่อการป้องกัน ในกรณีที่มะเร็งกระจายไม่มาก
การเลือกรักษาด้วยฮอร์โมนเทราพีเป็นวิธีแรกที่เหมาะสมที่สุด
แต่หากมะเร็งนั้นอยู่ในระยะลุกลาม ผู้ป่วยควรได้รับการบำบัดด้วยเคมี
(Chemo) ในเบื้องต้นก่อนใช้ฮอร์โมนเทราพี
ทั้งนี้ขึ้นอยู่วัยของผู้หญิงที่เข้ารับการรักษาด้วย เช่น
วัยเจริญพันธุ์มีร่างกายแข็งแรง
บางครั้งการรักษาด้วยเคมีบำบัดอาจเป็นวิธีที่เกิดประโยชน์สูงสุด
ส่วนผู้หญิงวัยทองร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์แล้ว
การใช้เคมีบำบัดอาจรุนแรงเกินรับไหว
ฮอร์โมนเทราพีจึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคนวัยนี้


   อย่างไรก็ตาม การรักษามะเร็งอาจต้องทำควบคู่กันหลายวิธีทั้ง ผ่าตัด
ฉายแสง เคมีบำบัด หรือใช้ฮอร์โมน
แต่จะใช้กี่วิธีและใช้วิธีไหนก่อนหลังนั้นขึ้นอยู่กับอาการ อายุของผู้ป่วย
รวมทั้งการวินิจฉัยของแพทย์
สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มต้นหรือผู้ที่รักษามะเร็งจนหายแล้ว
ควรจะได้รับฮอร์โมนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี
เพื่อป้องกันมะเร็งไม่ให้กลับมาคุกคามได้อีก


ฮอร์โมน เธอราพีและผลข้างเคียง


   เมื่อเทียบกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีผ่าตัด ฉายแสง หรือเคมีบำบัด
ฮอร์โมน เธอราพีจัดว่าส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายน้อยที่สุด
โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้บ้างกับผู้ป่วยบางราย
และเป็นอาการที่ไม่น่าห่วงเท่าไร



  • ผลข้างเคียงในผู้ป่วยเพศหญิง ได้แก่ อาการหนาวๆ ร้อนๆ
    วูบวาบตัว คล้ายนั่งอยู่ข้างกองไฟ อารมณ์แปร ปรวน ไม่คงที่ โกรธง่าย
    โมโหง่าย คลื่นไส้ อาเจียน ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลงเล็กน้อย
    และอาจมีน้ำหนักเพิ่ม ผู้หญิงวัยทอง
    อาจพบว่ามีเลือดออกกะปริบกระปรอยคล้ายประจำเดือน ควรรีบพบแพทย์
    เพราะอาจเป็นสาเหตุการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
    และสตรีที่อยู่ระหว่างการรับฮอร์โมนไม่ควรตั้งครรภ์
    เพราะจะทำให้ฮอร์โมนอีสโตรเจนในร่างกายเพิ่มสูงมาก
    และไปกระตุ้นให้มะเร็งเติบโตได้ง่ายขึ้น

  • ผลข้างเคียงในผู้ป่วยเพศชาย เช่น
    ความต้องการทางเพศลดลง เต้านมขยายใหญ่ขึ้น หนาวๆ ร้อนๆ รู้สึกวูบวาบ
    สูญเสียความสามารถในการทรงตัว กลั้นปัสสาวะไม่ได้
    ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง เป็นต้น


   ปัจจุบัน
การรักษาด้วยฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยมะเร็งมีให้บริการตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่
ทั่วไป โดยมีค่าใช้จ่ายเดือนละไม่เกินหมื่นบาท
ขึ้นอยู่กับประเภทและระยะเวลาการใช้ฮอร์โมน






Free TextEditor








































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 13:04:30 น.
Counter : 310 Pageviews.  

Mini Spine: ทางเลือกใหม่ผ่าตัดกระดูกสันหลัง



ในอดีต หากมีความผิดปกติใดๆ
เกิดขึ้นกับกระดูกสันหลังจนต้องผ่าตัดถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
เพราะการผ่าตัดแต่ละครั้งต้องทำการเปิดมีดเป็นแผลยาวเกือบคืบ (6-8 นิ้ว)
ในแนวตั้งบริเวณกึ่งกลางหลัง
และอาจจะต้องตัดกระดูกสันหลังบางส่วนทิ้งไปเพื่อส่งเครื่องมือผ่าตัดลงไปถึง
บริเวณของหมอนรองกระดูกสันหลัง ระยะเวลาการผ่าตัดก็กินเวลานาน
ผู้ป่วยมีโอกาสเสียเลือดมาก ใช้เวลาพักฟื้นนานหลายสัปดาห์
ที่สำคัญคือรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่จะติดตัวไปตลอด
แถมกระดูกที่ถูกตัดทิ้งยังอาจทำให้โครงสร้างร่างกายเปลี่ยนแปลงไป
และอาจทำให้การผ่าตัดใดๆ ที่จะเกิดในอนาคตทำได้ยากยิ่งขึ้น


เพื่อลบปัญหาเหล่านี้ทิ้ง
ไป การผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังแบบใหม่ ด้วยวิธีการทันสมัย ปลอดภัย
ใช้เวลารวมผ่าตัดและพักฟื้นเพียง 2-3 วัน มีรอยแผลเป็นแค่ 0.8 – 2
เซนติเมตร และไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อโครงสร้างร่างกายผู้ป่วยจึงเกิดขึ้น
ในชื่อที่เรียกกันว่า Mini spine (Minimally invasive spine surgery)
หรือการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยกล้องผ่าตัดขนาดเล็ก ได้แก่
การผ่าตัดผ่านกล้องไมโครสโคป (Micro discectomy) และกล้องเอนโดสโคป
(Endoscopic discectomy)


ผ่ากระดูกสันหลังแบบมินิ ฉับไว ไร้เอฟเฟ็คต์


   ในการรักษาโรคที่เกิดกับกระดูกสันหลังนั้น
คนไข้ทุกคนไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการ
บางรายอาจหายได้ด้วยการให้ยา ในขณะที่บางรายอาจต้องทำกายภาพบำบัด
หากทำทั้งสองวิธีแล้วไม่หาย การผ่าตัดคือทางเลือกสุดท้าย
ส่วนจะใช้การผ่าตัดแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะอาการของผู้ป่วยและวินิจฉัย
ของแพทย์ บางทีอาจใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันได้



  • การผ่าตัดผ่านกล้องไมโครสโคปในบ้านเราเริ่มใช้ผ่าตัดระบบประสาทมากว่า
    30 ปีแล้ว แต่เริ่มใช้ผ่าตัดระบบประสาทไขสันหลังอย่างจริงจังราว 10
    ปีที่ผ่านมา โดยใช้กล้องที่มีกำลังขยายสูงช่วยส่องดูรายละเอียดขณะผ่าตัด
    เนื่องจากตัวกล้องอยู่ภายนอกร่างกาย
    จึงใช้งานได้หลากหลายและมีข้อจำกัดน้อยกว่าการใช้กล้องเอนโดสโคป
    แต่แผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย คือราว 2 เซนติเมตร

  • ส่วนการผ่าตัดผ่านกล้องเอนโดสโคป ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ
    ในต่างประเทศเริ่มใช้ผ่าตัดกระดูกสันหลังมาเกือบ 10 ปีแล้ว
    และในไทยก็ใช้ผ่าตัดสมองกว่า 10 ปีเช่นกัน
    แต่สำหรับการผ่าตัดระบบประสาทไขสันหลัง
    บ้านเราเพิ่งเริ่มอย่างจริงจังเมื่อปีที่ผ่านมา
    การผ่าตัดด้วยกล้องเอนโดสโคปนั้น
    ที่ปลายท่อของกล้องจะมีเลนส์กำลังขยายสูงและส่องแสงได้
    เหมือนนำไฟฉายลงไปส่องจุดที่จะผ่าตัดเพื่อทำหน้าที่เป็นตาของแพทย์
    มีข้อดีคือใช้ผ่าตัดจุดเล็กๆ
    ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทิ้งรอยแผลเล็กมากเพียง 8 มิลลิเมตร ดูแลง่าย
    ไม่ต้องเย็บ แค่ปิดพลาสเตอร์ที่ปากแผลก็เรียบร้อย
    แถมผู้ป่วยยังฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดด้วยกล้องไมโครสโคปอีกด้วย
    ข้อจำกัดของการใช้กล้องเอนโดสโคปคือ
    ใช้ได้เฉพาะจุดผ่าตัดขนาดเล็กและเป็นจุดที่ไม่มีการเสียเลือดมาก
    เพราะเลือดอาจไปบังเลนส์กล้อง หากผ่าตัดต่อจะเกิดอันตรายกับผู้ป่วยได้


หลังผ่าตัด ชีวิตเปลี่ยนไปหรือไม่


   หลังการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยกล้องไมโครสโคปหรือเอนโดสโคปนั้น
ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอาหารและการเดินทาง
เพียงมาพบแพทย์เพื่อตรวจในระยะแรกหลังผ่าตัดเท่านั้น
แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ
ควรปรับเปลี่ยนท่าทางการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันที่อาจส่งผลต่อกระดูก
สันหลัง ฝึกยืน เดิน นั่ง นอน อย่างถูกวิธี และที่สำคัญ
อย่ายกของหนักโดยไม่จำเป็น


   แม้วิทยาการการผ่าตัดรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังจะพัฒนาไปมากมาย
แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ การดูแลกระดูกสันหลังให้แข็งแรง เริ่มต้นง่ายๆ
ที่เคลื่อนไหวถูกท่า กินอาหารถูกหลัก และการออกกำลังกายเบาๆ
อย่างสม่ำเสมอค่ะ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 13:02:56 น.
Counter : 215 Pageviews.  

Aging Society : เมื่อคนชราครองเมือง



สังคมไทยเริ่มเข้าสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุตั้งแต่เมื่อปี 2548
โดยปัจจุบันมีตัวเลขผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งประเทศอยู่ที่เกือบ 11
เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 7 ล้านคน
ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันแล้ว
ประเทศไทยเป็นรองแต่เพียงสิงคโปร์เท่านั้น
ส่วนประเทศที่มีประชากรสูงอายุต่ำสุดคือ ลาว


ตามความคาดหมายของนัก
ประชากรศาสตร์ จะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งในอีก 12-13 ปีข้างหน้า
เมื่อประเทศไทยมีประชากรคนชรามากกว่าประชากรเด็กเป็นครั้งแรก และอีกเพียง
20 ปีประชากรคนชราของเราก็จะเพิ่มจำนวนเป็นถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ
เทียบได้กับสถานการณ์คนชราล้นประเทศอย่างญี่ปุ่นในปัจจุบัน


คนชรากับปัญหาทุพพลภาพทางสังคม


  
มีข้อน่าสังเกตว่าชีวิตคนชราส่วนใหญ่ในสังคมไทยค่อนข้างมีปัญหาทั้งในเรื่อง
สุขภาพพลานามัยและทางด้านเศรษฐกิจ
เพราะขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพและการวางแผนชีวิตที่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชราที่ทำงานนอกระบบประกันสังคมหรือเกษตรกร
ซึ่งจะไม่มีหลักประกันช่วยเหลือยามไม่ได้ทำงานแล้ว
บุคคลเหล่านี้จึงกลายเป็นภาระหนักอึ้งของลูกหลานและสังคม


   หากปัญหานี้ไม่ได้รับการดูแล
วันหนึ่งประเทศไทยอาจประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม
มีผู้สูงอายุจะถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมากเหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม
ใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก


เตรียมตัวแก่อย่างมีความสุข


   ขอยกข้อคิดบางส่วนจาก “ฉันจะเป็นผู้สูงอายุที่มีความสุข” โดย ศ.นพ.
เสนอ อินทรสุขศรี ที่เขียนไว้เพื่อเผยแพร่ในงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ
มาเป็นแนวทางดังนี้


   “เมื่อฉันเข้าสู่วัยสูงอายุ...



  • ฉันจะไม่มัวนั่งคิดว่าตัวเองแก่
    แต่จะดำรงตนให้เป็นประโยชน์ด้วยการให้คำปรึกษาแก่คนหนุ่มสาว

  • ฉันจะไม่คอยแต่รบกวนใครๆ เขาจนเกินไป
    และจะไม่คิดมากให้ลูกหลานระอาใจ

  • เมื่อมีปัญหา ฉันจะไม่อวดดี และจะยอมรับฟังคำแนะนำของผู้อื่น

  • ฉันจะนึกเสมอว่าชีวิตกับงานเป็นของคู่กัน จะไม่มัวนั่งๆนอนๆ
    แต่จะหางานที่สามารถทำได้ตามกำลังเพื่อช่วยให้เกิดสุขทางใจและแบ่งเบาภาระ
    ลูกหลาน

  • ฉันจะคิดเอาไว้เสมอว่า “อายุ”
    ไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้ฉันเลิกเคารพนับถือตนเองและผู้อื่น

  • ฉันจะคิดว่าพวกลูกๆ หลานๆ
    อาจไม่อยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ร่วมภายในบ้านกับฉันได้
    เพราะพวกเขาต้องมีครอบครัวของตัวเอง

  • ฉันจะเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าเอาแต่ใจ

  • ฉันจะเตือนตนเองเสมอว่าอย่าเก็บตัวเงียบๆ
    เพราะการอยู่อย่างเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวทำให้ทุกข์

  • ฉันจะคิดเอาไว้เสมอว่าฉันต้องเข้ากับใครๆ
    ให้ได้ทุกคนและฉันจะไม่จริงจังกับชีวิตมากเกินไป...


พร้อมดูแลและมอบสุขให้ผู้สูงวัย


   การดูแลผู้สูงอายุในบ้านให้อยู่ดีมีความสุข
เป็นหน้าที่ลูกหลานพึงกระทำ แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปผู้คนมีเวลาน้อยลง
หลายครอบครัวจึงต้องหาคนมาช่วยดูแลคุณพ่อคุณแม่
อาจเป็นพยาบาลวิชาชีพที่มีความรู้ด้านการดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
ผู้เชี่ยวชาญจากสถานบริบาล
หรือแม้แต่ติดต่อไปยังสถานพยาบาลของรัฐบางแห่งที่มีบริการดูแลผู้สูงอายุโดย
เฉพาะก็ได้ หลักการง่ายๆ ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน เริ่มจาก



  1. ลูกหลานต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อคนสูงอายุ ไม่คิดว่าท่านเป็นภาระ
    หากแต่เป็นบุคคลที่ควรเคารพรัก

  2. หากลูกหลานมีเวลาดูแล
    แต่ขาดความรู้ความชำนาญในการปฐมพยาบาลหรือมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้าหาผู้
    สูงอายุ ลองติดต่อสอบถามโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้านเพื่อเข้ารับการฝึกอบรมได้

  3. หากลูกหลานไม่มีเวลาดูแลด้วยตัวเอง ควรจ้างพยาบาลหรือผู้เชี่ยวชาญ
    อาจจ้างประจำเป็นรายเดือนเพื่อดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
    หรือจ้างเฉพาะเวลาที่ลูกหลานไปทำงานก็ได้
    แต่จะเลือกแบบไหนนั้นควรดูจากสภาพของผู้สูงอายุเป็นหลัก
    หากท่านยังมีแข็งแรง พอช่วยเหลือตัวเองได้
    การจ้างบุคลากรจากสถานบริบาลมาช่วยเป็นหูเป็นตาก็น่าจะเพียงพอ
    ส่วนผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
    ควรจ้างทีมพยาบาลวิชาชีพมาดูแลจะปลอดภัยและมั่นใจได้มากกว่า

  4. ค่าบริการจะแตกต่างกันไปตามสถานประกอบการและอาการของผู้สูงอายุ
    แต่โดยทั่วไปในรายที่ไม่ได้เจ็บป่วยรุนแรง และยังช่วยเหลือตัวเองได้
    ค่าใช้จ่ายจะอยู่ราวหลักพันต่อเดือน ทั้งนี้ควรหาข้อมูลเปรียบเทียบราคา
    การบริการ รวมทั้งใบอนุญาตเพื่อประกอบการตัดสินใจ


   แม้ภาวะคนชราล้นประเทศเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตอันใกล้
แต่ถ้าทุกครอบครัวมีการรับมือที่ดี
ด้วยการดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าให้มีความสุข สุขภาพจิตดี สุขภาพกายดี
ไม่เพียงช่วยลดปัญหาสังคมลงได้ในระดับหนึ่ง
แต่ผู้ชราเหล่านี้ยังจะเป็นกำลังสำคัญในการดูแลบ้าน ดูแลลูกหลาน
ช่วยลดภาระและความกดดันของคนวัยทำงานได้อีกมากมาย







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:58:47 น.
Counter : 366 Pageviews.  

Functional Drink ดื่มแล้วฉลาด ชะลอแก่ได้จริงหรือ?


สารอาหารทั้ง 5 นี้พบได้มากขึ้นในเครื่องดื่มที่มีขายตามท้องตลาด
ซึ่งผู้ผลิตพากันแข่งขันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบันที่
เน้นกระแสรักสุขภาพ เครื่องดื่มทั่วไปที่คุ้นตาจึงพัฒนามาเป็น Functional
drink หรือเครื่องดื่มทางเลือก และเพื่อให้เข้าใจว่าสารอาหารทั้ง 5
มีประโยชน์อย่างไร มารู้จักความหมาย หน้าที่ และกลไกการทำงาน
รวมทั้งแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสารอาหารเหล่านี้กันดีกว่า


แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) หรือกลูตาไธโอน


   ช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ
และยังทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง
ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ
หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ช่วยของเอนไซม์ที่ทำลายอนุมูลอิสระ
ซึ่งเสริมการทำงานของวิตามินซีและอี
ช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่
จึงเป็นจุดเด่นที่ผู้ผลิตเครื่องดื่มบางชนิดนำมาใช้ชูโรง
ซึ่งก็ได้ผลตอบรับอย่างดีจากคอแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ


   กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง
โดยปกติร่างกาย ผลิตสารนี้ได้เอง นอกจากคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ
เบาหวาน ความดัน รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด
อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการพบว่า
กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบ
ทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน
ฉะนั้นการโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุง
ตับได้นั้น
จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
หรือ อย.


แอลคาร์นิทีน (L-carnitine)


   อีกหนึ่งสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต
ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน
เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ
สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ในเพศชาย
แอลคาร์เนทีนยังมีส่วนเพิ่มการผลิตและควบคุมการเคลื่อนที่ของสเปิร์มด้วย
ข้อดีของแอลคาร์เนทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ
ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย
พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน


   ประโยชน์อื่นๆ ของแอลคาร์เนทีน



  • แอลคาร์เนทีนทำให้เราแก่ช้าลง เพราะเมื่ออวัยวะต่างๆ
    ได้รับพลังงานเพียงพอ เซลล์ของอวัยวะนั้นๆ ก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น

  • ทำให้ค่าไตรกลีเซอไรด์อยู่ในระดับต่ำ
    พร้อมกันนั้นยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ในเส้นเลือด
    และช่วยป้องกันโรคหัวใจ

  • ช่วยให้น้ำหนักลดเมื่อเราลดการรับประทานแป้ง

  • ลดความเสียหายของเซลล์ประสาทจากความเครียด
    ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ในคนอายุน้อย

  • ช่วยในการทำงานของตับและภูมิคุ้มกันของร่างกาย


   สารแอลคาร์เนทีน พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช
ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก อัลฟาฟ่า
และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก
ภาวะขาดแอลคาร์เนทีนอาจเกิดได้กับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ
รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร
เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่อง
ดื่มที่เสริมสารอาหาร


โคเอนไซม์คิวเท็น (Co-enzyme Q10)


   เป็นสารอาหารทำหน้าที่คล้ายวิตามินที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง
ทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์
คิวเทนถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ
และสมอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย
ที่ช่วยให้อวัยวะสำคัญต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และด้วยคุณสมบัติในการดักจับอิเลคตรอนนี่เอง
จึงเชื่อกันว่าคิวเทนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์
จนถูกนำมาทำเสริมอาหารในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเครื่องดื่ม


    ในความเป็นจริง
การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัว
แต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน
ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว
โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้
ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน
จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระแต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน
ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง


    นอกจากร่างกายของเราจะสร้างคิวเทนได้เองแล้ว
ในสัตว์และพืชบางชนิดยังเป็นแหล่งอุดมโคเอนไซม์คิวเทนเช่นกัน อาทิ
ปลาซาร์ดีน แมคเคอเรล แซลมอน อาหารทะเลต่างๆ เครื่องในสัตว์โดยเฉพาะหัวใจ
ตับ และไต เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง
และบรอคโคลี่ ส่วนแหล่งอุดมสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติคือ ถั่วงอก
โดยเฉพาะถั่วงอกหัวโตที่งอกจากเมล็ดถั่วเหลือง
จะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าถั่วชนิดอื่น
และไม่ถูกทำลายเมื่อโดนความร้อน จึงรับประทานได้ทั้งแบบสดและสุก


คอลลาเจน (Callagen)


   เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง (scleroprotien) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ
เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน อยู่ในรูปของไฟเบอร์ที่ประกอบด้วยสายไขมัน (peptide
chain) 3 สาย ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปความยืดหยุ่นที่เคยมีก็เสื่อมลง
คงไว้แต่ความเหนียวที่เพิ่มมากขึ้น แต่อุ้มน้ำได้น้อยลง
ผิวจึงแห้งเหี่ยวยับย่น และด้วยคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวหนังนี่เอง
เครื่องดื่มเสริมคอลลาเจนจึงถือกำเนิดขึ้นมา
พร้อมคำบรรยายสรรพคุณที่ว่าช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม เต่งตึง แลดูอ่อนกว่าวัย


  
แท้จริงแล้วคอลลาเจนในเครื่องดื่มนั้นไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดย
ตรง ต้องผ่านกระบวนการย่อยเป็นโปรตีนก่อนนำไปใช้ประโยชน์
ฉะนั้นสิ่งที่จะได้รับจากเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนจึงเป็นโปรตีนไม่ใช่คอลลา
เจนอย่างที่เข้าใจ


   หากอยากเพิ่มคอลลาเจนแก่ผิวแนะนำให้กินอาหารจำพวกหนังสัตว์ เช่น
ขาหมู หมูพะโล้ หมูหนาว
อาหารเหล่านี้หากนำไปแช่แข็งให้แยกตัวจะเห็นส่วนที่เป็นหนัง ไขมัน
และชั้นวุ้นใสๆ ชัดเจน และชั้นวุ้นใสนี่เองที่เรียกว่าคอลลาเจน
นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีซึ่งเป็นสารตั้งต้นการ
สังเคราะห์คอลลาเจน เช่น ฝรั่ง ส้ม เบอร์รี่และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย
เพียงเท่านี้ผิวพรรณร่างกายก็ดูสดใสสมวัยแล้ว


ซอย เปปไทด์ (Soy Peptide)


   คือ โมเลกุลขนาดเล็กที่สุดของโปรตีนจากถั่วเหลือง
ที่พร้อมดูดซึมเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่
มีผลการทดลองเรื่องซอย
เปปไทด์กับการทำงานของสมองโดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ฟุกุชิ เมืองเซนได
ประเทศญี่ปุ่นพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับซอย เปปไทด์ 4,000 มิลลิกรัม
จะมีปริมาณออกซิเจนในสมองส่วนหน้าเพิ่มขึ้นและฮีโมโกลบินในเลือดเข้มข้นขึ้น
ด้วย อาจส่งผลดีต่อสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้หรือการจดจำ


   ด้วยคุณสมบัตินี้
จึงเป็นที่มาของเครื่องดื่มสกัดจากถั่วเหลืองเข้มข้นเพื่อบำรุงสมองและเพิ่ม
ความฉลาด หากดื่มเพื่อบำรุงสมองนั้นดูจะมีความเป็นไปได้
แต่ดื่มแล้วจะฉลาดจริงหรือไม่ ยังไม่มีคำยืนยันแน่นอน
เพราะสมองมนุษย์จะพัฒนาได้ดีที่สุดขณะอยู่ในครรภ์มารดา
และเสริมความฉลาดเพิ่มได้ในช่วงขวบปีแรกๆ ฉะนั้น การดื่มซอย เปปไทด์
จึงไม่น่าจะช่วยให้สมองฉลาดขึ้นได้


   ข้อพึงระวังคือ เครื่องดื่มที่ผสมซอย เปปไทด์มีความเข้มข้น
อาจทำให้ผู้สูงอายุท้องอืด ลองดื่มน้ำนมถั่วเหลืองแทน ได้ประโยชน์พอกัน
แต่ความเข้มข้นน้อยกว่า ร่างกายจึงไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและดูดซึมมาก
ที่สำคัญน้ำนมถั่วเหลืองนอกจากหาซื้อง่าย ราคาไม่แพงแล้ว
ยังจัดเป็นสุดยอดเครื่องดื่มธัญพืชปราบมะเร็ง
เพราะถั่วเหลืองมีไฟโตเอสโตรเจน ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดมะเร็ง
ทั้งมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านมในทั้งหญิงและชาย






Free TextEditor
























































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:56:39 น.
Counter : 198 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.