โรคเอสแอลอี หากดูแลอย่างดีโรคจะไม่กำเริบ



โรคนี้แปลกตรง
ที่ยังไม่มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทย เลยไม่รู้จะบอกชื่อเป็นภาษาไทยได้อย่างไร
แต่หลายคนก็เคยได้ยินโรคนี้กันมาบ้างแล้ว เพราะราชินีนักร้องลูกทุ่งคนดัง
พุ่มพวง ดวงจันทร์ ก็เสียชีวิตด้วยโรคนี้

          
โรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus
erythematosus หรือเรียกง่าย ๆ ว่าโรคลูปัส
เป็นโรคที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายระบบหรือหลายอวัยวะในร่างกาย
ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
โดยแทนที่จะทำหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือโรคจากภายนอกร่างกาย
กลับมาต่อต้าน หรือทำลายเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ก่อให้เกิดการอักเสบได้เกือบทุกอวัยวะของร่างกาย

          
อวัยวะที่เกิดการ อักเสบได้บ่อยได้แก่ ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท
เป็นต้น การอักเสบนี้จะเป็นต่อเนื่องจนเป็น โรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง





อะไรเป็นสาเหตุ
          
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้
แต่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าปัจจัยต่าง ๆ
เหล่านี้มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดโรคได้ คือกรรมพันธุ์ฮอร์โมนเพศหญิง
ภาวะติดเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสบางอย่าง

          
นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยเสริมที่อาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคแล้ว
หรือผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ มีโอกาสกำเริบขึ้น เช่น แสงแดด
หรือแสงอัลตราไวโอเลต การตั้งครรภ์ ยาหรือสารเคมีบางชนิด
การออกกำลังกายหรือทำงานหนัก ภาวะเครียดทางจิตใจ

ใครมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้บ้าง
          
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 20-45 ปี
ที่พบมากสุดอยู่ในช่วงอายุประมาณ 30 ปี แต่ก็พบได้ในทุกช่วงอายุ
ยังพบว่าผู้หญิงเป็นโรคเอสแอลอีมากกว่าผู้ชายถึง ๙ เท่า

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอสแอลอีจะมีอาการอย่างไร
          
โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่าง
กาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ เช่น มีปวดบวมตามข้อ
มีผื่นขึ้นที่หน้า มีขาบวม หน้าบวมจากไตอักเสบ หรือมีอาการทางระบบประสาท
เป็นต้น บางรายมีอาการค่อยเป็นค่อยไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง 





อาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่าง ๆ ที่สำคัญคือ
อาการทาง
ผิวหนัง

ผู้ป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และโหนกแก้ม 2 ข้าง
เป็นรูปคล้ายผีเสื้อ หรือมีผื่นแดงคันบริเวณนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด
หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใบหู
มีแผลในปาก โดยเฉพาะบริเวณเพดานปาก นอกจากนี้ยังมีผมร่วงมากขึ้น

อาการทาง
ข้อและกล้ามเนื้อ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่
จะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า
บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย

อาการทางไต ผู้ป่วยมักมีอาการบวมบริเวณเท้า 2 ข้าง ขา หน้า
หนังตา เนื่องจากมีอาการอักเสบที่ไต
รายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง
ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในระยะเวลาอันสั้น

อาการทางระบบเลือด ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง
มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย
มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้

อาการทางระบบประสาท ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการชัก
หรือมีอาการพูดเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง หรือคล้ายคนโรคจิตจำญาติพี่น้องไม่ได้
เนื่องจากมีการอักเสบของสมองหรือหลอดเลือดในสมอง

          
นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการทั่วไป เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศรีษะ จิตใจหดหู่ ร่วมได้

          
ให้พึงสังเกตว่าอาการของโรคมักจะแสดงความรุนแรงมากหรือน้อยภายในระยะเวลา
1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีอาการ หลังจากนั้นมักจะเบาลงเรื่อย ๆ
แต่อาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้เป็นครั้งๆ

เมื่อไรควรสงสัยว่าเป็นโรคนี้
          
1. มีไข้ต่ำๆ ไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานาน
           2. มีอาการปวดตามข้อ
          
3. มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแสงแดด
          
4. มีผมร่วงมากผิดปกติ
           5. มีอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา

การรักษาโรคนี้ทำอย่างไร
          
การรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคของผู้ป่วย
การปฎิบัติตัวอย่างถูกต้องของผู้ป่วย
และการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้ทำการรักษา

การเลือกวิธีการรักษา
โรคนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย ถ้าผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง
การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน
หรือยาลดการอักเสบก็ควบคุมอาการได้

สำหรับผู้ป่วยที่มี
อาการรุนแรง

ขึ้นอาจต้องใช้ยาประเภทสตีรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันในขนาดต่างๆตามความเหมาะ
สม ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับความรุนแรงและระบบอวัยวะที่มีการอักเสบ


ผู้
ป่วยโรคนี้ควรจะปฎิบัติตัวอย่างไร

การปฎิบัติตัวที่ถูก
ต้องเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคเอสแอลอีให้ได้ผล
การปฎิบัติตัวที่ถูกต้องทำได้ดังนี้





           1.
พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดตั้งแต่ช่วง 10.00 - 16.00 น. ถ้าจำเป็นให้กางร่ม
ใส่หมวก สวมเสื้อแขนยาว ใช้ยาทากันแดด
           2. พักผ่อนให้เพียงพอ
          
3. หลีกเลี่ยงความตึงเครียด พยายามฝึกจิตใจให้ปล่อยวาง
ทำใจยอมรับกับโรคและปัญหาอื่น ๆ
           4. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
          
5. ไม่กินอาหารที่ไม่สุกหรือไม่สะอาด
           6.
กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
           7.
ไม่กินยาเองโดยไม่จำเป็นเพราะยาบางตัวอาจทำให้โรคกำเริบได้
          
8. ป้องกันการตั้งครรภ์ขณะโรคยังไม่สงบ
และหลีกเลี่ยงการคุมกำเนิดโดยวิธีใส่ห่วง
เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าคนปกติ
           9.
เมื่อโรคอยู่ในระยะสงบสามารถตั้งครรภ์ได้
โดยได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
           10.
หลีกเลี่ยงจากสถานที่แออัดและไม่เข้าใกล้ผู้ที่กำลังเป็นโรคติดเชื้อ เช่น
ไข้หวัด เพราะมีโอกาสติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย
           11.
ถ้ามีลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น
มีฝีตุ่มหนองตามผิวหนัง ไอเสมหะเหลืองเขียว ปัสสาวะแสบขัด
ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
           12.
หากกินยากดภูมิคุ้มกันอยู่ให้หยุดยานี้ชั่วคราวในระหว่างที่มีการติดเชื้อ
          
13. มาตรวจตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
           14.
ถ้ามีอาการผิดปกติที่เป็นอาการของโรคกำเริบให้มาพบแพทย์ก่อนนัด เช่น
มีอาการไข้เป็น ๆ หาย ๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด บวม ผมร่วง ผื่นใหม่ ๆ ปวดข้อ
เป็นต้น
           15. ถ้ามีการทำฟัน หรือถอนฟัน
ให้กินยาปฎิชีวนะก่อนและหลังทำฟัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
โดยต้องปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอ

ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีจะเสียชีวิตก็ต่อ
เมื่อ
           1. จากตัวโรคเอง
ผู้ป่วยมีอาการอักเสบรุนแรงของอวัยวะสำคัญ เช่น ไต สมอง หลอดเลือด
โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที
           2.
จากภาวะติดเชื้อ
เนื่องจากโรคนี้ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติอยู่แล้ว
ยาที่ผู้ป่วยได้รับทั้งยาสตีรอยด์
และยากดภูมิคุ้มกันยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป
           3.
จากยาหรือวิธีการรักษาที่ไม่ถูกต้อง หรือขนาดยาที่ไม่เหมาะสม

          
อ่านมาตั้งแต่ต้นจะเห็นว่า
โรคเอสแอลอีเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่มีอาการและอาการแสดงได้หลากหลายมี
ความรุนแรงได้ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก
การรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการจะทำให้ผู้ป่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรค
หรือเกิดความพิการน้อยลง

  
การปฎิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างถูกต้องเป็น
ส่วนสำคัญที่จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ถึงแม้โรคนี้จะไม่หายขาด
แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบได้
ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้เหมือนปกติทั่วไป







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:27:15 น.
Counter : 1130 Pageviews.  

ระวังอาหารทำร้ายดวงตา





         
ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของเราและทุกคนย่อมอยากให้ดวงตาคง
การ มองเห็นตลอดชีวิตแต่ความเป็นจริงมีหลายปัจจัย
เช่นแสงแดดโดยเฉพาะในบ้านเราเป็นเขตร้อนมีแสงแดดแรง ฝุ่น ควัน
มลภาวะและสารพิษต่างๆ
หรืออุบัติเหตุที่อาจเป็นภัยให้ดวงตาเรามีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้

         
ปัจจัยที่เราสามารถช่วยถนอมดวงตาให้ยืนยาวนั้นก็คือการหลีกเลี่ยงการแหงนมอง
แสงแดดโดยตรง ซึ่งป้องกันโดยการสวมใส่แว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UV
และ
ควรงดสูบบุหรี่เพราะสารนิโคตินในบุหรี่เป็นสารที่ทำให้เซลล์เสื่อมก่อนวัน
อันควรนอกจากนี้
ควรเลือกทานอาหารที่ไม่ทำร้ายดวงตาด้วยเพราะอาหารที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน
บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อดวงตาได้เช่นกัน

นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮิโรซากิ ประเทศญี่ปุ่น
ได้ทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง พบว่า
การให้อาหารที่มีปริมาณสารโซเดียมกลูตาเมทซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับผงชูรส
ส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงเนื่องจากชั้นเรตินาในดวงตาถูกทำลาย
และกิจกรรมการส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าในเซลล์ประสาทลดลง
ซึ่งอาจส่งผลเช่นเดียวกันนี้กับมนุษย์ นอกจากนี้หัวหน้าคณะวิจัยสังเกตว่า
สาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยโรคต้อหินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
อาจมาจากการนิยมรับประทานอาหารที่ปรุงรสด้วยสารโมโนโซเดียมกลูตาเมทนั่นเอง

เพราะหากคุณปรุงเพื่อเพิ่มความอร่อยแต่อาจจะได้ไม่คุ้มเสียเพราะโทษมหันต์ใน
ผงชูรสถ้าทานในปริมาณมากเกินไป กำหนดไว้ไม่ควรบริโภคเกิน 2 ช้อนชาต่อวัน
หากบริโภคมากเกินไปผงชูรสจะไปทำลายระบบประสาทตาทำให้สายตาเสียซ้ำยังก่อให้
เกิดมะเร็งได้โดยเฉพาะอาหารที่หมักผงชูรสแล้วนำไปปิ้ง ย่าง

         

ส่วนปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำลายเลนส์ตาและทำให้จอประสาทตาเสื่อม
นั้น เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคผักและผลไม้อย่างหลากหลายเป็นประจำทุกวัน
นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมได้แน่นอนกว่าการเสริม
วิตามินแล้วยังช่วยในการรักษาสุขภาพกายด้านอื่นๆ
ป้องกันโรคเรื้อรังไม่ติดต่อมากมาย

  นอกจากนี้
ผงชูรสอาจทำให้คุณเคยรู้สึกตาแห้ง ตาพร่ามัวหรือฝืดเคืองตา
ต้องกะพริบตาถี่ๆ คล้ายมีเศษผงเข้าตา จนทำให้มองภาพไม่ชัด หรือบางครั้ง
มีขี้ตาออกมาเป็นเมือกเหนียวนั่นแสดงว่าคุณกำลังมีอาการ "ตาแห้ง"
เข้าให้แล้ว
อย่างไรก็ตามแม้คุณจะปฏิเสธไม่แตะผงชูรสเลยก็ใช่ว่าจะปลอดภัยหายห่วงจากโรค
ตาทั้งหลายได้ ดังนั้น หากพลอาการผิดปกติควรรีบไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน
เพื่อจะได้แก้สาเหตุให้ตรงจุด และรักษาอาการได้ทันท่วงที





         
ก่อนสั่งอาหารมือหน้าอย่าลืมระบุอาหารที่ไม่ใส่ผงชูรสหรืออาจทำน้ำซุปจากพืช
ผัก ธรรมชาติที่แทนผงชูรสอย่างน้ำซุปแครอท ฟักเขียว
หัวไชเท้าไว้ปรุงอาหารแทน ดีทั้งสุขภาพและได้รสชาติกลมกล่อมไม่แพ้กัน







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:25:42 น.
Counter : 417 Pageviews.  

รู้หรือไม่?...อะไรคือสารก่อภูมิแพ้ในตัวคุณ



ไรฝุ่น-สัตว์เลี้ยง-แมลง
สาบ ล้วนมีผล


 
สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มีหลายชนิด
โดยแต่ละคนมีปฏิกิริยาไวต่อสารแตกต่างกัน มาดูกันว่า
สารก่อภูมิแพ้มีอะไรบ้าง ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในและนอกบ้าน...

          
สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มีมากมายหลายชนิด
ซึ่งแต่ละคนก็จะมีปฏิกิริยาไวเกินต่อสารแต่ละชนิดแตกต่างกัน
และยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ตัวว่าในร่างกายตนเองมีปฏิกิริยาไวเกินต่อสารก่อ
ภูมิแพ้ชนิดใด บางรายมีสารก่อภูมิแพ้ในตัวแต่ไม่เคยรู้มาก่อน
อาจเพราะยังไม่เคยได้สัมผัสกับสารนั้นๆ หรืออาจมีอาการแต่ไม่เด่นชัด
บางรายที่มีอาการรุนแรงก็เกือบทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน





ภูมิ
แพ้เกิดได้อย่างไร?


          
ปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้มาจากกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม
โดยผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้
ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย สารภูมิคุ้มกันชนิดอี หรือ
Immunoglobulin E; IgE ที่
ถูกสร้างขึ้นจะเข้าทำปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกาย
เป็นผลให้เซลล์บางชนิดมีการแตกตัวและหลั่งสารเคมีออกมาทำให้เกิดอาการต่าง ๆ
ของโรคตามมา

สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ แบ่งได้เป็น 2
ประเภท คือ สารก่อภูมิแพ้ที่พบในบ้าน
เช่น ไรฝุ่น
สปอร์ของเชื้อรา ซากแมลงสาบ สัตว์เลี้ยงในบ้าน
และสารก่อภูมิแพ้ที่พบนอกบ้าน ได้แก่ ละอองเกสรหญ้า เชื้อรา วัชพืช ต้นไม้
เป็นต้น โดยผู้ป่วยที่มีปฏิกิริยาการแพ้หรือภูมิไวเกิน
เมื่อได้รับสารเหล่านี้เข้าไปในปริมาณที่มากพอ
จะกระตุ้นทำให้อาการของโรคภูมิแพ้กำเริบได้ เช่น น้ำมูกไหล ไอ จาม คันตา
คันจมูก เป็นต้น ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดในการรักษาโรคนี้ก็คือ
การรู้จักหลีกเลี่ยงและกำจัดสิ่งที่ตนเองแพ้



ต่อไปนี้
เป็นตัวอย่างของสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย



แพ้ไรฝุ่น
           ตัวไรฝุ่น คือ
สัตว์จำพวกแมลงที่มีขนาดเล็กมากประมาณ 10-30 ไมครอนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
มี 8 ขาลักษณะคล้ายกับแมงมุม เห็บ หมัด ชอบอยู่ในที่อุ่นชื้น
โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องนอน เช่น หมอนหนุน ที่นอน พรม
เฟอร์นิเจอร์และตุ๊กตาของเล่นที่ทำจากผ้า ซึ่งสารก่อภูมิแพ้สำคัญก็คือ
โปรตีนจากตัวไรฝุ่นเองและมูลของไรฝุ่น   

วิธีการรับมือ
          
1. คลุมที่นอน หมอน
ด้วยผ้าที่มีช่องระหว่างเส้นใยเล็กมากจนตัวไรฝุ่นและมูลของมันไม่สามารถผ่าน
เข้าไปได้
           2.ซักผ้าปูที่นอนและผ้าห่มทุกๆ 1-2
สัปดาห์ในน้ำร้อนที่อุณหภูมิมากกว่า 55 องศาเซลเซียสเป็นเวลาอย่างน้อย 30
นาที
           3.เช็ดทำความสะอาดบานเกล็ด ม่าน เครื่องเรือน
และถูพื้นด้วยผ้าเปียกทุกๆ สัปดาห์เพื่อขจัดฝุ่นละออง
          
4.ควรนำของเล่น สมุดหนังสือ พรมและตุ๊กตา ออกไปไว้นอกห้องนอน
หรือหาตู้เก็บอย่างมิดชิด
           5.การใช้สารกำจัดไรฝุ่นจำพวก
Tannic acid หรือ Acaricide พบว่าได้ผลดีในห้องทดลองปฏิบัติการ
แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
          
6. สำหรับเครื่องกรองอากาศหรือฟอกอากาศ
อาจมีผลช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ไรฝุ่นได้บ้าง
แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถช่วยให้อาการของผู้
ป่วยโรคภูมิแพ้ทุเลาลง





แพ้ซากของแมลงสาบ

วิธีการ
รับมือ

           การดูแลรักษาบ้านเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ
เพื่อมิให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงสาบ
ภาชนะเก็บเศษอาหารควรมีฝาปิดให้มิดชิด
ควรกำจัดขยะและเศษอาหารภายในบ้านทุกวัน อาจพิจารณาใช้ยาฆ่าแมลง
หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาฉีดยาขจัดแมลงในบ้านเป็นระยะ

แพ้
สัตว์เลี้ยง

          
สารก่อภูมิแพ้จากแมวพบได้จากรังแค ขน น้ำลาย ซีรั่ม และปัสสาวะ
ส่วนสารก่อภูมิแพ้จากสุนัขพบได้จากรังแค ขน และน้ำลาย
ซึ่งอนุภาคของสารก่อภูมิแพ้ชนิดนี้มีขนาดเล็ก ล่องลอยในอากาศ
มักมีการเคลื่อนที่ไปอยู่ในบริเวณต่างๆ ทั้งภายในบ้าน โรงเรียน
หรือสถานที่ทำงาน และยังสามารถคงอยู่ได้นานถึง 6
เดือนแม้ว่าจะมีการนำสัตว์เลี้ยงออกไปแล้ว

วิธีการรับมือ
          
วิธีที่ดีที่สุด คืองดเลี้ยงสัตว์เหล่านี้
หรืออย่างน้อยควรมีการแยกออกไปจากห้องนอน หรือบริเวณที่พักผ่อนเป็นประจำ
ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ป่วยไม่ควรเล่นอย่างคลุกคลีใกล้ชิด
และควรอาบน้ำให้แก่สัตว์เลี้ยงเป็นประจำทุกสัปดาห์
ส่วนการติดตั้งเครื่องกรองอากาศประเภทที่มีประสิทธิภาพการกรองสูง
มีประโยชน์ในแง่ของการลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

แพ้
สปอร์ของเชื้อรา

          
เชื้อราในธรรมชาติสามารถพบได้ทั้งในและนอกบ้าน มักเกิดตามที่อับชื้น เช่น
ห้องน้ำ ห้องครัว หรือบริเวณที่มีใบไม้แห้งร่วงทับถมกัน

วิธี
การรับมือ

           1.
หลีกเลี่ยงการปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้ในตัวบ้าน

           2.
หมั่นดูแลและกำจัดใบไม้ที่ร่วงทับถมอยู่บนพื้นหรือเศษหญ้าที่ชื้นแฉะ

          
3. ทำความสะอาดห้องน้ำบ่อยๆ โดยเฉพาะกระเบื้องปูพื้นและผนัง ม่านพลาสติก
ใต้อ่างล้างมือ โถส้วม และตามซอกมุมซึ่งมักพบมีราดำเกิดขึ้น

          
4.ทำความสะอาดห้องครัว ตู้เก็บอาหาร ตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ
มิให้เกิดแหล่งน้ำท่วมขัง

           5.เปิดห้องให้มีอากาศถ่ายเท
ลดความอับชื้นและแสงแดดส่องถึง





แพ้
ละอองเกสรหญ้าและวัชพืช

           ละอองเกสรหญ้า
มักมีขนาดเล็กและเบาสามารถปลิวตามลมและแพร่กระจายไปได้ไกล
แม้ว่าจะไม่มีพืชชนิดนั้นในบริเวณบ้าน จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

วิธี
การรับมือ

           ถ้าในบ้านมีสนามหญ้า
ควรทำการตัดหญ้าและวัชพืชในสนามบ่อยๆ ในฤดูที่มีการกระจายตัวของเกสรมาก
เช่น ช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี
การปิดประตูหน้าต่างเพื่อป้องกันละอองเกสรจากภายนอก
อาจช่วยลดอัตราการสัมผัสละอองเกสรในประเทศไทยได้
หรืออาจติดตั้งเครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพการกรองสูง


นอกจากวิธีหลีกเลี่ยงในสิ่งที่แพ้แล้ว การออกกำลังกาย
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนอย่างเต็มที่
หลีกเลี่ยงสารก่อความระคายเคือง
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีและยังสามารถควบคุมอาการของโรคภูมิแพ้ได้อย่างดีอีก
ด้วย









Free TextEditor































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:23:06 น.
Counter : 439 Pageviews.  

“ไส้ติ่ง” มีไว้ทำอะไร





ไส้ติ่ง
คือส่วนของลำไส้ใหญ่ที่ยื่นออกมาเป็นติ่งอยู่ตรงบริเวณด้านขวาล่าง
มีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ยาวตั้งแต่ 2-20 เซนติเมตร มีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่
แต่เดิมนั้นเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าไส้ติ่งทำหน้าที่อะไร มีประโยชน์หรือไม่
หลายคนคิดว่าไส้ติ่งเป็นส่วนเกินของร่างกาย
เมื่อมีเหตุให้ต้องผ่าตัดช่องท้อง จึงผ่าไส้ติ่งทิ้งไปด้วย
เพราะเกรงว่าไส้ติ่งจะสร้างปัญหาหากกลายเป็นไส้ติ่งอักเสบขึ้นมา
แต่มีงานวิจัยที่ค้นพบว่าไส้ติ่งนั้นมีประโยชน์ค่ะ




ไส้ติ่ง
มีไว้ทำอะไร

          
นักวิทยาศาสตร์อเมริกันจากมหาวิทยาลัย Duke
ค้นพบว่าไส้ติ่งมีหน้าที่สร้างและปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ในช่องท้องของคนเรา
จุลินทรีย์ที่ว่านี้ช่วยในระบบการย่อยอาหาร
นอกจากนี้ไส้ติ่งยังทำหน้าที่กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้กลับมาทำงานอย่างมี
ประสิทธิภาพ ในกรณีที่ถูกเชื้อโรคอหิวาต์หรือเชื้อโรคบิดเล่นงาน

          
ศาสตราจารย์ Bill Parker แห่งมหาวิทยาลัย Duke อธิบายว่า
ไส้ติ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนที่หลบภัยและโรงงานผลิตแบคทีเรียที่มีประโยชน์
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของไส้ติ่งจะลดน้อยลงมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว
เนื่องจากมีโอกาสเกิดโรคอหิวาต์หรือโรคบิดน้อยมาก
แต่สำหรับในประเทศด้อยพัฒนา
ไส้ติ่งยังคงมีประโยชน์กับประชากรในประเทศเหล่านั้นอยู่
รายงานบอกด้วยว่าในประเทศด้อยพัฒนานั้นมีอัตราการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบน้อย
มากเมื่อเทียบกับในสหรัฐ
          
ทฤษฎีเรื่องประโยชน์ของไส้ติ่งนี้บันทึกไว้ในเว็บไซต์ของนิตยสาร Scientific
นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยครั้งนี้หลายคนแสดงความเห็นว่า
ทฤษฎีเกี่ยวกับไส้ติ่งนี้มีความเป็นไปได้
และเป็นงานวิจัยที่อธิบายหน้าที่ของไส้ติ่งได้อย่างมีเหตุมีผลมากที่สุด



           อย่างไรก็ตาม
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าแม้ไส้ติ่งจะมีประโยชน์
แต่เมื่อติดเชื้อจนมีอาการไส้ติ่งอักเสบ ก็จำเป็นต้องผ่าตัดออก
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้
ในแต่ละปีมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 300-400 คน

รู้จักหน้าที่ของ
ไส้ติ่งกันแล้ว มารู้จักโรคไส้ติ่งอักเสบกันบ้างค่ะ
           ไส้ติ่งอักเสบ
เป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลันที่พบมากที่สุด มักพบในวัยหนุ่มสาวอายุไม่เกิน
30 ปี สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง


สาเหตุ
ของไส้ติ่งอักเสบ

          
เกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง
แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเม็ดฝรั่งตามความเชื่อแต่โบราณ
ส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากเศษอุจจาระที่แข็งตัว มีบ้างที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอม
พยาธิ หรือก้อนเนื้องอก ทำให้ไส้ติ่งเกิดการอุดตัน และติดเชื้ออักเสบขึ้น

อาการ
ของไส้ติ่งอักเสบ

           โดยทั่วไปจะมีอาการปวดท้อง
บอกตำแหน่งแน่นอนไม่ได้ อาจปวดรอบสะดือก่อน อาจปวดเป็นพักๆ
หรือตลอดเวลาก็ได้ แต่โดยทั่วไปมักปวดตลอดเวลา
หลังจากนั้นอาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ท้องน้อยด้านขวา และปวดตลอดเวลาเช่นกัน
อาจมีไข้ต่ำๆ มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม
ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการไม่เหมือนดังที่กล่าวมา
ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่ง เช่น
อาจปวดท้องด้านขวาบนหรือตรงกลางก็ได้ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้น

          
นอกจากนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง
บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หากยังไม่ได้รับการรักษา
อาการอาจเพิ่มมากขึ้น ไข้อาจสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส
อาจมีอาการปวดมากทั้งด้านซ้ายและขวา กดเจ็บบริเวณที่ปวด
และปวดมากเวลาเคลื่อนไหวจนต้องนอนนิ่งๆ
ซึ่งนั่นหมายถึงไส้ติ่งเริ่มติดเชื้อรุนแรง เน่า และแตก หรือกลายเป็นฝี
โดยทั่วไประยะเวลาตั้งแต่เริ่มปวดจนไส้ติ่งแตก มักไม่เกิน 3 วัน

การ
รักษาไส้ติ่งอักเสบ

           โรคไส้ติ่งอักเสบ
หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น
ไส้ติ่งกลายเป็นฝีในท้องต้องผ่าตัดออก
หรือไส้ติ่งแตกมีหนองออกมาภายในช่องท้อง ทำให้เสียชีวิตได้
          
การรักษาไส้ติ่งอักเสบไม่ว่าไส้ติ่งจะแตกหรือไม่ทำได้โดยการผ่าตัด
ในรายที่ไส้ติ่งแตก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

          
อาการปวดท้องในระยะแรกไม่ว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือโรคอื่นๆ ก็ตาม
จะแยกโรคได้ยาก ต้องใช้การสังเกตอาการ ดังนั้น
ในกรณีที่เริ่มปวดท้องโดยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด
ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน
เพราะการกินยาแก้ปวดจะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก
เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด โดยเฉพาะหากปวดท้องมากติดต่อกันนานกว่า 6
ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่เป็นไส้ติ่งอักเสบ
ก็มักเป็นอาการร้ายแรงอื่นๆ เสมอ



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากก๊อฟฟี่







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:21:44 น.
Counter : 421 Pageviews.  

หลอดเลือดสมอง ฆาตกรฆ่าหญิงไทย



เป็น
สาเหตุการตายอันดับ 1





          
รายงานผลการศึกษาภาวะโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย เมื่อ พ.ศ.2547 พบว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1
ของหญิงไทย
และเป็นอันดับ 2 ของชายไทย
สำหรับผู้ที่รอดชีวิตก็มีไม่น้อยที่ต้องพิการ เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต
กลายเป็นภาระของครอบครัว และสูญเสียรายได้


          
โรคหลอดเลือดในสมอง ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะโรคนี้ไม่ส่งสัญญาณเตือน
นอกจากอาการสำคัญที่มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีลักษณะหน้าเบี้ยวหรือปากเบี้ยว แขนไม่มีแรง เดินเซ พูดไม่
พูดอ้อแอ้ หรือพูดไม่ออกเสียง
หากเกิดอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอาการอย่างที่กล่าว
ผู้ประสบเหตุจะต้องรีบให้การช่วยเหลือนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

          
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เพราะ
หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองมีความผิดปกติ เป็นได้ 2 ชนิด ประกอบด้วย
หลอดเลือดสมองอุดตัน หรือหลอดเลือดสมองแตก
ส่งผลให้สมองหยุดทำงานอย่างเฉียบพลัน สมองขาดเลือดไปเลี้ยง
หรือมีเลือดออกแทรกทับในสมอง

           อย่างไรก็ตาม
สาเหตุส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 70 เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
เพราะการอุดตันของหลอดเลือดจากการเสื่อมหรือแข็งตัวของหลอดเลือด
ก้อนเลือดจากหัวใจ
หรือตะกอนเลือดจากผนังหลอดเลือดแดงที่คอหลุดเข้าไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
หรือเป็นเพราะความดันเลือดลดลง จากการเปลี่ยนอิริยาบถรวดเร็วเกินไป

          
ส่วนร้อยละ 30 ของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก มีลักษณะที่แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ เลือดออกในเนื้อสมอง และเลือดออกที่ผิวสมอง


หากไม่อยากมีเอาสุขภาพไปเสี่ยงกับโรคหลอดสมอง ให้เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
สูบบุหรี่ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน
อย่าให้ความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
และบริโภคผัก-ผลไม้มาก ๆ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:20:21 น.
Counter : 273 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.