โรคเอสแอลอี หากดูแลอย่างดีโรคจะไม่กำเริบ



โรคนี้แปลกตรง
ที่ยังไม่มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทย เลยไม่รู้จะบอกชื่อเป็นภาษาไทยได้อย่างไร
แต่หลายคนก็เคยได้ยินโรคนี้กันมาบ้างแล้ว เพราะราชินีนักร้องลูกทุ่งคนดัง
พุ่มพวง ดวงจันทร์ ก็เสียชีวิตด้วยโรคนี้

          
โรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus
erythematosus หรือเรียกง่าย ๆ ว่าโรคลูปัส
เป็นโรคที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายระบบหรือหลายอวัยวะในร่างกาย
ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
โดยแทนที่จะทำหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือโรคจากภายนอกร่างกาย
กลับมาต่อต้าน หรือทำลายเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ก่อให้เกิดการอักเสบได้เกือบทุกอวัยวะของร่างกาย

          
อวัยวะที่เกิดการ อักเสบได้บ่อยได้แก่ ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท
เป็นต้น การอักเสบนี้จะเป็นต่อเนื่องจนเป็น โรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง





อะไรเป็นสาเหตุ
          
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้
แต่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าปัจจัยต่าง ๆ
เหล่านี้มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดโรคได้ คือกรรมพันธุ์ฮอร์โมนเพศหญิง
ภาวะติดเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสบางอย่าง

          
นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยเสริมที่อาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคแล้ว
หรือผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ มีโอกาสกำเริบขึ้น เช่น แสงแดด
หรือแสงอัลตราไวโอเลต การตั้งครรภ์ ยาหรือสารเคมีบางชนิด
การออกกำลังกายหรือทำงานหนัก ภาวะเครียดทางจิตใจ

ใครมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้บ้าง
          
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 20-45 ปี
ที่พบมากสุดอยู่ในช่วงอายุประมาณ 30 ปี แต่ก็พบได้ในทุกช่วงอายุ
ยังพบว่าผู้หญิงเป็นโรคเอสแอลอีมากกว่าผู้ชายถึง ๙ เท่า

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอสแอลอีจะมีอาการอย่างไร
          
โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่าง
กาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ เช่น มีปวดบวมตามข้อ
มีผื่นขึ้นที่หน้า มีขาบวม หน้าบวมจากไตอักเสบ หรือมีอาการทางระบบประสาท
เป็นต้น บางรายมีอาการค่อยเป็นค่อยไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง 





อาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่าง ๆ ที่สำคัญคือ
อาการทาง
ผิวหนัง

ผู้ป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และโหนกแก้ม 2 ข้าง
เป็นรูปคล้ายผีเสื้อ หรือมีผื่นแดงคันบริเวณนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด
หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใบหู
มีแผลในปาก โดยเฉพาะบริเวณเพดานปาก นอกจากนี้ยังมีผมร่วงมากขึ้น

อาการทาง
ข้อและกล้ามเนื้อ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่
จะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า
บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย

อาการทางไต ผู้ป่วยมักมีอาการบวมบริเวณเท้า 2 ข้าง ขา หน้า
หนังตา เนื่องจากมีอาการอักเสบที่ไต
รายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง
ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในระยะเวลาอันสั้น

อาการทางระบบเลือด ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง
มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย
มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้

อาการทางระบบประสาท ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการชัก
หรือมีอาการพูดเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง หรือคล้ายคนโรคจิตจำญาติพี่น้องไม่ได้
เนื่องจากมีการอักเสบของสมองหรือหลอดเลือดในสมอง

          
นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการทั่วไป เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศรีษะ จิตใจหดหู่ ร่วมได้

          
ให้พึงสังเกตว่าอาการของโรคมักจะแสดงความรุนแรงมากหรือน้อยภายในระยะเวลา
1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีอาการ หลังจากนั้นมักจะเบาลงเรื่อย ๆ
แต่อาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้เป็นครั้งๆ

เมื่อไรควรสงสัยว่าเป็นโรคนี้
          
1. มีไข้ต่ำๆ ไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานาน
           2. มีอาการปวดตามข้อ
          
3. มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแสงแดด
          
4. มีผมร่วงมากผิดปกติ
           5. มีอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา

การรักษาโรคนี้ทำอย่างไร
          
การรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคของผู้ป่วย
การปฎิบัติตัวอย่างถูกต้องของผู้ป่วย
และการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้ทำการรักษา

การเลือกวิธีการรักษา
โรคนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย ถ้าผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง
การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน
หรือยาลดการอักเสบก็ควบคุมอาการได้

สำหรับผู้ป่วยที่มี
อาการรุนแรง

ขึ้นอาจต้องใช้ยาประเภทสตีรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันในขนาดต่างๆตามความเหมาะ
สม ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับความรุนแรงและระบบอวัยวะที่มีการอักเสบ


ผู้
ป่วยโรคนี้ควรจะปฎิบัติตัวอย่างไร

การปฎิบัติตัวที่ถูก
ต้องเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคเอสแอลอีให้ได้ผล
การปฎิบัติตัวที่ถูกต้องทำได้ดังนี้





           1.
พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดตั้งแต่ช่วง 10.00 - 16.00 น. ถ้าจำเป็นให้กางร่ม
ใส่หมวก สวมเสื้อแขนยาว ใช้ยาทากันแดด
           2. พักผ่อนให้เพียงพอ
          
3. หลีกเลี่ยงความตึงเครียด พยายามฝึกจิตใจให้ปล่อยวาง
ทำใจยอมรับกับโรคและปัญหาอื่น ๆ
           4. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
          
5. ไม่กินอาหารที่ไม่สุกหรือไม่สะอาด
           6.
กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
           7.
ไม่กินยาเองโดยไม่จำเป็นเพราะยาบางตัวอาจทำให้โรคกำเริบได้
          
8. ป้องกันการตั้งครรภ์ขณะโรคยังไม่สงบ
และหลีกเลี่ยงการคุมกำเนิดโดยวิธีใส่ห่วง
เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าคนปกติ
           9.
เมื่อโรคอยู่ในระยะสงบสามารถตั้งครรภ์ได้
โดยได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
           10.
หลีกเลี่ยงจากสถานที่แออัดและไม่เข้าใกล้ผู้ที่กำลังเป็นโรคติดเชื้อ เช่น
ไข้หวัด เพราะมีโอกาสติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย
           11.
ถ้ามีลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น
มีฝีตุ่มหนองตามผิวหนัง ไอเสมหะเหลืองเขียว ปัสสาวะแสบขัด
ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
           12.
หากกินยากดภูมิคุ้มกันอยู่ให้หยุดยานี้ชั่วคราวในระหว่างที่มีการติดเชื้อ
          
13. มาตรวจตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
           14.
ถ้ามีอาการผิดปกติที่เป็นอาการของโรคกำเริบให้มาพบแพทย์ก่อนนัด เช่น
มีอาการไข้เป็น ๆ หาย ๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด บวม ผมร่วง ผื่นใหม่ ๆ ปวดข้อ
เป็นต้น
           15. ถ้ามีการทำฟัน หรือถอนฟัน
ให้กินยาปฎิชีวนะก่อนและหลังทำฟัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
โดยต้องปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอ

ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีจะเสียชีวิตก็ต่อ
เมื่อ
           1. จากตัวโรคเอง
ผู้ป่วยมีอาการอักเสบรุนแรงของอวัยวะสำคัญ เช่น ไต สมอง หลอดเลือด
โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที
           2.
จากภาวะติดเชื้อ
เนื่องจากโรคนี้ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติอยู่แล้ว
ยาที่ผู้ป่วยได้รับทั้งยาสตีรอยด์
และยากดภูมิคุ้มกันยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป
           3.
จากยาหรือวิธีการรักษาที่ไม่ถูกต้อง หรือขนาดยาที่ไม่เหมาะสม

          
อ่านมาตั้งแต่ต้นจะเห็นว่า
โรคเอสแอลอีเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่มีอาการและอาการแสดงได้หลากหลายมี
ความรุนแรงได้ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก
การรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการจะทำให้ผู้ป่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรค
หรือเกิดความพิการน้อยลง

  
การปฎิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างถูกต้องเป็น
ส่วนสำคัญที่จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ถึงแม้โรคนี้จะไม่หายขาด
แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบได้
ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้เหมือนปกติทั่วไป







Free TextEditor







































































































Create Date : 15 พฤษภาคม 2553
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:27:15 น. 0 comments
Counter : 1130 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.