หญิงไทยทุกคนมีโอกาสเป็น
มะเร็งเต้านมได้โดยไม่มีใครรู้ตัวล่วงหน้า
คนที่มีความเสี่ยงสูงอาจจะไม่เป็นเลยตลอดชีวิต
ในขณะที่คนที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงกลับพบเชื้อมะเร็งขึ้นมาได้ ปัจจุบัน
ตัวเลขผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพศหญิงในไทยอยู่ที่ 30-40 คนต่อ 1 แสนคน
และในแต่ละปีจะมียอดผู้ป่วยใหม่สูงถึงปีละ 10,000-15,000 คนเลยทีเดียว
โดยมีเหตุแห่งความเสี่ยง ดังนี้
1. เพศ ผู้ชายก็เป็นมะเร็งเต้านมได้
แถมยังลุกลามได้ไวกว่า เนื่องจากมีเนื้อเต้านมน้อย
แต่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าผู้ชาย 100-200 เท่า
เพราะมีเนื้อเต้านมเยอะกว่าและยังมีฮอร์โมนอีสโตรเจนแทรกซึมอยู่ทั่วร่างกาย
โดยเฉพาะในเต้านมเอง
ซึ่งอีสโตรเจนนี้คือตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็ง
2. อายุ
ผู้หญิงเรามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทุกวัน เรียกได้ว่ายิ่งแก่ยิ่งเสี่ยง
โดยช่วงอายุที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมากที่สุดคือ 40 ปี
3. ถิ่นที่อยู่ ที่ใดมีความเจริญทางวัตถุ
ตัวเลขผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจะสูงกว่า
ในขณะที่เขตชนบทจะเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกมากกว่า
เพราะเขตตัวเมืองที่เจริญจะมีวิถีการกินที่สุ่มเสี่ยง ทั้งอาหารไขมันสูง
ฟาสต์ฟู้ดหรือมลภาวะทางอากาศก็เป็นตัวแปรสำคัญ
4. ระดับฐานะความเป็นอยู่
หากจะกล่าวว่ามะเร็งเต้านมเป็นโรคของคนรวย คนสมัยใหม่ ก็คงไม่ผิดนัก
เพราะสาวๆ เหล่านี้มักมีโอกาสทางสังคมที่ดี กว่าจะเรียนจบ แต่งงาน และมีลูก
ก็ปาเข้าไปถึง 30 ปีหรือมากกว่า ในขณะที่บางคนไม่แต่งงาน
เลือกที่จะเป็นโสด ไม่มีลูก ไม่ให้ลูกดื่มนมจากเต้า
หรือทำงานมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ก็ล้วนทำให้คุณเสี่ยงมากขึ้น
5. ยาคุมกำเนิด
จะเป็นความเสี่ยงเมื่อเริ่มกินตั้งแต่อายุยังน้อย และกินต่อเนื่องนานเป็น
10 ปี
6.การกินยาฮอร์โมนวัยทอง
เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตในสตรีวัยหมดประจำเดือนก็อาจกระตุ้นให้เกิดโรคได้
7. ภาวะการมีประจำเดือน
ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกเร็วและเข้าสู่วัยทองช้า
จะเสี่ยงมากกว่าปกติ
เพราะมีร่างกายมีระยะเวลาผลิตอีสโตรเจนยาวนานกว่านั่นเอง
8. มีลูกคนแรกเมื่ออายุมาก
จะเสี่ยงกว่าคนที่มีลูกคนแรกเมื่ออายุน้อย โดยเฉพาะหลังอายุ 35
หรือหลังวัยเจริญพันธุ์ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น
9. เชื้อชาติ คนเชื้อชาติต่างๆ ทั่วโลก
มีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมไม่เท่ากัน
คนญี่ปุ่นแม้จะเจริญทางวัตถุเทียบเท่าหลายๆ ประเทศในแถบอเมริกาและยุโรป
แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก
ชาวยิวมักมีประวัติการถ่ายทอดมะเร็งเต้านมทางพันธุกรรมสูง
ส่วนคนไทยมีความเสี่ยงน้อยเมื่อเทียบกับเชื้อชาติอื่น
10. การฉายรังสีที่หน้าอก
การได้รับรังสีเป็นจำนวนมากฉายลงบนเต้านม
ไม่ว่าจากการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง วัณโรคปอด หรือเต้านมอักเสบหลังคลอด
ล้วนเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป แต่รังสีจากการทำแมมโมแกรม
ไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด
11.
กินโปรตีนจากเนื้อสัตว์และอาหารไขมันสูงมากไปซ้ำๆ
โดยเฉพาะถ้ากินเพียงอย่างเดียวเป็นประจำ
จะเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนที่กินครบ 5 หมู่ถึง 4.6 เท่า
12. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จะไปเพิ่มการสร้างหรือหยุดยั้งการทำลายอีสโตรเจน
และยังเป็นตัวนำสารก่อมะเร็งผ่านเข้าไปยังเซลล์ต่างๆ
เพื่อไปกระตุ้นหรือเปลี่ยนเซลล์ดีให้เป็นเซลล์มะเร็งได้
13. การไม่ออกกำลังกาย
คนที่ออกกำลังกายประจำจะทำให้จำนวนครั้งของประจำเดือนที่มีไข่ตกน้อยลงไป
ปริมาณฮอร์โมนอีสโตรเจนในร่างกายจึงลดน้อยลง ความเสี่ยงจึงน้อยตามไปด้วย
14. กรรมพันธุ์
หากคุณพบว่ามีญาติพี่น้องที่ไม่ใช่สายตรงป่วยเป็นมะเร็งเต้านม
จะมีโอกาสเสี่ยง 15 เปอร์เซ็นต์ แต่หากมีพี่สาว น้องสาว แม่ ย่า หรือยาย
ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม โอกาสเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นถึง 50
เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
15. เป็นโรคเต้านมอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง
เช่น ซีสต์ ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ ซีสต์น้ำ และซีสต์เนื้อ
ซีสต์น้ำนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
เพราะเกิดจากกระบวนการที่ร่างกายเตรียมตัวสร้างต่อมน้ำนม
เพื่อรองรับการตั้งครรภ์ ในแต่ละเดือน สามารถรักษาได้ด้วยการดูดเอาน้ำออก
แต่หากในถุงซีสต์นั้นมีก้อนเนื้ออยู่ด้วย ต้องรีบตรวจ
เพราะอาจเป็นก้อนมะเร็งได้ แม้จะมีโอกาสเสี่ยงน้อยก็ตาม
Tailoring Therapy การรักษาแบบสั่งตัด
กระบวนการรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบัน มีทั้งการผ่าตัด ฉายรังสี
ให้ยาเคมีบำบัด ให้ยาต้านฮอร์โมน และการให้ยารักษาแบบมุ่งเป้าหรือ Targeted
Therapy
เป็นทางเลือกที่ผู้ป่วยสามารถปรึกษากับแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะกับแต่
ละบุคคล ไม่ใช่การรักษาแบบเหมารวมอย่างเช่นอดีต
ในส่วนของการผ่าตัด
สมัยก่อนคนไข้มักถูกเฉือนเต้านมทิ้งทั้งเต้าเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งให้สิ้น
เหลือเต้านมข้างเดียว
หรือรายที่เป็นพร้อมกันทั้งสองเต้าก็ต้องถูกตัดทิ้งจนแบนราบ
กลายเป็นปมด้อยและทำให้สูญเสียความมั่นใจ
ปัจจุบันจึงเริ่มมีการเผยแพร่เพื่อขยายผลเรื่อง Tailoring Therapy
ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งเต้านมแบบคงความสวยงามไว้
โดยคนไข้ไม่ต้องตัดเต้านมทิ้งทั้งหมดอีกต่อไป
เพียงแค่ตัดส่วนที่เป็นมะเร็งออกไปเท่านั้น
ในกรณีที่เต้านมถูกเฉือนออกไปมากหน่อย ทำให้ขนาดของทั้งสองข้างไม่เท่ากัน
แพทย์ยังสามารถนำกล้ามเนื้อหน้าท้อง หรือกล้ามเนื้อสะบักหลังบางส่วน
มาเสริมรอยที่ถูกเฉือนออกไป ซึ่งนอกจากมะเร็งจะหายไปแล้ว
ยังได้ความสวยงามของหน้าอกกลับคืนมาเช่นเดิมหรืออาจมีขนาดและรูปทรงสวยงาม
กว่าเดิม
อย่างไรก็ดี
การผ่าตัดแบบคงความสวยงามของเต้าไม่ได้เหมาะกับคนไข้ทุกราย
เพราะมีข้อจำกัดคือ
- ต้องตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในขั้นแรกๆ หรือก้อนมะเร็งโตไม่เกิน 5
เซนติเมตร
- ก้อนมะเร็งนั้นควรมีก้อนเดียว เพราะถ้ามีหลายก้อน
จะกระจายตัวอยู่ตามส่วนต่างๆ ของเต้านม ไม่สะดวกในการผ่าแบบเก็บเต้านมไว้
- ผู้ป่วยต้องไม่มีข้อห้ามของการฉายแสงหลังการรักษา เช่น
กำลังตั้งครรภ์ขณะรักษา เคยได้รับการฉายแสงที่หน้าอก
หรือเป็นโรคบางชนิดที่ห้ามใช้การฉายแสง
หากไม่มีคุณสมบัติตรงกับข้อห้ามเหล่านี้
คุณก็มีสิทธิ์ผ่ามะเร็งแบบคงความสวยงามของเต้านมได้
อยู่อย่างไรหลังเป็นมะเร็งเต้านม
ด้านโภชนาการ ให้ลดการรับประทานเนื้อแดง เนื้อไก่ นม เนย
แป้งและข้าวขัดสีขาว อาหารสำเร็จรูป น้ำตาล และแอลกอฮอล์ เน้นรับประทานปลา
ผัก ผลไม้ ชาเขียวปลอดคาเฟอีน น้ำมันแฟล็กซ์สีด
หรืออาหารที่อุมไปด้วยวิตามินซี อี โคเอนไซม์ คิวเทน ซีลีเนียม
และกรดไขมันอัลฟาไลโปอิก
ทางด้านสุขภาพจิต ควรฝึกลดความเครียด ไม่ว่าจะด้วยการทำโยคะ
กำหนดลมหายใจ ทำสมาธิ มองโลกในแง่บวก หรือออกกำลังกายตามแบบที่ชอบ
มีผลวิจัยพบว่าผู้หญิงที่ออกกำลังกายเฉลี่ยสัปดาห์ละ 7 ชั่วโมง
ต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ปี จะลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ถึง 20
เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
สอบถามทุกข้อสงสัยเรื่องมะเร็งเต้านมได้ที่
สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย ตู้ปณ.28 ปณฝ.กรมโรงงานอุตสาหกรรม กทม.10413