วินาทีชีวิต


ในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ จะมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ
โรงพยาบาลประจำจังหวัด หรือหน่วยกู้ภัยในจังหวัดนั้นๆ
คอยให้บริการช่วยเหลือในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ไม่ว่าจากอุบัติเหตุ
อุบัติภัย หรือเจ็บป่วยร้ายแรง ในส่วนของกรุงเทพมหานครก็เช่นกัน
มีศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินหลายแห่งซึ่งคุณจะพึ่งพาได้ในวินาทีแห่งความ
เป็นความตายนั้น


ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ


  
ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้แบ่งหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนออกเป็น 3
กลุ่ม คือ ชุดเคลื่อนที่เร็ว มีหน้าที่ช่วยทำคลอด ปฐมพยาบาลเบื้องต้น
และนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ชุดโบก สังเกตได้จากแถบสีน้ำเงินบนหมวก
ทำหน้าที่อำนวยการจราจรทั่วไป ตำรวจจราจรชุดนี้ไม่แจกใบสั่งอย่างเด็ดขาด
และสุดท้ายคือชุดช่าง คอยดูแลยวดยานที่เสียหายบนท้องถนน
ทั้งซ่อมและยกเพื่อให้การจราจรคล่องตัวไม่ติดขัดตลอดสาย


   “ตำรวจในทีมเราล้วนผ่านการอบรมด้านการปฐมพยาบาลมาเป็นอย่างดี
จากโรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลหัวเฉียว และโรงพยาบาลกรุงเทพ

ส่วนตำรวจชุดช่างเข้ารับอบรมจากโตโยต้าเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจึงขอให้ประชาชน
อย่ากังวลและปฏิบัติตามที่เราแนะนำ แล้วคุณจะปลอดภัย
ไม่ต้องกลัวว่าเราจะจับหรือแจกใบสั่ง
เพราะหน้าที่ของเราคือเข้าไปช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”


   “ทีมเราจะกระจายกำลังเฝ้าระวังเหตุตามจุดต่างๆ
และบริเวณลงทางด่วนทั่วกรุงเทพ เพื่อคอยช่วยเหลือยามเกิดเหตุฉุกเฉิน
หรือหากท่านกำลังนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลแต่รถติดมาก
โทร.แจ้งเราได้ที่สายด่วน 1197 หรือศูนย์วิทยุตลอด 24 ชั่วโมงโทร.
0-2354-6324 รวมทั้งจส.100
และสวพ.91จะมีตำรวจไปเปิดเส้นทางเพื่อนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ต้องการไปถึง
ได้ภายในเวลา 3-5 นาที หรือหากคิดอะไรไม่ออก ให้กดหมายเลข 191
ทางเจ้าหน้าที่จะประสานความช่วยเหลือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป”


“นเรนทร” ต้นแบบศูนย์กู้ภัยมืออาชีพ


   ศูนย์นเรนทรให้บริการหลายรูปแบบ แต่ที่เราจะกล่าวถึงคือ คือ
บริการกู้ชีพฉุกเฉินไม่คิดค่าใช้จ่าย
เมื่อได้รับการแจ้งเหตุทางศูนย์จะส่งทีมเข้าไปช่วยเหลือได้ภายใน 10 นาที
โดยมีทีมกู้ชีพ 2 ประเภทคือ ทีมช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่มีความเสี่ยงสูง
สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยหนักหรืออุบัติเหตุร้ายแรง จะมีเจ้าหน้าที่เวชกิจ
พยาบาลและแพทย์ พร้อมอุปกรณ์ในรถครบครันไปยังที่เกิดเหตุ
ส่วนการบาดเจ็บเล็กน้อยทางศูนย์จะส่งรถพร้อมเจ้าหน้าที่เวชกิจที่ผ่านการสอบ
และอบรมตามมาตรฐานไปช่วยเหลือเบื้องต้น
ก่อนนำส่งโรงพยาบาลในเครือข่ายใกล้เคียงต่อไป


   “สิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยชีวิตผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บคือ
ผู้ประสบเหตุหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์คนแรก ถ้ามีสติดี ไม่ตื่นเต้นเกินไป
และพอมีพื้นฐานการปฐมพยาบาลอยู่บ้างจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากระหว่างที่
รอความช่วยเหลือ แต่หากทำอะไรไม่เป็นเลยควรรีบตั้งสติ โทร.หาเราที่หมายเลข
1669 หรือ 0-2354-8222 พร้อมเตรียมคำตอบเหล่านี้ให้ชัดเจน”


   “1.สถานที่เกิดเหตุ 2.หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกลับ
3.ลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 4.จำนวนผู้บาดเจ็บ 5.อายุและเพศผู้บาดเจ็บ
6.อาการเบื้องต้นของผู้บาดเจ็บ เช่น รู้สึกตัวดีหรือไม่ ถามตอบรู้เรื่องไหม
หลับหรือตื่นหรือหมดสติ เป็นต้น และ 7.ตรวจสอบการหายใจว่าปกติหรือไม่
คำถามเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญในการประเมินความช่วยเหลือต่อไป”


รถไฟฟ้า กับมาตรการช่วยเหลือฉุกเฉิน


   “ตั้งแต่รถไฟฟ้าเปิดให้บริการ
สถิติการพบผู้ป่วยขณะใช้บริการจากเรามีเพียงไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
ถึงจะเป็นตัวเลขที่น้อยมาก แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
พนักงานที่เกี่ยวข้องทุกคนจะต้องผ่านการอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนเริ่ม
ปฏิบัติงาน
และในแต่ละสถานีจะมีห้องปฐมพยาบาลพร้อมเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้
ความช่วยเหลือผู้โดยสารได้ตลอดเวลา”


   “หากพบเห็นผู้โดยสารเจ็บป่วยบนรถไฟฟ้า
ให้แจ้งพนักงานขับรถไฟฟ้าผ่านทางอินเตอร์คอมที่ติดอยู่ประตูรถ
เมื่อได้รับแจ้งเหตุแล้วพนักงานขับรถจะได้ประสานงานไปยังศูนย์ควบคุมการเดิน
รถ เพื่อให้นายสถานีถัดไปจัดเตรียมการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
หรือหากเกิดเหตุขัดข้องขณะเดินรถไฟฟ้าที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ
ผู้โดยสารควรระงับความตื่นเต้น และคอยฟังประกาศแจ้งข้อมูลจากพนักงาน
อย่าพยายามดึงหรือเปิดอุปกรณ์ต่างๆ เด็ดขาด
เพราะจะทำให้พนักงานแก้ไขปัญหาได้ไม่ถูกจุด
และที่สำคัญคือให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานอย่างเคร่งครัด”


ป่วยหนักในบ้าน ควรให้ใครช่วย


   วันดีคืนดี หากมีคนในครอบครัวเจ็บป่วย
ทั้งจากอุบัติเหตุในบ้านหรือโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งแรกที่ควรทำสุดคือ
โทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ศูนย์กู้ชีพ หรือรถโรงพยาบาลใกล้บ้าน
หรือโทรหาแพทย์ประจำตัวคนไข้ ให้เร็วที่สุด เพราะโรคบางอย่างเช่น
เส้นเลือดในสมองแตกหรือโรคหัวใจ
จะมีช่วงเวลาแสนสั้นหรือนาทีทองที่จะช่วยให้คนไข้กลับมาเป็นปกติดังเดิมได้
ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วแม่นยำในการช่วยเหลือ อย่ามัวแต่ตกใจ
หากนึกไม่ออกว่าจะโทร.แจ้งใครให้กดหา 191
แต่ทางที่ดีที่สุดคุณควรจดเบอร์ติดต่อฉุกเฉินไว้ใกล้ๆ โทรศัพท์






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:55:20 น.
Counter : 231 Pageviews.  

Bipolar : โรคจิต 2 อารมณ์ สุขเกินไป เศร้าเกินเหตุ



ไบโพล่าร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar หรือ manic-depressive disorder)
เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง
ที่ทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
ร่วมกับสองปัจจัยข้างเคียงที่กระตุ้นให้เกิดโรคได้ คือ
ความเครียดและสภาวะแวดล้อม


แม้สาเหตุหลักจะเป็นความ
ผิดปกติทางกายภาพ แต่เพราะลักษณะอาการของผู้ป่วยที่แสดงออกทางอารมณ์
โรคนี้จึงจัดอยู่ในกลุ่มของอาการผิดปกติทางอารมณ์ (mood disorder)
เหมือนกับโรคซึมเศร้า (depression) และโรคอารมณ์ดีผิดปกติ (mania)
แต่ที่แตกต่างและน่าเป็นห่วงกว่าคือ ไบโพล่าร์สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้


   ขั้วที่หนึ่ง : อาการของโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกแง่ลบตลอดเวลา ท้อแท้ หดหู่ สลดใจ
หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ มีอาการต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์
หากปล่อยทิ้งไว้จะทวีความรุนแรงจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย
โรคนี้รักษาไม่ได้ด้วยตนเอง ต้องได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์


ขั้วที่สอง : อาการของโรคอารมณ์ดีผิดปกติ
ผู้ป่วยโรคนี้จะมีความรู้สึกแง่บวกตลอดเวลา พูดมาก
ชอบเข้าไปวุ่นวายกับคนอื่น มีพลังเหลือเฟือ ความคิดโลดแล่น
อยากทำสิ่งต่างๆมากมาย บางรายอาจรู้สึกว่าตนเป็นผู้วิเศษ
หรือมีความต้องการทางเพศสูง ความต้องการนอนหลับพักผ่อนน้อย
และก้าวร้าวผิดปกติ เป็นต้น


   หากเอาอารมณ์ขั้วที่หนึ่ง คือซึมเศร้า มารวมกับอารมณ์ขั้วที่สองคือ
อารมณ์ดีผิดปกติ จะหมายถึง โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพล่าร์
อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ สลับกัน เช่น บางช่วงเศร้า
บางช่วงร่าเริง
และบางครั้งในช่วงเวลาเดียวกันก็อาจมีทั้งร่าเริงและเศร้าปนกันก็ได้


   โดยธรรมชาติของผู้ป่วยทางจิตเวช มักไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรค
ผู้ป่วยไบโพล่าร์เองก็เช่นกัน ฉะนั้นคนที่จะบอกได้คือคนในครอบครัว
หรือเพื่อนฝูง ซึ่งสิ่งที่จะบ่งชี้ว่าเข้าขั้นไบโพล่าร์หรือไม่นั้นคือ ผู้
ป่วยต้องมีอาการทั้งซึมเศร้าและอารมณ์ดีผิดปกติสลับกันไป
ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

ส่วนจะแสดงอาการขั้วไหนก่อนขึ้นอยู่กับสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งความเครียด
สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และหน้าที่การงาน เป็นต้น หากคนใกล้ตัวมีอาการดังนี้
ญาติหรือผู้ใกล้ชิดควรนำตัวมาพบจิตแพทย์โดยเร็ว


เมื่อไบโพล่าร์คุกคามชีวิต


   แม้ทุกช่วงจังหวะชีวิตคนจะต้องมีทั้งสุขและเศร้า
แต่จังหวะการขึ้นลงของอารมณ์ในผู้ที่ ป่วยเป็นไบโพล่าร์ไม่ใช่เรื่องปกติ
บางช่วงที่มีอาการของโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยอาจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ร้องไห้ง่าย เบื่อหน่ายชีวิต เก็บเนื้อเก็บตัว หงุดหงิด ก้าวร้าว
โมโหง่ายอย่างไร้สาเหตุ ส่วนช่วงที่อารมณ์ดีผิดปกติ ผู้ป่วยก็อาจพูดมาก
หัวเราะง่าย จุ้นจ้านวุ่นวาย ใช้เงินเปลือง ขยันขันแข็งเกินเหตุ
ไม่หลับไม่นอน เกิดภาพหลอน หลงผิด หูแว่ว ไบโพล่าร์เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ
ทุกวัย โดยเฉพาะ...



  • วัยรุ่นที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
    ซึ่งจะมีอารมณ์หุนหันพลันแล่น แปรปรวนง่าย เด็กบางคนอาจเที่ยวจัด ดื่มจัด
    มั่วเซ็กส์ หลายคนอาจมองว่าเป็นความคะนองหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    แต่ความจริงแล้ว
    บางครั้งอาการเหล่านี้ก็บ่งชี้ว่าเป็นไบโพล่าร์ได้เหมือนกัน
    ควรได้รับการตรวจจากจิตแพทย์ว่าเป็นหรือไม่เพื่อรับการบำบัดต่อไป

  • วัยทำงาน ที่ต้องเผชิญความเครียดสูง
    ทั้งจากความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน และการเอาตัวรอดในสังคม

  • ผู้ที่มีคนในครอบครัวป่วยเป็นไบโพล่าร์
    ซึ่งจะมีโอกาสเกิดโรคสูงกว่าคนทั่วไปถึง 8 เท่า
    แต่อาการของโรคอาจไม่แสดงออกกับทุกคน
    คล้ายกับมีพาหะของโรคที่จะแสดงอาการต่อเมื่อได้รับแรงกระตุ้นจากเรื่องราว
    ที่กระทบกระเทือนจิตใจมากๆ หรือแม้กระทั่งการนั่งสมาธิบ่อยๆ
    เพราะการทำสมาธินั้นจะไปทำให้สารสื่อประสาทและคลื่นความถี่ในสมองที่ผิดปกติ
    อยู่แล้วเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิม


3 วิธีรับมือไบโพล่าร์



  1. รักษาด้วยยา โดยแพทย์จะให้ยาในกลุ่มควบคุมอารมณ์ (mood stabilizers)
    ยาแก้โรคจิต (antipsychotics) และยาแก้โรคซึมเศร้า (antidepressants)
    เพื่อปรับระดับสารสื่อประสาทในสมองให้เข้าสู่ภาวะสมดุล
    ผู้ป่วยต้องได้รับยาต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 2 ปี
    หากกินไม่ครบตามกำหนดต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
    ทำให้เวลาที่ต้องกินยายาวนานมากขึ้น หรือในบางรายอาจต้องกินไปตลอดชีวิต

  2. รักษาด้านจิตใจ เช่น
    ทำจิตบำบัดเป็นขั้นเป็นตอนอย่างต่อเนื่องโดยจิตแพทย์
    เพื่อลดปัญหาทางด้านจิตใจที่อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการกำเริบอีก
    ทั้งนี้อาจใช้เวลานานขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละคน
    ในการรักษาแพทย์และผู้ป่วยจะต้องอดทนและความร่วมมือกัน
    จะได้ผลดีกว่าการใช้ยาเพียงอย่างเดียว

  3. รักษาทางสังคม คือ
    การปรับสิ่งแวดล้อมและให้ครอบครัวมีส่วนร่วมบำบัดผู้ป่วย
    ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดความเครียด ให้กำลังใจ เข้าใจและยอมรับผู้ป่วย
    จะช่วยเสริมการรักษาทั้งสองวิธีข้างต้นให้ได้ผลดียิ่งขึ้น







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:53:44 น.
Counter : 222 Pageviews.  

ผ่ามะเร็งเต้านมแบบใหม่ อัพไซส์ได้ ไม่เสียเต้า


หญิงไทยทุกคนมีโอกาสเป็น
มะเร็งเต้านมได้โดยไม่มีใครรู้ตัวล่วงหน้า
คนที่มีความเสี่ยงสูงอาจจะไม่เป็นเลยตลอดชีวิต
ในขณะที่คนที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงกลับพบเชื้อมะเร็งขึ้นมาได้ ปัจจุบัน
ตัวเลขผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพศหญิงในไทยอยู่ที่ 30-40 คนต่อ 1 แสนคน
และในแต่ละปีจะมียอดผู้ป่วยใหม่สูงถึงปีละ 10,000-15,000 คนเลยทีเดียว
โดยมีเหตุแห่งความเสี่ยง ดังนี้


1. เพศ ผู้ชายก็เป็นมะเร็งเต้านมได้
แถมยังลุกลามได้ไวกว่า เนื่องจากมีเนื้อเต้านมน้อย
แต่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าผู้ชาย 100-200 เท่า
เพราะมีเนื้อเต้านมเยอะกว่าและยังมีฮอร์โมนอีสโตรเจนแทรกซึมอยู่ทั่วร่างกาย
โดยเฉพาะในเต้านมเอง
ซึ่งอีสโตรเจนนี้คือตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็ง


2. อายุ
ผู้หญิงเรามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทุกวัน เรียกได้ว่ายิ่งแก่ยิ่งเสี่ยง
โดยช่วงอายุที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมากที่สุดคือ 40 ปี


3. ถิ่นที่อยู่ ที่ใดมีความเจริญทางวัตถุ
ตัวเลขผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจะสูงกว่า
ในขณะที่เขตชนบทจะเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกมากกว่า
เพราะเขตตัวเมืองที่เจริญจะมีวิถีการกินที่สุ่มเสี่ยง ทั้งอาหารไขมันสูง
ฟาสต์ฟู้ดหรือมลภาวะทางอากาศก็เป็นตัวแปรสำคัญ


4. ระดับฐานะความเป็นอยู่
หากจะกล่าวว่ามะเร็งเต้านมเป็นโรคของคนรวย คนสมัยใหม่ ก็คงไม่ผิดนัก
เพราะสาวๆ เหล่านี้มักมีโอกาสทางสังคมที่ดี กว่าจะเรียนจบ แต่งงาน และมีลูก
ก็ปาเข้าไปถึง 30 ปีหรือมากกว่า ในขณะที่บางคนไม่แต่งงาน
เลือกที่จะเป็นโสด ไม่มีลูก ไม่ให้ลูกดื่มนมจากเต้า
หรือทำงานมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ก็ล้วนทำให้คุณเสี่ยงมากขึ้น


5. ยาคุมกำเนิด
จะเป็นความเสี่ยงเมื่อเริ่มกินตั้งแต่อายุยังน้อย และกินต่อเนื่องนานเป็น
10 ปี


6.การกินยาฮอร์โมนวัยทอง
เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตในสตรีวัยหมดประจำเดือนก็อาจกระตุ้นให้เกิดโรคได้


7. ภาวะการมีประจำเดือน
ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกเร็วและเข้าสู่วัยทองช้า
จะเสี่ยงมากกว่าปกติ
เพราะมีร่างกายมีระยะเวลาผลิตอีสโตรเจนยาวนานกว่านั่นเอง


8. มีลูกคนแรกเมื่ออายุมาก
จะเสี่ยงกว่าคนที่มีลูกคนแรกเมื่ออายุน้อย โดยเฉพาะหลังอายุ 35
หรือหลังวัยเจริญพันธุ์ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น


9. เชื้อชาติ คนเชื้อชาติต่างๆ ทั่วโลก
มีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมไม่เท่ากัน
คนญี่ปุ่นแม้จะเจริญทางวัตถุเทียบเท่าหลายๆ ประเทศในแถบอเมริกาและยุโรป
แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก
ชาวยิวมักมีประวัติการถ่ายทอดมะเร็งเต้านมทางพันธุกรรมสูง
ส่วนคนไทยมีความเสี่ยงน้อยเมื่อเทียบกับเชื้อชาติอื่น


10. การฉายรังสีที่หน้าอก
การได้รับรังสีเป็นจำนวนมากฉายลงบนเต้านม
ไม่ว่าจากการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง วัณโรคปอด หรือเต้านมอักเสบหลังคลอด
ล้วนเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป แต่รังสีจากการทำแมมโมแกรม
ไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด


11.
กินโปรตีนจากเนื้อสัตว์และอาหารไขมันสูงมากไปซ้ำๆ

โดยเฉพาะถ้ากินเพียงอย่างเดียวเป็นประจำ
จะเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนที่กินครบ 5 หมู่ถึง 4.6 เท่า


12. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จะไปเพิ่มการสร้างหรือหยุดยั้งการทำลายอีสโตรเจน
และยังเป็นตัวนำสารก่อมะเร็งผ่านเข้าไปยังเซลล์ต่างๆ
เพื่อไปกระตุ้นหรือเปลี่ยนเซลล์ดีให้เป็นเซลล์มะเร็งได้


13. การไม่ออกกำลังกาย
คนที่ออกกำลังกายประจำจะทำให้จำนวนครั้งของประจำเดือนที่มีไข่ตกน้อยลงไป
ปริมาณฮอร์โมนอีสโตรเจนในร่างกายจึงลดน้อยลง ความเสี่ยงจึงน้อยตามไปด้วย


14. กรรมพันธุ์
หากคุณพบว่ามีญาติพี่น้องที่ไม่ใช่สายตรงป่วยเป็นมะเร็งเต้านม
จะมีโอกาสเสี่ยง 15 เปอร์เซ็นต์ แต่หากมีพี่สาว น้องสาว แม่ ย่า หรือยาย
ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม โอกาสเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นถึง 50
เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว


15. เป็นโรคเต้านมอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง
เช่น ซีสต์ ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ ซีสต์น้ำ และซีสต์เนื้อ
ซีสต์น้ำนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
เพราะเกิดจากกระบวนการที่ร่างกายเตรียมตัวสร้างต่อมน้ำนม
เพื่อรองรับการตั้งครรภ์ ในแต่ละเดือน สามารถรักษาได้ด้วยการดูดเอาน้ำออก
แต่หากในถุงซีสต์นั้นมีก้อนเนื้ออยู่ด้วย ต้องรีบตรวจ
เพราะอาจเป็นก้อนมะเร็งได้ แม้จะมีโอกาสเสี่ยงน้อยก็ตาม


Tailoring Therapy การรักษาแบบสั่งตัด


   กระบวนการรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบัน มีทั้งการผ่าตัด ฉายรังสี
ให้ยาเคมีบำบัด ให้ยาต้านฮอร์โมน และการให้ยารักษาแบบมุ่งเป้าหรือ Targeted
Therapy
เป็นทางเลือกที่ผู้ป่วยสามารถปรึกษากับแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะกับแต่
ละบุคคล ไม่ใช่การรักษาแบบเหมารวมอย่างเช่นอดีต


   ในส่วนของการผ่าตัด
สมัยก่อนคนไข้มักถูกเฉือนเต้านมทิ้งทั้งเต้าเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งให้สิ้น
เหลือเต้านมข้างเดียว
หรือรายที่เป็นพร้อมกันทั้งสองเต้าก็ต้องถูกตัดทิ้งจนแบนราบ
กลายเป็นปมด้อยและทำให้สูญเสียความมั่นใจ
ปัจจุบันจึงเริ่มมีการเผยแพร่เพื่อขยายผลเรื่อง Tailoring Therapy
ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งเต้านมแบบคงความสวยงามไว้
โดยคนไข้ไม่ต้องตัดเต้านมทิ้งทั้งหมดอีกต่อไป
เพียงแค่ตัดส่วนที่เป็นมะเร็งออกไปเท่านั้น
ในกรณีที่เต้านมถูกเฉือนออกไปมากหน่อย ทำให้ขนาดของทั้งสองข้างไม่เท่ากัน
แพทย์ยังสามารถนำกล้ามเนื้อหน้าท้อง หรือกล้ามเนื้อสะบักหลังบางส่วน
มาเสริมรอยที่ถูกเฉือนออกไป ซึ่งนอกจากมะเร็งจะหายไปแล้ว
ยังได้ความสวยงามของหน้าอกกลับคืนมาเช่นเดิมหรืออาจมีขนาดและรูปทรงสวยงาม
กว่าเดิม


   อย่างไรก็ดี
การผ่าตัดแบบคงความสวยงามของเต้าไม่ได้เหมาะกับคนไข้ทุกราย
เพราะมีข้อจำกัดคือ



  1. ต้องตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในขั้นแรกๆ หรือก้อนมะเร็งโตไม่เกิน 5
    เซนติเมตร

  2. ก้อนมะเร็งนั้นควรมีก้อนเดียว เพราะถ้ามีหลายก้อน
    จะกระจายตัวอยู่ตามส่วนต่างๆ ของเต้านม ไม่สะดวกในการผ่าแบบเก็บเต้านมไว้

  3. ผู้ป่วยต้องไม่มีข้อห้ามของการฉายแสงหลังการรักษา เช่น
    กำลังตั้งครรภ์ขณะรักษา เคยได้รับการฉายแสงที่หน้าอก
    หรือเป็นโรคบางชนิดที่ห้ามใช้การฉายแสง
    หากไม่มีคุณสมบัติตรงกับข้อห้ามเหล่านี้
    คุณก็มีสิทธิ์ผ่ามะเร็งแบบคงความสวยงามของเต้านมได้


อยู่อย่างไรหลังเป็นมะเร็งเต้านม


   ด้านโภชนาการ ให้ลดการรับประทานเนื้อแดง เนื้อไก่ นม เนย
แป้งและข้าวขัดสีขาว อาหารสำเร็จรูป น้ำตาล และแอลกอฮอล์ เน้นรับประทานปลา
ผัก ผลไม้ ชาเขียวปลอดคาเฟอีน น้ำมันแฟล็กซ์สีด
หรืออาหารที่อุมไปด้วยวิตามินซี อี โคเอนไซม์ คิวเทน ซีลีเนียม
และกรดไขมันอัลฟาไลโปอิก


   ทางด้านสุขภาพจิต ควรฝึกลดความเครียด ไม่ว่าจะด้วยการทำโยคะ
กำหนดลมหายใจ ทำสมาธิ มองโลกในแง่บวก หรือออกกำลังกายตามแบบที่ชอบ
มีผลวิจัยพบว่าผู้หญิงที่ออกกำลังกายเฉลี่ยสัปดาห์ละ 7 ชั่วโมง
ต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ปี จะลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ถึง 20
เปอร์เซ็นต์ทีเดียว


   สอบถามทุกข้อสงสัยเรื่องมะเร็งเต้านมได้ที่
สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย ตู้ปณ.28 ปณฝ.กรมโรงงานอุตสาหกรรม กทม.10413







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:52:02 น.
Counter : 319 Pageviews.  

Science of Happiness สุขสร้างได้


Science of Happiness สุขสร้างได้


ความสุขเป็นความรู้สึกพึง
พอใจที่จับต้องไม่ได้
ในทางวิทยาศาสตร์การวัดระดับความสุขจะใช้ทั้งแบบทดสอบและการใช้เครื่องมือ
วัดระดับสารเคมีในสมอง เพื่อตรวจหาค่าสารแห่งความสุขในภาวะต่างๆ
คู่มือของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้นิยามความสุขเอาไว้ว่า
เป็นลักษณะอารมณ์ที่เอื้อให้คนเกิดความสุข คนที่มีความสุข คือ คนที่…



  • มีความภูมิใจในตนเอง แม้จะเศร้าบ้าง
    ถ้าตราบใดที่ยังรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าก็จะยืนหยัดอยู่ได้

  • มีความพึงพอใจในชีวิต การรู้จักพอทำให้ไม่ต้องดิ้นรน
    ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจถึงสิ่งที่ตัวเองไม่มีจนเป็นทุกข์

  • มีความสุขสงบ ก่อนจะรู้จักความสุข ต้องรู้จักความสงบ
    ความมั่นคงทางจิตใจ แม้มีทุกข์ใดมากระทบ จิตที่สงบนิ่งย่อมไม่หวั่นไหว


   นายแพทย์ลือชา วณรัตน์ หัวหน้าสำนักวิชาการสาธารณสุข
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำเสนอสมการความสุขในมุมมองของเขาว่า







ความสุขที่เป็น = ความ
สุขที่มี
                        ความคาดหวัง







   จากสมการข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากต้องการเพิ่มค่าความสุขที่เป็น
ทำได้ง่ายๆ เพียงลดความคาดหวังลง ความสุขที่มีก็จะสูงขึ้น
ทำให้ความสุขที่เป็นสูงตามไปด้วย


   แต่การจะลดความคาดหวังได้นั้นต้องเริ่มจากตัวเอง
ด้วยการมองทุกอย่างเป็นสองด้าน ไตร่ตรองทั้งด้านบวกและลบ
คนเรามักผิดหวังในสิ่งคาดไว้เพราะมัวแต่มองด้านที่ตัวเองหวังว่าจะได้
โดยลืมนึกถึงการนำมาซึ่งความสมหวัง
การมองสองด้านจะทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไร
ความสมหวังจะมาได้อย่างไร เมื่อเห็นเนื้อแท้ชัดเจนแล้วแบบนี้
แม้พลาดหวังก็ยังมีเหตุผลรองรับเพื่อเตือนสติตนเองได้


วิทยาศาสตร์แห่งความสุข


   วิทยาศาสตร์แห่งความสุข ศาสตร์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นราว 10 ปี
เป็นแขนงหนึ่งของวิชาจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology)
ใจความของวิชานี้ว่าด้วยการทำวิจัยเพื่อหาวิธีลดความทุกข์และเพิ่มความสุข
มวลรวมแก่ประชากร


   คุณหนูดี-วนิษา เรซ
เล่าถึงความน่าสนใจของศาสตร์นี้ว่า “โดยปกติของการทำวิจัยเกี่ยวกับประชากร
จะเป็นการหาค่าเฉลี่ยหรือค่ามีนจากกลุ่มตัวอย่าง
แต่วิทยาศาสตร์แห่งความสุขนอกจากจะต้องวิจัยกับกลุ่มคนที่มีความสุขแล้ว
ยังเน้นกลุ่มคนที่ได้เกณฑ์ความสุขสูงสุด
เพราะเราต้องการหาวิธีว่าทำอย่างไรคนส่วนใหญ่จึงจะมีความสุขเทียบเท่ากับ
กลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในเกณฑ์สุขมาก”


   “เท่าที่คลุกคลีกับคนกลุ่มนี้
หนูดีพบว่าพวกเขามีเพียงแนวคิดและไลฟ์สไตล์บางอย่างเท่านั้นที่แตกต่างจากคน
ทั่วไป เช่น เมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์
คนกลุ่มนี้จะปรับตัวได้เร็วและอยู่กับความทุกข์ไม่นาน
ในทางการวิจัยเรียกความต่างตรงนี้ว่า growing tips statistic
ซึ่งหนูดีจะขอแปลเป็นไทยว่า “หลักการยอดอ่อนผลิใบ”
เหมือนต้นไม้ที่กำลังเติบโต
ส่วนยอดอ่อนบนสุดของต้นจะมีการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอมากที่สุดและมีการ
เจริญเติบโตมากที่สุด ฉะนั้นถ้าเราอยากรู้ว่าพืชเติบโตมากที่สุดในส่วนไหน
ก็ไม่จำเป็นต้องดูทั้งต้น ดูแค่ยอดอ่อนก็พอ
ในอดีตไม่เคยมีใครไปศึกษายอดอ่อน แต่ดูภาพรวมต้นไม้ทั้งต้น
เลยไม่มีใครรู้ว่าศักยภาพที่แท้จริงของคนเราอยู่ที่ไหน”


   “วิทยาศาสตร์แห่งความสุข เป็นวิทยาศาสตร์เชิงป้องกัน
ไม่ใช่เครื่องมือกำจัดความทุกข์
ถ้าคุณมีความทุกข์หนักจากการสูญสียสิ่งที่รัก
พลาดหวังจากสิ่งที่ตั้งใจหรืออะไรก็ตาม
แล้วจะมาใช้วิทยาศาสตร์แห่งความสุขเป็นตัวบำบัดทุกข์ ก็ย่อมจะไม่เห็นผล
แต่ถ้าเรียนรู้ไว้แต่เนิ่นๆ
เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์จะช่วยให้ยืนหยัดรับมือความทุกข์นั้นได้อย่าง
มั่นคง และเจ็บปวดน้อยลง
จะสรุปว่าศาสตร์นี้มีจุดมุ่งหมายคือการพ้นทุกข์เหมือนวิถีของศาสนาพุทธก็ได้
ค่ะ”


10 หนทางสร้างความสุข


   อริสโตเติล กล่าวไว้ว่า “ความสุขขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน”
วิธีการสร้างสุขของแต่ละคนจึงหลายหลากแตกต่างกันไป และนี่คือ 10
แนวคิดเพื่อสร้างสุขอย่างเป็นไปได้ โดยเจ้าของผลงาน “พ่อรวยสอนลูก”
เรียบเรียงโดยคุณวิทยากร เชียงกูล ลองนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มสุขกันค่ะ



  1. ตระหนักว่าความสุขที่ยั่งยืนไม่ได้มาจากความสำเร็จทางการเงิน
    ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
    ทรัพย์สินก็เหมือนกับสุขภาพ ถ้าไม่มีเลยเราย่อมทุกข์ทรมาน
    แต่ถ้ามีมากเกินไปไม่ได้ยืนยันว่าเราจะสุขมากขึ้น

  2. ควบคุมการใช้เวลาให้ดี
    การมีระเบียบวินัยโดยการจัดสรรเวลาทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ
    จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้ เพราะเมื่อทำเป้าหมายทุกอย่างเสร็จตามเวลา
    ความเครียดหรือคับข้องใจก็จะไม่เกิด

  3. แสดงท่าว่ามีความสุข
    บางครั้งเราต้องแสร้งว่ามีความสุขเพื่อปรับกรอบคิดของเราให้เป็นไปในทางบวก
    หากเราพยายามยิ้มอยู่เสมอ จะทำให้ผู้คนรอบข้างเรารู้สึกดีขึ้น
    และตัวเราก็จะรู้สึกดีตามไปด้วย

  4. หางานและกิจกรรมที่สอดคล้องกับความถนัด
    คนมีความสุขมักเป็นคนสนุกกับงานที่ท้าทาย แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เครียด
    ดังนั้นควรหากิจกรรมที่ชอบและเสริมทักษะทำเป็นประจำ

  5. ออกกำลังกาย มีงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า
    การออกกำลังกายแบบต่อเนื่องวันละ 25-30 นาที
    ไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพดีและกระปรี้กระเปร่าเท่านั้น
    แต่ยังเป็นยาช่วยลดความวิตกกังวลหรือซึมเศร้าอย่างอ่อนๆด้วย

  6. พักผ่อนและนอนให้เพียงพอ ควรรู้จักแบ่งเวลาพักผ่อน อยู่คนเดียว
    และนอนหลับให้เพียงพอ คนจำนวนมากมีปัญหาเรื่องการนอน
    ทำให้ไม่กระปรี้กระเปร่า อ่อนเพลียและมีอารมณ์ซึมเศร้า
    เป็นการสร้างทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว

  7. ให้ความสัมพันธ์เป็นตัวเยียวยา
    การใกล้ชิดสนิทสนมกับคนที่เราผูกพันเอาใจใส่
    จะช่วยเป็นแรงเสริมให้ยืนหยัดผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากได้

  8. สนใจสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตัวคุณ
    ยื่นมือออกไปช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ คนมีความสุขมักชอบช่วยคน
    และการทำดีต่อคนอื่นช่วยให้คุณมีความสุขเพิ่มขึ้นด้วย

  9. รู้สึกขอบคุณต่อสิ่งดีๆ ในชีวิต
    ลองหยุดคิดสักนิดว่าวันนี้มีสิ่งดีๆ อะไรในชีวิตบ้าง
    จะทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น
    อย่ามัวคิดถึงชีวิตในแง่ลบเพียงเพราะตั้งความหวังมากเกินไป

  10.  ฟูมฟักตัวตนด้านจิตวิญญาณ
    ศรัทธาในสิ่งที่ดีย่อมทำให้เกิดความหวังและกำลังใจทำสิ่งที่ดี
    คนที่มีศรัทธาในศาสนาหรืออุดมการณ์เพื่อสังคม
    มีเหตุผลในการทำเพื่ออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง
    จึงเป็นคนที่มีความสุขมากกว่า
    และเผชิญกับวิกฤติได้ดีกว่าคนที่ขาดศรัทธายึดเหนี่ยว


   มาเพิ่มภูมิต้านทานความทุกข์ให้ตัวเองกันเถอะค่ะ
แล้วคุณจะยิ้มได้ตลอดไป และถ้าหากคุณยังไม่มั่นใจในระดับความสุขของตนเอง
ลองเข้าไปตรวจสอบได้จากดัชนี้ชี้วัดสุขภาพจิตคนไทย โดยกรมสุขภาพจิต
กระทรวงสาธารณสุข ที่ //www.dmh.go.th







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:49:34 น.
Counter : 248 Pageviews.  

Clean & Dirty Guide สุดยอดเมืองน่าอยู่และยอดแย่ของโลก


สุดยอดเมืองสกปรกอันดับ 1-10



  1. บากู, อาเซอร์ไบจาน

  2. ดักกา, บังกลาเทศ

  3. อันตานานาริโว, มาดากัสการ์

  4. ปอร์โตแปรงซ์, เฮติ

  5. เม็กซิโก ซิตี้, เม็กซิโก

  6. แอดดิส อะบาบา, เอธิโอเปีย

  7. มุมไบ, อินเดีย

  8. แบกแดด, อิรัก

  9. อัลมานติ, คาซัคสถาน

  10. บรัสซาวิลล์, คองโก


สุดยอดเมืองอันตราย อันดับ 1-20



  1. อิรัก

  2. อัฟกานิสถาน

  3. เชชเนีย

  4. แอฟริกาใต้

  5. จาไมก้า

  6. ซูดาน

  7. ไทย

  8. โคลัมเบีย

  9. เฮติ

  10. เอริเตรีย

  11. คองโก

  12. ไลบีเรีย

  13. ปากีสถาน

  14.  บุรุนดิ

  15. ไนจีเรีย

  16. ซิมบับเว

  17. อินเดีย

  18. เม็กซิโก

  19. อิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์

  20. เลบานอน


สุดยอดเมืองสะอาดอันดับ 1-10



  1. คัลการี, แคนาดา

  2. ฮอโนลูลู, สหรัฐอเมริกา

  3. เฮลซิงกิ, ฟินแลนด์

  4. ออตตาวา, แคนาดา

  5. มินเนอาโพลิส, อเมริกา

  6. ออสโล, นอร์เวย์

  7. สต๊อคโฮล์ม, สวีเดน

  8. ซูริค, สวิตเซอร์แลนด์

  9. คัทสึยาม่า, ญี่ปุ่น

  10. เบิร์น, สวิตเซอร์แลนด์


   สุดยอดเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกตกเป็นของ คัลการี
เมืองแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
ศูนย์กลางธุรกิจแถบตะวันตกที่เติบโตเร็วที่สุดของแคนาดา ภูมิประเทศ
ที่ราบสูงใกล้เทือกเขาร๊อกกี้
มีจุดขายที่การเล่นสกีและท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์
รายได้หลักของเมืองมาจากธุรกิจน้ำมัน เกษตรกรรม การท่องเที่ยวและ เทคโนโลยี
แรงงานชั้นสูงส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจให้บริการ สาธารณสุข และการศึกษา
คัลการียังเป็นศูนย์รวมการเดินทางในเขตภาคกลางและตะวันตก ของประเทศ
บริการขนส่งสาธารณะมีทั้งรถโดยสาร ทางสำหรับจักรยาน
และรถไฟฟ้าบริการฟรีที่ขนส่งคนไปทำงานในเมืองได้ถึง 42 เปอร์เซ็นต์
และเพราะทัศนียภาพที่งดงามบวกความเจริญของเมืองจึงมักถูกใช้เป็นโลเกชั่น
ถ่ายหนัง ถ่ายละครอยู่บ่อยๆ
ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งกีฬามวยปล้ำด้วย


   จุดเด่นที่น่าเลียนแบบมากที่สุดของคัลการีน่าจะเป็นระบบจัดการขยะ
ว่ากันว่าคนที่ไปเที่ยวที่นี่จะไม่มีวันเห็นขยะเต็มหรือล้นถัง
เพราะที่นี่มีถังขยะอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
และประชาชนถูกปลูกฝังให้รักความสะอาดอย่างสุดๆ แถมมีฮอทไลน์เก็บขยะตลอดเวลา
เพียงแค่เห็นขยะเริ่มปริ่มถังก็โทร. 311 ให้เจ้าหน้าที่มาเก็บได้ทันที
สะอาดแค่นี้ยังไม่พอ เพราะยังมีโครงการทำเมืองให้สะอาดสุดๆ
โดยความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันปรับปรุงสาธารณะสมบัติต่างๆ
ภายใต้ชื่อ Clean the Core เชื่อแล้วว่าคนเมืองนี้รักสะอาดกันสุดขั้วจริงๆ


   ส่วนอันดับที่ 2 เป็นของเกาะสวรรค์ที่คุ้นหูคนไทย ฮอโนลูลู
รัฐฮาวายของอเมริกานั่นเอง
พูดถึงความสวยงามต้องให้คะแนนเต็มร้อยแก่ความสร้างสรรค์ของธรรมชาติ
ที่บันดาลให้ฮาวายมีภูมิประเทศหลากหลายบนเกาะเดียว
โดยเฉพาะฮอโนลูลูที่มีทั้งความสวยงามของป่าฝนเขียวขจี
น้ำทะเลสีฟ้ากว้างไกลสุดสายตา และปริมาณน้ำฝนที่ไม่เคยขาดแคลน
ผู้คนที่นี่นอกจากโชคดีที่มีบริการรถสาธารณคุณภาพเยี่ยมแล้ว
รถยนต์ส่วนตัวบนเกาะยังร่วมใจใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติอย่างไบโอดีเซล เอธานอล
และไฮโดรเจน
แถมยังมีอาสาสมัครคอยดูแลเรื่องความสะอาดร่วมกับภาครัฐอีกต่างหาก
สำนึกดีขนาดนี้ได้ที่ 2 ก็ไม่แปลกใจเลย


อนาคตประเทศไทย เราเลือกได้


   หากมีโอกาสได้อ่านสรุปข้อมูลทรัพยากรด้านต่างๆ ของไทย โดย
“สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
หลายท่านคงรู้สึกทั้งดีใจและเสียดาย



  • ดีใจที่เมืองไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทาง
    ชีวภาพมากที่สุดของโลก

  • เสียดายที่ปัจจุบันเหลือพื้นที่ป่าไม้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์
    ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากร 65 ล้านคน

  • เสียดายที่แต่ละปีคนไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนิน
    ชีวิตประจำวันถึงคนละกว่าสองตันต่อปี ถือว่ามากพอๆ กับชาวนิวยอร์ค
    และออกจะมากกว่าชาวโตเกียวและลอนดอนด้วยซ้ำ
    -เสียดายและใจหายที่นอกจากป่าไม้ร่อยหรอแล้ว
    ปริมาณน้ำฝนยังมีแนวโน้มลดลงทุกปี

  • เสียดายที่ทรัพยากรดินก็เสื่อมสภาพจากการใช้งานไม่ถูกวิธีและการ
    กัดเซาะตามธรรมชาติ
    ทราบหรือไม่ว่าเราสูญเสียหน้าดินฝั่งอันดามันเพราะการกัดเซาะ
    ส่วนฝั่งอ่าวไทยเป็นเพราะการรุกล้ำทำกิน


   ไม่ต้องพูดถึงประเด็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง
ที่จะนำมาซึ่งความ “เสียดาย” อีกหลายประการ
ในเมื่อเรามีความพร้อมทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
ครั้งหนึ่งเราเคยมีชื่อติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
เคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลก เคยได้รับสมญาว่า The Land of
Smile ถึงแม้วันนี้เราจะเจอกับวิกฤติแต่ก็ยังไม่สายเกินไป
ทางเดียวที่จะรอดพ้นได้ อยู่ที่ความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคนค่ะ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:47:33 น.
Counter : 208 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.