เป็นสุขทุกขณะจิต เมื่อชีวิตไม่ติดลบ







































เป็นสุขทุกขณะจิต
เมื่อชีวิตไม่ติดลบ



เวลากินข้าว
เราไม่เพียงตักอาหารบำรุงเลี้ยงร่างกายเท่านั้น
หากยังเป็นโอกาสที่เราจะได้บำรุงเลี้ยงจิตใจด้วย
โดยเฉพาะเมื่อเรากินอย่างมีสติ รู้จักประมาณในการกิน
กินอย่างรู้คุณค่าที่แท้จริงของอาหาร
และด้วยสำนึกในบุญคุณของทุกชีวิตที่นำอาหารมาให้เรา
สติและสำนึกดังกล่าวจะช่วยบ่มเพาะจิตใจของเราให้งดงามและเป็นกุศล
นำไปสู่ชีวิตที่สงบเย็นและมีเมตตา



เวลาหายใจ เราไม่เพียงดูดออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเท่านั้น
หากยังเป็นโอกาสที่เราจะนำเอาความสงบเย็นไปหล่อเลี้ยงจิตใจด้วย
ในยามเครียดหรือเกิดโทสะ ลองหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สัก ๕-๑๐ ครั้ง
จิตจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ จะพบว่าความเครียดบรรเทาลง และจิตใจหายรุ่มร้อน
ยิ่งในยามปกติด้วยแล้ว การหายใจอย่างมีสติจะช่วยให้จิตสงบนิ่ง
มั่นคงแต่อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม



เวลาเดิน เราไม่เพียงพาตัวเองไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น
หากยังเป็นโอกาสที่เราจะพาใจให้เข้าถึงความผ่อนคลาย เป็นสมาธิ
เมื่อเดินอย่างมีสติรู้ตัวในทุกย่างก้าว ไม่กังวลกับจุดหมาย
ไม่สนใจว่าต้องเดินอีกไกลเท่าใด ไม่เร่งเร้าว่าเมื่อไหร่จะถึง
เมื่อนั้นเราจะเป็นอิสระจากระยะทางและเวลา
การเดินจึงกลายเป็นการพักใจในทุกก้าว แม้กายเหนื่อย แต่ใจหาเหนื่อยไม่


































ทุกอิริยาบถ
ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของร่างกายล้วนๆ
แต่แท้ที่จริงแล้วมีมิติด้านจิตใจมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ
เป็นมิติที่มากไปกว่าการใช้สมองหรือความคิด
หากเป็นมิติที่สัมพันธ์กับความปกติสุข (หรือความทุกข์) ในระดับจิตวิญญาณ
ทุกขณะและทุกการกระทำของเราล้วนแยกไม่ออกจากมิติทางจิตใจ
กล่าวคือล้วนส่งผลต่อจิตใจ ไม่ว่าในทางบ่มเพาะหรือบั่นทอน
หล่อเลี้ยงหรือตัดรอนความสงบเย็นของชีวิตด้านใน



ชีวิตที่สนใจแต่มิติด้านกายภาพ มุ่งตักตวงความสุขทางกาย
หรือความพรั่งพร้อมทางวัตถุ โดยไม่คำนึงถึงมิติด้านจิตใจ
เอาแต่ปรนเปรอร่างกาย โดยละเลยการบำรุงเลี้ยงจิตใจ
ชีวิตดังกล่าวย่อมเป็นชีวิตที่ยากจะพบกับความสงบสุข
มีแต่จะรุ่มร้อนเพราะความอยากที่ไม่รู้จักพอ
ขณะเดียวกันจิตใจก็แส่ส่ายทุรนทุรายเนื่องจากขาดความสุขที่แท้
จึงต้องดิ้นรนแสวงหาโดยนึกว่าทรัพย์สมบัติจะนำความสุขที่แท้มาให้
แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง จึงต้องดิ้นรนแสวงหาต่อไปไม่รู้จบ
ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่ติดลบ แม้จะมีทรัพย์สมบัติท่วมหัวก็ตาม



มนุษย์ทุกคนย่อมปรารถนาความสงบเย็นภายใน ความสงบเย็นแบบนี้หาซื้อไม่ได้
จะได้มาก็จากชีวิตด้านในที่เจริญงอกงาม
หรือจากจิตใจที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น
ผู้ที่เห็นคุณค่าของชีวิตด้านในย่อมแสวงหาสิ่งดีงามมาบำรุงเลี้ยงจิตใจอยู่
เป็นนิจ สิ่งดีงามนั้นได้แก่ความปรารถนาดี (เมตตา) การเผื่อแผ่และเสียสละ
(จาคะ) ความตั้งมั่นและความสงบใจ (สมาธิ) ความรู้ตัวและไม่หลงลืม (สติ)
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องชีวิตจิตใจ (ปัญญา) เป็นต้น


































เพียงแค่หยุดคิดแล้วหันมามองดูตน
เราย่อมเห็นได้ไม่ยากว่าอะไรคือสิ่งที่ชีวิตจิตใจของเราปรารถนาอย่างแท้จริง
แต่ในยุคนี้ดูเหมือนว่าทำเพียงเท่านี้ก็นับว่ายากแล้ว
เพราะนอกจากชีวิตจะเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาว่างแล้ว แม้ในยามที่มีเวลาว่าง
อะไรต่ออะไรก็พากันแย่งเวลาเราไปจนหมด ไม่ว่าโทรทัศน์ วีดีโอ
โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต หรือสถานบันเทิง



ยิ่งกว่านั้นก็คือกระแสเงินตราที่ไหลบ่ามาแรง โดยเฉพาะสังคมไทยใน พ.ศ.นี้
และพ.ศ.หน้า ไม่เพียงสินทรัพย์จะถูกแปรเป็นทุนเท่านั้น
หากแต่สรรพสิ่งก็กำลังถูกแปรเป็นเงินตรา
ขณะที่วัฒนธรรมของชาติกำลังถูกแปรเป็นวัฒนธรรมเชิงท่องเที่ยว
เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ คาสิโนและโต๊ะพนันบอลก็ทำท่าจะเดินตามหวย
คือถูกขุดขึ้นมาจากใต้ดินเพื่อเป็นขุมเงินขุมทองให้รัฐ
เงินกำลังกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของคนในชาติ
และกลายเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จและความเจริญของทุกสิ่งตั้งแต่บุคคล องค์กร
ชุมชน ไปจนถึงประเทศชาติ
ใช่แต่เท่านั้นเงินยังทำท่าแพร่สะพัดสุดแต่ว่าใครจะไขว่คว้าได้แค่ไหน
ไม่ว่าเงินกู้ในรูปเครดิตการ์ดที่ธนาคารแข่งกันออก
เงินล้านที่หลั่งไหลสู่ชุมชนเพื่อเอาชนะความยากจน
และเงินลงทุนอีกหลายแสนล้านของรัฐบาลในโครงการนับไม่ถ้วน



ในยุคที่เงินตราเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง รวมทั้งความถูกต้อง จนแฟชั่น "นมหก"
กลายเป็นเรื่องธรรมดาเพราะจำเป็นสำหรับการสร้างเมืองไทยให้เป็นตลาดแฟชั่น
ชั้นนำของโลก การที่ผู้คนจะแลเห็นอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าวัตถุเงินตรา
ย่อมเป็นเรื่องยาก อย่าว่าแต่เรื่องจิตวิญญาณเลย แม้กระทั่งศักดิ์ศรี
สิทธิมนุษยชน หรือสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นเรื่องโลกีย์ๆ
ก็แทบไม่มีความหมายเสียแล้วเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งหรือการเติบโตทาง
เศรษฐกิจ


































ในยามที่เงินเป็นพระเจ้านี้
สิ่งสำคัญก่อนอื่นใดคือการมีสติยั้งคิด
ไม่หลงใหลไปตามกระแสและหรือลุ่มหลงกับมายาภาพ จนลืมไปว่า มีเงินมากเท่าไหร่
ก็ไม่มีความหมายหากชีวิตติดลบ ติดลบเพราะหิวโหยความสงบเย็นภายใน
ชีวิตเช่นนี้ว่างเปล่าเพราะหาสาระที่แท้ของชีวิตไม่เจอ
ใช่หรือไม่ว่าในที่สุดชีวิตเช่นนี้ย่อมกลายเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ



ปีใหม่นี้ถึงแม้เงินจะปลิวว่อนในอากาศมากกว่าเดิม
ก็อย่าหลงเพลินกับการไขว่คว้าเงินจนลืมชีวิตด้านในของตนเอง
พึงตระหนักว่าทุกขณะและทุกอิริยาบถล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตด้านใน
ลึกลงไปในทุกกิจกรรมคือโอกาสแห่งการบ่มเพาะจิตใจและการนำความสงบเย็นมาสู่
จิตวิญญาณ พยายามใช้ทุกกิจกรรมเพื่อการสร้างความไพบูลย์งดงามแก่จิตใจ
แทนที่จะทุ่มเททุกหยาดเหงื่อให้กับการแสวงหาเงินตราและวัตถุสถานเดียว



ที่ขาดไม่ได้ก็คือการหาเวลาสงบๆ ให้แก่ตนเอง
เพื่อไตร่ตรองมองตนและปล่อยวางจากสิ่งข้องขัดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน
เวลาดังกล่าวสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเติมความสงบเย็นให้แก่จิตใจ
ถ้าทำได้เช่นนี้ ชีวิตย่อมเต็มอิ่มและนำความสุขใจมาให้ทุกขณะจิต












สนับสนุนข้อคิดนานาสาระ:

โดย พระไพศาล วิสาโล






Free TextEditor

























Create Date : 12 เมษายน 2553
Last Update : 12 เมษายน 2553 23:54:53 น. 0 comments
Counter : 395 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.