คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา
































เพื่อ
ความเจริญงอกงามแห่งปัญญา พัฒนาจิต ชีวิตพัฒนา


เรื่อง คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา

อย่ามัวโง่ งมงาย จงขวนขวายพัฒนา
และอย่าฉลาดอย่างขาด
ปัญญา
จงเป็นมนุษย์เลิศปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป
ที่สำคัญแท้จริง
จงมีปัญญาจริงแท้ในจิตใจ
ให้ได้ก่อนคนอื่น . . .

======
ว่าด้วย การบริหารเป้าหมาย
======
คนโง่
มัก
ใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมาย จึงว่ายไป แล้ววนกลับมาที่เดิม
ต้องเริ่มต้นใหม่ร่ำไป สู่อนาคตที่ได้ทิศทาง

คนฉลาด
มักตั้งเป้า
หมายชีวิตยิ่งใหญ่ จึงไม่พอใจกับภาวะที่ตนเป็นสักที
เพราะดูทีไรก็ยังห่างไกลเป้าหมายเสมอ

คนเจ้าปัญญา
ย่อมมีเป้าหมาย
สูงสุดแห่งชีวิต และมีเป้าหมายน้อยนิดสานสู่เป้าหมายใหญ่ จึงมีบันได
ความสำเร็จให้บรรลุเป็นลำดับไป ได้กำลังใจและหรรษาไปตลอดหนทาง

======
ว่าด้วย ความคิด
======
คนโง่
ทำก่อน
แล้วจึงคิด จึงผิดพลาดอยู่เนือง ๆ ต้องเปลืองเวลาและความรู้สึก
ตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด

คนฉลาด
คิดมากก่อนแล้วจึงทำ
จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีมากแต่ทำได้น้อย
เพราะเขม่าความคิดปิดกั้นความหาญกล้า

คนเจ้าปัญญา
คิดไปทำไป
จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำ
ประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความผิดพลาดขื่นขม
และประสบความสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย

======
ว่าด้วย ทัศนคติ
======
คนโง่
ดูหมิ่น
ความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ
กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจ จึงพลาดโอกาสใหญ่

คน
ฉลาด
ชอบทำดีและติดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว
จึงได้รับแต่สิ่งดีโดยมาก ครั้นพบสิ่งชั่วร้าย จะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น
ต้องถอยหนีสถานการณ์ ดวงใจแตกร้าว
ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก

คนเจ้าปัญญา
ละชั่ว
เด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์
จึงเห็นที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่า ทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ
และความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกสถานการณ์

======
ว่าด้วย ความโง่ และ ความฉลาด
======
คน
โง่
ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของตนตามที่เป็น

คน
ฉลาด
ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด

คน
เจ้าปัญญา
ย่อมเห็นความโง่และความฉลาด ที่ซ้อนกันอยู่
และรู้วิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงค่อย ๆ หายโง่
และเลิกฉลาดโดยลำดับ

======
ว่า
ด้วย การพูดจา
======
คนโง่
ชอบเถียง
เขาจึงได้การทะเลาะและความบาดหมางแทนความรู้

คนฉลาด
ชอบถาม
เขาจึงได้ความรู้และมิตรภาพ มากกว่าความแตกแยก

คนเจ้าปัญญา
ชอบ
เฉยสังเกตุลึก เข้าใจสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง แล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม


======
ว่าด้วย การวิพากษ์วิจารณ์
======
คนโง่
มัว
วิพากษ์วิจารณ์นินทาคนอื่น เพราะไม่จริงใจกับใคร จึงไม่มีใครจริงใจด้วย
เขาย่อมมีแต่มิตรเทียม

คนฉลาด
มัววิพากษ์วิจารณ์ตนอย่างที่เป็น
โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตนที่ต้องเป็นไป
คนอื่นจึงมักไม่เข้าใจเขาที่แปรเปลี่ยนไปเสมอ
และไม่มีคนเข้าใจจริงเคียงข้างเขา

คนเจ้าปัญญา
ย่อมไม่วิพากษ์
วิจารณ์ใคร ด้วยแจ่มแจ้งว่าทุกคนก็เปลี่ยนไป
เขาย่อมเลี่ยงคนที่ชอบวิจารณ์ตนและคนอื่น ทุกคนจึงสบายใจที่จะอยู่ใกล้เขา
เขาย่อมมีมิตรแท้และมั่นคง

======
ว่า
ด้วย การบริหารธรรม
======
คนโง่
ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ

คน
ฉลาด
ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี

คนเจ้าปัญญา
ใช้
ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น

======
ว่า
ด้วย การทำงาน
======
คนโง่
ทำงานเพื่อเงิน
จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่น ๆ ของงาน

คนฉลาด
ทำ
งานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และได้เงินตามมาโดยง่าย

คนเจ้า
ปัญญา
ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม
เงิน ชื่อเสียง และมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ

======
ว่าด้วย วิถีการดำเนินชีวิต
======
คนโง่
มัก
โกงเขากิน กรรมจึงกระหน่ำให้เสียทรัพย์ ยากจนอยู่ร่ำไป
ซ้ำมีศัตรูคอยกัดกร่อนตลอดเวลา

คนฉลาด
แข่งขันแย่งกันกินอย่างถูก
กฎหมาย จึงยุ่งยาก และพลาดไม่ได้เพราะมีคู่แข่งพร้อมย่ำเหยียบเสมอ

คน
เจ้าปัญญา
แบ่งปันกันกินตามความพอดี จึงมีคนช่วยสร้าง
ช่วยรักษาและช่วยเสพ และมีมิตรร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยมาก


======
ว่าด้วย การบริหารธุรกิจ
======
คนโง่
ทำ
ธุรกิจด้วยความอยากได้ ผู้คนจึงหวาดระแวง และถอยหนี

คนฉลาด
ทำ
ธุรกิจด้วยความอยากแลกเปลี่ยน ผู้คนจึงพิจารณาและคบหาตราบที่ยังได้ประโยชน์

คน
เจ้าปัญญา
ทำธุรกิจด้วยความอยากให้ ผู้คนจึงต้อนรับด้วยความยินดี
แม้จะต้องให้อะไรตอบบ้างก็ตาม

======
ว่าด้วย การบริหารทรัพย์
======
คนโง่
บริโภค
ความมีทรัพย์ นั่งนับอย่างเป็นสุขกับการได้มี

คนฉลาด
บริโภคอำนาจ
ของทรัพย์ เป็นสุขกับการที่ได้จับจ่ายใช้สอย

คนเจ้าปัญญา
บริโภค
คุณค่าแห่งทรัพย์ เป็นสุขกับการสร้าง รักษา สละ
และพัฒนาค่าของทรัพย์เป็นคุณสมบัติอื่นที่ยิ่งกว่า

======
ว่าด้วย คุณค่า
======
คนโง่
ยึดความ
ชอบ หรือ ความไม่ชอบ เป็นสำคัญ เขาจึงได้รับความสุข และ
ความทุกข์อันบีบคั้นเป็นของตอบแทน

คนฉลาด
ยึดความถูก และ ความผิด
เป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศัตรูต่างความคิดเห็นเป็นรางวัล

คนเจ้าปัญญา
ยึด
ประโยชน์สุขสำหรับทุกฝ่ายในทุกกาลเวลาเป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศรัทธา และ
มหามิตรเป็นกำนัล

======
ว่าด้วย
การอวดตน
======
คนโง่
ชอบอวดตัว เขาจึงได้รับความหมั่นใส้
การต่อต้าน และความเจ็บปวดเป็นรางวัล

คนฉลาด
ชอบถ่อมตัว
เขาจึงได้รับความเห็นใจ การดูหมิ่น และการช่วยเหลือเป็นรางวัล

คน
เจ้าปัญญา
ย่อมมั่นใจตนแต่ไม่นิยมแสดงตัว ไม่ยกตนและไม่ถ่อมตัว
แต่บริหารสัมพันธภาพเพียงเพื่อผล วางตนและสำแดงบทบาทตามหน้าที่
เขาจึงได้รับความเคารพ และความเชื่อถือเป็นรางวัล

======
ว่าด้วย ความเก่งกาจ
======
คนโง่
มัว
อวดเก่ง จึงไม่มีใครเติมความเก่งให้กับเขาอีก

คนฉลาด
ชอบเรียนรู้
เพื่อพัฒนาความเก่งให้ยิ่งขึ้น และเอาความเก่งมาใช้โดยไม่อวด จึงได้ผลงานดี
แต่อาจไม่ทุกเรื่อง และอาจไม่ยั่งยืน

คนเจ้าปัญญา
หาความเก่งไม่
เจอ แต่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เพราะมองเห็นทุกอย่างในตนและนอกตนเป็นธรรมดา
ทุกคุณสมบัติจึงเป็นปกติ และยั่งยืนสำหรับเขา

======
ว่าด้วย จรรยามารยาท
======
คนโง่
แข็ง
กระด้าง จึงล้มเหลว ดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่นลงสู่ดิน

คนฉลาด
ยืดหยุ่น
จึงกระจายตนไปในสถานการณ์ต่าง ๆ ดั่งรากไม้แผ่ซ่านไปในผืนปฐพี

คน
เจ้าปัญญา
อ่อนโยน จึงเจริญงอกงาม ดั่งยอดไม้ที่ทะยานขึ้นสู่ที่สูง


======
ว่าด้วย ความรักสัมพันธ์
======
คนโง่
ขอบ
ขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ

คน
ฉลาด
ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนือง ๆ

คน
เจ้าปัญญา
ชอบให้ปัญญาที่จะให้ทุกคนรักและเข้าใจตนเอง
จึงได้รับความนับถือและความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ


======
ว่าด้วย แหล่งมิตรภาพ
======
คนโง่
ชอบ
หาเพื่อนจากวงเหล้า หรือแหล่งอบายมุข จึงได้แต่มิตรเทียมที่นำภัยมาสู่ชีวิต
และต้องแตกแยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

คนฉลาด
ชอบหาเพื่อนจากงาน
จึงได้มิตรดีร่วมอุดมการณ์ แต่เมื่องานหมดหรือล้มเหลว
มิตรดีเหล่านั้นก็อันตรธานไป และบางคนก็ผันมาเป็นศัตรูหรือคู่แข่ง

คน
เจ้าปัญญา
ชอบหาเพื่อนจากธรรมสภาวะ
จึงได้มิตรแท้ที่มีรสนิยมเหนือเงื่อนไขทางโลก ความสัมพันธ์จึงสะอาด และ
มีแนวโน้มนิรันดร

======
ว่าด้วย
ความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์
======
คนโง่
มองแต่ความชั่วร้ายในคน
อื่น จึงหยิบยื่นแต่โทษให้แก่กัน และได้รับความทุกข์ตรมเป็นของกำนัล

คน
ฉลาด
มองแต่ความดีในคนอื่น จึงหยิบยื่นคุณค่าให้แก่กัน
และได้รับความสุขระคนทุกข์อันประณีตเป็นของกำนัล

คนเจ้าปัญญา
มอง
ทั้งความดีและความชั่วในทุกตัวคน
จึงควบคุมโทษแม้เล็กน้อยที่อาจเกิดระหว่างกัน
แล้วหยิบยื่นคุณค่าให้เพื่อการพัฒนาร่วมกัน
ปฏิสัมพันธ์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องและได้รับความ
เจริญรุ่งเรืองยั่งยืนเป็นกำนัล

======
ว่า
ด้วย การสนองตอบผู้มีประคุณ
======
คนโง่
เนรคุณผู้มีบุญคุณ
จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก

คนฉลาด
กตัญญูผู้มีบุญคุณ
จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รู้จบ

คน
เจ้าปัญญา
ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด
และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า
เกิดวงจรการให้และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

======
ว่าด้วย ชาตินิยม
======
คนโง่
ดู
หมิ่นชาติของตนเอง แต่ชื่นชมชนชาติอื่น
จิตใจเขาจึงขมขื่นและดิ้นรนไปเป็นทาสชนชาติอื่น
ซึ่งยิ่งทำให้ชีวิตขมขื่นยิ่งขึ้น

คนฉลาด
ชื่นชมชาติของตนเองแต่
ดูหมิ่นชนชาติอื่น จึงหลงตนเอง หลงพวก คับแคบ ดูหมิ่นและเบียดเบียน
แม้รุ่งเรือง ก็มีศัตรูต่างพวกเสมอ

คนเจ้าปัญญา
ชื่นชมส่วนดีในชน
ชาติของตนเองทั้งชื่นชมส่วนดีในชนชาติอื่น แล้วนำมาใช้ จิตใจเขาจึงเป็นสากล
รุ่งเรืองในโลกกว้างอย่างไร้ศัตรู

======
ว่า
ด้วย ลักษณะความสัมพันธ์
======
คนโง่
เอาแต่ได้
จึงเป็นที่รังเกียจ

คนฉลาด
เอาแต่ให้
จึงเป็นที่รักระคนทุกข์ยากแต่สุขใจ

คนเจ้าปัญญา
จัดระบบการรับและ
ให้สมดุลกันโดยคุณค่าแห่งความแตกต่าง จึงพอดีและเป็นที่พอใจ

======
ว่าด้วย ความเป็นไปได้
======
คนโง่
ชอบ
คิดว่า ทุกสิ่งที่หวังเป็นไปไม่ได้ จึงขังตนเองในความเกียจคร้าน
ชีวิตต่ำต้อย

คนฉลาด
ชอบคิดว่า ทุกสิ่งที่หวังเป็นไปได้
จึงทะยานไปในตัณหาไม่รู้จบ ชีวิตกระเจิดกระเจิง

คนเจ้าปัญญา
ย่อม
เห็นว่าในบรรดาสิ่งที่หวัง บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ บางสิ่งเป็นไปได้
ในบรรดาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดนั้น บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ถาวร
บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราว และในบรรดาสิ่งที่เป็นไปได้ถาวรนั้น
บางสิ่งก็ไม่มีประโยชน์ บางสิ่งมีประโยขน์
เขาจึงปรับความหวังให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่มีประโยชน์
และปรับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ชั่วคราวให้เป็นไปได้มากขึ้น
ชีวิตจึงอยู่กับความสมหวังและการพัฒนาโดยลำดับ

ที่มา : ปรัชญา คำสอน ข้อคิด
จากคุณ : meecharoen








Free TextEditor







































































































Create Date : 27 พฤษภาคม 2553
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 20:47:22 น. 0 comments
Counter : 370 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.