มาบ่อยๆแต่ไม่ได้ Update...ลำดับ# ๔๖
เวลาจะไปเว็บอื่น ก็แวะเข้าเว็บบล็อกตัวเองทุกครั้ง ทำเหมือนชุมทางไปโน่นมานี่ เข้ามาดูว่ามีใครมาอ่านเพิ่มไหม เห็นไม่มีเพิ่มใหม่ ก็ออกไป เพราะมีเรื่องต้องทำเยอะแยะแต่วันนี้ ไปทำแก้ไขข้อมูลเว็บที่เขาเก็บไว้ในคลังกันแล้ว สองแห่ง (ก็ยังดีที่เขายังเก็บไว้ให้)เพราะตอนนี้ที่บ้านเพิ่งเห็นคุณประโยชน์ของเว็บไซต์แล้ว Ezyplaces tumcivil ก็ดี มี link ไป SMe ฯลฯให้ด้วย ก็เลยแวะมาเขียนบันทึกไว้ที่นี่ ด้วยงงเหมือนกันว่า ทำไมเราจึงมีข้อมูลแปะไว้ทั่วมานานหลายปี แล้วก็ทิ้งๆเขาไป (ยังกับพวกผู้ชายมีหนูโน่นหนุนี่อย่างนั้นแหละค่ะ)บายก่อนละ อ่านแล้วบอกด้วยนะว่าอ่านแล้วจ้า%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%ขอเชิญ แสดงความเห็นที่บล็อกรวมค่ะ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=tiki&month=28-03-2009&group=2&gblog=34 ขออภัย กำลัง จัดกลุ่ม และ หมวดกระทู้ ทั้งหมด ใหม่อีกครั้งขอขอบคุณค่ะ ------------------------------------------------------------- %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
....คริสต์มาส ณ พัทยา.......ลำดับ# ๔๔
....บ่ายวันเสาร์...๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙รถยนต์คันที่นัดให้มารับก็มาถึงหน้าบ้านพนักงานขับรถ จอดรถสักพัก ก็เคลื่อนที่ออกจากนนทบุรี ข้ามทางด่วนไปสู่พัทยา.......ใช้เวลาประมาณ สองชั่วโมงก็ถึงเมืองพัทยา ตอนบ่ายแก่ๆพนักงานต้อนรับ นำขึ้นสู่ห้องพักเมื่อจัดข้าวของส่วนตัวในห้องหับเสร็จเรียบร้อยเราทั้งสามก็ ลงลิฟท์ไปสู่ห้องงานเบื้องล่าง เข้าประชุมกับคณะทำงานฉลองคริสต์มาสในฐานะที่ผู้เขียนได้รับเชิญให้เป็นผู้ดำเนินรายการประกาศงานเลี้ยงฉลองคืนคริสต์มาสอีฟในวันอาทิตย์๒๔ ธันวาคม ที่ใกล้เข้าไปทุกที เป็นคืนแรกที่รู้สึก ผ่อนสบาย คลายเครียดจากงานหนักทั้งปีที่ผ่านไปถึงแม้จะต้องมา "รับงาน" อีกงาน แต่สำหรับนักพูดเช่นข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยรู้สึกหนักอะไรมีแต่ สุขสันต์ในใจ เพราะจะได้แต่งตัวสวยๆในคืนคริสต์มาส อย่างมีความสุข ที่มีคนเห็นคุณค่าพอจะให้ช่วยงานเลี้ยงเขา ถึงยามค่ำ เมื่อจบอาหารค่ำเรียบร้อยก็ร่วมเสนอแนวความคิดกันหลายอย่างและหลบลงไปเดินถนนพัทยายามดึก เพื่อจะรับแสงสีเสียงบรรยากาศใกล้โฮเต็ลที่พัก .......พัทยา ยามค่ำสำหรับคนไทย โดยเฉพาะคนระดับศีลธรรมสูงนับได้ว่าเป็นที่ "อโคจร" ไม่น่าเข้าใกล้ มองไปก็มีแต่นางนุ่งน้อยห่มน้อยเดินโชว์ "สินค้า"ประจำตัว ทั่วไป......แต่สำหรับคนที่มาเป็น"ผู้ประกาศรับเชิญ" อย่างข้าพเจ้า ..ถือเสมือนว่า เป็นเกียรติที่ชาวเมืองพัทยาเลือกข้าพเจ้ามาดูส่วนหนึ่งของชีวิตอีกแบบหนึ่งที่นี่. ข้าพเจ้าจึงค่อนข้างมีความรู้สึกแจ่มใสสบายใจในที่ "อโคจร พัทยา " เพราะไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ เราจึงไม่อาจคำนวณได้ว่า แต่ละคืน ฝรั่งเข้ามาถลุงเงินให้คนไทยคืนละสักกี่ล้านกี่แสน..........แต่สำหรับเบียร์เหล้าที่ขายกันอยู่สนนราคาแพงสองสามเท่าตัวที่เห็นน่าจะเป็นสิ่งบอกได้ว่า ธุรกิจชาวกลางคืนที่พัทยา คงจะไม่ทำให้เจ้าของผิดหวังหากเขาดูแลเงินทองให้ดี...........ทุกประเทศมีแหล่งท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวบันเทิงเริงรมย์อย่างพัทยาก็เทียบเปรียบได้กับสวรรค์สุดฤทธิ์สุดเดชที่ขึ้นชื่อลือชาของคนต่างชาติทั่วโลก... ทุกปีพวกเขาจะต้องมาเยือนไทยสถิติของแต่ละคน ไม่น้อยกว่า สาม ถึงสิบ ครั้งบางคนมาทุกปีมาตลอด ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาหลายคน ถือ พัทยาเป็นแดนพบปะสังสรรค์ของพวกเขาทุกปี........ฟังดูน่าจะดีสำหรับนักเศรษฐกิจค้าเงินไทย...เหรียญมีสองหน้า หากเราไม่ใช่ "กลุ่มเป้าหมาย" ของเขาการเดินทางไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็ได้เก็บประสบการณ์หลายอย่างไว้ ให้ "ทำใจใหม่" กับทิศทางเศรษฐกิจอีกภาคที่เราไม่คุ้น พัทยา เป็นเมืองท่องเที่ยวเพื่อรับแขกต่างชาติเป็นส่วนใหญ่คืนใกล้คริสต์มาส รับลมหนาวที่กำลังกระหน่ำโซนไทยอยู่จังหวะดีที่อากาศเย็นพอให้เราเดินชื่นบานสราญใจกับแสงสียามค่ำ ดึกดึ่น ก็มี "สินค้า" มารองรับเพื่อกอบโกยเงินในกระเป๋าหนุ่มตาน้ำข้าวทั้งหลาย.....ข้าพเจ้ากับคู่หู เลือกนั่งหน้าร้านที่มีฝรั่งเดินเข้าออกเข้าไปเล่น Pool หรือ snooker ซึ่งแขกจะเดินผ่านอะโกโก้ เปลือยเกือบหมดกาย ยกเว้นจุดสำคัญที่ดิ้นกันอยู่บนเวที.........ของธรรมดาของผู้ชายทั่วโลกสินค้าเหล่านั้น..ผู้ชายไทยมีระดับคงไม่นับเป็นแหล่งบันเทิงของเขาเป็นแน่........ข้าพเจ้าได้รับการแนะนำจากเจ้าของร้านให้รู้จัก "เพื่อนต่างชาติ" ของเจ้าของร้านเหล้าริมถนนแห่งนั้นมากหน้าหลายตา..........เรานั่งกินบรรยากาศริมถนนที่มีรถพลุกพล่านติดกันเป็นทิวยาว ดูแสงสี รวมทั้งผู้คนที่แห่กันมาเดินดูคน คูสินค้าต่างๆ ..จนค่อนข้างดึก ก็ลากลับเพื่อขึ้นห้องพัก ปรับเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ24 องศา แต่เวลาออกไปยืนที่ระเบียงหน้าห้อง อากาศข้างนอกเย็นกว่าในห้องมากนัก........ลากกระดาษมาร่างสุนทรพจน์สำหรับงานอยู่สักชั่วโมงกว่า ก็เหนื่อยเพลีย ซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มบนที่นอนหนาหลับอย่างเป็นสุขสบาย กับงานที่กำลังจะทำในคืนต่อไป ........หากเราเป็นเพียงผู้เยือนเมืองพัทยาเราก็เพียงคนหนึ่งที่ผ่านมาเพื่อรับทราบความเป็นไปทุกคนมีสิทธิ์ จะชอบ หรือ ไม่ชอบ ในสภาพความเป็นอยู่สภาพเมือง สภาพแสงสี หรือ บรรยากาศชนิดใดก็ตามในเมืองนั้น...........ข้าพเจ้าเดินผ่านวัย และ วันที่ ขยาดหวาดกลัวมุมมืดของพัทยามานานแล้ว.. ในวันที่จะต้องมา "ประกาศเฉลิมฉลองคริสต์มาส"เพื่อให้คนต่างชาติร่วมงาน ก็ไม่ใช่งานหนักหนา แต่น่าจะหนักใจที่ คิวงานที่เขาจัดจัดกันไว้ ข้าพเจ้าไปเปลี่ยนเขาเสียหลายอย่างในคืนนั้นเอง.. ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับ M.C. อย่างที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่... การเปลี่ยนแปลงก็เพื่อให้งานกระชับยิ่งขึ้น หกโมงกว่าเย็นนั้นข้าพเจ้าในชุดสีดำปักเลื่อมและลุกปัดดำวาบแพรวพราว ก็เยื้องย่างออกจากห้องพักเพื่อจะขึ้นดำเนินรายการประกาศแจ้งข่าวแก่ชาวต่างชาติที่พักอยู่และ มาจากนอกโรงแรมในงานสังสรรค์ริมสระน้ำในคืนคริสต์มาส... ....อากาศเย็นสบายกำลังดีฟ้าโปร่งสดใสมีลมเย็นโชยมาเป็นระยะแขกเริ่มทะยอยกันขึ้นมาจากด้านล่างถึงเวลาทุ่มกว่า ข้าพเจ้าก็ทำหน้าที่เชิญชวนแขกต่างชาติเหล่านั้น ให้ดื่มเฉลิมฉลองถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ60 ปี และ ถวายพระพรชัยในวาะที่เป็นเดือนคล้ายพระราชสมภพของพระองค์ด้วยเช่นกัน..........จากนั้นก็กล่าวเกริ่นนิดหน่อยว่าวันนี้มีงานอย่างใดบ้าง และ เชิญแขกรับประทานอาหาร ทั้งคืนก็สลับกับวงดนตรี ขึ้นกล่าวแนะนำแขกให้คอยจับฉลาก คอยร่วมดูการแสดงสี่ภาคที่น้องผู้จัดนำมาจากกรุงเทพฯ และ เตรียมการละเล่นเกมต่างๆอีกหลายเกม.........ข้าพเจ้าก็พูดภาษาอังกฤษ สลับกับภาษาไทยไปเรื่อยๆ และ เดินไปมาระหว่างสองเวที คือเวทีนักร้องดนตรีกับเวทีการละเล่นการแสดง... และในขณะเดียวกัน ก็เดินทักทายแขกที่มาในงานพร้อมทั้งเชิญชวนให้ร่วมกิจกรรมเล่นเกม หรือร่วมร้องเพลงด้วยกับวงดนตรีที่มีคาราโอเกะเตรียมไว้ให้ ครั้นแล้ว ก็ถึงเวลา ๒๔ นาฬิกา ได้เวลาร่วมเฉลิมฉลอง คริสต์มาส มีพลุจากรอบตึก จุดขึ้นไปสว่างกลางฟ้าหลายจุด มีแขกฝรั่งในงานขึ้นพูดบอกเวลาใกล้คริสต์มาสแล้ว ข้าพเจ้าเดินไปมา ไม่รู้สึกอะไรที่จะมีใครขึ้นไปช่วยพูด หรือ ไปช่วยแสดง..อยากให้งานเป็นไปด้วยดี..........จนสองยามกว่าก็ กล่าวขอบคุณปิดงาน รู้สึกยินดีที่ได้รับคำชื่นชมว่าดำเนินรายการสนุกสนานกับแขกดี พยายามเชื้อเชิญให้แขกมีส่วนร่วมกับรายการต่างๆได้ดีแล้ว และ กลับคืนสู่ด้านหน้าของโฮเต็ลเพื่อจะลงไปได้ยินอีกแง่มุมหนึ่งของการซื้อขายสินค้าระหว่างหญิงไทย กับ หนุ่มต่างชาติหลายคู่.. ข้าพเจ้ายินดีจะขึ้นไปดูทีวีเรื่องต่างๆ ต่อไป เพราะเหนื่อยล้าพอแรง.ทิ้งเรื่องของชาวบ้านไว้ที่นั่น................ทางใครทางมัน ..ผู้คนต่างมีอาชีพกันคนละอย่างกัน..ตามวาสนาบารมีของแต่ละคน. 5154.jpg width='450' height='337' border=0>.......กว่าจะหลับได้ นั่งดูทีวี จากช่อง 60 กว่าช่องของเคเบิลทีวีในโฮเต็ลไปจนดึกจัดเกือบเช้าแล้วข้าพเจ้าจึงพอจะหลับลงได้ . .เลิกแบกสังคมไว้เสียที..........บอกตัวเองพร้อมกับหลับสนิทในนิทรา กับคริสต์มาสอีฟณ พัทยา... วันคริสต์มาสแล้วหรือข้าพเจ้าลืมตาตื่นในเช้าวันจันทร์...อาบน้ำแต่งตัว และ เดินลงไปรับประทานอาหารเช้าณ ห้องอาหาร ชั้นสอง พร้อมกับ โทรฯเรียกเด็กๆที่ตามไป และ พักอยู่อีกสองห้อง ให้ลงไปรับประทานอาหารให้ทันเวลา.. เราไม่ค่อยคุยกันเรื่อง "งานเลี้ยง" เมื่อคืน แต่คุยกันเรื่องความชอบเช่น หนังทีวี ยามดึกที่ติดต้องดูกันทุกคืนเป็นต้น... จากกันช่วงเที่ยงบ่าย ข้าพเจ้าเตรียมตัวไปเดินชายหาดดูความเป็นไปของพัทยาในวันคริสต์มาส เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกปลดปล่อยแยกความรู้สึกส่วนตัวกับงานออกได้แยกความรู้สึกงานของตน ออกจากเรื่องสังคมที่เขาบ่มกันมานานหลายสิบปีออกไปเสียได้... ชีวิตก็แค่นั้นเราทุกคนต้องทำงานทางชีวิตของแต่ละคนก็มีเส้นทางเดินที่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นอย่างไรชีวิตของข้าพเจ้าก็ยังได้รับการให้เกียรติจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี.....ยังได้เดินทางมาพัทยา ในวาระคริสต์มาสได้อย่างน่าภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง คริสต์มาสครั้งนี้มอบความรู้สึกดีๆให้แก่ชีวิตอย่างที่ไม่เคยได้คิดมาก่อนถึงอย่างไรชีวิตของข้าพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในโลกมืดเหมือนคนเหล่านั้นไม่ใช่ "สินค้า" อย่างผู้หญิงพวกนั้น ข้าพเจ้าคงจะต้องกล่าวคำว่า "ขอบคุณพระเจ้า"ของข้าพเจ้าเอง ที่ไม่ว่า จะสุข จะ ทุกข์ จะรวย จะจนศักดิ์ศรีของความเป็นคนยังอยู่เสมอไม่หลุดหายไป เลื่อมระยับของเสื้อที่แขวนอยู่ในร้านบอกว่าทุกคนไปทำงานกลางคืนเหมือนกันได้แต่ทำกันคนละโลก......ข้าพเจ้าเดินเกร่ไปหาดทรายเพื่อดูว่าคลื่นน้ำจะแรงแค่ไหนในวันที่เขาทำนายไว้ว่าคลื่นจะแรงในวันคริสต์มาสแต่คลื่นก็แรงอยู่ในส่วนของคลื่นข้างบนถนนก็ยัง มี"สินค้า" ที่เสนอขายกลางวันแสกๆณ ร้านที่มีต้นคริสต์มาสอยู่ด้านหน้าแต่ข้างใน กลับเป็นการเต้นอะโกโก้ อวดแขกต่างชาติที่เดินมุดม่านสีดำนั้นเข้าไป......ชีวิต มีทางไปหลายเส้นมันอยู่ที่คนจะเลือกไปเก้าอี้ชายหาดของนักค้าที่นั่งตั้งเรียงรายอยู่ที่นั่นอยู่ที่ใครจะซื้อ"สินค้า" นั้นหรือเปล่า.......ที่ใด ที่ต้องการเงินเพื่อดำรงชีพคนเหล่านั้นก็ทำได้ทุกอย่างที่เขาจะทำ.....ข้าพเจ้าเดินไปตามถนนเลียบทะเลของเมืองพัทยามองความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เห็นอย่างละเอียดเช่นนี้ทุกแง่มุม มาหลายปีคิด..และ คิด..และภูมิใจในคุณค่าของตน... เส้นทางเดินเลียบทะเล ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่พฤติกรรมของผู้คนข้ามถนนไปอีกนิด ..มันไม่เป็นระเบียบ..มันดูอึดอัด คุกคาม..คุกคามศักดิ์ศรีของผู้หญิงไทย.......เส้นทางสายนี้ จะไปจรดลงตรงไหน..หนอบันทึกไว้ ณ หน้าพันทิปความเรียงดึกสงัดของคืน ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ต่อเช้ามืดของอังคาร ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%ขอเชิญ แสดงความเห็นที่บล็อกรวมค่ะ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=tiki&month=28-03-2009&group=2&gblog=34 ขออภัย กำลัง จัดกลุ่ม และ หมวดกระทู้ ทั้งหมด ใหม่อีกครั้งขอขอบคุณค่ะ ------------------------------------------------------------- %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
เขียนโคลง โยงน่าน..พัทยา...ลำดับ# ๓๘
โยงน่าน..พัทยา ส่งเรื่องน่านมา เขียนโคลง โยงน่าน..พัทยา ในระหว่างช่วงที่ผ่านมา มีเรื่องต้องทำหลายสิ่งหลายอย่าง จดไว้ก็พอมี ถ่ายรูปไว้ก็มาก แต่พอใกล้จะเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงหนึ่ง เกิดลืม ค้อปี้รูปจากมือถือที่ล้นแล้วล้นอีก ผลก็คือ รูปทั้งหมดเปิดไม่ได้ จะถ่ายมาให้ดูก็ได้แต่นิดหน่อย แต่จะพยายามหามา ใส่ให้เห็นบรรยากาศบ้างสักเล็กน้อย ที่ว่า" เขียนโคลง โยงน่าน..พัทยา" จริงๆอยากจะเขียนว่า เขียนโคลง โยงน่าน..เอาหน้ารอด ......เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ๑....ในระหว่างวันยุ่งๆสองสัปดาห์ที่ผ่านมา "คุณ" ก็ถามว่าอยากไปงานแต่งงานหลานเพื่อน คนหนึ่งของเขาที่น่านไหม ....หลังจากได้ยินชื่อเจ้าบ่าว ซึ่งมีฐานะเป็น เจ้าของโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง ในพัทยา ...และเป็นลูกค้าห้างฯ ของเรา นึกหน้าว่าเป็นหลานเพื่อนของ "คุณ" จำได้ถึงอัธยาศรัยไมตรีที่นิ่มนวลน่ารักของ คุณ หลานชายของเพื่อนได้ดี จึงคิดแล้วคิดอีก ว่าจะไป ดี หรือไม่ไป ดี ไหนจะเรื่องงานแต่งงานลูกตัวเองก็ดูวุ่นๆยุ่งๆ อยู่บ้าง แต่ คิดอีกที จังหวัดน่านแพร่พวกนั้น ก็น่าไป อย่างน้อยไปดูว่า น้ำท่วมแต่ละจังหวัด มากจริงดังข่าว ทีวีช่วงที่ผ่านมาหรือไม่ และ ก็อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศแก้เครียดระยะนี้ สักเล็กน้อย ถาม"คุณ"ว่า แล้วจะไปอย่างไร "คุณ" ก็ ตอบว่า เพื่อนร่วมงานที่ว่าจะขับรถเก๋งมารับไปด้วยกัน เลยตอบตกลง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะมีพิธีการอะไรกันบ้าง คิดว่า คงมีงานแต่งต่างจังหวัดอะไรธรรมดาสามัญ คงจะมีเสื้อผ้าใส่กลางวันสักชุด ชุดเก่งเดินทางพวก กางเกงยีนเสื้อยืดเหลืองของเรา พร้อมเสื้อคลุมสักตัว ก็พอเพียงแล้ว... ทำโน่นทำนี่ไปตลอดทุกวันแม้นกระทั่งเว็บไซด์ต่างๆที่ เคยไปเขียนกลอน ตอบกลอน เรียบเรียงถ้อยคำ ก็หามีเวลาให้ไม่ จนกระทั่งวันที่สามสิบเอ็ด ตุลาคม ที่ผ่านมา ก็นึกได้ว่า จะต้องไป งานต่างจังหวัดสักทีละนะ จึงค่อยเก็บเสื้อผ้าสองสามชิ้นรวมของ ที่ต้องใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าเดินทาง ไว้แต่กลางคืน แล้วตนเองก็ ง่วนกับงานการของตนต่อไป ๒ บ่ายของวันที่หนึ่งพฤศจิกายน "คุณรัติ" เพื่อนของ"คุณ" ก็ขับรถไปจอดที่ปากซอยเพื่อแวะรับเราสองคนขึ้นรถเก๋งของเธอ ออกไป แต่บ่ายหน้าไปสู่มอเตอร์เวย์ออกบางนาไปชลบุรี เพื่อจะ ถึงที่พัทยาแทน นับเป็นเวลาเกือบปีที่"คุณ" แวะไป พัทยามาหลายครั้งครา เพราะโรงแรมเล็กๆที่ หลานของคุณรัติ กำลังก่อสร้างเร่งด่วนเพื่อ ให้เปิดทันหน้าร้อนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าขอเรียนสารภาพว่า ไม่สนใจ ลูกค้าท่านนั้น หรือ งานของเขาสักเท่าไหร่ เพราะก็คิดว่าก็คืองานตกแต่งตึกหนึ่งธรรมดาทั่วไป ไม่สลักสำคัญอะไรนัก เพียงแต่ฉุนๆ ใส่ "คุณ" หลายครั้ง ที่ มักจะ "แว่บ" ไปค้างบ่อยครั้งเหลือเกินใน แต่ละสัปดาห์ ด้วยเหตุว่า" งานเร่งไม่เสร็จ"อยู่เสมอ แต่ในช่วงนี้ ก็มีลูกค้าอีกท่านเช่นกัน นับว่าใหญ่โตพอสมควร ในกรุงเทพฯ ก็เรียนเชิญด้วยวาจาไว้ว่าให้ไปงานแต่งงานเขาด้วย เช่นกันในระยะสองเดือนนี้.. .จึงถือว่าไม่เป็นกรณีแปลกที่ลูกค้าที่ตกแต่งอาคารบ้านเรือนโรงแรมทั้งหลายนี่ให้ กลายมาเป็น"ญาติ" สนิทสนมกันเหลือเกินกับ "คุณ" ไปเสียหมด จะว่าไป คุณสมบัติส่วนตัวของ" คุณ" ที่ตลกโปกฮา เฮฮา หน้าเป็นไปเรื่อย ไม่ใช่คุณสมบัติที่ข้าพเจ้าจะชอบสักเท่าไหร่เลย แต่ในสังคมเขาก็ชอบ"คุณ" กันมากกว่าข้าพเจ้าที่ดูออกจะไว้ตัว หน้าตาเคร่งขรึม สายตาเย็นชา(อันนี้ประมวลเอาจากหลายวาจานิยาม ข้าพเจ้า ว่า*เลือดเย็น*ก็ยังมี) แต่จริงๆแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกจะขี้เล่นแล้วก็ สนุกสนานอยู่ พอสมควรสักหน่อย ทว่า เศรษฐกิจเป็นพิษ จะให้ร่าเริงเบิกบานใจ เกินขอบเขตเห็นทีจะไม่ได้มิฉะนั้นท่านผู้ใหญ่ที่คอยเอื้อเอ็นดูเรากันอยู่ จะหมั่นไส้ว่าหน้าบานเป็นจานเชิงเกินงาม แสดงว่าไม่ลำบากจริง อะไรประมาณนั้น จึงต้องสงบเสงี่ยมเรียบร้อยให้ดูขรึมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ตามวัยไว้ก่อน และก็จะทำให้เจียมเนื้อเจียมตัวได้ง่ายกว่าเดิม ที่เคย ออกกร่างมาก่อนก็หุบได้เหมือนกัน ๓ เมื่อไปถึงที่จอดรถข้างโรงแรมดังกล่าว มองขึ้นไปเห็นตึกที่เคยเห็น เวลาคุณถ่ายรูปมาให้ดูอย่างภาคภูมิใจแต่เราฉุนใส่เสมอว่า "คุณ"หลงเสน่ห์ โรงแรมกระจอกนั่นอะไรนักหนา จนลืมงานลูกค้าคนสำคัญหลายคนในกรุง ไปซะอย่างนั้น... เปรียบได้ว่า"คุณ"ใส่ทั้งชีวิต จิตใจ และ อาจจะร่างกาย(แหะๆ) ของ"คุณ" ไปไว้ในตึกนั้นได้อย่างไร ก็แปลกดี โรงแรมดังว่า มันแค่โรงแรมเล็กๆ หกเจ็ดชั้น ในพัทยาสายสอง ที่อย่างไร ก็ไม่ดึงดูดความสนใจความน่าศรัทธาของข้าพเจ้า ไปได้ แต่...นึกถึงเวลาที่ "คุณ" มักกุลีกุจอจะต้องไปทำให้เสร็จทุกอย่างให้ได้ ทันเวลา ที่สัญญาว่าขอเวลา สามเดือน กลายเป็น แปดเก้าเดือนไป ดึงเวลาที่จะต้องตกแต่งบ้านอื่นๆ หรือ สำนักงานลูกค้าท่านอื่นไปหมด มิหนำซ้ำ ยังลาก เอาลูกชายคนเดียวของเราที่กำลังเรียนสถาปัตยกรรมภายใน ณ มหาวิทยาลัย เอกชนแห่งหนึ่ง ไปสิงสู่ที่นั่นหลายครั้งให้ข้าพเจ้า ฉุนขาด เอาบ่อยๆ มองขึ้นไปเห็น "วิญญาณ"ในงานตกแต่งของ "คุณ"มันกระจ่าง ออกมาอย่างน่าทึ่ง...มองเห็น "เสรีภาพ"แห่งงานตกแต่งภายใน ตัวตนของ"คุณ" มันอยู่ตรงนั้นเลย ... .อะไรที่วาดไว้ในใจอย่างน่ากลัวน่าขยะแขยงอย่างที่ชอบ วาดนรกในอากาศ ไว้ มันเริ่มหลุดร่อนลงมาให้เห็น อะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ .......มันไม่ใช่ เพราะบาร์อะโกโก้ น่ารังเกียจ หรือ สนุ้กเกอร์ที่เรียงราย สนนราคา แพงสำหรับรับลูกค้าฝรั่งแถบนั้น..เพราะคุณก็ยืนยันว่า คุณไม่ใช่"ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย" หรือ "ป๋า"ของคนพวกนั้น .....แล้วอะไร แล้วใครที่ทำให้คุณ ศรัทธากับตึกในซอกในซอยนี้นักนะ ? ข้าพเจ้ายังไม่เห็นเจ้าของคือคุณพ่อคุณแม่ลูกค้า ...แต่"คุณ"ก็ขอให้พนักงาน ต้อนรับสาวน่ารักที่ว่าเพิ่งเข้าใหม่มาได้สิบวัน แต่คล่องแคล่วว่องไวพาเดินไปเปิดดูห้องเดี่ยวธรรมดา ราคาวันละ หลายพันบาท กับห้องเดอลุกซ์ ราคาประมาณสี่พัน กว่าบาท ไปจนถึงห้องสวีท ที่มีอยู่ไม่กี่ห้อง ..ชี้ให้เห็นสิ่งที่สายตาเราเห็นมานาน แต่เพิ่งเห็นของจริง ณ ขณะนั้น เห็น"รูปแซะสิ่ว" ที่ลูกชายหอบมานั่งทำที่บ้านให้ลูกค้าติดต่อมาหลายครั้งครา ติดอยู่ตรงทางเข้าห้องทุกห้อง...เห็นสระว่ายน้ำชั้นบนสุดของตึก มองไปเห็นที่จอดรถด้านข้าง ซึ่งกำลังมีการก่อสร้าง ศูนย์การค้าใหญ่อยู่ ๔ และ แล้ว ก็ถึงเวลาที่ เจ้าของโรงแรมเชื้อเชิญให้เดินข้ามถนนซอยไปนั่งในห้อง สนุ้กเกอร์ ที่เต็มไปด้วยแขกฝรั่งหลายคนกำลัง เล่นกันอยู่... .อีกมุมอับๆด้านโน้น เห็นร่างเกือบเปลือยตลอดของสาวอะโกโก้ สัญลักษณ์พัทยา เดินไปเดินมาแว้บๆ ในความรู้สึกปนสังเวช..ปนกับความรู้สึกที่เคยต่อต้านกับกิจการเหล่านี้มาตลอดเหมือนเห็นเหล่ามาเฟียกับลูกสมุนล้อมกาย ข้าพเจ้าเองต่างหากที่มานั่งอยู่ ตรงนี้ได้อย่างไร ก็น่าแปลก ชีวิตเราเลือกไม่ได้ แถมกิจการแห่งนี้ยังเป็น"ธุรกิจ" ของ "หลานชาย" คนเรียบร้อย นิสัยดี หล่อสนิท ของเพื่อนงานของ"คุณ" ไปเสียอีก อะไรที่เราเคย แอนตี้ ต่อต้าน ส่ายหน้าระอาใจ หมิ่นหยามในบางครั้งในกระแสเสียง ของเราเวลาเอ่ยถึง"คุณ"กับงานของ"คุณ" มันกลับหายหดลงไปทุกที เพราะที่ข้างหน้าของเรา คือเหล่าอเมริกัน และ ยุโรปที่เขามีวิถีชีวิตปกติของ พวกเขาอย่างนั้น เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่มาอยู่เหยียบในผืนแผ่นดินพัทยาแห่งไทย เรานี่เอง... ช่วงเวลาชั่วโมงกว่าระหว่างรอรถโค้ช ข้าพเจ้าก็สื่อสารกับต่างชาติกลุ่มหนึ่ง ที่พร้อมจะเดินทางขึ้นไปงานแต่งงานของ "หลานวัด" เล่าประวัติของพัทยาและสัตหีบ ในยุคอเมริกันอันตราย กับเครื่องบินบีห้าสิบสองบรรทุกระเบิดใส่เวียตนาม และ เรื่องของปลา โลมาสีเงินที่ว่ายอยู่ในน่านน้ำไทยเพื่อมีหน้าที่ ตัดสายระเบิดใต้น้ำที่เหล่าเวียตกงดำ เข้ามาซุกซ่อนไว้ในอ่าวไทยเมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา... เราทั้งหมดคุยกับชาวต่างชาติ เหล่านั้น ที่เป็น"เพื่อน"ของเจ้าของกิจการ จนลืมไปแล้วว่าเรากำลังนั่งอยู่ในบาร์สนุ้กเกอร์ ที่ข้างหน้ามีบาร์อะโกโก้ ตั้งอยู่ สถานที่ที่ข้าพเจ้ามีความคิดเสมอมาว่า จะมีมีวันเหยียบย่างเข้าไปเลย เป็นอันขาด ! ๕ เมื่อรถโค้ชมาถึง คุณแม่ของ"หลานวัด" ก็มาเชิญทุกท่านขึ้นรถ เป็นผู้หญิงวัย ห้าสิบกว่าที่ดูคมกริบ แคล่วคล่องว่องไว พูดเก่งทั้งไทย และ อังกฤษแบบชาวชนบท ไทย ที่แสนจะลื่นไหล สื่อความหมายได้ดีกว่าชนชั้นวิทยาการอย่างพวกเรานัก ข้าพเจ้า เพลินฟังสำนวนธรรมดา ศัพท์แสงธรรมดา วิธีใช้คำธรรมดาไม่สนใจเวิร์บต่างๆของ เธอแล้วก็ ทึ่ง สรุปว่า ทึ่ง ที่คนธรรมดาสามัญอย่างเธอ สามารถสร้างโรงแรมระดับร้อย ล้าน ได้...คนที่ดูเป็นลูกทุ่งเสียงเหน่อๆ พูดง่ายๆตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นไทยหรือ อังกฤษ ส่อความสนใจกับแขกทุกคน เอาใจใส่ทุกคนอย่างดี... นั่นกระมังที่ทำให้แขกทุกคนรู้สึกอบอุ่นกับผู้หญิงไทยธรรมดาคนนี้... นั่นกระมัง เสน่ห์ที่ "คุณ" ของเรา ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนามากว่าเก้าเดือนที่นี่ ที่ฉันเพิ่ง เคยเหยียบย่างมาดู ผลงานของ "คุณ " ที่นี่ในวันนี้... ขอสารภาพว่า..วันที่โวยใส่ลูกชายว่าจะไปยุ่งอะไรกับบาร การี่ ในวันนั้น และลูก ชายเถียงเสียงเรียบเย็นว่า "แม่ คนเขาก็ทำมาหากินโดยสุจริต เป็นลูกค้าที่ดีของพ่อ แม่จะไปยุ่งรังเกียจอะไร ทางใครก็ทางมัน...แม่ อย่ายุ่ง" วันนั้นหมั่นไส้ลูกเหลือหลาย แต่วันนี้..ข้าพเจ้าเองนี่แหละ ที่กำลัง ทึ่ง...กับวิถีชีวิตของคนคู่นี้ อย่างแปลกประหลาด คนเราหากไม่เคยทำบุญร่วมกันมา มีหรือจะได้เดินทางใกล้กัน คำพูดของข้าพเจ้าเองแว่วเข้ามาในหูหนังสือที่มีรายชื่อผู้ร่วมบุญคือ ครอบครัวญาติเพื่อน หรือ "หลานวัด" ของเรานั้น ได้ถูกส่งใส่มือ "อากู๋" เพื่อนของเราเพื่อไว้มอบให้ คุณ หลานผู้เคยร่วมบุญร่วมทานบริจาคสร้างหนังสือธรรมะร่วมกัน อีกภาพหนึ่ง อีกภาคหนึ่ง ของชีวิต ข้าพเจ้าสะท้อนสะท้านใจในวันนี้..วันที่อภิชาติบุตรคนดีของ ผู้ชายผู้หญิงเลือดอยุธยา คู่หนึ่ง ณ เมืองพัทยา คนที่กำใจดีไซน์เนอร์อย่าง"คุณ"ไว้อยู่หมัด ...ผู้หญิงอย่างข้าพเจ้า จะต้องเรียนรู้ชีวิตให้มากกว่านี้ โลกไม่ได้ มีสีขาว สีดำ ไว้ป้ายกันอย่างเด่นชัดเหมือนอย่าง ที่ข้าพเจ้าเคยรู้จัก วัด และ วิถีทางโลก มีเส้นแบ่งครึ่ง และ เส้นแบ่งใช้กันอยู่ที่เงินตรา ...ข้าพเจ้าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง....คุณสมบัติงดงามของ"หลานวัด" ทุกครั้งที่พบกันเป็นสิ่งที่บอกว่า ....คนเราไม่ได้เกิดมาดีโดย สายเลือด แต่เกิดมาดี โดย กรรมของตนในอดีต ชาติโดยแท้ ๖ เส้นทางรถโค้ชขึ้นไปในความมืด เด่นชัดขึ้นทุกที อากาศเริ่มเย็นลงเพราะเครื่อง ปรับอากาศในรถทำงาน ข้าพเจ้านั่งในที่ของตน หลับไปบางครั้ง ลงไปยืดเส้นยืดสายเข้า ห้องน้ำตามปั๊มระหว่างทาง คนขับรถในวันนี้ เป็นพี่ชายเจ้าของรถโค้ชสองชั้นคันดังกล่าวเอง มาขับให้อย่างนิ่มนวลไม่มีกระโชกกระชากตลอดระยะทางไป และ กลับด้วยเช่นกัน พอดึกขึ้นเรื่อยร่องรอยน้ำท่วมระหว่างทางแถบสิงห์บุรี นครสวรรค์ ฯลฯก็มีให้เห็น ข้าพเจ้าจึงขอ"คุณ" ไปนั่งด้านหน้ารถเพื่อ จะดูหนทางข้างหน้า..และ ข้างทางตามที่แสงไฟสาดส่องไป ช่วงระยะเวลาเหล่านั้น มีเสียง เหน่อๆที่ฟังอบอุ่นจริงใจ ของ "แม่ติ๋ม" คุณแม่ของ "หลานวัด" ดังมาสลับกับเสียงคนที่นั่ง ด้านข้าง บรรยายทิศทางในรถ ข้าพเจ้าจึงนั่งคุยเรื่องเส้นทางกับเขาไปจนเกือบตีสี่ตาม ความเคยชินที่ชอบนอนดึกของตน.. .แล้วก็ลากลับมานั่งประจำที่หลับไปตื่นอีกสองทีที่ปั๋มน้ำมันจังหวัดแพร่เพื่อจะโผล่ที่น่านตอนเกือบเจ็ดโมงเช้า ๗ ที่วังปลา ริมน้ำน่าน คือเป้าหมายแรก ทุกคนต่างลงรถไปหาที่เข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เราสองคนตกรถโค้ชช่วงนี้เพราะขึ้นไปบนบ้านหลังหนึ่งของเจ้าของบ้าน และเพราะมัวแต่ เลือกแต่งตัวกันช้าไปหน่อยเลยต้องอาศัยรถตู้ที่มาจากอุตรดิตถ์ ไปที่บ้านงานแทน เมื่อไปถึงงาน ข้าพเจ้าก็ไม่รั้งรอที่จะถ่ายรูป พิธีการธรรมเนียมแห่ขันหมาก สู่ขอ รายการเปิดแสดงสินสอดทองหมั้น ได้ยินว่า บ้านเจ้าบ่าวนำเงินสดไป หนึ่งล้านกับอีกเศษ สี่ร้อยสี่สิบสี่ และล้วงเอาทองเป็นกำๆขึ้นมาอีกนับสองล้านเป็นมูลค่าสามล้านกว่าบาททั้งหมดในวันนั้น แต่อนิจจา ความที่ไม่ได้ดึงรูปเก่าออกจากเครื่องมือถือทำให้เครื่องรวนถ่าย ต่อไปไม่ได้ ได้มาไม่กี่รูป แต่ก็ยังดีที่มีแสดงให้เห็นภาพตอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งหน้าคุณ พ่อคุณแม่ ระหว่างสองท่านนั่นล้วงสมบัติสินสอดทองหมั้นทั้งหลายออกมา ได้เห็นขนมนมเนยมากมายตามธรรมเนียมไทย ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างจะได้ไว้ เปรียบเทียบกับงานแต่งลูกสาวเราเองบ้าง งานดำเนินไปตามสะดวก แต่แล้ว คุณพ่อเจ้าบ่าวก็มาบอกว่า ขอแรงให้ข้าพเจ้าขึ้นไป กล่าวสุนทรพจน์แทนฝ่ายเจ้าบ่าวกันหน่อย...ถึงจะปฎิเสธอย่างไร พ่อเจ้าบ่าวก็ยัดเยียดหน้าที่ ให้แก่ข้าพเจ้าจนได้...ด้วยความงงเล็กน้อยว่า ตัวเองอาวุโสอย่างไรกันหว่า ก็ถึงเวลาใกล้ จะกล่าวแล้ว ทำไงได้ ........อาศัยสมองว่างพอสมควร เลย ร่าง "โคลง โยงน่าน..พัทยา" ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันด่วน นาฬิกาข้อมือข้าพเจ้ายังปรากฏเลขวันที่ ๑ ขึ้นมาอยู่ ถามคนที่บ้านนั้นว่าที่นี่เลขที่เท่าใดของ จังหวัด เขาก็ว่า เลขที่ ๑ อีก ดังนั้น ข้าพเจ้าก็ ขอยืมปากกาฝรั่งคนข้างๆน่าจะเป็น GARY มาเขียนโคลงเสร็จสองบทจนได้ แถมแปลฝรั่งไว้ให้เสร็จสรรพ ขอบคุณแท้งกิ้ว กับเจ้าของปากกา ไปแล้ว ก็ เดินขึ้นลงไปบนบ้านชั้นบน อีกสองสามครั้งเตรียมตัวไม่ให้ดู น่าเกลียด ชุดที่ใส่ไปดูไม่ค่อยได้จริงๆเพราะประมาทว่าเป็นงาน"บ้านนอก" ไม่ต้องหรูหราอันใด เอาเข้าไป กลับจะต้องขึ้นพูดในฐานะอะไรไม่ทราบของบ้านเจ้าบ่าว ไปเสียแล้ว เออหนอเรา จะจำไว้เป็นบทเรียนอีกบท ๘ ครั้นพิธีการแบบไทยๆผ่านไป พระสงฆ์ก็กลับกันไป วงดนตรี ลูกทุ่งมาลินี เขาก็ แสดงกันแน่นหนานัก จากนั้นพิธีกรซึ่งเป็นอดีตส.ส. จังหวัดก็ขึ้นกล่าวนำแบบ ผู้ชำนาญการเวที เรียกเสียงฮาได้บ่อยครั้ง แล้วก็ถึงตาข้าพเจ้าต้องกล่าวสุนทรพจน์ละ ขึ้นไปถึงก็ขอบคุณ ผู้ใหญ่ในงานที่มาสามคนตามด้วยแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายตาม ระเบียบ แล้วก็ อ่านโคลง"โคลง โยงน่าน..พัทยา" ปัจจุบันทันด่วนของเราอย่างช้าๆ แถมให้ ว่า มีแขกฝรั่งมาด้วย จำเป็นจะต้องแปลให้ฝรั่งขี้นกทั้งหลายนี้ฟังด้วย ตบท้ายด้วยเชิญชวญทุกท่านไปพักโรงแรม พ่อแม่เจ้าบ่าวในราคาพิเศษ เสียอีก ที่จะกล่าวสรรเสริญเยิรยอใคร หรือ จะฝากฝังเจ้าบ่าวชาวพัทยาไว้ในอ้อมแขนชาวเมืองน่าน ตามที่คุณพ่อเจ้าบ่าวขอไว้ ก็หาได้พูดไม่ แต่เอาเป็นว่า พอจบคำกล่าวแล้ว เหล่าฝูงชนทั้งหลาย ก็รู้สึกสนุกสนานกันเต็มที่ ดื่มเบียร์ดื่มเหล้ากันยกใหญ่ พอวงดนตรีเขามีร้องเพลงลูกทุ่ง สนุกสนานมากหลาย เว้นไว้แต่ข้าพเจ้าดื่มแต่โค้กอย่างเดียว สลับกับกินขนมจีนน้ำยารส เข้มอร่อยถูกใจไปเรื่อย.. .แล้วเหล่าเท้าไฟทั้งหลาย ก็เปลี่ยนหน้าเวทีเป็นบาร์เต้นรำสนุก กิ๊บกิ๊วเฮฮา ข้าพเจ้าเลยลากมือ "คุณ" ขึ้นไปวาดลวดลายปล่อยแก่กับเขาบ้าง เพราะมีคุณยาย อายุสักเจ็ดสิบได้ ขึ้นไป เต้นง้องแง้งน่าสนุกมากอยู่ด้วย ตามที่ทราบมาว่า พองานเสร็จ ก็จะไปชมเมืองแล้วคงจะได้กลับบ้านกัน อ้าว เปล่า เสียแล้ว กลายเป็นว่าเราจะไปชมเมืองน่าน โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์สถานเมืองน่านแล้วก็เข้า โรงแรมเทวราชเพื่องานแต่งงานครั้งนี้ต่ออีกรอบ ....แล้วถึงจะขึ้นรถกลับได้... กว่าจะรวบรวมพลพรรคขบวนที่มากันเนื่องจากล้วนแล้วแต่เป็นคอเหล้า กำลังสนุกกันเต็มที่อยู่หน้าเวที เมื่อได้เวลาขึ้นรถโค้ชเพื่อเดินทางเข้าตัวเมือง ด้วยไกด์กิตติมศักดิ์ หลานเจ้าของบ้านที่จัดงานแต่งในช่วงเช้า ที่แรกที่ไกด์จำเป็นพาไป คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ และ ตามไปที่วัดช้างค้ำ ที่ที่มีต้นสาละ ต้นไม้ซึ่งพระพุทธเจ้าประสูติอยู่ที่นั่น เมื่อได้เวลาดูโบราณสถานอันงามของน่านแล้วแม้ข้าพเจ้าจะใคร่ไปดูลายผ้าน้ำไหลของจริงในตลาดสักปานใด แต่เวลาก็ไม่มีให้แล้ว ทุกคนต้องดิ่งตรงไปที่โรงแรมเทวราช เพื่ออาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าไปร่วมงานเลี้ยงแต่งงานรอบเย็นอีกครั้ง........ชุดที่ใส่มาแต่เช้ามืดยันเย็น ที่คิดว่าจะเป็นชุดเดียวที่ใส่ตอนกลางวันแล้วเย็นจะใส่เสื้อยืดกางเกงขาว กลับบ้าน เป็นอันต้องเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าต้องนำผ้าคลุมไหล่ที่มีคนซื้อฝากจากอินเดียและนำติดตัวมาเผื่อหนาวมากางทาบไหล่ เจาะคอเข้าไป ดึงเส้นด้ายออกให้มีด้ายพริ้วออกมา หาเข็มกลัดกลัดข้างสี่ตัวแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อจะได้เป็นชุดงานเลี้ยงค่ำ ข้าพเจ้าแต่งตัวสบายค่ำนี้ ก็คิดว่า คงจะ หาที่นั่งรับประทานอะไรสบายๆก่อนกลับ เท่านั้น.......แต่แล้ว ในที่สุด ก็จำเป็นจะต้องขึ้นพูดบนเวทีให้แก่ฝ่ายเจ้าบ่าวอีกครั้ง ถึงแม้จะปฏิเสธว่า โพยที่เขียนไว้ไม่ได้เอามา แต่งกายก็ไม่เรียบร้อยปานใด ก็จำต้องออกไป ขอให้เขียนใหม่ พอดีนึกได้ว่า จดบันทึกไว้บนหน้าในสมุดิอวยพร ให้คุณ"หลานวัด"เมื่อบ่าย จึงไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่หน้างาน ยก สมุดลงนามอวยพรเล่มนั้นมาแก้ขัดเฉพาะหน้าไปก่อน อย่างไม่ได้เตรียมตัว อย่างผิดพลาดบกพร่องเพราะไม่มีเวลาจะดูแม้วันเวลา ว่าเป็นวันที่อะไร ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปกล่าว โคลงโยง น่าน พัทยา ของข้าพเจ้าอีกครั้ง พร้อมด้วยคำแปลอีกเช่นเคย อีกทั้งยังต้องขึ้นอีกเป็นรอบสอง เพื่อเชิญทุกท่านในงานให้ไปร่วมงานที่พัทยาวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้อีกรอบ เมื่อเขาให้เกียรติข้าพเจ้ากันปานฉะนี้ ข้าพเจ้าก็จำเป็นจะต้องตอบแทนน้ำใจนั้นให้สมแก่การกัน ข้าพเจ้าจะทำอะไรผิดพลาดบกพร่องตกหล่นไปอันเป็นการเสมือนไม่ให้เกียรติชาว น่าน ชาว พัทยา หรือ ชาวจังหวัดอื่นใดอันเป็นญาติของทั้งสองฝ่ายไป ก็ โปรดอภัยให้กันไว้ที่นี้ด้วยเพราะ หลังจากที่ลงนั่ง แล้ว " คุณ" ก็ดุ ข้าพเจ้าว่า " ไหนว่าจะเปลี่ยนวันที่ ให้ถูกต้องอย่างไรเล่า วันนี้มันวันที่สองนะ ไม่ใช่ที่หนึ่ง " ข้าพเจ้าก็ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมกล่าวขออภัย เพราะว่าทราบมาภายหลังว่า บรรดาท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายซึ่งได้รับเชิญขึ้นไปพูดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นระดับนายกเทศมนตรีเมือง เป็นรองผู้ว่า เป็นอดีต ส.ส. หญิงแห่งเมืองน่าน แม้กระทั่งท่านพิธีกรในงานเลี้ยงตอนค่ำ ท่านก็เป็นถึงท่านรองผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาอันโด่งดังของจังหวัด ...อันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก เป็นบทเรียนในครั้งต่อไป..ที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกอย่าง สำหรับเหตุการณ์เฉพาะหน้าเช่นนี้ แต่ดวงของข้าพเจ้าก็คงเลี่ยงไม่ได้ ด้วยมักจะต้องเกิดเหตุ ที่ตนเองอยากทำอะไรง่ายๆสบายๆอยู่เสมอ ทั้งปากหนักไม่ค่อยชอบถามถึงพิธีการในงานแต่ละงานให้ถ่องแท้ แต่ครั้งนี้ขอยอมรับว่า มิได้คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องขึ้นพูด..เลย ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าเอ่ยคำขอโทษขอโพยชาวน่าน ไปถึงชาวพัทยามาณ ที่นี้แล้วนั้น ก็ต้องขอบคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ช่วยให้ข้าพเจ้าเขียนโคลงกู้หน้าได้ทันควันไว้ ณ บันทัดนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อรถกลับถึงพัทยาในเช้าวันที่สามพฤศจิกายน อันเป็นวันต่อมาเจ้าของโรงแรมก็สั่งเปิดห้องเดอลุกข์ให้เราทั้งสองเข้าไปอาบน้ำแช่จากุ๊ขขี่คลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ลงมารับประทานอาหารเช้าแล้ว "คุณ" ก็ขับรถของ "อากู๋" เพื่อนของเขากลับนนทบุรี เพราะ เจ้าของรถยังเมาอยู่ ณ เมืองน่านนั่นเอง...ถือว่าเป็นบทเรียนชีวิตหลายหลาก ที่คนเราจะตัดสินคนอื่นตัดสินวิถีชีวิตคนอื่น ตัดสินอะไรเฉพาะหน้า โดยมิได้รู้จักใครอย่างถ่องแท้นั้นมิได้... การที่เรา ...ให้เกียรติคนอื่นน้อยไปนั้น...มันช่างน่าอดสูใจเสียนี่กระไร......ถึงแม้ข้าพเจ้าจะดำรงชีวิตมานับเป็นสองหมื่นกว่าวัน แต่ยังติดนิสัยให้เกียรติคนน้อยไปนี้นับเป็นบทเรียนชีวิตที่จะต้องจดจำไว้อีกเนิ่นนาน หลายครั้งที่ข้าพเจ้า ต้อนรับใครก็ยังไม่สมเกียรติแม้นเมื่อไปเป็นแขกของใครก็ทำเสมือนไม่ให้เกียรติผู้เป็นเจ้าของงานเจ้าของสถานที่อยู่หลายครั้ง นึกถึงเวลาคุณพ่อคุณแม่ของตนคอยอบรมสั่งสอนเรื่องการแต่งกายให้ สุภาพดูดีมีสง่าติดจะหรูหราสักนิดเวลาต้องเข้าสมาคม เทียบกับการเป็นอยู่กับเหล่าผู้คนที่ชินชากับการแต่งกายธรรมดา ไม่สนใจเสื้อผ้าบุคลิกของตน จนกลายเป็นเสมือนไม่ให้เกียรติแก่งาน แก่สถานที่ ...ที่เราย่างไป...คิดแล้วจึงรู้ว่าเราพลาดไปอีกแล้ว เรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยปราถนาจะนำโคลงมาลงดังชื่อที่ตั้งไว้ขอเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อสอนใจให้ข้าพเจ้ารำลึกถึงความควรไม่ควรในการมีกาละเทศะของตน ให้ถูกคน ถูกสถาน ถูกกาล ถูกเวลา ..หากคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะเกรี้ยวโกรธโกรธาในความไม่ระมัดระวังตนเรื่องระเบียบพิธีการสวมเสื้อผ้าของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง .... การบันทึกไว้ อาจจะช่วยทำให้ความรู้สึกไม่สมควรกระทำของตนหดหายไปได้...มันแก้อดีตไม่ได้ แต่อนาคต จะต้องไม่เป็นเช่นนี้อีก..แม้นว่าตนเองจะชื่นชอบการเป็นอยู่สบาย แต่งกายสบาย..อย่างที่ตนเป็น แต่ในภาวะเรื่องงานการดังกล่าว...ข้าพเจ้าพลาดโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้าขอจบบันทึก ไว้ณ ที่นี่ แต่เวลานี้ ใดใด ที่ทำให้ลดเกียรติคนอื่นลงไป ข้าพเจ้าก็ขออภัยในความบกพร่องของตน ถือเป็นความผิดบกพร่องของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว บันทึกไว้ ณ เรือนนนทบุรี เสาร์ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เวลา๑๙:๕๕ นาฬิกา %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%ขอเชิญ แสดงความเห็นที่บล็อกรวมค่ะ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=tiki&month=28-03-2009&group=2&gblog=34 ขออภัย กำลัง จัดกลุ่ม และ หมวดกระทู้ ทั้งหมด ใหม่อีกครั้งขอขอบคุณค่ะ ------------------------------------------------------------- %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
ฝันอะไรอย่างนั้นอีกแล้วล่ะ ...ลำดับ# ๓๗
...เมื่อคืนวานเพราะฉันเหนื่อยใจกับงานที่ทำไม่เสร็จ ...แถมง่วงมากหลังอาบน้ำตอนสี่ห้าทุ่มก็นอนพังพาบไปกับเตียง พักเฉยๆไม่คิดจะหลับแต่กลับหลับไปเลย....แล้วฉันก็ฝัน ฝันอีกแล้วในฝัน มีผู้หญิงคนที่สามีฉันนับเป็น "เพื่อน" เธอยืนกับ ผู้หญิงอีกคนที่ฉันไม่ทราบว่าเป็นใครในฝัน เพื่อนของสามี พยายาม"ยก " หรือ " ยัดเยียด" ผู้หญิงคนนั้นให้สนิทสนมกับสามีของฉันอีกแล้ว.....ฉ้นเห็นตัวเอง ห่างจากพวกเขาออกมาในฝันว่าฉันถูกจับขึ้นรถให้ห่างพวกเขาไป..แล้วก็พยายาม จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาแต่ก็ห่างไกล ..มีภาระ หน้าที่ต้องจากเขากันอีกแล้ว.....แล้วฉันก็ตื่นมันฝันเสมือนจริงอีกแล้ว....ฉันไม่ชอบความฝันอย่างนี้เลยมันทำให้ฉันหงุดหงิด ทั้งวันแล้วยิ่งเมื่อค่ำ เมื่อได้ยินว่า คุณสามี พูดเรื่องไปทำธุระเรื่องคุณแม่ของเขา ใกล้ๆ กับถิ่นที่เพื่อนเขาอยู่ แล้วเลยโทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนนั้น หวังใจจะไปเยี่ยมเยียนแล้วก็ทราบว่า เพื่อนคนนั้น กำลังมี "แขก" เพื่อนหญิงสาวมาจากอังกฤษ ..ฉันก็ จี๊ด จี๊ด ขึ้นมาอีกแล้ว......ทำไมต้องฝันนะฝันทำไม....ฉันหอบงานไปนั่งทำอีกห้องหนึ่งแล้วทบทวนความฝัน ที่ทำให้ฉันโมโหอย่างยิ่งนั้น....เมื่อเขากลับมาที่ห้อง ฉันก็เอามือไปพาดไหล่เขาและ ก็พูดกับเขาว่า "ว่าไงเพื่อน " "เพื่อนอะไร " เขาสงสัย ฉันจึงพูดว่า" ก็เพื่อนไง อีกหน่อยคุณคงมีเพื่อนหญิงใหม่ๆอีกแล้ว" เขาทำสีหน้ายุ่งยาก แล้วรีบบอกว่า" ไม่เอาแล้ว พ่อจะไม่ติดต่อหรือไปหาพวกเขาแน่ๆคิดอีกทีว่า สามีเขาที่ตายไป น่ะ เจ้าชู้ หากไปติดต่อกับเขาอีกเขาอาจมาพูดให้แม่ คิดว่า พ่อ เจ้าชู้อย่างสามีเขาก็ได้ ไม่เอาละ พ่อไม่ใช่คนเจ้าชู้ "ฉัน ยิ้ม เริ่มอารมณ์ดีขึ้นหน่อย แม้นว่าโบราณเขาจะเตือนว่าคนที่พูดว่าไม่เจ้าชู้น่ะที่แท้ละตัวเจ้าชู้เลย "สงสัย ครูบาอาจารย์คงมาเข้าฝันแม่ เตือนให้แม่รู้ว่าเดี๋ยวเขาก็คงมา " จัดฉาก" ทำอะไรแบบนั้นอีกหรอกเพราะในฝัน ท่าทางผู้หญิงอีกคนก็รางเลือน เหมือนไม่ใช่ไม่ใช่ แต่โดน " ลากไปด้วย" อะไรอย่างนั้น" " ไม่เอาละ ไม่เอาละ ไม่ยุ่งดีกว่า"เขาว่า แล้วก็เดินไปอีกห้อง ฉันก็เริ่มสบายใจแล้วตามไปหาอะไรรับประทานรอบดึกรองท้อง...ฉันคิดว่า คงเป็นฝันเตือนให้รู้หรอกว่าเธอคนนั้น คิดอะไรกับครอบครัวฉันอยู่เธอคนนั้น คงคิดจะแกล้งอะไรฉันอีกแล้วเหมือนอย่างที่เคย แกล้ง เอาเขาไปควงเย้ยฉันมาหลายปีให้ฉันเจ็บหัวใจมาหลายครา นับเป็นสิบปีที่ผ่านไปเธอคงเป็นโรคจิต...ฉันคิด ในใจ...และ แรงใจเธอ คงทำให้ครูบาอาจารย์ ต้องเตือนฉันด้วยฝันนั้นละมัง
เขาละ...คมสัน...ลำดับ# ๓๖
เขาละ...คมสัน.........บ่ายวันอังคาร ที่ผ่านมาหลังจากเก็บโน่นเก็บนี่ อัดใส่กระเป๋า บ้าง ถุงบ้างหอบฟางลงมาจากคอนโดชั้นสิบสอง......ถึงรถได้ ว่าจะกลับเรือนนนท์แต่ยังก่อนต้องแวะตลาดบ้านนา ที่ของถูก อาหารอร่อย ต้องแวะซื้อไปฝากที่บ้านหน่อย......เดินฉับๆเข้าไปสั่ง....แกงใส่ถุงสามอย่าง ผัดอีกอย่างสั่ง....ปลานึ่งบ๊วย อีกถุง วันนี้ต้มยำไข่ปลาทะเลยังไม่มาสั่ง ....ไก่ทอด สองชิ้น และ หนังไก่ทอดอีกถุงสั่ง......ข้าวมันไก่ ขอเฉพาะเนื้อหน้าอก สามห่อสั่ง.......ถั่วต้มสองถุงและ อื่นๆอีกสองสามอย่าง.......เดินหิ้วพะรุงพะรังผ่านร้านอาหารตามสั่งแถบที่จอดรถหลังตลาด ใกล้ศาลเจ้า ตรงนั้น...."ขอกาแฟ ถุงจ้ะ" ฉันร้องบอกคนขายแล้วก็เดินไปเก็บของที่รถก่อนจะ เดินมารับ โดยปกติไม่ต้องเดินมา แม่ค้าจะนำมาส่งให้ที่รถเองออกบ่อยแต่วันนี้ รู้สึกอยากปฏิสันถารกับแม่ค้า...แล้วก็เห็นแมวสีเทา นอนอยู่ที่พื้น แล้วก็เห็นแมวสีดำ อยู่พื้นด้านใน...."แมวหลายตัวน่ารักนะคะ""ค่า มาจากที่ต่างๆ เขาเอามาทิ้งมาปล่อยเลยต้องเลี้ยงไว้ค่ะ"แต่แล้ว สายตาก็ไปหยุดที่เจ้าสีน้ำตาลแก่ หน้าอ้วนที่ดูดีที่สุด ขดอยู่บนเก้าอี้....."ตัวนี้น่ารักนะ " " เจ้าสามสีนี้ ค่ะ " " ไม่ใช่น่ารักหรอกค่ะ เขาชื่อ "คมสัน"อืมม์เขาคมสันเหลือเชื่อ...กว่าจะกลับถึงบ้านนนท์เอาเย็นๆแล้ว เพราะต้องแวะนำอาหารไปฝากไว้ให้คุณแม่อีกบ้านรับประทาน...ด้วย....เลยมาอุ้มเจ้าสีเทา ถุงเท้าขาวที่บ้าน...ชักอยากเปลี่ยนชื่อมันเป็นเจ้า "คมสัน" มั่งจังก็มันหล่อเหมือนกันนี่นา อิอิวันนี้อารมณ์ดีเพราะแมวแท้เชียวtiki_ทิกิบันทึกรุ่งเช้าวันพุธตอนเสียงกระรอกดังคร่อกๆข้างหน้าต่าง และ เสียงนกกาเหว่า ดัง ก่าเว่า ก่าเว่า แว่วมา %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%