อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

10 เรื่องลี้ลับสุดแปลกของโลก

10 เรื่องลี้ลับสุดแปลกของโลก


เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่า? เรื่องแปลกแนวลึกลับที่น่าสนใจในโลกนี้มีอยู่เยอะมาก ทั้งที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้เราอาจพลาดเรื่องน่ารู้ไป วันนี้ทีนเอ็มไทยได้รวบรวมมาให้เพื่อนๆ ได้ทราบกัน กับ  10 เรื่องลี้ลับสุดแปลกของโลก รับรองว่าเป็นเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน

10 เรื่องลี้ลับสุดแปลกของโลก

10 เรื่องลี้ลับสุดแปลกของโลก

Shanti Deva

Shanti Deva

10 เรื่องลี้ลับสุดแปลกของโลก

1. Shanti Deva

ในปี 1930 ซานติ เทวี หญิงสาวอายุ 4 ขวบ จากนิวเดลี ประเทศอินเดีย ได้บอกพ่อแม่ของเธอว่า ชาติก่อนเธอเป็นแม่ลูกสาวที่ตายจากการคลอด โดยสามีของเธอคือเกฐานารถ ทั้งเธอและสามีอาศัยอยู่ในเมืองมัตทรา(หรือ Mathura) ตอนแรกพ่อแม่ของเธอนึกว่าเป็นบ้า จึงพาเธอไปพบกับแพทย์ และเมื่ออยู่ต่อหน้าแพทย์เธอก็เล่าเรื่องของเธออย่างละเอียดยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ลูกคนแรก วัยที่เธอตายในระหว่างเด็กอยู่ในท้องเมื่อ 1925 ซานติได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ถึง 6 คนด้วยกัน แต่ไม่มีแทย์คนใดหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอได้เลย อย่างไรก็ดีญาติของซานติเริ่มตรวจสอบสิ่งที่เธอเล่าโดยตามหาชายที่ซาติอ้างว่าเป็นสามีของเธอ ก่อนจะพบว่ามีชายคนที่ว่าอยู่เมืองมัตทราจริง และเขามีลูกสองคนจริง แต่ชายดังกล่าวไม่กล้าไปพบกับชาติภรรยากลับชาติมาเกิดของเขา เขาเลยส่งญาติไปและเมื่อญาติไปถึงซาติก็จำเขาได้ทันทีและเล่ารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับญาติคนนี้ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าการระลึกชาติมีอยู่จริง หากแต่กระนั้นครอบครัวของซานติ และครอบครัวของสามีชาติที่แล้วของซานติก็ไม่ได้เกี่ยวดองกัน หรือมีเรื่องกันแต่อย่างใด สุดท้ายซานติได้ใช้ชีวิตเป็นเด็กหญิงธรรมดาในชาติใหม่ของเธอจนถึงปัจจุบัน

Creepy Gnome

Creepy Gnome

2. Creepy Gnome

ในปี 2008 กล้องวิดีโอมีการจับภาพสิ่งมีชีวิตลึกลับในจังหวัด Salta ประเทศอาร์เจนตินาได้ ถ่ายทำโดย Jose Alvarez โดยในหนังสือพิมพ์บอกว่า ตอนนั้นเขากำลังคุยกับเพื่อนในการเดินทางตกปลาครั้งล่าสุด มันเป็นตอนเช้า เขาเริ่มคุยโทรศัพท์มือถือในขณะที่คนอื่นๆ คุยและล้อเล่น ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนคนปาหิน เขามองหาที่มาของเสียง ก็พบว่าหญ้ามีการเคลื่อนไหว ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันคือสุนัข แต่เมื่อได้เห็นเจ้าของเสียงออกมาก็พบว่ามันน่ากลัวจริงๆ โดยคาดว่าสิ่งมีชีวิตที่จับภาพคือ โนมภูตขนาดเล็ก ที่มักปรากฎในนิทาน รูปร่างคล้ายคนแคระ ชอบอาศัยอยู่ในถ้ำคอยเก็บรักษาสมบัติล้ำค่า ต่อมาวิดีโอเทปนี้ถูกนำไปทำคลิปและถูกแพร่ไปตามเว็บต่างๆ

Freddy Jackson’s Ghost

Freddy Jackson’s Ghost

3. Freddy Jackson’s Ghost

ภาพถ่ายผีที่น่าขนลุกนี้ถูกถ่ายขึ้นในศตวรรษที่ 1919 ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 โดยเซอร์ วิกเตอร์ กอดดาร์ก นายทหารเกษียณอายุ โดยภาพถ่ายดังกล่าวมาจากการถ่ายหมู่ของทหารใต้บังคับบัญชาบนเรือ HMS กอดดาร์ดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งภาพนี้คงไม่โด่งดังไปทั่วโลก ถ้าในแถวบนสุดด้านหลังของทหารคนที่สี่จากซ้าย ปรากฏร่างของชายลึกลับคนหนึ่งที่กำลังยิ้มยิงฟันขาวรวมอยู่ด้วย โดยผีนี้คาดว่าเป็นนาย เฟรดดี้ แจ๊คสันที่เพิ่งเสียชีวิตในปี 1919 อย่างกะทันหันจากใบพัดเครื่องบินไปเมื่อสองวันก่อน ว่ากันว่าวิญญาณแจ๊คสันอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว จึงยังมาปรากฏตัวถ่ายรูปกับเพื่อนๆ…

Overtoun Bridge

Overtoun Bridge

4. Overtoun Bridge

“สะพานสุสานสุนัข” เป็นสะพานโค้งสร้างในปี 1859 ในมิลตัน, ดัมบาร์ดัน สก็อตแลนด์ ที่มันได้ชื่อฉายานี้เพราะอดีตที่ผ่านมามีสุนัขหลายตัวไปฆ่าตัวตายโดยการโดดจากสะพานแห่งนี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่การศึกษาพบว่าสุนัขในแถบนั้น เริ่มมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายโดยโดดจากสะพานเริ่มในช่วง 1950 หรือ 1960 เฉลี่ยหนึ่งตัวต่อหนึ่งเดือน(อาจสิบตัวต่อหนึ่งเดือน) โดยจุดที่กระโดดนั้นนำไปสู่ความสูงกว่าสิบห้าฟุตทำให้สุนัขตายทันที แม้สุนัขบางส่วนรอดก็จริงแต่มันก็กลับมากระโดดฆ่าตัวตายอีก และที่น่าสนใจคือสุนัขที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์ที่จมูกยาว ทำให้หลายคนเชื่อว่าสะพานนี้มีผีสิง และอาจเป็นคำสาปของเด็กคนหนึ่งที่ถูกโยนตกสะพานในปี 1994(และคนโยนก็มีพฤติกรรมอยากฆ่าตัวตายด้วย) และนอกจากนี้ยังมีคนเชื่อว่าสะพานแห่งนี้เป็นที่กั้นระหว่างโลกคนเป็นกับคนตายซึ่งเป็นสายตรงหากจะข้ามไป ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ได้ส่งคนเข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่าบริเวณนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของหนู จากการตรวจสอบพบว่าพวกมันมีกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ และนี้คือสาเหตุที่ทำให้สุนขมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือไม่นั้นก็ไม่สามารถตรวจสอบได้

An Unfinished Race

An Unfinished Race

5. An Unfinished Race

เป็นตำนานการหายตัวของเจมส์ โวสสัน(James Worson ) โดยตามตำนานเล่าว่าเขาเป็นช่างทำรองเท้าอยู่ใน Leamington Spa, Warwickshire, อังกฤษ โดยมีพยานสำคัญสองคนคือแฮมเมอร์สัน เบิร์นส และบาร์แฮม ไวส์ เป็นคนรู้เห็นการหายไปของเขาครั้งนี้และไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่?

วันนั้นเป็นวันที่ 3 กันยายน 1873 ชายสองคนดังกล่าวเป็นพยานให้แก่เจมส์ที่บอกว่าเขาสามารถวิ่งไม่หยุดจาก Leamington Spa ไปโคเวนทรีที่อยู่ห่างระยะทางประมาณ 9 ไมล์โดยไม่เหนื่อยได้ โดยเขาขอพิสูจน์โดยการวิ่งในระยะทางดังกล่าว เขาเริ่มวิ่งพร้อมกับผู้ติดตาม(ขี่ม้าหลายคน)เพื่อตามมาดูดังกล่าว ระหว่างแข่งเจมส์สะดุดล้มลง และจู่ๆ เขาก็ร้องไห้กรีดร้องอย่างน่ากลัว(พยานในเหตุการณ์วันนั้นบอกว่ามันเป็นเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยได้ยิน) และเขาหายไปอย่างลึกลับโดยไม่ยืน และไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย มีการจัดกำลังค้นหาเจมส์หลายครั้งแต่พวกเขาก็ไม่พบร่องรอยของเจมส์เลย

Devil’s Footprints

Devil’s Footprints

6. Devil’s Footprints

ช่วงเช้าวันที่ 8-9 ในฤดูหนาวเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1855 มลฑลเดวอน ประเทศอังกฤษ เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อแถบบริเวณแม่น้ำเอ็กซ์ มีรอยเท้าประหลาดปรากฏอยู่ทั่ว มันเป็นรอเท้าที่พึ่งเหยียบมาใหม่ รูปร่างเหมือนรอยเท้าของลา ขนาดของมัน 4 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วเศษ ลักษณะของรอยเท้านั้นมีทั้งด้านซ้ายและด้านขวาขนานกันไป เป็นรอยเท้าเดียวๆ ของเท้าข้างหนึ่งเดินตามรอยของเท้าอีกข้างหนึ่งซึ่งเป็นแถวเดี่ยว ระยะห่างของรอยเท้าแต่ละรอยก็เท่ากันหมด และรอยประหลาดเหล่านี้จะเดินเป็นเส้นตรงกว่า 100 ไมล์ โดยผ่านไปยังสวนหลังบ้าน หลังคาบ้าน หรือลอมฟาง และกำแพงสูง โดยอุปสรรค์แต่ละเส้นทางที่เจ้าของรอยเท้านี้ผ่านไปไม่กระทบกระเทือนเลย และไม่ทำให้ระยะห่างของรอยเท้าแต่ละก้าวเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย มันเดินราวกับว่ากำแพงที่ขวางกั้นนั้นไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเดินทาง แม้กระทั้งรั้วกั้นสูงๆ ประตูที่ปิดกุญแจไว้ มันก็สามารถทะลุผ่านได้ ทำให้หลายคนคิดว่า มันคือรอยเท้าของปีศาจ ส่งผลทำให้คนในพื้นที่นั้นหวาดกลัวกันมาก

FeliciaFelix-Mentor

FeliciaFelix-Mentor

7. FeliciaFelix-Mentor

เฟลิกเซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์ เธอเป็นผู้หญิงชาวไฮติที่เชื่อว่าถูกทำให้เป็นซอมบี้ ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 โดยจากรายงานอย่างเป็นทางการระบุว่าเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1907 หลังจากเจ็บป่วยกะทันหันโดยเชื่อว่าเป็นคำสาปของหมอผีชาวไฮติที่ทำให้คนกลายเป็นซอมบี้ ในปี 1936 มีคนพบเธออยู่ท้องถนน(ในรายงานไม่ระบุว่าเธอเปลือยหรือใส่เสื้อผ้ามอมแมม เพราะหลายเว็บต่างระบุเรื่องเหล่านี้ไม่ตรงกันเลย) เธอเดินทางไปฟาร์มของพ่อโดยเธอยืนยันว่าเธอคือเฟลิกเซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์ที่เสียชีวิตเมื่อปี 1907 เนื่องจากสุขภาพไม่ดีเธอเลยถูกส่งไปโรงพยาบาลของรัฐ และจากการตรวจสอบพบว่าเธอมีพฤติกรรมที่ประหลาดคือเธอไร้อารมณ์ความรู้สึก และบ่อยครั้งมากที่เธอพูดถึงตนเองหรือบุคคลที่สามโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ และค่อนข้างชาชินกับโลกและสิ่งรอบตัวของเธอ

Chupas

Chupas

8. Chupas วัตถุลึกลับ

Chupas คือวัตถุลึกลับที่คล้ายยูเอฟโอที่หลายคนอ้างว่าสามารถพบได้ในตอนกลางคืนที่ป่าตะวันออกของบราซิล พวกเขาอธิบายว่ามันเป็นวัตถุที่มีลักษณะคล้ายโลหะขนาดเล็กและบินได้ มันทำเสียงฟู่เหมือนตู้เย็นหรือหม้อแปลงไฟฟ้า เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่แถบนั้นมักออกไปข้างนอกตอนกลางคืนเพื่อล่ากวางเป็นอาหาร ดังนั้นพวกเขามักปีนบนต้นไม้เพื่อรอเหยื่อของพวกเขา และมันมักโผล่มาในเวลานี้ โดยมันจะเปล่งแสงสีขาวสว่างและพวกเขาเชื่อว่าแสงนี้อาจทำให้พวกเขาตาย และบางคนเกิดอาการป่วย ในขณะที่นักล่าส่วนใหญ่พยายามยิงสิ่งนั้นแต่ปรากฏว่ามันไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น

SS Ourang Medan

SS Ourang Medan

9. SS Ourang Medan

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1948 ได้รับข้อความช่วยเหลือจากเรือบรรทุกสินค้าของชาวดัตช์ Ourang Medan ที่ลอยเหนือน่านน้ำอินโดนีเซีย ในสภาพเรือแตก โดยมีข้อความ SOS คือ “All officers including captain are dead lying in chartroom and bridge Possibly whole crew dead.” แปลว่า “เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมทั้งกัปตัน นอนตายอยู่ในห้องนั่งเล่นและสะพานเรือ เป็นไปได้ว่าลูกเรือทั้งหมดตายแล้ว”ข้อความนี้เป็นรหัสมอร์สซึ่งเป็นข้อความความหมายสุดท้ายที่น่ากลัว และเมื่อมีคนขึ้นไปบนเรือดังกล่าวก็พบเรื่องประหลาดเมื่อลูกเรือทั้งหมดและกัปตันเรือดังกล่าวตายหมดแล้วตาของพวกเขาเปิดโพลงใบหน้ามองไปยังดวงอาทิตย์แขนยื่นออก(บางคนเอามือชี้ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น)และใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด แม้แต่สุนัขบนเรือก็ตายโดยสภาพเหมือนกับว่ามองเห็นศัตรูที่มองไม่เห็นบางอย่างที่ห้องหม้อไอน้ำ ระหว่างที่ช่วยเหลือลูกเรือก็รู้สึกหนาวขึ้นมา ทั้งๆ ที่วันนั้นอากาศร้อน และระหว่างกลับก็มีควันออกมาจากเรือด้วย ซึ่งจากการสันนิษฐานพบว่าลูกเรืออาจถูกโจมตีโดยยูเอฟโอหรือพื้นที่สามเหลี่ยมอาถรรพ์ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อก็จะบอกว่าอาจเกิดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ หรือเรืออาจบรรทุกสินค้าวัสดุอันตรายจำพวกพิษที่ทำให้หายใจไม่ออกและเกิดรั่วขึ้น แต่จนถึงทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือ Ourang Medan และลูกเรือทั้งหมดของเรือยังคงลึกลับ

GEF

GEF

10. GEF

หมายถึงการพูดคุยหรือการติดต่อสื่อสารกับผีพังพอน(สัตว์ลึกลับ, ผี หรือเรื่องหลอกลวง)ได้ โดยรายงานนี้มาจากครอบครัวที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดาลบีที่เกาะแมน(Isle of Man)

ในเดือนกันยายน ครอบครัวเออร์วิง—ที่ประกอบด้วยเจมส์ มากาเร็ต และลูกสาว Voirrey (อายุ 13 ปี) อ้างว่าได้ยินเสียงข่วนประหลาด ซึ่งเป็นเสียงกรอบแกรบหลังบ้านของพวกเขา ที่พุ่มไม้และด้านหลังโรงนาที่ทำด้วยไม้ของพวกเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นหนู หากแต่เมื่อเห็นก็พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนและมันทำท่าทางเหมือนจะคาย หรือคุ้ยเขี่ย ชอบคำรามเหมือนสุนัข และเหมือนทารก นอกจากนี้มันยังสามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้อีกด้วย!! โดยมันแนะนำว่าตนเองเป็นพังพอน ชื่อ GEF อ้างว่าเกิดที่นิวเดลี อินเดีย ในปี 1852 โดย Voirrey เป็นบุคคลเดียวที่เห็นเจ้าพังพอนนี้ชัดที่สุด(และติดต่อกับมันสนิทที่สุด) โดยมันมีขนาดเล็กเท่าหนู มีขนสีเหลือง และหางเป็นพวงขนาดใหญ่

เจ้าพังพอนตนนี้ยังคงเป็นมิตรต่อครอบครัวของเด็กสาว และเจมส์ได้เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับพังพอนนี้ไว้ระหว่างปี 1932-1935 ซึ่งปัจจุบันนี้บันทึกที่ว่าอยู่ที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยลอนดอน และเจ้าพังพอนนี้ก็กลายเป็นที่นิยมที่ช่วยเรียกนักข่าวและฝูงชนไปยังเกาะแห่งนี้เพื่อดูสัตว์ดังกล่าว แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง เนื่องจากเพื่อนบ้านออกมาสัมภาษณ์ว่าพวกเขาไม่เคยหรือได้ยินพังพอนที่ว่า(แต่เพื่อนบ้านบางคนก็บอกว่าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ รอบบ้านของพวกเขาเหมือนกัน) และนอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายบางส่วนที่เป็นร่องรอยของพังพอน ส่วน Voirrey เด็กหญิงที่เห็นพังพอนดังกล่าวได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2005 และในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง

ข้อมูล anachatalk.blogspot.com





 

Create Date : 20 มิถุนายน 2557    
Last Update : 20 มิถุนายน 2557 4:45:03 น.
Counter : 1503 Pageviews.  

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าชายเตี้ยมีอายุยืนยาวกว่า

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าชายเตี้ยมีอายุยืนยาวกว่า

WRITTEN BY PIYAWANEE ON . POSTED IN ชีววิทยา, ทั่วไป, วิทยาศาสตร์, สุขภาพ

ตามงานวิจัยชิ้นใหม่ที่อาศัยข้อมูลจากโครงการ Kuakini Honolulu Heart Program (HHP) และงานวิจัยของผู้สูงอายุแถบเอเชียและโฮโนลูลู Kuakini Honolulu-Asia Aging Study ได้สรุปไว้ว่า “คนตัวเตี้ยและการมีอายุยืนยาวนั้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับชายชาวญี่ปุ่นทั้งหลาย”

Dr. Bradley Willcox หนึ่งในคณะวิจัยที่ทำการศึกษานี้และยังเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัย University of Hawaii (UH) John A. คณะแพทยศาสตร์ (Burns School of Medicine) สาขาการแพทย์เกี่ยวกับผู้ป่วยสูงอายุ ได้กล่าวว่า “พวกเราได้แบ่งคนที่จะทำการศึกษาออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งก็คือ คนที่สูงไม่เกิน 5 ฟุต 2 นิ้วและสูงมากกว่า 5 ฟุต 4 นิ้ว เราพบว่าประชาชนที่เตี้ยกว่า 5 ฟุต 2 นิ้ว มีอายุยืนยาวกว่า ซึ่งสังเกตเห็นได้ตลอดตั้งแต่ความสูง 5 ฟุต ถึง 6 ฟุต ยิ่งคุณสูงเท่าไหร่ คุณยิ่งอายุสั้นลงเท่านั้น”

คณะวิจัยจากโรงพยาบาล Kuakini Medical Center ที่ UH John A. คณะแพทยศาตร์ Burns และองค์กรทหารผ่านศึกของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ชื่อว่า PLOS ONE

คณะวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าคนที่เตี้ยกว่าดูเหมือนจะมียีนตัวหนึ่งที่คอยปกป้องให้มีอายุที่ยืนยาว ที่ชื่อว่า FOXO3 ที่มีรูปแบบเฉพาะในการเพิ่มอายุขัย ยีนนี้จะทำให้ร่างกายมีขนาดเล็กในระหว่างการเจริญเติบโตช่วงต้นๆและทำให้อายุขัยยืดยาวออกไป นอกจากนี้คนที่ตัวเตี้ยกว่าดูเหมือนจะมีระดับอินซูลินในเลือดต่ำกว่าและป่วยเป็นมะเร็งได้น้อยกว่าคนตัวสูง

Dr. Willcox กล่าวต่ออีกว่า “การศึกษาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงขนาดของร่างกายเข้ากับยีน พวกเราเคยรู้จักแต่ต้นแบบของวัยชราในสัตว์ พวกเราไม่เคยรู้ว่าในมนุษย์นั้นมันเป็นอย่างไร พวกเรานั้นมียีนที่ว่านี้เหมือนและแตกต่างกันบ้างเมื่อเปรียบเทียบกับหนู พยาธิตัวกลม แมลงวันหรือแม้กระทั่งยีสต์ ก็มียีนรูปแบบนี้และมันก็มีความสำคัญในการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์เหล่านี้มีอายุขัยที่ยืนยาว

Dr. Willcox ยังชี้ให้เห็นอีกว่ามันไม่มีช่วงส่วนสูงที่จำเพาะหรือช่วงอายุที่สามารถใช้เป็นตัวแบ่งแยกในการศึกษา เหตุผลบางส่วนก็เพราะว่ามันไม่สำคัญว่าคุณสูงเท่าไหร่ ตราบใดที่คุณสามารถรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อที่จะชดเชยการที่มียีน FOXO3 แบบทั่วไปมากกว่ายีน FOXO3 ที่มีรูปแบบที่ช่วยส่งเสริมการมีอายุยืนยาว

Kuakini HHP ได้เริ่มทำการศึกษาตั้งแต่ปี 1965 โดยอาศัยชายชาวอเมริกาที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวญี่ปุ่นจำนวน 8,006 ราย ที่เกิดระหว่างปี 1900 ถึง ปี 1919 รูปแบบการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพของชายเหล่านี้ถูกติดตามอย่างใกล้ชิดและถูกศึกษาโดยคณะวิจัยตลอดมาเป็นเวลาหลายปี โปรแกรม Kuakini HHP เป็นการศึกษาเดียวที่เกี่ยวกับการติดตามพัฒนาการของบุคคลในช่วงเวลาหลายๆปีของชายเชื้อสายอเมริกา-ญี่ปุ่น ซึ่งรวมไปถึงการอาศัยข้อมูลทางระบาดวิทยาและข้อมูลทางสุขภาพของประชากรหนึ่งรุ่นเป็นเวลาเกือบ 50 ปี   จากทัศนคติทั่วทุกมุมโลก มันถือว่าเป็งานวิจัยเพียงหนึ่งเดียวที่ครอบคลุม สถิติประชากรที่เกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการของบุคคลในช่วงเวลาหลายปี รูปแบบการดำเนินชีวิตและข้อมูลทางการแพทย์ รวมไปถึงการรวบรวมตัวอย่างทางชีววิทยาจากกลุ่มชายชรารุ่นหนึ่งที่ใหญ่มาก

ดร. Willcox ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เหตุผลหนึ่งที่ทำไม Honolulu นี้เป็นการศึกษาหนึ่งที่สมบูรณ์แบบ ก็เพราะว่าพวกเรามีรัฐที่มีอายุยาวนานที่สุดในประเทศ ซึ่งมีประชากรยังคงมีชีวิตอยู่ โดยบริเวณส่วนใหญ่คือ ในแถบฮาวาย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้พวกเราสามารถดำเนินการศึกษาได้อย่างยาวนานที่สุดและเป็นการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของชายชราในโลกนี้ด้วยโครงการ Kuakini Honolulu Heart Program จากการศึกษาชายโดยประมาณ 1,200 ราย ซึ่งมีอายุยืนมากกว่า 90  ถึง 100 ปี และประมาณ 250 รายจากชายกลุ่มนี้ยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน

ที่มา //www.sciencedaily.com/releases/2014/05/140509110756.htm





 

Create Date : 20 มิถุนายน 2557    
Last Update : 20 มิถุนายน 2557 4:33:37 น.
Counter : 1273 Pageviews.  

10 เรื่องในลําปางที่คุณอาจยังไม่เคยรุ้

10 เรื่องในลำปางที่คุณอาจยังไม่เคยรู้


1.ทำไมลำปางต้องมีไก่เป็นลัญลักษณ์ เครื่องหมายดวงตราประจำจังหวัด จ . ลำปางคือไก่ขาวหรือไก่เผือกซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตำนาน “กุกกุฎนคร” ที่เล่าขานถึงการกำเนิดของเมืองลำปาง ในเนื้อความเล่าว่าในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ชุมชนที่ตั้งอยู่เมืองลำปางในปัจจุบัน เรื่องนี้รู้ถึงพระอินทร์ พระอินทร์ทรงเกรงว่าชาวบ้านจะตื่นไม่ทันใส่บาตรพระพุทธเจ้า จึงได้เนรมิตไก่ขาวให้ขันปลุกชาวบ้านตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระพุทธเจ้าได้ทัน ด้วยเหตุนี้ลำปางจึงมีรูปไก่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง


2.ซื้อเซรามิกริมข้างทางถูกว่าในร้านช็อป ใครต้องการซื้อเซรามิกแบบเน้นปริมาณ แนะนำร้านตามรายทาง เพราะมีเซรามิกให้คุณเลือกเซรามิกจำนวนมากที่วางเรียงกันตั้งแต่ราคาหลักสิบถึงหลักพัน แต่ถ้าใครเน้นคุณภาพการออกแบบ มุ่งหน้าไปตามร้านเซรามิกชื่อดังของเมืองลำปางได้เลย เช่นร้านอินทราเอ้าเลท กะลาเอ้าเลท ธนบดีเดเคอร์เซรามิก เป็นต้น

3.จุดชมทิวทัศน์แบบ 360 องศา wanna be on top ถือเป็นจุดชมทิวทัศน์แห่งใหม่ของเมืองลำปางที่เห็นทิวเขาคือ วัดพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ (เฉลิมพระเกียรติครบ 200 ปี) ตั้งอยู่ อ. แจ้ห่ม จากบริเวณวัดต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อขับขึ้นไปที่จอดรถเรียกว่า ดอยภูผาหมอก จากนั้นเดินต่อขึ้นไปบนจุดทิวทัศน์สูงสุดคือยอดดอยภูผาโชค รวมระยะทางประมาณ 1 กม. ใครที่ต้องการเข้าพักควรติดต่อทางวัดก่อน (โทร.08-9952-0557) เนื่องจากวัดเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรม นักท่องเที่ยวควรให้ความเคารพ ไม่ส่งเสียงดัง

4. แอ่งน้ำที่ใสราวสระมรกต “หล่มภูเขียว” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาไท จ. ลำปาง สันนิษฐานว่าเกิดจากถล่มของปากปล่องภูเขาไฟจนเกิดเป็นแอ่งน้ำใสสีฟ้า ยิ่งในช่วงที่มีแสงแดดสะท้อนลงกระทบกับน้ำสีฟ้าจะสะท้อนแสงส่วนงาน ช่วงที่ควรไปท่องเทีย่วคือปลายฝนต้นหนาวจ้า ขอเตือนสักนิดว่าอย่าไปลงเล่นน้ำ เพราะมันลึกมาก


5. ยืนบนชายแดนลำปาง-เชียงใหม่ จุดชายแดนนี้คือกิ่วฝิ่นมีความสูงจากระดับน้ำทะเล1517 ม. แบ่งลำปางกับเชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 4074ห่างจากบ้านป่าเหมี้ยงในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนไปประมาณ 10 กม. เป็นเส้นเขตแดนกั้นระหว่าง อ. เมืองปาน จ.ลำปางกับอ. แม่ออน จ. เชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวนางพญาเสือโคร่งที่จะออกดอกสะพรั่งมีให้ชมด้วย



6. จั๊กจั่นเล่นน้ำพุร้อน ในช่วงกลางฤดูร้อนบริเวณน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน จั๊กจั่นนับพันตัวจะออกมาจากป่าเบจพรรณของเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน มาดื่มน้ำอุ่นและมาผสมพันธุ์ในช่วงกลางดึกนับเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตา

7. บ้านนี้มีแต่หน้าต่าง “ป่อง” เป็นภาษาเหนือ หมายถึงหน้าต่าง “นัก” หมายถึง มาก บ้านป่องนักจึงหมายถึงบ้านที่มีหน้าต่างมาก ตั้งอยู่ภายในมณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี อ. เมืองลำปาง สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 เป็นพลับพลาที่ประทับของรัชกาลที่ 7 คราเสด็จเยี่ยมราษฎรแถวมณฑลพายัพ มีบานหน้าต่างทั้งหมด 250 บาน เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกที่ประยุกต์ให้เข้ากับลักษณะภูมิอากาศในประเทศไทย ภายในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่เคยใช้ในอดีต รวมทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์


8. ระวังเรื่อง one way ในย่านตัวเมืองลำปางมีเส้นทาง one way อยู่หลายเส้นทาง นักท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยชิน ต้องดูสัญลักษณ์ให้ดีนะจ๊ะ โดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง บริเวณถ.บุญวาทย์ ถ. ทิพย์ช้าง เป็นต้น

9.เมืองนี้มีแต่วัดพม่า ลำปางได้ชื่อว่ามีวัดศิลปะพม่ามากที่สุดในประเทศไทย นับเนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 5 เมืองลำปางอันอุดมไปด้วยไม้สักจำนวนมหาศาล เป็นที่หมายปองของบริษัทค้าไม้ต่างชาติซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมดินแดนต่างๆรอบๆสยามประเทศอยู่ในขณะนั้น ได้เข้ามาขอสัมปทานค้าไม้จากราชสำนักสยามที่กรุงเทพฯ เข้าทำอุตสาหกรรมไม้ในเขตเมืองลำปาง ในครั้งนั้นบริษัทค้าไม้ขนาดใหญ่สัญชาติอังกฤษได้สัมปทานไป จึงเข้ามาพร้อมแรงงานชาวพม่าที่ซึ่งอยู่ในการคุมครองของนายจ้างชาวอังกฤษซึ่งชำนาญในการทำไม้การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของธรุกิจค้าไม้ของชาวพม่า ทำให้มีโอกาสสะสมทุนและกลายเป็นคหบดีที่ร่ำรวย ด้วยความศรัทธาในพุทธศาสนาอันแรงกล้า จึงสร้างวัดขึ้นในถิ่นที่ตนเองทำธุรกิจจุดเด่นของวัดพม่าที่เห็นชัดคือ สร้างด้วยไม้และแกะสลักอย่างละเอียดยิบ วัดพม่าที่น่าสนใจควรแวะเที่ยวชมก็คือวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม และวัดศรีชุม อ. เมืองลำปาง

10.ปรากฎการณ์เงาพระธาตุมีมากกว่า 1 ที่ หลายคนอาจจะรู้จักปรากฎการณ์เงาพระธาตุที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จริงๆแล้วในลำปางมีอีกสองวัดที่มีเงาพระธาตุเช่นกันคือวัดจอมปิง อ. เกาะคา และวัดอักโขชัยคีรี อ. แจ้ห่ม เวลาใกล้เที่ยงนับเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการดูเงาพระธาตุและภายในวิหารจะต้องมืดสนิท การปรากฎเงาพระธาตุเป็นทฤษฎีเรื่องการหักเหของแสง หากใครจำวิชาวิทยาศาสตร์ในตอนชั้น ม. ต้น ที่มีการประดิษฐ์กล้องรูเข็ม การทำงานเหมือนกัน




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2557    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 5:14:36 น.
Counter : 3427 Pageviews.  

ห้ามทําแบบนี้ ถ้าไม่อยากให้แบตเตอรี่บน สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต เสื่อมไว

ห้ามทำแบบนี้! ถ้าไม่อยากให้แบตเตอรี่บน สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต เสื่อมเร็ว

นอกจากปัญหาเรื่อง แบตหมดเร็ว จะเป็นจุดอ่อนที่ผู้ใช้ทั้ง สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต กังวลแล้ว เรื่องของ แบตเสื่อมเร็ว ก็ ถือว่า เป็นปัญหาที่ผู้ใช้หลายราย กำลังเผชิญอยู่ด้วยเช่นกัน มีหลายท่านที่ใช้โทรศัพท์ได้ไม่ถึงปี กลับเกิดปัญหาเรื่องของ แบตเสื่อม แถมยังโทษ สมาร์ทโฟน ที่ซื้อมาด้วยว่า ไม่ดี ใช้ไม่ทน แต่กลับไม่ได้มองว่า เรามีพฤติกรรมการใช้ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ โดยในวันนี้ ทีมงาน techmoblog มีวิธีการดูแลแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง ด้วยการ "ห้ามทำ"พฤติกรรมแบบนี้ กับ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ของเรา จะมีข้อห้ามอะไรบ้าง มาชมกันเลยดีกว่าครับ


การชาร์จแบตเตอรี่

การชาร์จแบตเตอรี่ ถือว่า เป็นปัจจัยหลักที่จะบ่งบอกได้ว่า แบตเตอรี่จะใช้ได้ยาวนาน หรือเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน นั้น ควรจะปล่อยให้พลังงานแบตเตอรี่ เหลือเกิน 50% จะดีที่สุด ยิ่งเราปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือ 0% บ่อยๆ ยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วมากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญ อย่าพยายามชาร์จจนเต็ม 100% เพราะนั่นก็คือเป็นสาเหตุที่ทำให้ แบตเตอรี่ค่อยๆ เสื่อมอายุลง ฉะนั้น ถ้าหากแบตเตอรี่ลดลงถึงระดับ 40% ก็ควรจะหยิบสายออกมาชาร์จกันได้แล้ว และควรจะชาร์จให้อยู่ที่ระดับ 90% นะครับ อย่าเสียบชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน หรือถ้าต้องการชาร์จให้เต็ม 100% ควรจะทำแค่เดือนละหนก็พอครับ


ความร้อน

หลายๆ ท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความร้อน คือศัตรูของแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion เลยทีเดียว ยิ่งเราทำให้ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต เย็นมากแค่ไหน ก็จะยิ่งยืดอายุของแบตเตอรี่ได้ยาวนานเท่านั้น โดยความร้อนที่ว่านี้ ไม่ได้หมายถึง การชาร์จแบตเตอรี่บ่อยๆ เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงด้านการใช้งานด้วย โดยเฉพาะการเล่นเกม คงจะสังเกตเห็นกันบ้างว่า ถ้าหากเล่นเกมไปนานๆ ตัวเครื่องจะร้อนขึ้น แล้วยิ่งเล่นเกมไปชาร์จไปด้วย จะถือว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ง่ายเลยทีเดียว ฉะนั้น ขณะที่ใช้งาน ถ้าหากรู้สึกว่า ตัวเครื่องเริ่มร้อน ให้หยุดพักจนตัวเครื่องเย็น แล้วหยิบมาใช้งานต่อ จะช่วยยืดอายุได้นานครับ

อ้อ... อีกอย่างก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย จะทำให้แบตเสื่อมได้เร็วกว่า การชาร์จแบบปกติครับ เนื่องจากตัวเครื่อง จะต้องวางอยู่บนแผ่นความร้อนตลอดเวลาที่ทำการชาร์จ ฉะนั้น ถ้าเลี่ยงได้ ควรชาร์จแบตเตอรี่แบบเสียบสายชาร์จ จะดีกว่าครับ


อย่าปล่อยให้แบตหมดจนเหลือ 0%

เลข 0 คืออันตรายสำหรับแบตเตอรี่ครับ ผู้ใช้งานจะต้องคอยสังเกตด้วยว่า อุปกรณ์ของเรา เหลือแบตเตอรี่กี่เปอร์เซ็นต์ อย่าพยายามใช้จนแบตหมด และตัวเครื่องดับลงโดยเด็ดขาด เพราะแบตเตอรี่ประเภท Lithium-ion นั้น เมื่อใดก็ตามที่แบตเหลือ 0% จะเกิดอาการไม่เสถียร และเป็นอันตรายต่อการชาร์จมากทีเดียว


อย่าใช้ที่ชาร์จของปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน

คงจะได้ยินข่าวกันบ่อย เรื่อง iPhone ระเบิดขณะชาร์จ ส่วนใหญ่เป็นเพราะที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่ใช้อยู่นั้น เป็นของปลอมนั่นเอง โดยที่ชาร์จของแท้จากผู้ผลิต ปกติแล้วจะมีวงจรตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อแบตเตอรี่เต็ม 100% แต่สำหรับที่ชาร์จของปลอมนั้น จะทำการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าตลอดเวลา ทำให้ตัวเครื่องร้อน และเป็นสาเหตุทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วอีกด้วยครับ

---------------------------------------
บทความโดย :
techmoblog.com




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2557    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 5:08:46 น.
Counter : 1595 Pageviews.  

สมองของพ่อจะมีความเป็นแม่มากขึ้นเมื่อต้องเลิ้ยงดูลูก

สมองของพ่อจะมีความเป็นแม่มากขึ้นเมื่อต้องเลี้ยงดูลูก

เขียนโดยYRPRINCESSบน. โพสต์

พ่อ

  "คุณพ่อที่ใช้เวลาไปกับการเลี้ยงดูลูกน้อยแรกเกิดจะทำให้สมองเปลี่ยนแปลงการแสดงความเป็นห่วงกังวลต่อความปลอดภัยของลูกมากยิ่งขึ้น"

          นักวิจัยกล่าวว่า โดยเชื่อมต่อกับไฮโปธารามัสอมิกดาลาเป็นส่วนเล็ก ๆ อยู่ในสมอง (อารมณ์) และระบบกระบวนการความรู้สึกต่างๆ //medicalxpress.com/openx/www/delivery/lg.php?bannerid=373&campaignid=196&zoneid=79&loc=1&referer=http%3A%2F%2Fmedicalxpress.com%2Fnews%2F2014-05-dad-brain-maternal-primary-caregiver.html&cb=70bec3d850

          รู ธ เฟลด์แมนนักวิจัยในภาควิชาจิตวิทยาและสมอง Gonda ศูนย์วิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบาร์อิลลานอิสราเอล การคลอด

          89 คู่ 20 คู่และพ่อที่ต้องช่วยดูแลลูกอีก 21 คู่ 48 คู่ 2

          4 ตำแหน่ง ซึ่งอมิกดาลาทำงานมากกว่า 5

          เฟลด์แมนกล่าวว่า ร่องชั่วคราว) การแสดงออกทางสีหน้าและการพูด

nrn2317-i1

          แนวทางการเลี้ยงดูลูกของพ่อนั้นมากเกินกว่าที่จะเข้าใจในกระบวนการความคิด แต่เมื่อต้องมีบทบาทแม้แต่ในกรณีในกลุ่มรักร่วมเพศสมองทั้ง 2 ส่วนที่มีบทบาทในการเลี้ยงดูกลับทำงานสูงขึ้นอย่างมากเช่นกัน พวกเขามีโครงสร้างกระบวนความคิดแบบพ่อ แต่ส่วนอมิกดาลาที่อ่อนไหวต่อประสบการณ์ในการดูแลเด็กก็สามารถทำงานมากขึ้นได้เทียบเท่าในแม่ที่ดูแลลูกเป็นหลักเช่นกัน

          ระดับการเชื่อมโยงระหว่างสมอง 2 ส่วนในพ่อสัมพันธ์กับจำนวนเวลาที่ใช้ในการดูแลลูก นั่นหมายถึงว่าสมองของผู้เป็นพ่อมีการปรับตัวให้มีบทบาทในการเลี้ยงดูมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ยิ่งพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องในการเลี้ยงดูมากเท่าไหร่ก็จะมีโครงข่ายใยประสาทสมองที่จะทำงานเหมือนเป็นโครงข่ายของแม่

          Jeannie Bertoli เมื่อกลับไปทำงานเช่นเดิม

          ในการค้นพบส่วนอมิกดาลา ซึ่งเฟลด์แมน มิตรภาพอันอบอุ่นและการดูแล

  นอกจากนั้นแล้วใครคิดว่าแม่รู้เรื่องลูกดีที่สุด! ผลจากงานวิจัยพบว่าคุณพ่อก็สามารถจดจำการกระทำของลูกได้ดีพอๆกับคุณแม่ แม้กระทั่งการร้องไห้ เพราะว่าความเข้าใจลูกนั้นขึ้นอยู่กับการให้เวลาในการเลี้ยงดูโดยไม่เกี่ยวกับเพศแต่อย่างใด 

จึงมีการทดสอบกับพ่อแม่29 ครอบครัวจากประเทศฝั่งเศส19 ครอบครัวจากคองโก14 ครอบครัว น้อยกว่า4 ชั่วโมงเลย

อ้างอิงจากเว็บไซต์ ณ วันที่ 2557/11/06

1. //medicalxpress.com/news/2014-05-dad-brain-maternal-primary-caregiver.html: ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ 26 พฤษภาคมใน  กิจการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ .

2. //www.natres.psu.ac.th/Journal/EQ_Story/index.htm

3 //blogs.discovermagazine.com/d-brief/2013/04/16/fathers-maternal-instinct-just-as-reliable-as-a-mothers/#.U5gwdPl_uSo




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2557    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 4:53:55 น.
Counter : 5503 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.