Group Blog
 
All Blogs
 

::::{ กินหนีอ้วน }::::


Image hosting by Photobucket



สาเหตุของการควบคุมน้ำหนักไม่ได้นั้น เป็นเพราะขาดความเสมอต้นเสมอปลาย ขาดวินัย เพลิดเพลินกับการกินชนิดกู่ไม่กลับ แต่ที่จริงการคุมน้ำหนักนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีความมุ่งมั่นจริง เรื่องนี้สำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้นต่อให้โปรแกรมดีขนาดไหนคุณก็ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ

กินมื้อเช้าทุกวัน อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด เพราะช่วยให้ระบบเผาผลาญไม่ขี้เกียจทำงาน แต่การไม่กินอาหารเช้า จะทำให้ร่างกายไม่ใช้พลังงานส่วนนี้ จึงปรับตัวลดระบบเผาผลาญลง ทำให้แม้เรากินน้อย ก็อ้วนได้ เพราะประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหารอืดอาดเสียแล้ว การกินอาหารเช้าสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้อ้วนง่าย ลดน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่ไม่กินอาหารเช้า และสำหรับคนที่ลดแล้วก็จะคงน้ำหนักตัวได้ง่าย

อาหารเช้าไม่ควรอุดมด้วยไขมัน เช่น ปาท่องโก๋ คุกกี้ เค้ก โดนัท พาย กาแฟ แต่ควรเลือกจากอาหารหลัก 5 หมู่ เช่น ข้าวต้มเครื่อง โจ๊ก ก๋วยเตี๋ยวน้ำ เกี๊ยวน้ำ ตามด้วยนม ผลไม้สด หรือน้ำผลไม้แท้ หรือ อาหารง่ายๆ อย่างนมถั่วเหลืองผสมธัญพืช ตามด้วยผลไม้ หรือโยเกิร์ตสักถ้วยกินกับแครกเกอร์ 5-6 แผ่นเล็ก ก็สะดวกดี

เลิกคิดเสียทีว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย ลองแบ่งเวลาที่ไม่เป็นประโยชน์มาให้กับการกินเป็นเวลา และออกกำลังกาย สภาพร่างกายคุณจะดีขึ้นอีกเยอะ ช่วยหนีความอ้วนได้ไม่ยาก

คุมสัดส่วนอาหาร อยากลองของแปลกใหม่ที่อร่อยๆก็ลองได้ แต่ต้องคุมปริมาณอย่าให้มากเกินไป มื้อไหนกินเยอะก็ลดมื้อถัดไป หรือใช้แรงให้มากขึ้น ออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือวันต่อไป กินน้อยลง โดยเฉลี่ยทั้งสัปดาห์แล้ว ได้แคลอรีไม่มากเกินไป

หลักง่ายๆ คือ กินข้าวหรือเส้นหรือแป้ง 1/4 เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ 1/4 กินผัก1/2 ของจาน แซมด้วยผลไม้และผลิตภัณฑ์นมตบท้าย หรือจะใช้เป็นอาหารระหว่างมื้อเพื่อกระจายการกินออกไปตลอดทั้งวัน ไม่อัดแน่นในมื้อเดียวให้ระบบย่อยต้องทำงานหนัก

อ่านข้อมูลโภชนาการ ที่ฉลากอาหาร จะช่วยให้จ่ายเงินได้คุ้มค่า อาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่จะบอกจำนวนแคลอรี ปริมาณคาร์โบไฮเดรต โปรตีนไขมันชนิดต่างๆ คอเลสเทอรอล ใยอาหาร น้ำตาล และโซเดียมให้ทราบอยู่แล้วอย่ามองข้ามแคลอรีเล็กๆ น้อยๆ

ตามหลักเกณฑ์ในการลดน้ำหนัก ถ้าลดเร็วก็เพิ่มเร็ว เพราะเวลาลดได้ก็จะขาดวินัยในการกิน โดยทฤษฏีบอกว่า ถ้าลดพลังงานได้วันละ 500 กิโลแคลอรีจากที่รับประทานปกติ จะช่วยลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 1/2 กิโลกรัม

แต่ถ้าไม่เร่งรีบก็อาจลดแคลอรีวันละ 100 กิโลแคลอรี ก็จะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้แบบสบายๆ แต่อาจต้องใช้เวลา 5 สัปดาห์ต่อการลดครึ่งกิโลกรัม ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่า ลดได้น้อยมาก แต่ถ้าทำได้ทั้งปี จะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ประมาณ 4.5 กิโลกรัม ซึ่งดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ถ้าไม่อยากลดอาหาร มีอีกทางเลือก คือ ใช้พลังงานเพิ่มขึ้นจากปกติวันละ 100 กิโลแคลอรี โดยคุมปริมาณอาหารให้คงที่


Image hosting by Photobucket



เทคนิคลด100แคลอรี่ในแต่ละวัน

1. จากที่เคยทาขนมปังด้วยเนย 2 ช้อนโต๊ะ (200 กิโลแคลอรี) ใช้แยมแทน 1 ช้อนโต๊ะ (100 กิโลแคลอรี) หรือถ้าใช้เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะก็จะได้คุณค่าทางอาหารที่ดีเพิ่มขัน คือได้โปรตีนและไขมันที่ดีแทนที่จะได้คาร์โบไฮเดรตล้วนๆ

2. หากอาหารเช้าของคุณเป็นแบบสไตล์อเมริกัน ให้งดเบคอน (3 ชิ้น = 109 กิโลแคลอรี) หรือชีส (1 แผ่น = 105 กิโลแคลอรี)

3. เลือกปลาทูน่าสเต็กในน้ำเกลือ (ขนาด 168 กรัม = 175 กิโลแคลอรี) แทนปลาทูน่าในน้ำมัน (275 กิโลแคลอรี)

4. ถ้าคุณเป็นคนรับประทานข้าวมาก ให้ลดข้าว 1 ทัพพี (1/2 ถ้วยตวง = 108 แคลอรี)

5. หากรับประทานถั่วเม็ดมะม่วง ให้จำกัดปริมาณไว้เพียง 3 ช้อนโต๊ะ (18 เม็ด = 163 กิโลแคลอรี30 เม็ด = 273 กิโลแคลอรี) หรือลดปริมาณทองหยิบลง 1 ดอก (105 แคลอรี)

6. หากคุณจำเป็นต้องเลือกอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด อย่าเลือกเครื่องดื่มน้ำอัดลมขนาดใหญ่ (ขนาด 21 ออนซ์ 210 กิโลแคลอรี) เลือกขนาดเล็กของเด็กแทน (ขนาด 12 ออนซ์ = 110 กิโลแคลอรี)

7. เปลี่ยนจากน้ำสลัดชนิดครีม 2 ช้อนโต๊ะ (ช้อนละ 75-100 แคลอรี) เป็นน้ำสลัดประเภทไขมันต่ำ หรือประเภทน้ำใส 2 ช้อนโต๊ะ




ที่มา: Nutrition Therapy นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 5 ฉบับที่ : 60 เดือน : มกราคม 2549


............................................




เทคนิคง่ายๆ แต่ทำยากจังเลยน้า......




 

Create Date : 27 มกราคม 2549    
Last Update : 27 มกราคม 2549 20:27:14 น.
Counter : 1077 Pageviews.  

~:: มาพรางตากันเถอะ ::~


วิธีแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า กับการแต่งหน้าและบำรุง บริเวณตา



ตกสะเก็ดบริเวณใต้ตา

สาเหตุเกิดจากผิวหนังบริเวณใต้ดวงตาแห้งกร้าน ควรเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการทาครีมสำหรับผิวหนัง รอบดวงตาทั้งแบบกลางวันและกลางคืน


ถุงใต้ตาพองออก

สาเหตุให้การเกิดการพองออกของผิวหนังบริเวณใต้ดวง ตาคือ การอดนอน หรือการดื่มเหล้ามากเกินไป เพื่อบรร เทาอาการพองให้ใช้ผ้าเย็นๆ ประคบจนอาการทุเลาลง ถ้าแอลกอฮอล์คือตัวต้นเหตุแล้วล่ะก้อ ดื่มน้ำมากๆ จะช่วย ให้อาการดีขึ้น


บริเวณใต้ตาหมองคล้ำ

เพื่อลบเลือนรอยหมองคล้ำใต้ดวงตา คุณควรใช้เครื่องสำอางปกปิดรอยดำใต้ดวงตาซึ่งเป็น สีที่สว่างกว่าสีรองพื้นที่คุณใช้อยู่ แต่มันไม่ควรสว่างเกินไปเพราะอาจทำให้คุณมีรัศมีขาว เป็นวงใต้ตาแทน
ควรปัดค่อยๆ ด้วยแปรงขนอ่อนจนรอย ดำค่อยๆจางไปจากใต้ตาคุณ ควรใช้เครื่องสำอางปกปิดริ้ว รอยชนิดที่ไม่ทำให้หน้ามัน หรือชนิดที่จะติดทนนาน


ตาโปน

สิ่งแรกที่คุณควรทราบคือ ห้ามใช้อายชาร์โดสีสว่างโดย เด็ดขาด เพราะมันยิ่งเน้นปัญหาคุณให้เห็นชัดขึ้น สิ่งที่ควรทำตอนนี้ก้อคือเปลี่ยนสีอายชาร์โดเป็นสีทึบๆ เช่น สีน้ำตาล เทาดำ และสีม่วงเข้ม (พลัม) สีเหล่านี้จะลดปัญหาของคุณได้ดี หรืออาจทำให้ดวงตาของคุณดูสวย โดดเด่นขึ้นมาได้


ตาตี่

เลือก อายชาร์โดที่ถูกใจ 2 สี : สีสว่างๆ ให้ทางเปลือกตาบริเวณส่วนที่ใกล้จมูกของคุณและสีทึบให้ทาบริเวณเปลือกตาด้านบน ซึ่งจะทำให้ดวงตา ของคุณดูกลมโตขึ้น คุณอาจจะปัดมัสคาร่าเข้มๆ บริเวณ ขนตาด้านบน แต่อย่าลืม เกลี่ยสีอายชาร์โดให้กลมกลืนกัน เพื่อไม่ให้สังเกตเห็นเส้นที่สีที่ตัดกันบริเวณเปลือกตา


Image hosting by Photobucket



เก็บมาฝากจาก: //beautyclubthai.tripod.com/html/eye.html




 

Create Date : 26 มกราคม 2549    
Last Update : 26 มกราคม 2549 13:28:40 น.
Counter : 1515 Pageviews.  

~:: วิธีถนอมผิวรอบดวงตา ::~

Image hosting by Photobucket



อย่าปล่อยให้ริ้วรอย ความหมองคล้ำ หรือถุงใต้ตาทำลายความมั่นใจของดวงตาคุณเลยค่ะ ให้ดวงตาของคุณ Say Hi ตั้งแต่เช้าจรดเย็นอย่างมั่นใจกับความสดใส น่ามองกันดีกว่า ด้วยเคล็ดลับที่ดิฉันรวบรวมจากประสบการณ์ทำงาน กับเครื่องสำอางแบรนด์ดัง

เริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดใส

ยามเช้า ทำความสะอาดใบหน้าและรอบดวงตาด้วยสบู่ล้างหน้าก็เพียงพอแล้ว แล้วหันมาดูแลใส่ใจเรื่องครีมบำรุงที่เหมาะกับความต้องการของผิวรอบดวงตาดีกว่า เช่น หากผิวคุณมีริ้วรอยดูไม่กระชับ คุณควรเลือกครีมที่มีคุณสมบัติที่ลดเลือกริ้วรอยกระชับผิว หรือให้ความชุ่มชื่นกับผิวมากเป็นพิเศษ


เทคนิคการทาครีมรอบดวงตา

ใช้ปลายนิ้วนางทั้งสองข้างแตะครีมเล็กน้อย เริ่มทาครีมจากปลายหางตา โดยแตะเบาๆ ผ่านมาทางขอบตาล่าง ทาไล่มาจนถึงหัวตา แล้วจากหัวตาค่อยๆ แตะนิ้วผ่านเปลือกตาบนจนถึงหางตา ไม่ควรใช้วิธีลากนิ้วไปมาเพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ค่ะ


ปกป้องก่อนเผชิญแดด

90% ของริ้วรอยแห่งวัยเกิดจากแสงแดด และสาเหตุของรายดำคล้ำใต้ตาส่นหนึ่งเกิดจากมลภาวะทำร้ายผิว ดังนั้นก่อนออกจากบ้านไปเผชิญกับมลภาวะ แสงแดด ฝุ่น ควัน ต้องมั่นใจว่าผิวรอบดวงตาของคุณได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ควรทาครีมกันแดดสำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะที่มีลักษธเป็นเนื้อครีมนุ่ม และถ้าจะให้ดีต้องใหั้ความชุ่มชื่นกับผิวด้วย


คลายเมื่อยระหว่างวัน

ถ้าคุณรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานที่เคร่งเครียด เมื่อใด ดวงตาของคุณก็เมื่อยล้าไม่แพ้กัน ให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาของคุณได้ผ่อนคลายกับการบริหารเล็กๆ น้อยๆ แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว เริ่มจากมองตรงไปด้านหน้าและเปิดตาให้กว้างที่สุด คุณจะรู้สึกว่าคิ้วและเปลือกตาถูกยกขึ้นทิ้งค้างไว้สักวินาที ทำซ้ำ 15 ครั้ง

หลังจากนั้นกลับตาและมองลงด้านล่าง ใช้ปลายนิ้วชี้วางกดเบาๆ ที่กลางเปลือกตา และพยายามลืมตาขึ้น ทิ้งค้างไว้สัก 1 วินาที ทำซ้ำ 15 ครั้ง เท่านี้ดวงตาของคุณก็จะรู้สึกดีขึ้นและหากทำอย่างสม่ำเสมอจะทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาแข็งแรง เปลือกตาจะไม่หย่อนยาน และลดการเกิดถุงใต้ตาได้ค่ะ


หยุด ท่าทางที่ไม่พึงประสงค์

คุณจะต้องแน่ใจว่าการแสดงอารมณ์ ความรู้สึกหรือกริยาต่างๆ ของคุณ ไม่ทำร้ายผิวรอบดวงตา คุณควรหลีกเลี่ยงการทำท่าทาง เช่น ทำตาหยีเมื่อยิ้มอย่างมีความสุขมาก ขยี้ตาอย่างแรงเมื่อเคืองตา ขมวดคิ้วยามเคร่งเครียดหรือย่นจมูกแสดงความสงสัย เพราะท่าทางเหล่านี้เป็นตัวการร้ายที่ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ค่ะ


สิ่งจำเป็นยามเย็น

การทำความสะอาดและบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าคุณจะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ไม่ควรลืม โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาที่มีความบอบบางที่สุด ควรทำความสะอาดอย่างนุ่มนวลด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตาโดยเฉพาะ และบำรุงผิวก่อนนอนทุกคืน เพื่อคืนความชุ่มชื่น และซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายระหว่างวัน


เทคนิคการทำความสะอาดรอบดวงตา

ใช้สำลีชุบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรอบดวงตาให้ชุ่มและซับที่เปลือกตาทิ้งไว้สัก 10 วินาทีและเช็ดผิวโดยการปัดลงเบาๆ ไปในทางเดียวกัน จากโหนกคิ้วถึงปลายขนตา ทำซ้ำจนกว่าจะไม่เหลือคราบเครื่องสำอาง จากนั้นใช้สำลีปัดขึ้นจากขอบตาบนจนถึงปลายคิ้ว และใช้ Cotton Bud เช็ดขอบตาล่างและขอบตาบนอีกครั้ง อย่าเช็ดผิวด้วยการปกดผิดไปมาโดยเด้ดขาดเพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นได้ค่ะ


ดื่มด่ำความชุ่มชื่น

ให้ผิวรอบดวงตาของคุณได้ผ่อนคลายและดื่มน้ำอย่างเต็มที่บ้าง อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ผิวจะได้สดชื่น นุ่มเนียนดูเปล่งปลั่ง และลดการเกิดริ้วรอยจากความแห้งของผิว รวมถึงรอยดำคล้ำใต้ตาด้วยค่ะ

เริ่มจากเอนกายพัก หลับตา และใช้ครีมบำรุงผิวสูตรน้ำทารอบดวงตาให้ชุ่ม จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำเย็นหมาดๆ วางไว้ที่รอบดวงตา ทิ้งไว้ 5-10 นาที ระหว่างที่รอคุณอาจกดจุดรอบดวงตาเพื่อผ่อนคลาย โดยใช้นิ้วนางกดเบาๆ ที่หัวตาสักพัก และค่อยๆ กดไล่มาตามแนวเบ้าตาบน จนถึงขมับและกดที่ขมับทิ้งไว้สัก 5 วินาที และค่อยๆ เลื่อนนิ้ว และกดลงมาตามแนวเบ้าตาล่างจนถึงหัวคิ้ว กดที่หัวคิ้วเบาๆ อีกครั้ง ทำสัก 5 รอบค่ะ

การดูแลผิวรอบดวงตาที่ถูกวิธีเป็นประจำจะช่วยดูแลรักษาผิวดีไว้ได้นานๆ แล้วดวงตาคุณก็ Say Hi ได้อย่างมั่นใจทุกวันทุกเวลาค่ะ


ที่มา://beautyclubthai.tripod.com/html/doeye.html




 

Create Date : 26 มกราคม 2549    
Last Update : 26 มกราคม 2549 11:58:46 น.
Counter : 1756 Pageviews.  

เครื่องสำอาง ใช้ได้นานแค่ไหน


การเลือกซื้อเครื่องสำอางมีคุณภาพดีนั้นไม่ยากนัก แต่ต้องอาศัยความละเอียดถี่ถ้วนพอสมควร เพราะบ่อยครั้งที่จุดเล็กๆ อย่างอายุของเครื่องสำอาง อาจทำให้สาวๆ เสี่ยงกับอันตรายต่อผิวสวยๆ เครื่องสำอางหมดอายุโดยไม่รู้ตัว

เครื่องสำอางที่ดีจะต้องบอกเวลาผลิตเอาไว้ เช่น Manufactured ตามด้วยตัวเลขบอก วัน-เดือน-ปีที่ผลิต หรือวันหมดอายุ เช่น Best ( หรือ Used) before ตามด้วยวัน-เดือน-ปีที่หมดอายุไว้

แม้จะมีการระบุวันที่เอาไว้ เครื่องสำอางส่วนใหญ่บอกเฉพาะวันที่ผลิต แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหมดอายุเมื่อไรกัน มีหลักคร่าวๆ ให้พิจารณา ดังนี้

- มาสคารา (Mascara) หมดอายุภายใน 3 เดือนหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- อายแชโดว์ (Eye Shadow) หมดอายุภายใน 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- อายไลเนอร์ (Eye Liner) หรือดินสอเขียนขอบตา ในกรณีที่มีการเหลาเป็นประจำ จะหมดอายุภายใน 2 ปี
- ลิปสติก (Lipstick) หมดอายุภายใน 2-3 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- ลิปไลเนอร์ (Lip Liner) หรือดินสอเขียนขอบปาก หมดอายุภายใน 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- รองพื้น ถ้าเป็นแบบผสมน้ำ ใช้ได้ 1 ปี แบบผสมน้ำมันใช้ได้ภายใน 1 ปีครึ่ง หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- แป้งฝุ่นหรือแป้งบลัชออน (Blush on) สีต่างๆ ที่ใช้ทาแก้ม/หน้า หมดอายุภายใน 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- ยาทาเล็บ ปกติจะหมดอายุภายใน 1 ปี แล้วแต่คุณภาพ ระหว่างนั้นถ้าไม่ค่อยได้ใช้ ควรเขย่าขวดบ่อยๆ จะช่วยยืดอายุได้
- น้ำหอม ถ้ายังไม่เปิดใช้เก็บให้ห่างจากแสงสว่างและความร้อนจะมีอายุนาน 3 ปี ถ้าเริ่มเปิดใช้จะอยู่ได้ราว 1 ปีครึ่ง แต่ถ้าเริ่มมีกลิ่นผิดปกติหรือกลิ่นฉุนเหมือนน้ำส้มสายชู มีสีคล้ำลงหรือเปลี่ยนสี ลักษณะข้นเหนียวแสดงว่าน้ำหอมขวดนั้นหมดอายุแล้ว


ทั้งหมดเป็นวิธีการประเมินในเบื้องต้น เครื่องสำอางบางยี่ห้ออาจใช้ได้นานหรือสั้นกว่านี้ ซึ่งการใช้และการเก็บรักษาก็มีส่วน ถ้าเก็บในที่สะอาด ปิดมิดชิด และอุณหภูมิไม่สูงเกินไป เครื่องสำอางก็จะอยู่ได้นาน ส่วนวะการใช้ที่ถูกต้อง เช่น เครื่องสำอางที่ใช้กับบริเวณที่บอบบางมากๆ เช่น ดวงตาอย่างอายไลเนอร์หรือมาสคาราไม่ควรใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะอาจเกิดการติดเชื้อโดยบังเอิญได้ เช่นเดียวกับลิปสติกควรใช้คู่กับพู่กันทาปากจะดีกว่าการใช้ทาลงบนริมฝีปากโดยตรง เพราะจะทำให้เนื้อลิปสติกปลอดจากการปนเปื้อนของแบคทีเรียและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น


[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 7 สิงหาคม 2546 ]




 

Create Date : 23 มกราคม 2549    
Last Update : 23 มกราคม 2549 14:04:31 น.
Counter : 1066 Pageviews.  

สารพันปัญหาความงาม

" อยากถามถึงเรื่องข้อคิดในการใช้เครื่องสำอางและเครื่องสำอางจำเป็นไหม ? "


ขอตอบคำถามหลังก่อนนะครับเรื่องของเครื่องสำอางและการแต่งเติมเสริมสวย นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงาน ทุวันนี้จริงครับ เคยมีงานวิจัยพบว่า เวลาสมัครเข้าทำงาน ผู้คัดเลือกจะตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้สมัครในช่วงเวลาแค่ 2-3 วินาทีแรกของการสัมภาษณ์เท่านั้น ดังนั้นบุคลิกภาพและความประทับใจครั้งแรกก็เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ช่างแต่งหน้าและทำผม ที่มีความสามารถย่อมทำให้บุคลิกดูดีขึ้นได้จริง ส่วนในแง่ของแพทย์ผิวหนังนั้น ก็จะเป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพผิวและรักษาโรคผิวหนัง แพทย์ผิวหนังไม่มีความสามารถ ที่จะแต่งหน้าเจ้าสาวให้สวยได้เท่าเมคอัพอาร์ตทิสแน่นอนครับ อย่างไรก็ตามก็ต้องฝากว่า ในแง่ของการรักษาโรคผิวหนัง เช่น โรคสิว โรคฝ้านั้นเป็นเรื่องของแพทย์โดยตรง คงจะก้าวก่ายกันไม่ได้ ยารักษาโรคสิวบางตัว หากใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะทำให้ ทารกในครรภ์พิการได้ ขอฝากข้อคิดง่ายๆ ในการใช้เครื่องสำอางดังนี้นะครับ

ข้อแนะนำยามใช้เครื่องสำอาง

- ปิดฝาจุกเครื่องสำอางให้แน่นเมื่อใช้เสร็จ
- รักษาความสะอาดกระปุก ขวด และหลอดเครื่องสำอาง อย่าให้ฝุ่นเกาะเขรอะ เก็บเครื่องสำอางไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่เย็น หรือร้อนเกินไป
- ทำความสะอาดแปรงและฟองน้ำที่ใช้กับเครื่องสำอางด้วยสบู่อ่อนและน้ำบ่อยๆ
- รักษาความสะอาดของดินสอเขียนตา และเหลามันบ้างเป็นระยะๆ
- ใช้สำลีก้อนหรือพัฟแบบใช้แล้วทิ้ง
- ต้องล้างเมคอัพออกจากใบหน้าทุกครั้งก่อนเข้านอน
- หมั่นตรวจตราอายุการใช้งานของเครื่องสำอางโดยเฉพาะมาสคาร่า ถ้าอายุเกินกำหนด ก็ควรทิ้งเสียดีกว่า
- มาสคาร่าที่มีอายุนานเกิน 3-4 เดือน ควรทิ้งไป ถ้ามีกลิ่นและสีเปลี่ยนก็ควรทิ้ง ทั้งนี้เพราะมาสคาร่ามีโอกาสเกิดบักเตรีปนได้ง่ายกว่าเครื่องสำอางอื่น
- หากมีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือที่ดวงตา เครื่องสำอางที่ใช้อยู่อาจมีบักเตรี มาปะปนได้ จึงควรทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้ในช่วงนั้น หยุดใช้เครื่องสำอางสักพัก จนกว่าอาการติดเชื้อจะหายดี
- พบว่าเครื่องสำอางส่วนใหญ่มีอายุอยู่นานถึง 1 ปี มียกเว้นก็แต่พวกมาสคาร่า ที่จะอยู่ได้เพียง 3-4 เดือน โดยทั่วไปแล้วไม่ควรใช้เครื่องสำอางเก่าเก็บ นอกจากนั้นพบว่าเครื่องสำอางที่ทำขายกันเองตามบ้านอาจมีเชื้อบักเตรีปนอยู่ได้ จึงควรหลีกเลี่ยงเสีย ถ้าครีมเมคอัพเปลี่ยนสี แห้งผากหรือเนื้อครีมแยกชั้น ก็โยนทิ้งตะกร้าไปเถอะครับ ทั้งนี้เพราะครีมเก่าเก็บจนใช้ไม่ได้ผลแล้ว และยังอาจมีเชื้อบักเตรีปนอยู่ด้วย

ข้อห้ามสำหรับการใช้เครื่องสำอาง

- ห้ามใช้เครื่องสำอางของคนอื่น และก็อย่าให้คนอื่นยืมเครื่องสำอาง เพราะอาจมีการถ่ายทอดโรคติดเชื้อต่อกันได้
- ห้ามใช้เครื่องสำอางตัวอย่างที่ตั้งไว้ตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า พบว่าถ้าใช้ลิปสติกตัวอย่างที่มีผู้เป็นโรคเริมเคยใช้ก่อนหน้าอาจติดเชื้อโรคเริมได้ เครื่องสำอางชนิดอื่นๆ ก็ช่วยส่งเสริมให้มีการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อทางผิวหนัง และนัยต์ตาได้ด้วย
- ห้ามใช้เครื่องสำอางหากยังไม่ได้ล้างหน้า ใช้สบู่อ่อนล้างหน้าให้สะอาดเสียก่อน แล้วจึงค่อยทาเครื่องสำอาง
- ห้ามทาเมคอัพทันทีที่ตื่นนอน รอสักนิดอย่างน้อยให้หนังตาที่บวมหลังตื่นนอน ยุบลงก่อนค่อยทาเครื่องสำอาง
- ห้ามทาตาระหว่างอยู่ในรถ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุรถเบรคกระทันหันหรือรถชน ดินสออาจทิ่มตาบอดได้ อันตรายนะครับ
- ห้ามทามาสคาร่าด้วยไฟเบอร์ หากใส่คอนแท็คเลนส์
- ห้ามเติมอะไรลงไปในเครื่องสำอาง การเติมน้ำลงไปในเครื่องสำอางจะทำให้ เชื้อบักเตรีเติบโตได้ง่าย
- ห้ามใช้เครื่องสำอางที่ผสมวิตามินอี เพราะไม่มีประโยชน์อะไรต่อผิวหนัง แถมยังจะทำให้ผิวหนังเกิดผื่นแพ้ขึ้นอีกด้วย



" เครื่องสำอางที่ใช้แล้วไม่แพ้ มีจริงหรือไม่ ? "


โทษของเครื่องสำอางเป็นที่หวาดกลัวกันก็คือ เรื่องของการแพ้เครื่องสำอางนั่นแหละครับ เพราะคงเคยได้ยินได้ฟันกันมาแล้วว่าสำหรับบางท่านที่โชคไม่ดี เมื่อทาเครื่องสำอางแล้ว แทนที่ใบหน้าจะสดใสเนียนนวล กลับเกิดอาการเห่อแดง ที่โชคร้ายมากหน่อยก็มีตาบวม หรือถึงขนาดผิวหนังพุพอง มีน้ำเหลืองเยิ้มกันเลยทีเดียว

บริษัทเครื่องสำอางจับจุดนี้ได้ จึงเร่งผลิตเครื่องสำอางที่ใช้แล้วไม่แพ้ (Nonallergenic) หรือเครื่องสำอางที่ใช้แล้วมีโอกาสแพ้แต่น้อย (Hypoallergenic) นับเป็นกลยุทธ์การตลาด ที่ขจัดความกลัวและความลังเลของผู้ซื้อให้หมดไป

ตามความเป็นจริงแล้วการแพ้เครื่องสำอางนั้นพบได้น้อย และมักเป็นปฏิกิริยา ที่เกิดเนื่องจากคนที่แพ้เครื่องสำอางนั้น แพ้สารเคมีตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวในเครื่องสำอาง เมื่อเครื่องสำอางยี่ห้อใดก็ตามติดฉลากไว้ว่า Hypoallergenic ผู้ซื้อมาใช้ย่อมเกิดความรู้สึกว่า เมื่อใช้เครื่องสำอางนั้นแล้วจะไม่แพ้ หรือมีโอกาสแพ้น้อยกว่าเครื่องสำอางยี่ห้อ ที่ไม่ได้ติดฉลากคำนี้ไว้ แค่จากข้อเท็จจริงนั้นไม่เป็นจริงในทุกกรณีไป

เมื่อประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว ผู้ผลิตเครื่องสำอางบางรายได้ผลิตเครื่องสำอาง ที่ปราศจากส่วนผสมของสารเคมีที่มีโอกาสแพ้ได้บ่อย เช่น กลิ่นหอม (Fragrances) บางชนิด เครื่องสำอางเหล่านี้ได้ชื่อว่า Hypoallergenic เนื่องจากเครื่องสำอางเช่นที่ว่านี้ได้รับ ความนิยมจากตลาดเครื่องสำอางมาก ดังนั้นบริษัทเครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงพยายามหลีกเลี่ยง ที่จะใส่ส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการแพ้ได้ แท้ที่จริงแล้ว บริษัทเครื่องสำอางใหญ่ๆ แทบทุกบริษัทในขณะนี้ ก็ได้พยายามผลิตเครื่องสำอางที่ใช้แล้วแพ้น้อยที่สุด เพราะบริษัทย่อมไม่อยากผลิตเครื่องสำอางที่ใช้แล้วแพ้ง่ายออกวางขายแก่ผู้ใช้ เพราะย่อมหมายถึงความล่มจมของบริษัทนั่นเอง

ที่ต้องขอย้ำไว้ คือส่วนใหญ่เรามักเข้าใจว่า เครื่องสำอางที่ได้ชื่อว่า Hypoallergenic นั้นจะไม่ก่อให้เกิดการแพ้ แท้ที่จริงแล้วคำว่า Hypoallergenic หมายความว่า ผู้ผลิตเครื่องสำอางได้พยายามหลีกเลี่ยงสารเคมีที่ทราบว่าก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ก็ยังไม่มีบริษัทใดที่สามารถผลิตเครื่องสำอางที่ใช้แล้ว ไม่เกิดอาการแพ้เลย (Nonallergenic)

นอกจากนั้น บริษัทเครื่องสำอางได้พยายามใช้ถ้อยคำบรรยายเครื่องสำอางหลายรูปแบบ ที่เน้นให้เห็นว่าเครื่องสำอางของตนนั้นมีความปลอดภัยสูงและใช้แล้วไม่แพ้ เช่น คำว่าใช้สารธรรมชาติ (Natural) สมุนไพร (Herbal) คงเป็นคำโฆษณาที่เราได้ยินมาจนคุ้นแล้ว แต่คำเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายมากนัก เป็นเพียงถ้อยคำที่เสริมเข้ามาเพื่อเร้าความสนใจ และยอดขายเท่านั้น

เทคนิคการโฆษณาอีกแบบหนึ่งคือ การใช้คำว่าผ่านการรับรองและทดสอบ โดยแพทย์ผิวหนัง โฆษณาแบบนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะกล่อมให้ผู้ซื้อให้เชื่อว่าเครื่องสำอาง ยี่ห้อนั้นๆ มีความปลอดภัยสูง แต่สิ่งที่ผู้ผลิตเครื่องสำอางไม่ได้บ่งชี้ให้ชัดเจนลงไป คือจะมีการบ่งบอกว่าใครเป็นคนทำการทดสอบ และการทดสอบนั้นๆ เป็นอย่างไร มีการทดสอบกี่ครั้ง ทำให้ถ้อยคำเหล่านี้ไม่มีความหมายมากนัก



" การแพ้เครื่องสำอางมีลักษณะอย่างไรบ้าง ? "


ลักษณะการแพ้เครื่องสำอางที่แสดงออกให้เห็นจะเป็นรูปของผื่นคันแดง บวม หรือขึ้นเป็นตุ่มน้ำพองใส การแพ้เครื่องสำอางนั้นมักเกิดเมื่อใช้เครื่องสำอางยี่ห้อใหม่ที่เพิ่งซื้อมา แต่ก็พบได้บ่อยกว่าการแพ้เครื่องสำอาง อาจเกิดหลังจากใช้เครื่องสำอางยี่ห้อเดียว ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี โดยทั่วไปผู้ใช้เครื่องสำอางที่มีประวัติส่วนตัว หรือประวัติครอบครัวของโรคหอบหืด แพ้อากาศ ลมพิษ มักเกิดการแพ้เครื่องสำอาง โดยเฉพาะการแพ้ต่อเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมเป็นส่วนประกอบ

หากแพ้เครื่องสำอางยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง ก็อย่าเพิ่งท้อแท้หมดหวังว่ามิอาจใช้เครื่องสำอาง ได้อีกต่อไป เพราะการทดสอบบางอย่างจะช่วยระบุไว้ว่าแพ้ส่วนประกอบตัวใดตัวหนึ่ง ในเครื่องสำอาง และสามารถหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบนั้นๆ ได้

ตัวอย่างคือ สมมติว่า แพ้ Blush ที่ทำให้หน้าแดงยี่ห้อหนึ่ง สิ่งแรกที่ควรกระทำคือ งดการใช้ครีมตัวนั้นเสีย รอให้อาการแพ้หายไปก่อนซึ่งอาจกินเวลาถึงสองสัปดาห์แล้ว ก็เลือก Blush ทาหน้าแดงยี่ห้ออื่นลองใช้ทาดูสัก 3 วัน ถ้าไม่เกิดอาการแพ้จะแสดงว่า ไม่น่าแพ้สีแพงที่ผสมอยู่ในครีม แต่แพ้ส่วนประกอบอื่นๆ กลิ่นหอมในครีมชนิดแรก ก็สามารถใช้ Blush ยี่ห้ออื่นๆ ไปได้

แต่ในกรณีที่เกิดผื่นแพ้ขึ้นเมื่อใช้ครีม Blush สีแดงยี่ห้อใหม่ ก็อาจแสดงว่า แพ้สีแดงที่ผสมอยู่ รอให้อาการแพ้หายไปแล้วลองเปลี่ยนเป็นสีอื่นทาดูสัก 3 วัน ถ้าไม่แพ้ก็อาจใช้ Blush สีอื่นต่อไปได้

ถ้าโชคร้าย แม้ว่าใช้ Blush สีอื่นแล้วก็ยังแพ้อยู่ก็น่าจะแพ้ส่วนผสมหลักตัวใดตัวหนึ่ง ในเนื้อครีม ในกรณีนี้จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คืองดเว้นการใช้เครื่องสำอางไปเลย หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการ ทดสอบภูมิแพ้โดยวิธี Patch Test เพื่อให้รู้แน่ชัดว่าแพ้ส่วนประกอบตัวใดในเนื้อครีม



" ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีอาการผิวหนังอักเสบรอบปากกันมาก
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการใช้หรือการแพ้เครื่องสำอางหรือไม่คะ ? "


ในขณะนี้พบการระบาดของโรค ผิวหนังอักเสบรอบปาก บ่อยในสตรีไทย ภาษาแพทย์เรียกว่า Perioral Dermatitis พบบ่อยในหญิงอายุ 16-45 ปี มีลักษณะเป็นตุ่มแดง และผื่นแดง อาจมีขุยเล็กน้อยรอบๆ ปาก ตามร่องจมูกจรดมุมปากจนถึงคาง แต่บริเวณ ที่ชิดรอบริมฝีปากจริงๆ ผิวหนังจะมีลักษณะปกติ อาจมีอาการคันร่วมด้วย

สาเหตุของโรคนี้มีหลายข้อสันนิษฐาน เคยเชื่อว่าเกิดจากแสงแดด การติดเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนในเครื่องสำอาง ไรของผิวหน้า การระคายเคือง เช่น ใช้กระดาษเช็ดหน้าแรงๆ ไปจนถึงถูกหนวดเคราของแฟนหนุ่มเวลาจูบ อาจกระตุ้น ให้เกิดโรคนี้ได้ บางคนเชื่อว่าน้ำมันอบเชยที่ใช้ผสมในลิปสติก หมากฝรั่งที่ใช้เป่า เป็นลูกโป่งได้และในเครื่องดื่ม อาจเป็นตัวกระตุ้นยาสีฟัน โดยเฉพาะพวกที่ผสมฟลูออไรด์ ตลอดจนถึงการใช้เครื่องสำอาง บางตัวก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ พบว่า ระดับฮอร์โมนในร่างกายอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคนี้ เพราะหลายคนจะมีโรคเห่อ ก่อนมีประจำเดือน บางคนโรคกำเริบเวลาท้อง ผู้ป่วยบางรายมีประวัติรับประทาน ยาคุมกำเนิดพบว่า โรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับโรคเซ็บเดิม (รังแคของผิวหน้า) พบได้บ่อย ในคนที่ใช้เครื่องสำอางมาก ในบุคลากรทางการแพทย์ (เพราะหาสเตียรอยด์มาทาได้ง่าย) และในบุคคลที่มีความเครียดสูง สำหรับสาเหตุที่ค่อนข้างแน่ชัดสำหรับโรคนี้คือ การใช้ครีมสเตียรอยด์ ทาผิวหนังต่อเนื่องกันนานๆ โดยเฉพาะพวก Fluorinated glucocorticold นอกจากนั้นสเตียรอยด์ในรูปยารับประทานก็มีส่วนทำให้โรคนี้กำเริบได้

สำหรับแนวทางการรักษาโรคนี้ ต้องหยุดการใช้สเตียรอยด์ และต้องรับประทาน ยาปฏิชีวนะ เช่น เตตร้าไซคลิน หรืออีริโทรมัยซิน อย่างไรก็ตามควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อวินิจฉัยแยกโรคจากโรคเซ็บเดิม โรคสิวหน้าแดง (rosacea) การแพ้เครื่องสำอาง และโรคสิวให้ได้ก่อน

โดย....นพ.ประวิตร พิศาลบุตร

[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 25 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2544 ]




 

Create Date : 23 มกราคม 2549    
Last Update : 23 มกราคม 2549 13:51:05 น.
Counter : 2352 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เดอะ กั้ง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Some magic from above
Made this day for us, just to fall in love

Just love me tenderly
And I'll give to you every part of me

Be always true to me
Keep this day in your heart eternally






free-counter
counter


Image hosting by Photobucket
หลังไมค์หา เดอะ กั้ง




...Reading...





เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน- ใบพัด




คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ พ.1 : Kafka on the Shore - ฮารุกิ มุราคามิ



***********

ข้อความข้างล่างนี่จริงๆ ไม่อยากเขียนไว้เลย แต่ใส่ไว้กันหลายๆ คนอ้างว่าไม่รู้กฎหมายและมารยาท ก็แล้วกันนะคะ


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add เดอะ กั้ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.