Group Blog
 
All Blogs
 

เลือกทานตามกรุ๊ปเลือด

ได้มาจาก forward mail แต่เห็นน่าสนใจดีเลยเอามาฝาก อ่านดูแล้วค่อนข้างวิชาการดี ถ้าสนใจก็ลองสังเกตุตัวเองดูว่าเป็นอย่างที่เขาบอกหรือเปล่านะคะ ^-^


หมู่เลือด O


ปกติ คนหมู่เลือด O มักจะมีความต้องการโปรตีน และต้องการการออกกำลังกายมาก ด้วยเหตุที่ว่า คนพวกนี้จะมีกระเพาะมีความเป็นกรดสูง จึงย่อยสลายโปรตีนได้มาก และกล้ามเนื้อเอง ก็มีความเป็นกรดค่อนข้างมาก

ความสำเร็จของคนในกลุ่มนี้ คืออาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และพบว่า มักไม่ถูกกับอาหารพวกนม เนย หรือธัญพืชเท่าไร มิหนำซ้ำ ถ้าเน้นพวกถั่ว ธัญพืช นม มากไป กลับทำให้ท้องอืด อ้วนออก และแก๊สมาก

ปัญหาที่พวกกลุ่มเลือดโอมักจะเผชิญและเกิดความอ้วน เนื่องจากสารที่เรียกว่า กลูเต็น(gluten) ในธัญพืช เป็นตัวบล๊อคการทำงานอินสุลิน และทำให้การเผาผลาญอาหารได้น้อย ยิ่งกว่านั้น สารเล็คติน ในอาหารพวกถั่ว จะยับยั้งประจุไฟฟ้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนกล้ามเนื้อ ปัจจัยสุดท้ายคือ พวกกลุ่มเลือดโอ มักมีระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ โดยเฉพาะ ทำให้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ยับยั้งธัยรอยด์เพิ่มมากขึ้นอีกคือ กระหล่ำ ผักกาด แต่ให้รับประทานอาหารทะเล และไอโอดีนมากๆ

กล่าวโดยสรุปคือ เน้นโปรตีนพวกปลา เนื้อไม่ติดมัน ระวังในอาหารพวกนม เนย และธัญพืช งดกาแฟ น้ำอัดลม ของที่ทำให้กรดในกระเพาะเพิ่ม และโดยเฉพาะ ลดพวกผักกระหล่ำ ผักกาด แต่เพิ่มอาหารทะเล ไอโอดีน

ข้อสรุปที่ว่า กลุ่มเลือดโอกรดมากนี้ มีหลักฐานทางการแพทย์ทางสถิติจริง เนื่องจากพบว่า คนหมู่เลือดโอ จะมีอุบัติการณ์เป็นโรคกระเพาะมากกว่าปกติ


หมู่เลือด A


คนหมู่เลือด A ค่อนข้างจะตรงข้ามกับ O คือระบบย่อยอาหารจะทำงานไม่ค่อยดี แถมคนที่มีเลือดกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ ดังนั้น การรับประทานมังสวิรัติ คือคำตอบของคนกลุ่มนี้

อาหารที่มีโปรตีนสูงประเภทเนื้อ จะย่อยช้า ทำให้อึดอัด การได้รับผักสด ผลไม้ จะได้สารที่มีประโยชน์และป้องกันมะเร็ง เนื่องจากการย่อยเนื้อสัตว์จะยาก แหล่งโปรตีนดีที่สุดที่จะมาทดแทนคือถั่ว
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากถั่ว อาจจะทำให้ลดการสร้างอินซุลิน ทำให้อ้วน ดังนั้น อาหารทดแทนโปรตีนที่ดีอีกตัวคือ เต้าหู้ อาหารประเภทนมก็จะย่อยยากในคนหมู่เลือด เอ แต่โยเกิร์ทและนมเปรี้ยวยังพอไหว เช่นเดียวกับหมู่เลือด O ที่คนหมู่เลือด A ก็ไม่ค่อยทนต่อ เลคติน ในอาหารประเภท มันฝรั่ง แยม มะเขือเทศ กระหล่ำปลี และพริกไทย และไม่ควรรับประทานผลไม้ที่เป็นกรด เช่น มะม่วง มะละกอ ส้ม



หมู่เลือด B


คนหมู่เลือด B จะมีความทนต่อการเป็นโรคร้าย ๆ เช่นหัวใจ หรือมะเร็งได้ดี และถ้าสามารถรับประทานอาหารดี ๆ อายุจะยืนยาวได้ แต่ในขณะเดียวกัน คนในกลุ่มเลือดนี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น เอสแอลอี โรคเกี่ยวกับระบบประสาทถูกทำลาย มัลติเปิล สเครอโรสิส (multiple sclerosis) และ chronic fatique syndrome

คนที่มีหมู่เลือดนี้ ควรรับประทานอาหารหลากหลาย แต่ให้เลี่ยง อาหารบางอย่างเช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง งา และธัญพืชเนื่องจาก เล็คตินในอาหารเหล่านั้น จะทำให้เกิดความอ้วน เพลีย น้ำคั่งในตัวได้
ควรงดอาหารจากไก่ เนื่องจากไก่ มี agglutinating lectin ที่ทำให้เกิดการอุดตันหลอดเลือด หรือเกิดภาวะโรคอิมมูนได้ง่าย อาหารทะเลพวกปลาก็สามารถกินได้ดี แต่ให้เลี่ยงหอย เนื่องจากมีปัญหาจากเลคตินนี้เช่นกัน

คนที่มีเลือดกรุ๊ป B เป็นกรุ๊ปเดียวที่สามารถดื่มนมและอาหารที่ทำจากนมได้ดี ไม่มีปัญหา

ระวังอาหารประเภทพวกถั่วทั้งหลาย และงา เนื่องจากไปยับยั้งการทำงานของอินซูลินทำให้อ้วน เช่นเดียวกับมะเขือเทศ เพราะจะทำให้กระเพาะมีปัญหาได้ ส่วนผักผลไม้อื่นๆ รับประทานได้ไม่มีปัญหา



หมู่เลือด AB


หมู่เลือด AB เป็นหมู่เลือดที่มีลักษณะผสมระหว่าง A และ B นั่นหมายถึงคุณจะมีกรดในกระเพาะน้อยเหมือนกลุ่ม A และต้องการเนื้อเหมือนกลุ่ม B ข้อสำคัญคือ เนื่องจากกรดในกระเพาะน้อย การย่อยเนื้อสัตว์จะไม่ดี

ดังนั้น เนื้อที่เหมาะคือเนื้อที่ย่อยง่ายเช่น แกะ กระต่าย หรือไก่งวง โชคร้ายที่ เนื้อไก่ และเป็ด เป็นปัญหาเนื่องจากมี เลคตินที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร

หมู่เลือด AB สามารถรับประทานนมได้ แต่ไม่มาก ระวังท้องเสีย และสามารถรับประทานธัญพืชได้ดี

พวกหมู่เลือด AB มักจะมีภูมิไม่ค่อยดี การรับประทานผัก ผลไม้จะช่วยได้มาก มีคำแนะนำว่า ให้ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวทุกเช้า







 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2549 9:46:46 น.
Counter : 961 Pageviews.  

::::::: Make Up Variety :::::::::

วันนี้ครึ้มอกครึ้มใจ หลังจากไม่ได้มีเวลาและอารมณ์ มาแต่งหน้าอยู่หลายวัน เลยขนเอาเครื่องสำอางมาแต่งหน้าถ่ายรูปเล่น


ช่วงหลังๆ บ้าแต่ smoky eyes เพราะว่าเวลาถ่ายรูปแล้วออกมาดูดี 555 วันนี้คิดถึงน้องฟ้า-เขียว อายแชโดว์สุดโปรดอีกสีนึง (Dior) เลยเอาออกมาเล่น ลองแต่งอะไรที่แปลกไปจากที่เคย ปกติจะเล่น ฟ้า-เทา แต่วันนี้จับเอาเขียว-ทอง และเงินมาเล่นค่า

เริ่มต้นโดยการละเลงสีฟ้า (สีที่เราใช้ออกฟ้า-เขียว เป็นแบบเนื้อครีม สีมุก) ให้ทั่วเปลือกตา แล้วตามด้วยสีเขียวทอง ลงปลายหางตา เกลี่ยมาจนถึงกลางเปลือกตา แล้ว blend ให้เข้ากับสีฟ้า อาจจะใช้อายแชโดว์สีขาว/ไฮไลท์ลงอีกทีก็ได้ค่ะ




หลังจากนั้นเราก็เอาอายลายเนอร์แบบดินสอสีเทาเขียนขอบตาบน-ล่างให้ทั่ว แล้วเอาอายแชโดว์สีฟ้าเกลี่ยใต้ขอบตา เติมความเปรี้ยวอีกนิดด้วยการเอาสีเขียวทองแตะหางตา และ blend ให้เข้ากับเปลือกตาบน

ดัดขนตา ปัดมาสคาร่า ทาแก้มสีชมพูส้มๆ แล้วทาปากด้วยสี carnation ของ BB ตามด้วยลิปกลอส ก็เป็นอันเสร็จ.... ดูใสๆ ดี







ขออภัย นางแบบหน้าเอ๋อไปหน่อย





หลังจากแต่งแบบแรกเสร็จ เราก็เอ๊ะๆ ลุคดูวัยรุ่นไปนิด ไม่ค่อยเหมาะกับป้าอย่างเรา ก็เลยลอง....เขียนอายไลน์เนอร์ทับดูสิ

เปรียบเทียบแบบเขียนด้วยไลน์เนอร์สีเทา กับใช้ลิควิดลายเนอร์สีดำ...อืม ตาโตขึ้น





พอลองเขียนเสร็จแล้ว ก็ออกมาแบบนี้ (ขอบตาล่างใช้อายไลน์เนอร์สีดำเขียนแค่หางตาเข้ามาประมาณ 1 ซม. แล้วเกลี่ยด้วยอายแชโดว์สีฟ้า) อืม ไลน์เนอร์ 1 ขีด ก็เปลี่ยนลุคคนเราได้แล้วเนอะ






*********




แต่ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นี้...วันนี้ว่างจัด อิอิ

เราก็เลยเอาน้องสโมกกี้ (ไบท์) หลายๆ แบบมาให้ดู

จริงๆ ก็ไม่ได้ต่างจากวิธีข้างล่างที่เคยแนะนำไปหรอกค่ะ แต่ว่าคราวนี้แต่งให้เข้มขึ้นและทวีความแรงขึ้นทีละเล็กละน้อย....


แบบแรก สำหรับไปงานกลางวัน แต่เปรี้ยวๆ เข้มๆ หน่อย




ปกติแล้ว เค้ามักจะแนะนำให้ทาปากสีนู้ดกับการแต่งตาแบบสโมกกี้อาย แต่วันนี้เราลองทาสีที่เข้มขึ้น (ผสมสีเป็นสีน้ำตาลแดง-คาราเมล) แต่ทับด้วยกลอสสีทองอีกที เพื่อเบรคสีลง ไม่งั้นจะดูเหมือนแต่งหน้าแบบย้อนยุคเมื่อ 20ปี ก่อน ที่แต่งเข้มเท่ากันทั้งหน้า อ่อ แต่งสีคิ้วให้อ่อนลงนิดหน่อยด้วยเหมือนกันค่ะ smoky eyes จะเน้นตาเป็นหลัก







แบบที่สอง แต่งตาเหมือนข้างบนแต่ เปลี่ยนสีลิป ไม่น่าเชื่อว่าพอเปลี่ยนสีนิดหน่อย ก็ทำให้แต่งหน้าแบบ smoky eyes ดูหวานขึ้นได้ สีนู้ดออกชมพู






แบบที่สาม ก็เปลี่ยนสีลิปอีกเช่นกัน รูปนี้เห็นสีลิปไม่ค่อยชัด แต่แต่ง smoky eyes และทาลิปสีน้ำตาลทอง ทับด้วยลิปกรอสสีทอง ดูอลังการดี แต่งองค์ทรงเครื่องนิดหน่อย ก็ไปงานเลี้ยงได้ มาดคุณนายมาก...





คราวนี้จะไปซิ่งตอนกลางคืน อยากแต่งให้เข้มขึ้นอีกนิดก็ได้ค่ะ แนะนำว่าใครจะชวนหวานใจไปดินเนอร์ ขอแนะนำให้เลือกร้านที่ติดไฟเหลืองๆ นะคะ จะเด้งมาก ขอบอก



แบบแรก ใช้ อายไลน์เนอร์แบบดินสอเขียนทั้งบนล่าง ทาอายแชโดว์สีน้ำตาลใต้ตาเยอะๆ เขียนคิ้วเข้มหน่อย ปากสีนู้ดแบบแมทๆ ไม่กลอส






แบบที่สอง ลดความเข้มของสีคิ้วลง เน้นเขียนตาด้วยอายไลน์เนอร์แบบลิควิดทั้งขอบตาบนและล่าง เปลือกตาใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลและทอง ไม่ปัดแก้ม ลิปสีนู้ด+คาร์เนชั่น (BB) ไม่ต้องลงกลอส






แบบสุดท้าย เป็นฟูลออพชั่น เขียนขอบตาด้วย ลิคิวิดไลน์เนอร์ทั้งบนและล่าง แล้ว Blend ขอบตาล่างด้วย สีน้ำตาลเข้มแล้วไล้ด้วยสีทอง (คล้ายแบบที่สอง แต่เข้มกว่า) ปัดมาสคาร่าสัก 2 รอบ แต่ถ้ารู้สึกว่าเด้งไม่พอ ก็ติดขนตาปลอมช่วยได้ค่ะ แก้มปัดด้วยบลัชสีออกส้ม-น้ำตาล ปาก- สีนู้ดผสมคาร์เนชั่น (BB) แล้วทับด้วยกลอสสีทอง จะได้ปากสะท้อนแสงไฟ โดดเด้งอย่างที่เห็นค่า







ปกติเรามักจะแต่งหน้าถ่ายรูป portrait เอาไว้ทำ portfolio อยู่แล้วนะคะ เพราะงั้นก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม ท่าป้ามันถึงได้กระแดะซะขนาดนั้น


มีรูปที่แต่งหน้าประหลาดๆ อีกหลายรูป ใครสนใจศึกษา หรือชอบของแปลก ก็ไปเยี่ยมชมได้ที่ ห้องเรียนศิลปะ นะคะ


ขอบคุณที่ติดตามค่า....




 

Create Date : 15 เมษายน 2549    
Last Update : 16 เมษายน 2549 10:39:55 น.
Counter : 1875 Pageviews.  

::::::::::: How To : Smokey Eyes :::::::::::

วันก่อนไปเดินซื้อเครื่องสำอางค์กะเจ้าแม่ความงาม Jeban แล้วเลยได้เรียนรู้เทคนิคการแต่งตาแบบ smokey eyes มาจาก น้องเก่ง BA ของ LM ที่ชิดลม (ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ สอนแบบไม่มีกั๊กเลย ^^) หลังจากลองผิดลองถูกเป็นหมีแพนด้ายักษ์มาพักใหญ่ๆ เมื่อวานมีพอมีเวลาเลยงัดเอาเคล็ดลับที่ได้ มาทดลองกับเครื่องสำอางค์ที่มีอยู่ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจมากๆ เลยลองทำ how to พร้อมรีวิวเครื่องสำอางเล็กๆ มาฝากเพื่อนๆ กันดูค่ะ

เราคงไม่ได้สอนละเอียดตั้งแต่ขั้นแรกนะคะ เพราะเห็น Jeban เคยบอกไว้ละเอียดมากๆ แล้ว ถ้ายังไงลองเข้าไปดูในบล็อกได้ค่ะ


Jeban's Make-Up Tips




***********************



จริงๆ ไม่ค่อยอยากลงรูปก่อนแต่งหน้าเล้ยยยย เพราะว่ามัน...ป้ามาก (Y_Y) (เพราะงี้เลยโดนเรียกว่า ป้ากุ้ง) แต่เดี๋ยวคนอ่านจะไม่เห็นภาพว่า make-up is a magic เป็นยังไง กร๊ากกก... ยอมลงทุนเปิดเผยฟามลับตัวเองฮ่ะ


Image hosting by Photobucket



เราไม่อยากเจาะจงเรื่องผลิตภัณฑ์มากนะคะ เราก็ใช้ปนๆ กัน ทั้งที่ราคาสูงหน่อยกับราคาชาวบ้านร้านตลาดหาซื้อได้ เพราะเราไม่ค่อยแพ้เครื่องสำอางค์ค่ะ และไม่อยากฟันธงว่าตัวไหนเวิร์คกว่าตัวไหน เพราะสภาพผิวแต่ละคนไม่เหมือนกันและความชอบก็แตกต่างกันไป เอาเป็นว่าที่ลงไว้ ก็เป็นแนวทางและตัวเลือกในการตัดสินใจนะคะ ^^

สภาพผิวหน้าเราเป็นคนผิวผสม ดังนั้น ที-โซนจะมันและแก้มจะแห้ง ปากแห้ง โดยปกติก่อนการแต่งหน้า เราจะต้องลงมอสเจอร์ไรเซอร์และครีมบำรุง รวมทั้งกันแดดให้หน้าฉ่ำๆ ชุ่มชื้น แบบมั่นใจว่าแต่งเสร็จแล้วหน้าจะไม่มีขุยๆ เพราะหน้าแห้งค่ะ ปากเราก็ทาปิโตเลียม เจล (วาสลีน) ให้ปากชุ่มชื้นนนนนน....ถ้าใต้ตาแห้งมาก ก็ทาวาสลีนก่อนนอน หรือแต้มบางๆ ตอนลงครีม แล้วซับออกตอนจะลงครีม-ลงแป้ง... แต่ถ้าใครหน้ามัน ก็คงต้องเลือกเครื่องสำอางที่เหมาะกับคนผิวมันนิดนึงนะคะ

หลังจากเตรียมผิวหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็ Let’s start กันเลยดีกว่าค่ะ \(^^)/

1. เริ่มจากการลงลองพื้น ถ้าคุณสาวๆ ที่สุขภาพผิวดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องลงรองพื้นก็ได้ค่ะ

แต้ม 5 จุด แล้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า เราใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆให้ทั่วใบหน้า แล้วเก็บรายละเอียดให้เนียนด้วยฟองน้ำค่ะ

(เครื่องสำอางค์: Bobbi Brown SPF 15 Tinted Moisturizer - ไม่หนาและเหนอะ ไม่เป็นคราบ เนื้อละเอียดและปกปิดได้เนียนดีในระดับนึง ปกติเราไม่ค่อยใช้เวลาแต่งหน้าไปทำงานตามปกติ แต่ใช้เวลาแต่งไปงานกลางคืน หรือใช้เวลาถ่ายรูป อ้อ ข้อดีอีกอย่างของ tinted ตัวนี้ คือเวลาถ่ายรูปใช้แฟลชแล้วหน้าไม่ลอยค่ะ)

Image hosting by Photobucket



2. หลังจากนั้น ลองวิเคราะห์ใบหน้าตัวเองว่ามีอะไรที่ต้องการปกปิดที่เหลือรอดมาจากการลงรองพื้นบ้างไหม - อย่างเรามีปัญหาเรื่องรอบคล้ำใต้ขอบตา และ laugh-line ที่ข้างแก้ม และมีรอยสิวที่หน้าผาก รวมทั้งสิวเม็ดเล็กๆ และรอยแดงๆ ที่แก้ม - ก็ต้องอาศัยการปกปิดนิดๆ หน่อยๆ ด้วย concealer

เราใช้พู่กันป้ายและเกลี่ยให้เนื้อครีมเรียบและบางที่สุด โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา และ laugh-line (อย่าลงครีมหนา เพราะเวลายิ้มจะกลายเป็นร่องชัดเจน จะแย่กว่าเก่า) แล้วสุดท้ายใช้นิ้วนางแตะๆ กดๆ เบาๆ เพื่อให้เนื้อครีมกลืนไปกับผิวหนังและลดส่วนเกินที่อาจทำให้เป็นคราบตอนลงแป้งได้ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ

(เครื่องสำอางค์: เราใช้ concealer ของ MTI ค่ะ อันนี้เป็นมรดกจากพี่สาว ก็เลยเอามาลองใช้ดู ปกติเราไม่ค่อยใช้ concealer คล้ายๆ กับรองพื้น ตัวนี้เป็นแบบเนื้อครีมเหนียวข้น เวลาใช้ก็ต้องค่อยทาแต่สามารถเกลี่ยให้เนียนเรียบได้ค่ะ)

Image hosting by Photobucket



3. หลังจากปกปิดริ้วรอยใหญ่ๆ เราก็มาจัดการกับรอยแดงแถวแก้ม เราใช้เบสสีเขียว ลงเพื่อลดรอยแดงค่ะ วิธีการลง ก็คล้ายกับ concealer ค่ะ

(เครื่องสำอางค์: เราใช้ Magic Color Face ของ GMK –เครื่องสำอางนมแพะ เจ้าของเดียวกับนมแพะศิริชัย เพราะได้ตัวอย่างมาทดลองใช้ 555 ปกติเราไม่ค่อยใช้เบสเหมือนกันค่ะ ยกเว้นเวลาที่รอยแดงเห็นชัดมากๆ ชอบแต่งหน้าให้ดูธรรมชาติ (ลงโทษ) น่ะค่ะ ตัวนี้ก็ใช้ดีพอควร เกลี่ยเนียนดี แต่ยังไม่ค่อยปิ๊งมากในเรื่องของการปกปิดรอยแดงบนใบหน้า )

ปล. ขออภัย หน้าตาเอ๋อ horror มาก

Image hosting by Photobucket



4. หลังจากทำการกลบเกลื่อนหลักฐานขั้นพื้นฐานไปแล้ว ก็มาถึงการลงแป้ง เราใช้ แปรง ลงแทนการใช้พัฟฟ์ค่ะ เพราะว่าเกลี่ยได้เนียนกว่ามากๆ แม้แต่ใช้กับแป้งที่ผสมรองพื้น

(เครื่องสำอางค์: แป้ง sheer finish pressed power “Soft Sand” ของ BB เนียนและบางเบา ไม่เป็นคราบแม้ตอนเหงื่อออก

อุปกรณ์: แปรง- ใช้แปรงด้ามสั้นๆ สีดำของ Gino McCray ค่ะ ขนนุ่ม ไม่ระคาย ปัดและเกลี่ยได้สบายหน้า สีติดดีเลยค่ะ แถมราคาไม่แพงมาก เราว่าขนนุ่มกว่าของ Mac อีกนะคะ)

Image hosting by Photobucket



5. แล้วก็มาถึง การแต่งตากันค่ะ

เราเริ่มต้นโดยการใช้ดินสอเขียนขอบตาลงเป็นเส้นหนา (สีน้ำตาลเข้ม) ประมาณนี้ค่ะ

(เครื่องสำอางค์: ดินสอเขียนขอบตา สีน้ำตาลเข้มของ maybelline เขียนง่าย สีติดทนดีค่ะ)

Image hosting by Photobucket



6. จากนั้นใช้อายแชโดว์ สีน้ำตาลเข้มลงให้ทั่วเปลือกตา ไม่ต้องขึ้นไปถึงบริเวณโหนกคิ้วนะคะ ถ้าเป็นคนหนังตาจม ก็ทาเลยขึ้นไปนิดหน่อย เพื่อทำให้ตาดูโตขึ้น ที่เห็นเอาพู่กันจิ้มเข้าไปในกระบอกตา ก็เพื่อเพิ่มความเข้มให้บริเวณที่ต่อกันระหว่างกระบอกตา กับโหนกคิ้วค่ะ เราไม่ลงสีเข้มเท่ากันทั้งตา โดยจะให้ช่วงตรงกลางสีอ่อน และขอบๆ รอบกระบอกตาสีเข้ม ทำให้ดูมีมิติและตาดูลึกมากขึ้น เหมาะสำหรับคนตาเล็ก หรือไม่ค่อยโตค่ะ แต่ถ้าคนตาโตอยู่แล้ว อาจทำให้ตาดูโปนขึ้นได้ค่ะ

ในการแต่งตา แนะนำว่าให้ค่อยๆ ทา แล้วเพิ่มน้ำหนักหรือสีเอาทีละนิด อย่าใจร้อน ปาดปืดๆๆๆ เดี๋ยวจะแก้กันลำบากถ้าสีหนักเกินไปนะคะ

(เครื่องสำอางค์: eyeshadow สี Sable ของ BB ค่ะ เป็นสีที่เราใช้บ่อยมากๆ เนื้อเนียน สีติดทนทาน ถ้าแต่งหน้าปกติจะใช้ทาบริเวณหางตาถึงกึ่งกลางตาแล้วเกลี่ยด้วยสีที่อ่อนกว่า เพื่อทำให้ตาดูโต และมีมิติขึ้น) แปรง- ใช้พู่กันทาอายแชโดว์ ของ Gino McCray ค่ะ ขนนุ่ม เกลี่ยง่าย)

Image hosting by Photobucket



7. หลังจากนั้น ใช้ eyeshadow สีดำ หรือน้ำตาลเข้มกว่าที่ลงครั้งแรก ลงบริเวณหางตา (หรือแตะเสริมบริเวณหัวตาด้วยก็ได้ถ้าต้องการ) ให้หางตาน้ำหนักเข้มสุด แล้วเกลี่ยให้จางลง เมื่อมาถึงตรงกลาง (ในรูปเราแต้มสีเฉพาะบริเวณหางตาประมาณ 0.5 ซม. ค่ะ)

(เครื่องสำอางค์: eyeshadow palette ของ Mac ค่ะ ไม่ทราบชื่อสี ขอโทษที เป็นเฉดสีน้ำตาล-ดำ และไฮไลท์ )

Image hosting by Photobucket



8. smokey eyes ที่เราแต่งวันนี้ เราเอาเป็นแบบที่ไม่เข้มมาก เดินถนนกลางวันได้ ไปทำงานได้สบาย เราก็เลยเกลี่ยสีให้นุ่มลง โดยการใช้สีน้ำตาลทอง ทาทับบางๆ ให้ทั่วเปลือกตาอีกที

(เครื่องสำอางค์: eyeshadow palette ของ ff จากญี่ปุ่นค่ะ แต่บางครั้งก็ใช้สีทองของ Shu เป็นไฮไลท์)

Image hosting by Photobucket



9. ลงไฮไลท์ที่กลางตานิดหน่อย เพื่อทำให้ตามีมิติมากขึ้น แล้วใช้พู่กันเบอร์ใหญ่หน่อย เกลี่ยให้ทั่วๆ เพื่อให้สีดูกลมกลืน

(เครื่องสำอางค์: eyeshadow palette ของ ff ชุดเดิม มี 4 สีให้เลือกในชุดเดียวกันค่ะ)

Image hosting by Photobucket



10. มาถึงขั้นตอนเกือบสุดท้ายของการแต่งตา (แฮ่กๆ หลายขั้นจริงๆ) คือ กรีด eyeliner

เราเป็นคนหนังตาเยอะ และหย่อนหน่อยๆ (Y_Y) บางทีก็เลยต้องดึงหนังตาให้ตึงๆ นิดๆ แล้วจะเขียนได้สะดวกขึ้น ความหนา-บาง ขึ้นอยู่กับความชอบและรูปตานะคะ คนตาเล็กหรือชั้นเดียว อาจจะต้องเขียนให้เส้นใหญ่ๆ หน่อยจะได้เห็นชัดขึ้นค่ะ

ถ้าใครเขียนแล้วเลอะ ให้ใจเย็นๆ ลองใช้คอตตอนบัต ชุดเบบี้ออยล์ ค่อยๆ เช็ดออกดูนะคะ

วันก่อน เพื่อนเราแต่ง smokey eyes แต่ตาดูโตๆ หลอกๆ หน่อยๆ BA แนะนำว่า เพราะว่ากรีดไลน์เนอร์ยาวเกินตามากไป (ความรู้ใหม่) การแต่งแบบ smokey eyes ควรเขียนให้พอดีตา หรือเกินไปนิดหน่อย ให้ตาดูกลมๆ โตๆ จะเข้ากว่า (ขอบคุณ น้องเก่ง LM มาด้วยนะคะ)

Image hosting by Photobucket



11. หลังจากแต่งตาบนเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมใส่ใจขอบตาล่างกันนะคะ ถ้าใครไม่อยากให้ตาเด่นมาก ก็อาจจะแค่ลง eyeshadow สีน้ำตาลเข้มที่หางตาล่าง blend ให้เข้ากับส่วนหางตาบน

ส่วนใครถ้าอยากเปรี้ยวเป็น smokey เต็มรูปแบบ ก็คว้าดินสอเขียนขอบตาสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ (เราใช้อันเดียวกับที่ลงครั้งแรก) มาวาดตั้งแต่ตัวตาจนหางตา (ไม่แนะนำให้ใช้ liquid liner เพราะสีจะเข้มเกินไป จนตาดูลอยๆ หลอกๆ – BA tips) เขียนให้ชิดขอบตาล่าง ตรงแนวขนตาให้มากที่สุด แล้วใช้ eyeshawdow สีน้ำตาลเข้มเกลี่ยช่วงใต้ตาให้ดูซอฟต์ลง

Image hosting by Photobucket



12. หลังจากนั้นก็ดัดขนตา ปัดมาสคาร่า

(เครื่องสำอางค์: mascara สีน้ำตาลเข้มของ BB ปัดง่าย ไม่ติดเป็นก้อน แห้งไว เราใช้แล้วไม่แพนด้านะคะ แต่ไม่เด้งเท่าของ maybelline)

Image hosting by Photobucket



13. แล้วก็มาถึงคิวของคิ้ว เราชอบคิ้วที่ดูเป็นธรรมชาติไม่หนาไม่บางเกินไปและไม่ค่อยทำอะไรกับคิ้วมาก

น้อง เอก BA แนะเคล็ดลับการแต่ง smokey ว่าอย่าให้คิ้วเข้มเท่าผม ให้เขียนคิ้วให้สีอ่อนกว่าผม เช่นถ้าทำผมสีน้ำตาล ก็ไม่ควรเขียนคิ้วดำปื้ด เพราะจะทำให้คิ้วลอยและตาไม่เด่น

ส่วนหัวคิ้วเราค่อนข้างหนา เลยไม่เขียนมาก เติมตั้งแต่ส่วนหางคิ้วไป แล้วปัดด้วยมาสคาร่าอีกนิด เพิ่มความยาวคิ้วและให้ดูหนาขึ้น ดูเป็นธรรมชาติ

(เครื่องสำอางค์: ใช้ mascara กับeyeshadow เขียนคิ้วเหมือนข้างบนค่ะ ประหยัด :P)

Image hosting by Photobucket



14. เสร็จจากตา ก็มาถึงแก้ม (เหนื่อยจัง... ^^”)

เนื่องจากเราเป็นคนแก้มเยอะ ก็เลยต้องอาศัยการอำพรางกันนิดๆ หน่อยๆ เริ่มจากการหาแนวสันกราม เราใช้วิธีกัดกระพุ้งแก้มด้านใน ให้เห็นแนวโหนกแก้มและสันกราม แล้วใช้แปรงปัดตามแนวสันกราม (ตามลูกศร)

Image hosting by Photobucket



15. หลังจากนั้น ก็ปัดจากโหนกแก้ม (กากบาท) ลงไปทางหู (รูปซ้ายแรก) ให้สีที่ปัดตามแนวสันกรามและโหนกแก้มสีเข้ม แล้วเกลี่ยตรงแก้มบริเวณใต้ตา ให้สี blend กัน ค่อยๆ เน้นสีบริเวณโหนกแก้ม ทำให้หน้าตาดูตอบลงเล็กน้อย (ถ้าอยากได้มากกว่านี้ ต้องใช้เฉดดิ้ง) ระวังอย่าลงสีหนักหรือเข้มเกินไป

หลังปัดแก้มเสร็จ ถ้ารู้สึกว่าเข้มเกินไป ให้ใช้แปรงปัดแก้มแตะแป้งฝุ่นแล้วเกลี่ยเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า ให้ดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

Image hosting by Photobucket



16. มาถึงส่วนสุดท้ายของการแต่งหน้ากันแล้วค่ะ ไหนๆ ก็แต่งตาให้ดูเด่นแล้ว ปากที่ใช้ก็ควรเป็นสีอ่อน เพื่อจะได้ไม่แย่งกันเด่น

เราใช้สีนู้ด Hazelnut Sauce ของ maybelline แล้วลงทับด้วยสี carnation ของ BB จะได้สีนู้ดชมพูอ่อน

(เครื่องสำอางค์: lipstick maybelline สี 24 Hazelnut Sauce รุ่น water shine ที่ทำให้ปากชุ่มชื้น และ carnation ของ BB สีสวยกิ๊บเก๋ ใช้หมดไป 2 แท่งแล้ว)

Image hosting by Photobucket



17. ขั้นสุดท้ายแล้ว เย้ๆ - อาจเพิ่มมิติให้ริมฝีปากด้วยการแต้มลิปสีแดงตรงกึ่งกลางปากทั้งบน-ล่าง เกลี่ยให้สีกลมกลืน (เฉพาะกลางปาก) อันนี้เหมาะกับคนปากอิ่มๆ หน่อยนะคะ ถ้าริมฝีปากบาง อาจจะมองไม่เห็น สุดท้ายแล้วตบด้วยลิปกลอสเป็นอันเสร็จพิธีค่ะ


(เครื่องสำอางค์: lipgross สีทองของ Dior (แต่รู้สึกจะเป็นรุ่น limited หมดแล้วหมดเลย) ทาทับกับ carnation ของ BB สีสวยมากๆ ค่ะ)

Image hosting by Photobucket



เสร็จออกมาแล้ว หน้าตาเป็นแบบนี้ (มี photoshop ช่วยนิดหน่อยปรับแสง แต่ตาและแก้มจะสีเข้มกว่าในภาพนิดหน่อยค่ะ)

Image hosting by Photobucket



แถม อีกมุม เป็นแสงธรรมชาติ เดินกลางแดด จะเห็นว่าไม่เข้มมาก (เวลาไปงานหรือเที่ยวตอนกลางคืน ก็แต่งเข้มกว่านี้ได้ค่ะ) เพื่อนเห็นแล้วบอกว่าไสยศาสตร์มีจริง เอ้ย make-up is magic



Image hosting by Photobucket




ใครมีเคล็ดลับอะไรดีๆ ก็แนะนำกันมาได้เลยนะคะ หรือจะหลังไมค์มาคุยกันก็ได้ค่ะ


ขอบคุณที่ติดตามจนจบค่า




 

Create Date : 04 เมษายน 2549    
Last Update : 29 เมษายน 2549 3:03:56 น.
Counter : 3305 Pageviews.  

♥♥♥ เทคนิคการแต่งหน้าเพื่อแก้ไขข้อด้อยบนใบหน้า (2) ♥♥♥

ค้นไปค้นมา เจอเพิ่มเติมค่ะ เลยเอามาฝากอีกรอบ...


~**~~**~~**~~**~~**~~**~~**~~**~~**~



แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง




เพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยที่ไม่ต้องโบ๊ะหน้าให้เหมือนนางเอกลิเก เราเลยหาวิธีการแต่งหน้าแบบน้อย ให้เป็นธรรมชาติ และแก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้น โดยคุณแทบจะไม่รู้สึกว่าแต่งหน้าเลยด้วยซ้ำ



Image hosting by Photobucket





จมูกไม่โด่ง

วิธีแก้ให้ดูจมูกโด่งขึ้นก็คือ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนๆไล้ช่วงหัวคิ้วมากๆ เน้นนะว่าแค่เบาๆ เป็นเงาๆก็พอ อย่าหนักเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหน้าอาจกลายเป็นงิ้วได้ จากนั้นไล้ตั้งแต่ช่วงหัวคิ้วลงมาด้านข้างของสันจมูกจนถึงปลายจมูก และค่อยๆเกลี่ยให้เข้ากับปีกจมูก ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน โดยให้สังเกตว่าเป็นเงาๆก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าใครที่มีปลายจมูกยาวอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไล้ให้ถึงปลายจมูก แต่ควรไล้ตัดปลายจมูกแทน


แก้มตอบ

แก้มตอบอาจทำให้คุณรู้สึกหน้าตาไม่สดชื่นได้ แต่จริงๆอย่ากังวลกับจุดนี้มากไป วิธีแก้ง่ายมาก ขอแนะให้ใช้บลัชครีม หรือบลัชออนสีชมพู ชมพูอมส้ม หรือแดงเชอร์รี่ปัดแก้มเป็นวงกลมตรงส่วนที่นูนที่สุดของแก้มเหมือนกับเราดึงจุดเด่นของพวงแก้มออกมามากขึ้น อาจใช้บลัชออนแบบมีประกายกากเพชรนิดๆเข้าไปด้วย จะทำให้แสงหักเหตรงพวงแก้มมากขึ้น แต่อย่าแรเงาตรงกรอบของขอบหน้าเด็ดขาด นั่นจะยิ่งทำให้แก้มดูตอบได้ แล้วเวลาเขียนอายแชโดว์ ไม่ต้องเขียนเส้นขอบตามากนัก มันจะยิ่งเน้นความคมสันของหน้า ให้ทาอายแชโดว์สีอ่อนๆมีประกายทั่วเปลือกตาก็พอ ส่วนสีของปากให้ใช้ลิปสติกสีอ่อนๆเข้าไว้ ถ้าใช้สีเข้ม เช่น สีน้ำตาล จะยิ่งทำให้หน้าเล็กลงไปได้อีก


แก้มเยอะ

แก้มยุ้ยๆน่ารักออก แต่ถ้าอยากแต่งหน้าให้เล็กลงและหน้ายังดูสดใสอยู่ ควรเลือกใช้บลัชครีม สีแดงเชอร์รี่และให้ลองแต้มที่กึ่งกลางแก้ม แตะวนเป็นกลมๆและใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยบลัชครีมขึ้นไปในแนวทะแยงจนถึงไรผมใกล้ๆขมับ เป็นการสร้างเฉดให้หน้า เงาตรงนี้จะทำให้หน้าดูเล็กลง และสีแดงของบลัชจะทำให้แก้มดูเหมือนมีเลือดฝาดแบบเด็กๆ น่ารักสดใสเป็นธรรมชาติ


ตาไม่ดึงดูด

อยากให้ตาดูมีเสน่ห์มากขึ้น หน้าทั้งหน้าจะได้ดูเด่นขึ้นไปด้วย แนะนำให้ใช้อายแชโดว์สีชมพูอ่อนๆจะเป็นแบบมีประกายสีเงินวาวๆซ่อยอยู่ด้วยก็ดี ทาอายแชโดว์ไปตามแนวพับเพื่อเป็นการสร้างสีสันให้ดวงตา แล้วใช้อายไลเนอร์แบบดินสอ เลือกสีเขียวสดไปเลย เขียนให้ชิดเส้นขอบตาด้านบน เขียนให้เส้นโตๆหน่อย เพื่อทำให้ตาดูเด่นสะดุด แล้วปัดเฉพาะขนตาบนให้เด้งที่สุด ตาจะเก๋มีเสน่ห์ขึ้นมาทันที


คางเหลี่ยม และหน้าดูไม่มีมิติ

ให้ลงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ก่อนเพื่อปรับสภาพผิวหน้า เพราะจะช่วยให้เกลี่ยบลัชครีมง่ายขึ้น ถ้าผิวเนียนอยู่แล้วไม่ต้องใช้รองพื้นเลย ใช้บลัชครีมโทนสีน้ำตาลเข้มหน่อยเพื่อให้หน้ามีแสงเงาขึ้น แต้มไปตามกรอบของหน้าโดยเน้นส่วนที่เป็นเหลี่ยมๆและส่วนของโหนกแก้มที่ทำให้หน้าดูแข็ง อย่าลืมแต้มตรงกรอบหน้าที่ติดกับไรผมด้วยนะ เวลาแต้มบลัชตรงแก้มให้แต้มเริ่มจากขมับไล่ไปตามแนว 45 องศา เข้ามาในหน้าจนถึงระดับกลางตาดำ จากนั้นค่อยๆใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ให้ดูกลืนกัน แค่นี้ก็จะเป็นการสร้างกรอบหน้าใหม่ให้ดูเข้ารูปและมีมิติขึ้นแล้ว


ตาเล็กและหนังตาตก

สามารถทำให้ตาคมโตขึ้นได้ง่ายๆ คือ เริ่มจากเลือสีอายแชโดว์สองสี สีอ่อนและสีเข้มมาใช้สร้างรูปตาของเราให้ดูมีชั้น ใช้อายแชโดว์สีอ่อนทาทั่วเปลือกตาตามรอยพับก่อน อย่าลืมทาตรงช่วงโหนกคิ้วด้วยนะ แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มไล้ช่วงหางตาขึ้นไปเป็นแนวโค้งของเบ้าตา ถ้าสงสัยว่าเบ้าตาอยู่ตรงไหน ให้ส่องกระจกแล้วเลิกคิ้วดู จะเห็นกระบอกตาที่ดูลึกเข้าไป นั่นล่ะเบ้าตา ก็ไล้ไปตามแนวนั้นได้เลย จากนั้นใช้อายแชโดว์สีเข้มอันเดิม แตะน้ำนิดหน่อย แล้วใช้พู่กันเขียนลงให้ชิดเส้นขอบตาบน เน้นช่วงตรงหางตา แค่นี้ก็ทำให้ตาดูคมโตขึ้นแล้ว



ที่มา: //www.pooyingnaka.com





 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2549 0:48:27 น.
Counter : 1710 Pageviews.  

♥♥♥ เทคนิคการแต่งหน้าเพื่อแก้ไขข้อด้อยบนใบหน้า ♥♥♥

เมื่อวันก่อน คุณ Kay ถามมาเรื่องวิธีการแต่งหน้าสำหรับคนหางตาตก และการเลือกเฉดสีอายแชโดว์ จริงๆ เราก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะคะ แหะๆ แต่ก็ไปค้นมาให้ เผอิญก็ไปเจอเทคนิคอันนี้ จากคุณม้า อรนภา สอนไว้ เห็นว่าน่าสนใจ เลยเอามาฝากกัน มีเทคนิคการแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้าแบบอื่นๆ ด้วยค่ะ ขอยกมาให้อ่านเฉพาะตรงที่พี่ม้าแนะนำนะคะ


~**~**~**~**~**~**~**~**~**~**~**~




อรนภา กฤษฎี หรือที่เรียกกันว่า “พี่ม้า” เมคอัพ อาร์ ติสท์ ชื่อดัง แนะนำเทรนด์การแต่งหน้าให้ฟังว่า ตั้งแต่ ค.ศ. 1999 การกำหนดเรื่องของเทรนด์นั้น ตั้งไว้ว่า ผู้หญิงควรที่จะฉลาดในการแต่งตัว ควรรู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องในส่วนใด ก็ควรที่จะแต่งอำพรางหรือปกปิดในส่วนนั้น

เมื่อเข้าสู่ปี 2000 จนมาถึง ปี 2006 นี้ เทรนด์การแต่งหน้าจะแต่งออกมาให้ดูมีสุขภาพดี สดใส ผู้หญิงจึงต้องดูแลตัวเอง รู้จักการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง มีรูปร่างที่ดี สามารถใส่เสื้อผ้าได้ทุกประเภท เมื่อมีสุขภาพที่ดีแล้ว ผิวพรรณก็จะพลอยดีไปด้วย จะแต่งหน้าอย่างไรก็ง่ายและดูดีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องรูปหน้าที่ทำ ให้ไม่มั่นใจ การแต่งหน้าช่วยอำพรางในส่วนนั้นได้

เทรนด์การแต่งหน้าเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดขึ้น บางคนสามารถแต่งได้ แต่บางคนแต่งแล้วดูไม่ได้ เพราะเทรนด์ในปีนั้นอาจจะไม่เหมาะกับรูปร่างหน้าตาเรา มีเพียงกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถแต่งได้ตามเทรนด์ในแต่ละปีที่ถูกออกแบบมา และที่สำคัญที่สุดผู้กำหนดเทรนด์การแต่งหน้าเป็นคนยุโรป จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้เทรนด์การแต่งหน้าเข้ากันได้กับโครงหน้าและผิวพรรณของคนไทย หรือคนในกลุ่มเอเชีย

ฉะนั้นควรจะแต่งหน้าให้เข้ากับโครงหน้าและใช้การแต่งหน้าในการช่วยปกปิดข้อบกพร่องของใบหน้าเพื่อช่วยให้รูปหน้าดูดีขึ้น โดยยึดหลักความชอบ และแต่งให้เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด



Image hosting by Photobucket



สำหรับ ผู้ที่มีโครงหน้าลักษณะกลม หน้าแบน หน้ากว้าง หรือรูปหน้าที่มีลักษณะเหลี่ยม จะต้องรู้จักการ shading (เฉดดิ้ง) คือ การแรเงา ทำให้จุดที่แต่งแต้มลงไป ดูตื้นขึ้นนั่นเอง โดยใช้สีน้ำตาลที่เข้มกว่าสีผิว ปัดเป็นแนวเฉียงใต้โหนกแก้มโดยให้ความเข้มอยู่ตรงขมับด้านจอนหู อย่าปัดเป็นแนวเฉียงทึบ เพื่อลบมุมเหลี่ยมและกระชับรูปหน้าให้เรียวขึ้น พร้อมทั้งการไฮไลต์ คือ การทำให้ส่วนนั้นสว่างขึ้น เห็นชัดขึ้น ที่บริเวณโหนกคิ้วทั้งสองข้าง ใต้ตา สันจมูก และปลายคาง เกลี่ยให้กลืนกัน รูปหน้าก็จะดูเรียวยาวขึ้น

คนหน้ายาว ควรทำเฉดดิ้งปัดใต้คางให้อยู่เหนือโหนกแก้มเป็นแนวเฉียงสามเหลี่ยม เพื่อลดความยาวของใบหน้า แล้วไฮไลต์ที่หน้าผากและโหนกแก้มในแนวขวางให้ดูสว่างขึ้น

ใครที่มี หางตาตก concealer (คอนซีลเลอร์) ช่วยได้ เพราะมีเนื้อครีมที่หนากว่าเนื้อครีมของรองพื้น ทากลบในส่วนที่เป็นรอยขอบตาที่ตกลงมาให้หมด ใช้รองพื้นทาทับแล้วลงแป้งตาม จากนั้นใช้ดินสอเขียนขอบตาหรือ eyeliner (อายไลเนอร์) ก็ได้แล้วแต่ความถนัด ควรเป็นสีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทา จะเหมาะกับคนไทย ส่วนสีม่วง สีน้ำเงินหรือ สีฟ้า ใช้ได้บ้างตามโอกาส เขียนตวัดด้านหางตาขึ้น ลากเส้นตา เล็ก ๆ ชิดขอบตาบน ส่วนขอบตาล่างเขียนบาง ๆ ให้น้ำหนักอยู่ที่หางตา ไม่จำเป็นต้องเขียนเข้มถึงหัวตา เพราะจะทำให้ดูเป็นคนหน้าดุ

ส่วน คนตาเล็ก สามารถใช้อายไลเนอร์ หรือใช้ดินสอเขียนขอบตา เขียนขอบตาด้านล่างให้กว้างออกมาจากขอบตาจริงเล็กน้อย และควรใช้สีเข้มเพื่อให้เห็นน้ำหนักที่ออกมากว้างขึ้น เพื่อให้ดวงตาแลดูโตขึ้น และควรจะต้องรู้จักการดัดขนตาและการปัดมาสคาร่าด้วย

ก่อนปัดมาสคาร่า ควรดัดขนตาก่อน โดยเริ่มจากโคนขนตา แล้วค่อย ๆ หนีบเบา ๆ ค้างไว้ 1–2 วินาที แล้วง้างที่ดัดขนตาออก เลื่อนไปที่บริเวณตรงกลางขนตากดเบา ๆ ค้างไว้สักครู่ แล้วเลื่อนมาดัดที่ปลายขนตากดเบา ๆ ไม่ต้องค้างไว้ จะช่วยให้ขนตางอนโค้งได้รูป หากมีแปรงหวีขนตาใช้หวีขนตาก่อนปัดมาสคาร่า

การปัดขนตาด้วยมาสคาร่า ให้ตั้งมาสคาร่าแนวนอนขนานกับขนตาโดยการปัดให้ชิดกับโคนขนตาบนแล้วช้อนขึ้น ต่อด้วยการปัดที่ด้านข้างของขนตา ส่วนขนตาล่างให้จับมาสคาร่าแนวตั้ง แล้วใช้ปลายมาสคาร่าเกลี่ยที่ขนตาเบา ๆ

มาที่ คนริมฝีปากหนา จะต้องใช้ดินสอเขียนขอบปาก เขียนตัดขอบปากให้อยู่ด้านในของขอบปากจริง และต้องใช้ดินสอสีที่เข้มกว่าสีลิปสติกที่จะใช้ด้วย เช่น ต้องการใช้ลิปสีชมพูก็ต้องใช้ดินสอเขียนขอบปากที่เข้มกว่าสีลิปที่ใช้ ควรหลีกเลี่ยงลิปติกสีแดงสด หรือสีจัดจ้าน เพราะจะเป็นการเน้นไปที่ปากมากเกินไป

คนริมฝีปากเล็ก ไม่ต้องน้อยใจ อำพรางได้ด้วยการใช้ดินสอเขียนขอบปาก เขียนเหนือขอบปากจริงใช้สีเข้มกว่าสีลิปที่จะใช้ในลักษณะเดียวกันกับคนริมฝีปากหนา

“สิ่งที่สำคัญในการแต่งหน้า คือ การเลือกเสื้อผ้าหรือชุดก่อนว่าจะใส่โทนสีใด อย่างในส่วนของอายแชโดว์ที่ทาเปลือกตาหรือลิปสติกนั้น ต้องคำนึงว่า จะใส่เสื้อผ้าในโทนสีใดจะได้ทาให้เข้ากับชุดที่สวมใส่ และช่วยในการเลือกเฉดสีของเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น เพื่อให้แต่งออกมาดูกลมกลืนเป็นโทนเดียวเข้ากันกับชุดที่สวม ช่วยให้ดูมีรสนิยมในการแต่งอีกด้วย ไม่ว่าคุณมีรูปหน้าอย่างไรก็ตาม เพียงรู้จักการแต่งในแต่ละส่วนอย่างเหมาะสม รู้จักอำพรางข้อบกพร่องในส่วนนั้น ๆ คุณก็สวยได้ทุกวัน”

สำหรับสุภาพบุรุษก็เช่นเดียวกัน การดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องพึ่งการแต่งหน้าเลย เพราะผู้ชายส่วนใหญ่จะเน้นไปในด้านของการบำรุงผิวพรรณมาก กว่าที่จะหันมานั่งแต่งหน้ากัน

“การแต่งหน้าทั้งหลายเหล่านี้ล้วนต้องมีการลงทุนทั้งสิ้นจึงต้องดูให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและความชอบไป พร้อม ๆ กันด้วย อยากให้ทุกคนมองว่าเทรนด์เป็นเรื่องของความเหมาะสมในการแต่งตัวที่เข้ากับรูปร่างหน้าตาของเราและที่สำคัญต้องถูกกาลเทศะ” พี่ม้าบอกทิ้งท้าย



ที่มา : Daily News Variety


~**~**~**~**~**~**~**~**~**~**~**~



สวยๆ กันทุกคนนะคะ




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2549 0:01:59 น.
Counter : 1500 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เดอะ กั้ง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Some magic from above
Made this day for us, just to fall in love

Just love me tenderly
And I'll give to you every part of me

Be always true to me
Keep this day in your heart eternally






free-counter
counter


Image hosting by Photobucket
หลังไมค์หา เดอะ กั้ง




...Reading...





เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน- ใบพัด




คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ พ.1 : Kafka on the Shore - ฮารุกิ มุราคามิ



***********

ข้อความข้างล่างนี่จริงๆ ไม่อยากเขียนไว้เลย แต่ใส่ไว้กันหลายๆ คนอ้างว่าไม่รู้กฎหมายและมารยาท ก็แล้วกันนะคะ


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add เดอะ กั้ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.