ปากกาไฮไลท์สีแดง
Group Blog
 
All Blogs
 
ครบรอบหนึ่งเดือนเมื่อเราเจอกัน

นี่ก็ครบรอบ 1 เดือนที่เราพบกัน (ว่าไปนั่น) มันก็แค่ครบรอบ 1 เดือนที่เราได้พบนักเขียนที่เราชื่นชม (อย่าถามว่าทำไมไม่อัพตั้งแต่ 1 เดือนก่อน ) เหตุผลคือ มันเขียนไม่ได้ พยายามเขียนมาตลอด แต่มันไม่ใช่แบบนี้ กลุ้ม ตอนนี้มันก็เลยออกมาในรูปแบบไดอารี่จริงๆ (พี่จิตร มาอัพแล้วนะ ในรูปแบบไดอารี่เลย)

เรื่องของเรื่องคือเราได้โจทย์ให้เขียนบท เรื่องอะไรก็ได้ที่อึดอัดมากๆ ดึงมันออกมาเป็นบทซะ จะให้พูดตรงๆก็มี หลายเรื่องด้วย แต่อ.ไม่เข้าใจเหรอค่ะ ว่าเรื่องบางเรื่องมันก็ควรเป็นส่วนตัว มันเล่าไม่ได้ แต่อ.ก็ยังจะพยายามที่จะให้ทำ เริ่มเครียด เครียดตรงที่ว่างานแมวฯ แค่อัพบล๊อค ผ่านมา 1 เดือนเต็มแระ ยังอัพไม่ได้ แล้วบทภาพยนตร์ชั้นล่ะ ให้เวลา 1 อาทิตย์เต็ม คงรอดหรอก (หนักใจก็คือเรื่องที่อ.ต้องการ เราไม่อยากเขียน แล้วถ้ามันไม่อยากเขียน มันจะออกมาไม่ดี แบบโดนบังคับ อ.เข้าใจมั้ยค่ะ?) เหนื่อยไม่ต่างจากพี่ลิปเลย อันนี้เรียกว่าเหนื่อยใจ เราก็เลยเริ่มจาก วันนี้ตั้งใจว่าต้องอัพงานแมวฯให้ได้ ไม่งั้นมันจะคั่งค้างไม่เสร็จ (ถึงแม้มันจะไม่สด คนจะไม่อยากอ่าน แต่มันคั่งค้างใจเราว่าถ้าไม่อัพตายแน่ๆ)

เข้ามาต่องานแมวฯ วันนี้ของเดือนที่แล้ว เราได้ทำการฉายเดี่ยวไป “งานเปิดตัวผู้อ่าน” ขอเน้นว่าผู้อ่าน คือคนเขียนอยากเห็นหน้าคนอ่าน ตอนแรกคิดนานมากจะไปดีมั้ยว่ะ ไปคนเดียวเนี่ย แต่ก็ตัดสินใจไปจนได้ ฉายเดี่ยวไปเลย ไปแบบมั่นใจมาก นั่นคือภายนอก (ภายในคือไม่ไหวแล้ว จะทำอะไรมากก็ไม่ได้มาคนเดียว อาย) แต่ทั้งๆที่ไม่สบายก็จะไป เพราะงานอย่างนี้ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมีอีกรึเปล่า นักเขียนสามคนนี้จะบังเอิญออกหนังสือพร้อมกันรึเปล่า เราแค่คิดว่าถ้าเราพลาดเราคงต้องเสียใจมาก

เริ่มต้นจากการลงรถไฟฟ้า และเดินหาโรงละคร “มะขามป้อม” นึกว่าจะหายาก แต่มันหาง่ายกว่าที่คิด ก็เลยไปถึงโดยเร็ว หลังจากยืนลังเลอยู่หน้าประตู ทางทีมงานหน้าตาใจดีก็หันมามองแล้วยิ้ม พยักหน้าเชิงว่า เข้ามาสิ เราก็เลยเดินเข้าไป และแล้วความอบอุ่นก็พุ่งเข้ามาแบบไม่ตั้งตัว (ไม่ใช่เพราะพี่ก้องมางานนี้นะ ) ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มันรู้สึกแปลกมากๆ รู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง กับบรรยากาศของโรงละคร แม้มันจะเล็กมากกว่าที่เราคิดมากก็ตาม เพิ่งเข้าใจคำว่า “เล็ก แต่อบอุ่น” และคำว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” และแล้วก็เกิดคำถามขึ้นในใจ นี่ขนาดแค่ความรู้สึกของโรงละคร แล้วคณะละครนี้ล่ะ ถ้าได้มาดู คงรู้สึกดีไม่น้อย

ความคิดทั้งหมดถูกกระชากออกไปเมื่อมีคนบอกว่าให้ลงทะเบียนก่อนเข้างาน เราก็ไปต่อแถวลงทะเบียน พอลงเสร็จเห็นพี่เอ๋นั่งอยู่ และมีคนเอาหนังสือมาให้เซ็นต์ เรานั่งลงข้างพี่เอ๋ และบอกว่า คือว่ามันเยอะมากนะค่ะ (มันในที่นี้คือหนังสือ) เราขนมาเกือบหมดทุกเล่ม (ยกเว้นสองเล่ม ให้เซ็นต์ไปแล้ว) พี่เอ๋มองแบบซึ้ง ขอบคุณมากครับ ถามชื่อเรา และนั่งเซ็นต์ให้ทีละเล่ม เราเพิ่งสังเกตุว่า พี่เอ๋ เซ็นต์หนังสือทุกๆเล่ม ของทุกๆคน ด้วยความตั้งใจ ค่อยๆบรรจงวาด (อีกเหตุผลที่หอบหนังสือมา คือ พี่เอ๋เซ็นต์หนังสือแต่ละเล่มไม่เหมือนกันเลย ประณีตในการเซ็นต์มาก ทำให้เราอยากได้ลายเซ็นต์พี่เอ๋ทุกเล่มเลย) เคยเอาหนังสือไปให้นักเขียนคนอื่นที่มีชื่อเซ็นต์ เค้าบอกว่าให้เขียนชื่อใส่กระดาษแล้วแนบไว้ในหนังสือแล้วส่งให้นักเขียนคนนั้น

นักเขียนคนนั้นไม่มองหน้าคนที่ซื้อหนังสือตัวเองด้วยซ้ำ ก็แค่เซ็นต์ตามที่คนส่งมา บางคนก็แค่เซ็นต์จริงๆ แม้แต่ชื่อคนอ่านยังไม่สน แต่พี่เอ๋พยายามจำชื่อและจำหน้าคนอ่านทุกๆคน ว่าคนนี้ไงที่ชอบผลงานเรา นี่เป็นสิ่งที่เราเห็นครั้งแรกที่พี่เอ๋เซ็นต์หนังสือให้เราตอนงานสัปดาห์หนังสือ แม้ว่าจะดูวุ่นวายนิดหน่อย แต่พี่เอ๋ก็ยังคงบรรจงค่อยๆเซ็นต์ อย่างน้อยพี่เอ๋ก็ถามชื่อก่อนเซ็นต์ (แม้ว่าจะจำไม่ได้ก็เถอะ) แต่มันก็รู้สึกดีที่ใส่ใจคนอ่าน
ไม่ใช่แค่เซ็นต์ให้เท่านั้น พี่เอ๋ยังอยากเก็บภาพคนที่ชื่นชอบผลงานตัวเองไว้ (สังเกตุจากการที่พี่เอ๋ขอถ่ายรูปแฟนหนังสือทุกคนเก็บไว้ และระหว่างพูดคุยก็จะหยิบกล้องมาถ่ายรูปคนอ่านไว้ด้วย)

เราชอบนักเขียนที่ไม่ถือตัว และใส่ใจคนอ่านอย่างนี้แหละ สำหรับนักเขียนที่จัดงานนี้ขึ้นมา แม้จะไม่ได้ทำขนาดพี่เอ๋ แต่เราเชื่อว่าคงคิดไม่ต่างกัน ทุกคนก็คงอยากเจอคนที่ชอบผลงานของเรา

ระหว่างที่ให้พี่เอ๋เซ็นต์หนังสือ เราก็เห็นผู้ชายหน้าตี๋นั่งยิ้มอยู่ เราก็มองว่าใครว่ะ? สงสัยทีมงาน สักพักชายหนุ่มคนนั้นก็นำเสื่อมาปู ทำให้เราหนักแน่นในคำตอบมากขึ้น (แอบแปลกใจว่าทำไมทีมงานดูเด่นจัง) แต่แล้วคำตอบก็มาถึงโดยเร็ว เมื่อมีคนนำหนังสือ “สองเงาในเกาหลี” (หนังสือสุดโรแมนติก) มาให้เซ็นต์ แอบคิดในใจ คนนี้คือพี่ก้องหรอ เกือบหน้าแตกมั้ยล่ะ (ไม่เคยเห็นหน้าพี่ก้องมาก่อน นี่ครั้งแรก ขอโทษด้วยคร้าบที่มะรู้จัก) แต่เราก็เอาหนังสือพี่ก้องมาให้เซ็นต์นะ เพราะก็ชอบมากเหมือนกัน และก็จะซื้อหนังสือต้นไม้ใต้โลก กลับไปด้วย

พี่อัพเดินเข้ามา มีแฟนหนังสือล้อมรอบต่อแถวยาว เราก็รู้แล้วว่าคนนี้คือคุณทรงศีล เคยเห็นแวบๆ ฮอตเหมือนกันนะเนี่ย พี่อัพดูเป็นคนเงียบๆ มีโลกส่วนตัวสูง เราแอบวิเคราะห์ เราตรงไปยังแถวพี่ก้อง จะให้พี่ก้องเซ็นให้ แต่ก็ยังไม่ทันจะให้พี่ก้องเซ็นต์ ก็เริ่มงานซะแล้ว

งานเริ่มจากให้พี่อัพไปร้องเพลง 2 เพลง (แอบอึ้ง ร้องเพราะดีว่ะ ชอบๆ น่าจะออกเทปนะเนี่ย) เมื่องานเริ่ม สิ่งที่ไม่คิดคิดก็เกิดขึ้น คนที่ตบมุขส่วนใหญ่เป็นพี่อัพ (ทำไมพี่ดูเงียบๆ แล้วเป็นงี้ค่ะ) ไอ้ตบมุขไม่เท่าไหร่ แต่ตบมุขหน้านิ่งนี่สิ ทำไปได้เพ่

งานเริ่มจากนักเขียนเริ่มถามกันเองก่อน เนื่องจากยังไม่มีใครกล้าถาม สักพักก็มีคนถามขึ้นมาคำถามแรก เราจำไม่ค่อยได้ แต่ประมาณว่า “คุณคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ยังไง” คือว่าคำถามนี้คิดได้ไง เป็นเราคงอึ้ง แต่พี่ทั้งสามตอบออกมาได้ดีมากๆ

คนอ่านหลายๆคนถามคำถามดีมาก จนมีพี่นักเขียนบางคนเอาไปอัพบล๊อคว่า ถามดีกว่านักข่าวอีกนะครับ (นักเขียนยังบอกอีกว่า พูดกับแฟนหนังสือดีกว่าเปิดตัวกับนักข่าวตรงที่ว่า นักข่าวมาเพื่อหน้าที่ ไม่ได้ชอบอะไรหรอก แต่จำเป็นต้องมา แต่แฟนหนังสือมาเพราะอยากมา) ก็จริงแหละ (หลังจากแอบเนียนไปงานเปิดตัวหนังสือที่เซ็นต์ทรัลเวิร์ด บรรยากาศมันต่างกันโดยสิ้นเชิง ความอบอุ่นเป็นกันเอง กับความตรึงเครียด) ก็เพิ่งรู้ว่าคำพูดนั้นคืออะไรในงานวันนั้นเอง

หลายๆคำถามที่โดนใจเรา แบบไม่ต้องคิดว่าพวกพี่เค้าคิดยังไง แต่ช่วยกลับมาถามตัวเองดีกว่า อย่างเช่น มีคนถามว่า “ 5 ปีที่แล้วพี่ทำอะไร ปัจจุบันกำลังทำอะไร และอีก 5 ปีข้างหน้าจะทำอะไร” มันเหมือนเป็นคำถามง่ายๆ แต่ถ้าคิดดีๆ มันให้อะไรมากกว่าที่คิด ถ้าเราลองมองย้อนมาที่ตัวเอง คุณลองถามตัวคุณเองว่า 5 ปีที่แล้วทำอะไรอยู่ ปัจจุบันสิ่งนั้นมันดีขึ้น แย่ลง หรืออยู่กับที่ บางทีเวลามันผ่านไปเร็วจนเราลืมไปว่าสิ่งนั้นมันผ่านมาหลายปีแล้วนะ มันควรจะทำได้ดีกว่านี้ (แต่อย่ากดดันตัวเองนะ แค่ให้มองตัวเองแค่นั้น) แล้ว 5 ปีข้างหน้าล่ะ (อันนี้มันเหมือนกับเป็นการวางเป้าหมายไว้ว่าเราจะต้องทำให้ได้นะ ซึ่งมันตั้ง 5 ปี ไม่ใช่แค่ 5 ปี ตั้ง 5 ปีเราก็ควรจะมีจุดมุ่งหมาย หรือมีอะไรที่ต้องทำสำเร็จสักอย่างได้บ้างแหละ พี่ๆทั้ง 3 ก็ตอบมาดีมาก แต่ที่แน่ๆคือ ทั้ง 3 คน 5 ปีก่อนกำลังพยายามจะทำสิ่งที่เป็นสิ่งที่ทำในปัจจุบันอยู่ และคิดว่าสิ่งที่ทำตอนนี้ใช่แล้ว ก็จะพยายามทำสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ ให้มันดีขึ้น ถ้าอ่านจบแล้วเราต้องมองย้อนกลับมาดูตัวเอง ว่าเราทำได้ดีรึยัง (นี่เป็นข้อคิดอะไรบางอย่างให้กับตัวเราเอง)

พี่ๆพูดเรื่องดีๆหลายเรื่อง แต่เราจำไม่หมด ที่จำเรื่องนี้ได้เพราะว่ามันโดน มันโดนตรงที่คงเป็นประโยคที่เราจำไปอีกนาน ให้เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเองเสมอๆ เหมือนเป็นการเช็คตัวเอง ไม่ให้ลืมสิ่งที่ทำ

ส่วนพี่จิตรก็จะติดใจประโยคของพี่ก้องที่ว่า “ไม่มีผลงานชิ้นไหนดีที่สุด แต่ว่าผลงานไหนเข้าตากรรมการที่สุด” ซึ่งมันก็จริง บางทีเราดูหนังบางเรื่องเราชอบ เราว่าดี แต่บางคนอาจะไม่ชอบก็ได้ มันเป็นอีกอย่างที่เรามันถามตัวเองเสมอว่าเอาอะไรมาตัดสิน ว่าผลงานชิ้นหนึ่งดี หรือไม่ดี เราว่ามันขึ้นอยู่กับความชอบของคนมากกว่า แค่เราตั้งใจทำงานนั้นออกมาให้ดีที่สุดเป็นพอ

งานนี้ให้อะไรมากมาย แต่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เราจะได้เพื่อนใหม่ถึง 4 คน บังเอิญไปรู้จัก และคุยกันเยี่ยงมางานนี้ด้วยกัน จนพี่อัพถามว่า ไม่ได้มาด้วยกันจริงเหรอ ดูสนิทกันมาก (พี่ลิปบอกว่าคนเนียนๆอย่างนี้หาได้ตามร้านขายยาทั่วไป)

งานนี้จบไปได้ด้วยดี และเราออกมาเป็นกลุ่มสุดท้าย จนเค้าปิดประตูเลย เดินออกมาพร้อมพี่อัพ และพี่ก้อง เยี่ยงเป็นแฟนพันธ์แท้นักเขียน (แอบคิด จะอยู่ทำไมจนจบว่ะเนี่ย) แบบว่าวันนั้นว่าง สแตนบายทั้งวันอยู่แล้ว ก็เลยไม่รีบอะไร (แต่อายนะที่กลับทีหลังเลย เพื่อ?)

นอกจากพบนักเขียนที่ตัวเองชอบ ยังได้มิตรภาพกลับมาอีก เหมือนกับใครบางคนเขียนไว้ “ถ้าเราอยากรู้จัก เราจะได้รู้จัก” วันนี้เราได้รู้จักกันแล้วนะค่ะ พี่จิตร พี่ลิปดา พี่นก และน้องเกตุ




ป.ล. นี่ครบรอบหนึ่งเดือนพอดี ที่เราเจอกัน พี่จิตร พี่ลิปดา พี่นก และน้องเกตุ



Create Date : 23 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2550 0:34:41 น. 7 comments
Counter : 552 Pageviews.

 


แวะมาทักทายและเก็บภาพ อาทิตย์ตกสวยๆ มาฝากครับผม

ดวงตะวันในวันตะลอน

คลิกที่รูปเพื่อตามมาเที่ยวที่ Blog ได้นะครับ



โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:0:39:24 น.  

 
ดีจังค่ะที่ได้ทำอะไรดีๆๆๆ


โดย: รวิษฎา วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:23:40 น.  

 
แวะมาแอบอ่านไดอารี่ของเจ้าของบล็อคด้วยคนค่ะ เจ้าของบล็อคคงไม่ว่าน่ะคะ



โดย: สาวอิตาลี วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:20:21 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะน้องจอม

เดือนนึงแล้ว เร็วเนอะ


โดย: IamMar IP: 58.8.197.50 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:21:50 น.  

 
สวัสดีจ้า เจนนี่มาชวนไปชมรูปงานลอยกระทงเมื่อคืนที่ผ่านมาค่ะ เจนนี่เพิ่งอัพเสร็จพอดีค่ะ อย่าลืมแวะไปชมกระทงฝีมือเจนนี่น่ะคะ ฮิฮิ

และไม่ลืมที่จะขอบคุณ ที่แวะไปเยี่ยมทักทายเจนนี่ที่บล็อคด้วยค่ะ ว่างๆอย่าลืมแวะไปอีกน่ะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: สาวอิตาลี วันที่: 25 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:10:11 น.  

 
เอ่อ ต้องขอโทษจริงๆจอม

ผ่านมาหลายวันแล้วเพิ่งจะได้เข้ามา มันผ่านหน้าไปมาแต่ไหงไม่ได้คลิก

ดูแต่ในมัลติไฟล์ไม่ได้ดูในบล็อกแกงค์เลยตามข่าวไม่ทันเลยว่าน้องอัพบล็อกแล้ว เย้ เย ดีใจ ดีใจ

ดีนะที่เอามาอัพหลังหนึ่งเดือนไปแล้ว จะได้หวนระลึกถึงความหลัง เข้ากับบรรยากาศหนาวๆเพราะอ่านเรื่องราวแล้วอุ่นดี

พี่ไปช้าก็เลยไม่ได้สัมผัสนักเขียนใกล้ชิดขนาดนั้น แถมตอนที่ให้เซ็นต์พี่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก รู้สึกว่าผิดที่ผิดทาง ผิดวัย ชอบกล

ก็ได้แต่มองล่ะค่ะน้อง มอง แล้วก็มอง

วันนี้เริ่มจำความตื่นเต้นไม่ได้ละ แต่รู้สึกดีทีได้ไปเจอนักเขียนและเจอน้อง เจอพี่นก พี่ลิปและเกตุ

แปลกดี ที่งานๆหนึ่งทำให้เราได้รู้จักกันแถมสนิทกันม้ากมาก 55

อากาศวันนี้พี่ว่าหนาวเป็นพิเศษแต่บล็อกของน้องทำให้พี่รู้สึกว่าอากาศเพิ่มอุณหภูมิมาอยู่ในระดับใกล้ปกติแล้ว

ขอบใจที่จำประโยคทองของพี่ได้ แต่อันที่น้องเอามาตีความไม่เหมือนที่พี่ตีความนะจ๊ะ แหะๆ มันคนละกรณีแต่ใช้ด้วยกันได้ค่ะ

ไว้มีงานหน้า เราไปด้วยกันอีกนะ


โดย: นักเดินทางใต้แสงดาว IP: 124.120.175.226 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:21:44 น.  

 
โอ้ เรื่องราวส่วนใหญ่ในเอ็นทรี่นี้เราเคยได้ฟังแล้วเนอะ แต่มานั่งอ่านอีกทีก็เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยล่ะนะ ดีดี

"เราชอบนักเขียนที่ไม่ถือตัว และใส่ใจคนอ่านอย่างนี้"

อันนี้ที่จอมพูดไว้ เราเห็นด้วยมากๆเลย และเราก็เลยรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นใคร อาชีพไหน ตำแหน่งอะไร

"เราควรจะไม่ถือตัว และใส่ใจคนรอบข้าง" เช่นกัน

หวังว่าตัวเราจะทำได้ด้วยเนอะ เพราะเป็นสิ่งดีๆที่เราน่าจะทำเนอะๆ


โดย: แจ็ตเก็ตสีแดงฯ IP: 203.131.213.12 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:08:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปากกาไฮไลท์สีแดง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ปากกาไฮไลท์สีแดง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.