เด็กขี้สงสัยโต๊ะ79
Group Blog
 
All Blogs
 
เล่ม ๒ ตอนที่ ๓ กินอยู่แบบนาฬิกาชีวิต-พิชิตไวรัสได้อย่างไร?

กินอยู่แบบนาฬิกาชีวิต-พิชิตไวรัสได้อย่างไร?

สืบเนื่องจากเรื่องของหนังสือนาฬิกาชีวิต เล่ม 1 ขอย้อนว่าทำไมถึงนำมาพูดอีก ตลอดเวลา 20 ปีที่พูดมา เราจะพบว่าเด็กรุ่นใหม่กินนอนไม่เป็น คือไม่เป็นอันกิน ไม่เป็นอันนอน ถึงเวลาควรจะนอนกลับไมได้นอน ถึงเวลาควรจะกินกลับไม่ได้กิน แล้วเป็นเหตุให้เจ็บป่วย เช่น ถึงเวลาที่จะต้องกินอาหาร เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยกินอาหารเช้านะครับ ลองทำสำรวจหรือวิจัยดูก็ได้ ว่าเด็กที่กินอาหารเช้ามีซักเท่าไหร่ บางคนต้องรีบไปโรงเรียนก็กินไม่ทัน บางคนตื่นสายก็กินไม่ทัน บางคนก็ไม่มีจะกินนะครับ มันมีหลายสาเหตุ คราวนี้การไม่กินอาหารเช้านี่มีโทษยังไงบ้าง พอเราไม่ได้กินอาหารเช้า ช่วงเช้าสมองต้องการน้ำตาลและกรดอะมิโนจากโปรตีนไปเลี้ยงสมอง เช้ามาร่างกายจะต้องส่งส่วยไปเลี้ยงสมองก่อน ถ้ากินอาหารเช้าก็แล้วไป เขาไม่ต้องไปเบียดเบียนอวัยวะอื่นแต่ถ้าไม่กินอาหารเช้า รู้ไหมครับว่า หัวใจ ตับ ไต ม้าม ปอด อวัยวะสำคัญๆ จะต้องส่งส่วย ส่งน้ำตาลที่เขาเอาไว้เลี้ยงชีพของเรา ตับจะต้องมีน้ำตาลไว้เลี้ยงชีพเขา ไต หัวใจ ต้องมีน้ำตาลไว้เลี้ยงชีพเรา เขาต้องแบ่งปัน คือต้องส่งส่วยของตัวเองเพื่อไปเลี้ยงสมองนะครับ เป็นอย่างนี้ทุกวัน ในที่สุดหัวใจ ตับ ไต ม้าม ปอดของเราได้สารอาหารไม่เพียงพอในแต่ละวัน วันข้างหน้าเขาจึงเสื่อม เราก็ได้โรคหัวใจ โรคไตอะไรแถมมาเพียงแค่เราไม่กินข้าวเช้านะครับ แล้วในที่สุดทำไม?ได้โรคเกี่ยวกับสมองมา ถ้าหากตับ ไต หัวใจ ม้าม ปอดเขาไม่มีจะให้ นึกภาพออกไหม เขาโดนรีดภาษีทุกวัน แล้วเขาไม่มีจะให้อีกแล้ว สมองเราไม่มีน้ำตาล ไม่มีกรดอะมิโนเลี้ยง สมองก็เสื่อมนะครับ แล้วถึงเวลานอนไม่ได้นอนเนี่ย ในแต่ละวันมีอวัยวะบางส่วนที่ต้องการการซ่อมแซม ถ้าเราไม่นอนเขาก็ซ่อมไม่ได้ เขาต้อง standby ไว้คอยทำอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ แต่พอเราไม่นอน ส่วนที่จะต้องซ่อมแซมการสึกหรอก็ซ่อมไม่ได้ เป็นอย่างนี้ คืน คนไม่รู้อยู่ รู้กิน รู้นอนกัน ก็เลยต้องนำทฤษฏีเมื่อ 5,000 ปีก่อนมานำเสนอใหม่ คือเรื่องนาฬิกาชีวิตว่า ช่วงเวลาไหน ร่างกาย อวัยวะตัวไหนดูแลอะไร แล้วการกินอาหารตามนาฬิกาชีวิตนี่ มันช่วยได้เยอะ เช่น ถ้าเราอยากจะรักษาเบาหวานต้นเหตุของเบาหวานอยู่ทีตับอ่อน อันอาจจะทำงานเวลาเดียวกับม้าม คือเวลา 9.00-11.00 น.เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถให้สารอาหารที่ไปฟื้นฟูตับอ่อนในเวลานั้น มันจะออกฤทธิ์แรงกว่าให้เวลาอื่นถึง 40 เท่า เข้าใจไหมครับ มันจะมีกระบวนการดูดซึมที่เอาไปใช้ได้โดยตรงเลย ไม่งั้น...สารอาหารต้องวิ่งอ้อมผ่านอวัยวะอื่น อวัยวะอื่นเวลารับฝากไว้ก็ทำไม... ก็ดูดซึมไปใช้บ้าง กว่าจะถึงต้นตอมันก็เหลือนิดเดียว มันก็ไม่พอใช้ อันนี้เป็นความไม่เข้าใจของรุ่นใหม่นะครับ อีกประการหนึ่งก็คือนอกจากการดูแลตามนาฬิกาชีวิต ถ้ามีเวลาอาจจะพูดซ้ำนะครับ เพราะว่าได้พูดไปแล้วในเล่ม 1 ว่าช่วงเวลาไหนเป็นช่วงเวลาของอวัยวะอะไร

ประการที่สำคัญก็คือ ในเรื่องร่างการของคน-รูปกายเรา ถ้าเป็นการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ตะวันตก แพทย์จีนหรือแพทย์แผนไทย งานของแพทย์คือการแก้ปัญหาปลายเหตุ เขาจะดูว่าร่างกายของคนมีอาการอะไรเกิดขึ้น อาการแบบนี้จะรักษาอย่างไร แต่จริงๆแล้วอาการที่เกดขึ้นอาจจะกิดจากต้นเหตุที่ต่างกันก็ได้นะครับ เราจึงต้องไปดูที่ต้นเหตุ การศึกษาถึงต้นเหตุ เป็นการศึกษาสุขภาพตามแนววิธีพุทธครับ วิถีพุทธเป็นวิถีเดียวที่ลงไปศึกษาต้นเหตุ ภาษาธรรมเขาเรียกว่า ศึกษาตามหลัก "อิทัปปัจจยตา" คือทุกอย่างมีเหตุซ้อนเหตุ เขาเรียก "เหตุของเหตุของเหตุ" แต่ถ้าวงการแพทย์สมัยใหม่ หรือแพทย์อายุรเวชของอินเดียที่เผยแพร่อยู่ในบ้านเราก็ศึกษาตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น เป็นลมวิงเวียน ปวดหัว คำว่าลม วิงเวียน ปวดหัว ต้นเหตุมันมาเป็นสิบๆอย่างเลยนะครับ ต้นเหตุมันต่างกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาถึงต้นเหตุในทางพุทธศาสนาว่าจะแบ่งตามหลักธรรมเรียกว่า "สังคมธรรม" สังคมธรรมหมายความว่าธรรมทั้งหลายย่อยประกอบด้วยปัจจัย 4 ปัจจัย 4 นี้ไม่ใช่บ้าน อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคนะครับ ปัจจัย 4 ของสังคตธรรมหมายถึง ปัจจัย 4 ประการคือ 1. กรรม 2. จิต 3. อุตุ 4. อาหาร เพราะฉะนั้นเวลาเราศึกษาอะไร ก็จะดูว่าเหตุที่มันเกิด เกิดจากพื้นฐานตัวไหน ที่เป็นอยู่นี่เป็นจากกรรมหรือเปล่า หรือว่ามาจากอุตุหรือมาจากอาหาร

คราวนี้พอคนมีอาการนอนไม่หลับ ก็จะแก้อาการนอนไม่หลับนั้นทันทีจริงๆ แล้วอาการนอนไม่หลับมันมีที่มาหลายอย่างนะครับ อาการนอนไม่หลับมันมีที่มาจากกรรมก็ได้เช่น คนที่ชอบทำเสียงเอะอะโวยวายรบกวนข้างบ้าน กรรมอันนี้ก็ทำให้นอนไม่หลับ เป็นเหตุให้นอนไม่หลับได้ นี่เป็นเรื่องของกรรมที่หลายคนนึกไม่ถึงว่า แค่นอนไม่หลับจากจากกรรมเก่าที่เราเคยทำเสียงโหวกเหวกได้ให้คนนอนไม่หลับ เช่น คนถ่ายไม่ค่อยออกเกิดการกรรมก็มี กรรมคืออะไร... ชอบจอดรถขวางประตูหน้าบ้านคนอื่น การจอดรถขวางประตูทางออกเป็นเหตุให้เราถ่ายไม่ออก อยู่ๆก็ถ่ายไม่ออกเฉยๆ บางคนก็ชอบคิดว่าจอดเดี๋ยวเดียว เขาคงไม่เดือดร้อนอะไร ที่ไหนได้... เขาจะเข้าออกเพื่อนำคนเจ็บออกจากบ้านไปโรงพยาบาล... แต่ออกไม่ได้ มีรถมาขวางกั้นซะอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของกรรม ยกตัวอย่างให้เห็นนะครับว่า กรรมบางอย่างเป็ฯเหตุให้เเจ็บป่วย เรื่องนี้สามารถยืนยันได้จากแพทย์คนไทยที่ไปทำมาหากินอยู่ที่นิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกาครับ วันหนึ่งโทรศัพท์มาหาผมกลางดึก คือดึกบ้านเราแต่มันสว่างบ้านเขา เธอบอกว่าเธอเป็นหมอ และป่วยเป็นมะเร็ง ให้คีโมรักษาตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบันแล้วไม่หาย อยากขอคำแนะนำก็ตรวบพบว่าเธอมีปัญหาเรื่องกรรมเก่า ก็สอนให้เธออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร พอรู้สึกมีอาการไม่สบาย เธอก็จะโทรมา เราก็จะพบเจ้ากรรมนายเวร เราก็สอนให้อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรไปนะครับ ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอก็หายจากมะเร็ง และก้มีการเล่าลือกันในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าผมสามารถรักษามะเร็งทางโทรศัพท์ ที่จริงไม่ใช้นะครับ... ไม่ใช่หมด เป็นคนที่ไม่ใช่หมอ แต่เราศึกษาหลักธรรมทางพุทธศาสนาและรู้ว่าต้นเหตุมันมาจากไหน เมื่อต้นเหตุมันมาจากกรมเราก็แก้กรรมด้วยการอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรเขาไปเกิด เขาก็ไม่รังควาญอีก อาการป่วยจึงหาย มันก็เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เราไปรักษาให้นะครับ อันนี้เป็นเรื่องของกรรม คือบางทีมันเป็นกรรมในอีดต อาจจะงงนะว่ามันมีที่มาเป็นยังไง แต่กรรมปัจจุบันเป็นตัวทำรายเรานะคับ เช่น ประเทศอเมริการจะมีปัญหาเรื่องระบบเพศ เรื่องต่อไร้ท่อ เรื่องอะไรล่ะ...เรื่องระบบย่อยกันมาก ในที่สุดต้องไปผ่าเข่า สาเหตุเกิดจากการนั่ง คือชอบนั่งไถลตัว นึกภาพออกไหม คนอเมริกันเขาจะไม่นั่นตัวครงๆ แบบบ้านเรานะ เวลานั่งที่ไหน เขาก็จะนั่งเอนตัวไปไถลล่ะ การนั่นเอนตัวไถลไปกลายเป็นไม่ได้เอาก้นนั่น ต้องเอากระดูกเอวที่เยกว่ากระดูกกรามบ้าน"ไปนั่นแทน พอกระดูกเอวไปนั่ง กระดูกมันก็เคลื่อนจากข้อต่อกระดูไปกดทับเส้นประสาท ทำให้หมอนรองกระดูทรุกอะไรไปอย่างนี้ แก้วก็เจ็บป่วยตามมาอีกเยอะแยะ อันนี้เกิดจากท่านั่ง เพราะฉะนั้น ไปไหนขอให้นั่งตัวตั้งๆไว้ เวลานั่งในรก็อย่าปรับเบาะเอนนนอน เพราะการนั่นเอนนนอนแบบนี้ เวลารถกระแรทก กระดูกหลังเราจะเคลื่นอ กระดูกหลังนี่เราไม่มีอะไรยึดนะครับ ไม่มีลวดยึก เขาเรียงตั้งไว้เฉยๆ กระดูกหลังเรานี่ เอามาเรียงต่อๆกันเฉยๆ เพราะฉะนั้นมันพร้อมจะเคลื่อนหลุดได้ตลอดเวลาถ้าเราไม่นั่งตัวตั้งๆไว้ ถ้าเป็นโรงเรียนพาณิชย์สมัยก่อน ใครที่เรียนพาณิชย์คงรู้ดีว่า เวลานั่งพิมพ์ดีดครูบาอาจารย์จะเน้นมาก ต้องนั่งตัวตรงตลอด จะพิมพ์ 2 ชั่วโมง กี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ล่ะ ต้องนั่งตัวตรง ถ้าไม่ตรงครูบาอาจารย์เอาไม้เรียวหวดหลังเลยนะครับ เดี๋ยวนี้ตีไม่ได้แล้วใช่ไหม (หัวเราะ) ก็ปล่อยให้ลูกศิษย์นั่งหลังค่อมต่อไป เพราะเตือนก็ไม่ฟังอีกนะครับ แล้วในที่สุดก็จะเกิดภาวะกระดูไปกดทับลเส้นประสาท แล้วก็ป่วยตามมา อันนี้ก็มาจากกรรมที่ทำใไว้กับตัวเองนะครับ กรรมการการกินผิด นั่งผิด อะไรพวกนี้ เป็นเรื่องที่ทำไว้กับตัวเอง เป็นกรรมปัจจุบันนะครับ

ประการต่อมาเรื่องสภาวะจิต เราก็ไม่รู้ว่าการที่เราเป็นคนตื่นเต้นง่าย เป็นเหตุให้ร่างการสร้างโคเลสเตอรอลสูงกว่าไปกินของมันๆอีกนะครับ รบางคนเคยมาปรึกษาบ่อยๆว่าเขาไปพบแพทย์มา หมอบอกว่ามีโคเลสเตอรอลสูง หมอให้งดของมันๆ เธอบอกว่าเธองดทุกอย่างแล้วของมันๆ ทุกชนิดไม่กิน รวมทั้งงดแต่งงานด้วย เราก็งง มันเกี่ยวอะไรกับของมันๆ แกคงตีความไปไกลน่ะ แต่งงาน หมอให้งดของมันๆ ไง งดแต่งงานด้วย (หัวเราะ) แล้วยังบอกว่าไม่หาย...ไม่หาย ก็เลยบอกว่าการงดของมันๆ ไม่ได้แปลว่าจะทำให้โคเลสเตอรอลลดลง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วโคเลสเตอรอลเกิดจากความคิด 80% เพราะเราตื่นเต้น...การตื่นเต้นง่าย แล้วเดี๋ยวนี้เหตุการณ์บ้านเมืองบ้าง หนังบ้าง ละครบ้าง เป็นเหตุให้เราตื่นเต้นตลอดเวลา เรามาลุ้นรัฐบาลจะไปรอดไม่รอดเศรษฐกิจจะดีไม่ดี คนตกงานหรือไม่นะครับ ที่จริงคนตกงานมีทุกวันแหละ แต่มันคนช่วยพูดเขย่าขวัญอีก (หัวเราะ) ว่าตลาดแรงงานจะน้อยลงอะไรอย่างนี้ ทุกคนก็ตื่นเต้นตลอดเวลาว่าลูกศิษย์เรียนไปจะได้งานไหม นั่นก็เป็นเหตุให้โคเลสเตอรอลขึ้นสูงได้เพราะเรื่องของความคิด หรืออย่างบางคน คนที่วิตกกังวลบ่ายๆเช่น อย่างชาวบ้านนี่นะครับ เขาจะมีปัญหาปวดตามข้อ ปวดเขา ปวดข้อเท้า แล้วไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นเก๊าท์-รูมาตอยด์บ้าง ชื่อมันก็แปลกๆ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง แต่รู้จึกว่าชื่อมันเท่ดีใช่ไหม ไปหาหมอมา หมอให้ชื่อโรคเพราะเชียว โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ ก็จำมาพูดนะครับ แต่ไม่คิดจะรักษาให้หายนะ เจอใครก็เล่าให้ฟังตลอดน่ะ เพราะชื่อมันเท่ จริงๆแล้วโรคเก๊าท์-รูมาตอยด์นี่มีที่มา 2 ประการนะครับ

อันดับแรกเพราะเราไปกินอาหารที่มีพีลลีนสูง อาหารที่มีกลิ่นฉุนนทั้งหลายแหล่จะมีพีลลีลสูงเช่น ผักแพว สัตว์ปีก... อาหารพื้นบ้านที่พอจะกินได้คือสัตว์ปีกนี่แหละ อีกประเภทหนึ่งคือกลุ่มเครื่องในสัตว์ ซึ่งบางทีจะไม่กินก็ไม่ได้ ล้มวัวไปตัว เครื่องในมันเยอะนะครับ ก็ต้องกิน พวกนี้เป็นพวกมีพีลลีนสูง แต่การกินอาหารที่มีพีลลีนสูงอย่างเดียวยังบไมได้ทำให้เป็นเก๊าท์ เป็นรูมาตอยด์นะครับ มันต้องเครียดด้วย ต้องเป็นคนที่มีความวิตกกังวลบ่อย แล้ว...คนทางภาคอีสานนี่เป็นแชมป์วิตกกังวลเลยนะ ที่เป็นแชมป์วิตกกังวลเพราะเป็นคนมีน้ำใจ คือจะเป็นห่วงเขาไปหมดน่ะ เขาเรียกอะไรล่ะ มันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนอีกสาน เป็นคนเออาทร ห่วงเขาไปทั่ว บ้านตัวเองไม่มีเรื่องห่วง ยังห่วงข้างบ้านได้เลยนะ เจ็บร้อนแทนเขาไปหมด ความเป็นห่วง ความมีน้ำใจก็เป็นคนวิตกกังวลง่าย พอกินอาหารที่มีพีลลีนบวกกับความวิตกกังวล คราวนี้มันก็เกิดเป็นกรดยูริค กรดยูริคมันก็จะตกตะกอนแล้วกลายเป็นหินปูน ไปหาหมอ...หมอบอกกระดูกงอกอย่างนี้นะครับ เป็นหินปูนไปเกาะตรงนู๊นตรงนี้ทั่วไปหมดแหละ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะขจัดยังไง ไปหาหมอ หมอก็ให้ยาลดกรดยูริค ซึ่งมันก็ลดไมได้หรอกนะครับ ก็ให้เข้าใจว่าสภาวะจิตเป็นเรื่องที่ทำให้คนเจ็บป่วยได้

สุดท้ายก็เป็นเรื่องของอาหารนั่นแหละ พูดครบไหม คือ เรื่องกรรม เรื่องจิต เรื่องอุตุ... นี่หลายคนอาจไม่เค่อยเข้าใจ อุตุ หมายถึงอากาศภายนอก อาการที่เปลี่ยนแปลงทำให้คนป่วยได้ บางคนไวต่ออุตุภายนอก คืออากาศเปลี่ยนทีไม่สบายที อุตุอีกประการหนึ่งก็คือการมีอุจจาระตกค้าง การมีอุจจาระตกค้างก็เป็นเหตุให้คนเจ็บป่วยได้สารพัดรวมทั้งเป็นเบาหวานด้วยนะครับ อุจจาระตกค้างทำให้คนโดนตัดถุงน้ำดี ทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้โดนตัดมดลูก แค่มีอุจจาระตกค้างนี่เป็นเหตุใหญ่โตขนาดนี้เลยนะครับ และอุตุอีกเรื่องหนึ่งก็คือ กระดูกมันเคลื่อนที่ไปกดทับเส้นประสาท สุดท้ายก็เป็นเรื่องของเส้นลมปราณตามตัวที่เลือดลมมันไม่ไหลเวียด น้ำเหลืองไม่ไหลเวียน เส้นประสาทเสื่อมก็เป็นผลของอุตุนะครับ นั่นก็คือ เมื่อเราเจ็บป่วยพยายามตั้งสติว่า เหตุที่มันเกิดนี่มันเกิดจากกรรม จิต อุตุ หรืออาหารนะครับ

คราวนี้มาเข้าเรื่องสำคัญพื้นฐานกันก่อน ตอนนี้คนเป็นโคเลสเตอรอลกันมากนะครับ อาหารที่ลดโคเลสเตอรอลสูตรเด็ดเลยนะ สูตรที่ลดได้ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือ ต้มจืดมะละกด เอามะละกอต้มแทนฟัก คือมะละกอที่มันเหมือนใกล้จะสุด สีเริ่มออกเหลืองแต่มันยังแข็งแรงอยู่ นั่นละ เปนตัวที่ลดโคเลสเตอรอลดีที่สุดระยะยั้น เอามาต้มกับกุ้งแหล่ง ต้มกับซี่โครงหมู ซึ่งโครงไได้ทั้งนั้นแหละครับ แล้วกินประจำ รับรองท่านไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอลอีก กินเอาไว้เรื่อยๆนี่เป็นสูตรที่ลดโคเลสเตอรอลดีที่สุด รองลงมาเป็น กระเจี๊ยบกับพุทราแห้ง เพราะฉะนั้นที่ท่านตำมะเขือ ยำมะเขือยาวอะไรพวกนี้ เป็นอาหารกลุ่มลดโคเลสเตอรอลได้ดี

ประเด็นเบาหวาน ถ้าจะป้องกันเบาหวานได้ดี ทำยังไงจึงจะลดผงชูรสได้ เดี๋ยวได้ได้ข่าว่าคนอีกสานหลายจตัดหวัดไม่กินผงชูรสแล้ว หันมากินซุปก้อนแทน มันก็เหมือนกันแหละ... เพียงแต่เปลี่ยนผงมาเป็นก้อน หนักเข้าไปอีก เขาก็เอาซุปก้อนคลุกลงไปในน้ำปลาร้า ต้มลงไปในน้ำปลาร้าเวลาทำเส้มตำ แล้วพอเราบอกว่าไม่ใส่ผงชูรสนะ เขาก็ยิ้มเลย คือไม่ใส่หม่แล้วเรพาะใส่ในปลาร้าแล้ว หรือต้มลงไปในไหน...ร้านก๋วยเตี๋ยวหลายแห่งก็ใช้ซุปก้อนเป็นจำนวนมากๆ เทลงไปในหม้อก๋วยเตี๋ยว แต่ว่า...นิสัยอย่างนี้เราจะไปรณรงค์ให้เลิกกินไม่ได้หรอก กินไปเถอะ ต้องยุส่งไปเลยนะ กินไปเถอะ แต่ต้องรู้วิธีแก้ ถ้าเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของการกินผงชูรส เรากินซุปก้อนเป็นประจำ ตัวที่จะไปแก้เรื่องนี้ก็คือ เห็ดสามชนิด คือเมื่อรู้ตัวว่ากินสารพิธเข้าไป ก็ต้องรู้วิธีกินแก้สารพิธ คือหาเห็ด 3 ชนิดมาปรุงอาหารเป็นประจำ หรือในหม้อก๋วยเตี๋ยว ก็ไหนๆ ใส่ซุปก้อนไปเต็มหม้อแล้ว ก็โยนเห็ด 3 ชนิดลงไปด้วย จะได้ไม่เกิดบาปกรรมมากนัก มันก็จะไปล้างสารพิธของผงชูรสในนั้นนะครับ ก็ชัดชวนแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวว่าขอให้เราเห็ด 3 ชนิด ใส่หม้อก๋วยเตี๋ยวลงไปด้วยแล้ว ก๋วยเตี๋ยวหม้อนั้นจะกลายเป็นยาขึ้นมา ช่วยล้างสารพิษได้



Create Date : 23 กรกฎาคม 2554
Last Update : 23 กรกฎาคม 2554 22:18:39 น. 0 comments
Counter : 888 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

RBZ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




เป็นเดะสีลม(เซนต์โย สีลม)ตอนป.๑ เรียนอยู่สองอาทิตย์ เค้าหาว่าหนูซนเลยต้องย้ายมาเซนต์โยบางนา ตอนนี้อยู่ธรรมศาสตร์ ขึ้นปีสาม แต่อยากเป็นเด็กปีหนึ่ง ตอนนี้กลับไปเป็นเด็กสีลมเหมือนเดิม (โต๊ะสีลม Color of the wind)

เลือกได้ระหว่างอ่าน blog หรือ space
http://spaces.msn.com/ongchun

chivalrysilk [ at ] gmail.com

icq57152514 [ at ] hotmail.com
สำหรับเล่น MSN เท่านั้น
Friends' blogs
[Add RBZ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.